RSS

ทำไมนักลงทุนถึงจำเป็นต้องเรียนรู้ การวิเคราะห์ทางเทคนิค

Why do people have to learn Technical chart. ทำไมนักลงทุนถึงจำเป็นต้องเรียนรู้ การวิเคราะห์ทางเทคนิคหากคุณเชื่อว่า


- หากคุณเชื่อในกฎของอุปสงค์อุปทาน   Demand and Supply
- หากคุณเชื่อว่าคนเราส่วนใหญ่มักซื้อด้วยอารมณ์เพราะความต้องการซื้อ มากกว่าการซื้อด้วยเหตุผลเพราะราคาถูก
- หากคุณเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่าง จะมีวงจรชีวิตหรือวัฏจักร
- หากคุณเชื่อว่าในตลาดมักมีคนรู้ข้อมูลภายในก่อนคนอื่นเสมอ
- หากคุณต้องการเพิ่มมุมมอง สำหรับการตัดสินใจในการลงทุน
- หากคุณไม่รู้ว่า P/E และ P/B เท่าไหร่ถึงจะเรียกว่าถูก หรือแพง เพราะในอดีตจะเห็นว่า ค่า Price to Earning ของหุ้นแต่ละตัว ตลาดหุ้นแต่ละตลาด ยังมิได้อยู่นิ่งอยู่กับที่ หรือมึค่าเท่ากันทุกตลาดเลย

ซึ่ง สรุปได้ว่า ณ ช่วงเวลาต่างกันในหุ้นตัวเดียวกัน มูลค่ายังมิเท่ากัน เหตุเพราะความต้องการไม่เท่ากันต่างหากที่ทำให้ราคาเปลี่ยนแปลง ดังนั้นหากเรากำหนดสิ่งต่างๆ ว่าถูกหรือแพง โดยการใช้ค่า Price to earning หรือ Price to Book value เพียงอย่างเดียวนั้นคงจะไม่ถูกต้อง มิเช่นนั้นแล้วอัตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา อัตราเงินเฟ้อ หรือราคาน้ำมัน คงจะคงที่เหมือนกันหมด

คนซื้อหุ้นเพราะเกิดจาก อารมณ์ และความคาดหวังว่า หุ้นตัวนั้นดี ราคาไม่แพง หรือน่าที่จะทำกำไรได้ เพราะฉะนั้น การวิเคราะห์ทางเทคนิค เป็นการบอกถึงอารมณ์ของคนที่ ซื้อขายหุ้นตัวนั้นเป็นเช่นไร และมีแนวโน้มไปในทิศทางใด เหตุเพราะ
- ราคาหุ้นเป็นผลรวมที่สะท้อน ถึงการทราบข่าวสารต่างๆไว้หมดแล้ว
- ราคาเคลื่อนที่อย่างมีแนวโน้ม
- พฤติกรรมในอดีต หรือประวัติศาสตร์มักจะเกิดซ้ำรอย

ประโยชน์ของการวิเคราะห์ทางเทคนิค
- ไม่จำเป็นต้องติดตามข่าว เพราะทุกสิ่งทุกอย่างจะสะท้อนออกมาทางราคาหรือกราฟอยู่แล้ว
- สามารถหยุดขาดทุนหรือเลือกที่จะขายทำกำไรได้ จากกราฟ
- มีความยืดหยุ่นในการใช้สูง
- ย่นระยะเวลาในการศึกษาในหุ้นแต่ละตัว และทำให้วิเคราะห์หลักทรัพย์ที่จะลงทุนได้มากขึ้น
- สามารถมองเห็นพฤติกรรมของหุ้น ที่จะขึ้นลงได้ก่อนที่การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานจะค้นหาสาเหตุที่แท้จริงพบ
- สามารถ เก็งกำไร และเลือกลงทุนในระยะสั้น หรือระยะยาวได้ 
 
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/t609/?/

การขาดทุนติดๆกัน และภาวะอาการ “จิตหลุด” ของนักเล่นหุ้น

การขาดทุนติดๆกัน และภาวะอาการ “จิตหลุด” ของนักเล่นหุ้น โดย Barry Lutz
ใน ช่วงที่ตลาดหุ้นเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆ หรือเคลื่อนไหวอยู่ในแนวโน้มขาลงนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นประจำกับนักเล่นหุ้นทุกคนนั้น คือการขาดทุนที่มักจะเกิดขึ้นติดๆกันเป็นระยะ สิ่งที่สำคัญที่สุดในช่วงนี้คือการควบคุมอารมณ์และสติของเราให้มั่นคง เพื่อที่จะรักษาวินัยในการลงทุนเอาไว้ และในวันนี้ผมได้นำวิธีการง่ายๆที่อาจช่วยให้คุณควบคุมอารมณ์และสติของคุณ ได้ดียิ่งขึ้นเมื่อต้องเจอกับตลาดที่ไม่เอื้ออำนวยครับ  

คุณได้ เข้าซื้อหุ้นไปสักพักหนึ่ง หลังจากนั้นไม่นานมันก็เริ่มดิ่งหัวลง หลังจากนั้นคุณจึงตัดสินใจครั้งใหม่ที่จะ Short หุ้น แต่หลังจากนั้นไม่นานมันก็เด้งขึ้นทันที นับรวมแล้วก็เป็นอันว่าคุณขาดทุนติดกัน 2 ครั้งเสียแล้ว และมันทำให้คุณรู้สึกค่อนข้างลังเลขใจเล็กน้อย นั่นทำให้คุณรู้สึกแหยงๆที่จะไม่เทรดหุ้นในสัญญาณครั้งต่อไป และเป็นอย่างที่คุณคิดเอาไว้ นั่นเป็นสัญญาณที่ทำให้คุณได้กำไร! เอาล่ะสมมุติว่ามันแย่กว่านั้นอีก คุณตัดสินใจไล่ซื้อตามมันไป ซึ่งหลังจากที่คุณได้ไล่ซื้อมันไปไม่นานนัก มันก็ดิ่งหัวลงมาและทำให้คุณขาดทุนอีกครั้ง สรุปแล้วในขณะนี้คุณขาดทุนติดกันถึง 3 ครั้งแล้ว..   

คุณอาจคิดว่า “โอเค.. ลองอีกครั้งก็ได้ฟระตรู เรื่องอย่างนี้มันเกิดขึ้นได้เสมอแหละวุ้ยยยย”

ใน ครั้งนี้ คุณตัดสินใจอย่างฉลาดสุดๆ คุณสังเกตได้ว่าตลาดนั้นวิ่งอยู่กรอบแคบๆ มันจะเด้งขึ้นเมื่อเจอกับแนวรับ และเด้งลงเมื่อเจอกับแนวต้าน ดังนั้นในครั้งต่อไป คุณจึงตัดสินใจที่จะซื้อ-ขายเมื่อมันวิ่งไปชนกับกรอบราคา แทนที่จะเล่นด้วยระบบเดิมๆของคุณ

ต่อมานั้น ตลาดได้วิ่งไปคลอเคลียอยู่แถวแนวรับ ซึ่งมันเข้าทางกับแผนการที่คุณได้วางเอาไว้ คุณจึงตัดสินใจ “ซื้อมันซะเลย” แต่แทนที่มันจะเด้งขึ้นเหมือนอย่างที่ผ่านมา ราคาของหุ้นกลับดิ่งทะลุแนวรับไปเสียนี่.. และนี่ไม่เพียงทำให้คุณขาดทุนติดๆกันถึง 4 ครั้ง แต่นี่เป็นการขาดทุนจากการที่คุณแหกระบบที่ดีที่สุดระบบหนึ่งของคุณไป เท่านั้นยังไม่พอ มันยังเป็นสัญญาณที่หากว่าคุณทำตามระบบไปละก็ กำไรในคราวนี้จะกลบการขาดทุนใน 3 ครั้งที่ผ่านมาทั้งหมดเลยทีเดียว

เอา ล่ะ เมื่อมาถึงตอนนี้คุณจะทำอย่างไรต่อไป.. “เลิกเล่น?” แล้วพยายามยับยั้งชั่งใจไม่ให้ตัวเองหลงผิดมาเก็งกำไรครั้งใหม่.. โยนคอมพิวเตอร์ทิ้งไปนอกบ้านซะเลย แล้วลืมๆมันไปซะ… นี่เป็นสัญญาณที่กำลังบอกคุณว่า คุณกำลัง “จิตหลุด” แล้วหละครับ
        
อะไรคือภาวะ “จิตหลุด”
ผม คิดว่าภาวะของอาการ “จิตหลุด” นั้นมีจุดเริ่มต้นมาจากการที่คุณนั้นได้ยอมรับว่า “การขาดทุนเป็นส่วนหนึ่งของระบบการลงทุนและการเก็งกำไร” ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ แต่การขาดทุนที่สะสมติดต่อกันนั้น ได้ค่อยๆทำให้คุณสะสมความกดดันจนไปถึงจุดหนึ่งที่คุณนั้นไม่สามารถที่จะยอม รับมันได้อีกแล้วนั่นเอง ซึ่งภาวะอาการ “จิตหลุด” กะทันหันนี้ ทำให้คุณนั้นหน้ามืดและมองข้ามระบบการลงทุนของคุณไป และถูกแทนที่ด้วยอารมณ์จากผลการซื้อ-ขายในครั้งที่ผ่านๆมานั่นเอง และถึงแม้ว่าการ “เลิกเล่น” นั้นจะเป็นสิ่งเดียวที่ดูจะเหมาะสมในช่วงเวลาอย่างนี้ แต่อาการ “จิตหลุด” ของคุณนั้น อาจจะทำให้คุณทำในสิ่งที่คุณไม่คาดคิดไปตามอารมณ์ของคุณก็เป็นได้ และมันอาจเป็นไปอย่างนั้นจนถึงจุดๆหนึ่งซึ่งมันหมดหวังเต็มที จนทำให้คุณนั้นไม่สามารถรับมันได้อีกต่อไปและจำเป็นต้อง “เลิกเล่น” ไปโดยปริยาย

อย่างไรก็ตาม บทความนี้นั้นไม่ได้พยายามที่จะพูดถึงเรื่องของอารมณ์และการเก็งกำไรของคุณ หรือเกี่ยวกับเรื่องของความกลัวซึ่งคอยขัดขวางนักเล่นหุ้นหรืออะไรเทือกๆ นั้น เพราะอย่างที่เรารู้ๆกันว่า อารมณ์นั้นเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการเก็งกำไรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และคุณต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมมัน หรือไม่เช่นนั้นคุณก็ต้องเลิกเก็งกำไรซะ

นี่ เป็นบทความที่เกี่ยวกับการที่โดยปกติแล้วคุณนั้นสามารถที่จะควบคุมอารมณ์และ สติของคุณในการเก็งกำไรได้เป็นอย่างดี แต่แล้วจู่ๆก็กลับมีบางสิ่งบางอย่างมาทำให้นักเล่นหุ้นอย่างเราๆเสียการควบ คุมไป และเกิดอาการ “จิตหลุด” ขึ้นมานั่นเอง ซึ่งผลจากการขาดทุนติดๆกันหลายๆครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขาดทุนซึ่งเกิดจากการแหกระบบของนักเล่นหุ้นเองนี่เอง ที่เป็นต้นเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นนี้

นี่ไม่ใช่สิ่งที่สามารถเกิด ขึ้นได้เฉพาะกับนักเล่นหุ้นหน้าใหม่ หรือนักลงทุนระดับล่างๆ เนื่องจากมันเป็นเรื่องที่จะต้องเกิดขึ้นกับนักเล่นหุ้นทุกคน ซึ่งไม่ว่าใครก็มีสิทธิที่จะต้องเจอกับช่วงเวลาที่ไม่ว่าเราจะทำอะไรไป ทุกอย่างก็ดูจะผิดที่ผิดทางไปเสียหมด และนั่นทำให้เราเกิดการขาดทุนติดๆกันหลายๆครั้งขึ้นมา ดัง นั้น นี่จึงเป็นสถานการณ์ซึ่งเกิดขึ้นได้กับนักเล่นหุ้นทุกคน เพียงแต่ว่านักเล่นหุ้นแต่ละคนแต่ละระดับนั้น จะมีการตอบสนองต่อภาวะเช่นนี้ต่างกันไป

ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเจอกับภาวะเช่นนี้นักเล่นหุ้น นาย A. อาจจะเกิดความตื่นตระหนกอย่างรุนแรงและเกิดอาการ “จิตหลุด” ตามมาทันที ซึ่งทำให้เขารู้สึกเสียความมั่นใจของเขาไปและผลที่ตามมาก็คือการขาดทุนที่ มากกว่าที่ได้คาดคิดเอาไว้อย่างมากมาย หรือในอีกทางหนึ่งนั้น นาย B. อาจจะเกิดความรู้สึกอยาก “เอาคืน” และเพิ่มน้ำหนักการลงทุนขึ้นอีกเป็นเท่าตัว เนื่องจากเขามั่นใจว่ายังไงซะ การเก็งกำไรครั้งต่อไปของเขาจะสามารถทำให้เขากลับมาเท่าทุนเหมือนเดิมได้ แต่แล้วอาการ “จิตหลุด” นี้ก็ยังดังเนินต่อไปพร้อมกับการขาดทุนของเขา และทำให้เขาต้องสูญเสียเงินไปมากกว่าที่เขาได้คาดคิดเอาไว้แต่แรก.. แล้วนักเล่นหุ้นที่ประสบความสำเร็จอย่างนาย C. ล่ะ เขาทำอย่างไรกับภาวะเช่นนี้?
        
การควบคุมภาวะของอาการ “จิตหลุด” ในการเล่นหุ้น
เมื่อคุณลองคิดไตร่ตรองดูให้ดี คุณจะพบว่า “ทุก ครั้งที่อาการ “จิตหลุด” ของคุณได้เกิดขึ้นและคุณสุญเสียการควบคุมสติของคุณไป นั่นจะยิ่งทำให้อาการ “จิตหลุด” ในครั้งต่อไปของคุณเกิดขึ้นเร็วยิ่งกว่าเดิม” นี่เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปเรื่อยๆ จนถึงเวลาหนึ่งที่การเล่นหุ้นกลายเป็นสิ่งที่เจ็บปวดเกินกว่าที่คุณจะทนไหว ซึ่งทำให้คุณไม่อยากเล่นหุ้นอีกต่อไปนั่นเอง

เมื่อลองคิดและไตร่ตรองดูให้ดีอีกครั้ง คุณจะพบว่า “มันเป็นการดีกว่าที่คุณจะเรียนรู้ที่จะควบคุมอารมณ์ในการเล่นหุ้นของคุณ แทนที่คุณจะตัดสินใจเลิกเล่นหุ้นไป” เนื่องจากการเลิกเล่นหุ้นเก็งกำไรนั้น ไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง เพราะมันไม่ได้ช่วยป้องกันให้คุณไม่คิดที่จะกลับมาลองเก็งกำไรหรือเล่นหุ้น รอบใหม่อีกครั้ง และไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นเมื่อคุณต้องเจอกับภาวะขาดทุนติดๆกันอีกครั้ง

ใน การที่จะควบคุมสติของคุณให้ได้ ก่อนที่คุณจะเกิดอาการ “จิตหลุด” ขึ้นมานั้น คือการเอาชนะจิตใจและตัวตนข้างในของคุณให้ได้เสียก่อน คุณต้องทำมันและพาตัวเองกลับมาเดินอยู่ในหนทางที่ถูกต้อง แล้วคุณจะได้กำไรชีวิตจากสิ่งที่คุณทำอย่างคาดไม่ถึง เพราะคุณจะรู้ว่าถึงแม้คุณจะต้องเจอกับช่วงเวลาที่โหดร้าย แต่คุณก็จะมั่นใจในตนเองว่าคุณจะข้ามผ่านมันไปได้ และสามารถควบคุมสติของคุณเอาไว้ได้จนไม่ต้องเกิดการขาดทุนที่มากมายอีกครั้ง

วิธี การง่ายๆที่จะช่วยคุณได้ คือให้คุณลองนำสิ่งที่คุณเชื่อว่าเป็นหลักหรือแก่นในการเก็งกำไรของคุณ มาเขียนลงในกระดาษโน้ทเล็กๆแปะไว้กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ของคุณเอง โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยให้คุณระลึกและตระหนักถึงมันอยู่ตลอดเวลา ทำให้สิ่งต่างๆเหล่านี้อยู่ในจิตสำนึกของคุณอยู่ตลอดเวลา แทนที่มันจะไปฝังอยู่ในจิตไต้สำนึกของคุณจนลึกเกินไปนั่นเอง แต่จงระวังไว้ว่าทุกๆครั้งที่คุณได้เขียนโน้ทเอาไว้นั้น ขอให้แน่ใจว่าคุณกำลังเขียนแนวคิดลงไป ไม่ใช่วิธีการ จงอย่ายึดติดกับ”วิธีการ” จนเป็นการทำให้ปัญหาของคุณนั้นย่ำแย่ลงไปกว่าเดิม

ยก ตัวอย่างเช่น ลองคิดถึงช่วงเวลาที่อารมณ์ของคุณนั้นพลุ่งพล่านจากการที่คุณได้เกิดการขาด ทุนติดๆกัน ภายในช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นกำลังเคลื่อนไว้อยู่ในกรอบแคบๆดู แล้วลองเขียนโน้ทลงไปในลักษณะคำพูดแบบนี้ครับ

“อารมณ์บ้าๆนี้อาจจะมา จากการขาดทุนติดๆกันอย่างรวดเร็วของเรา และการขาดทุนติดๆกันอย่างรวดเร็วนี้อาจมาจากการที่เราพยายามเล่นหุ้นในช่วง เวลาที่ตลาดหุ้นกำลังเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆนี้ก็ได้ หรือเราอาจกำลังเล่นหุ้นบ่อยเกินไปก็ได้ และไม่มีอะไรที่ได้ผิดพลาดไปในระบบของเราหรอก ตราบใดที่เรายังเล่นหุ้นได้ตามระบบของเราอยู่ ทุกอย่างก็ยังคงปกติและเราก็ยังเล่นหุ้นได้ดีอยู่เหมือนเดิม”

เอาล่ะ หรือไม่คุณอาจลองเปลี่ยนเป็นประโยคอีกประโยคหนึ่ง ซึ่งเขียนออกมาในสถานการณ์เดียวกันดู

“อย่า เป็นไอ้โง่ที่เล่นหุ้นโง่ๆบ่อยเกินไปสิฟะ! เหมือนกับว่ากลัวที่จะขาดทุนในวันนี้เสียเหลือเกิน อย่าทำเหมือนกับทุกๆวันที่ผ่านมา ไม่งั้นเรื่องแบบนี้มันก็จะเกิดขึ้นอีกเรื่อยๆ และไม่จำเป็นต้องรีบร้อนที่จะเล่นหุ้นเกินไปถ้ายังคิดจะเล่นในหุ้นแบบเดิมๆ อีก”
        
จงรักษา “สติ” ของคุณเอาไว้
“รักษาสติเอาไว้” คือประโยคต่อไปในกระดาษโน้ทของคุณ
อีก วิธีหนึ่งซึ่งคุณสามารถทำได้นั้น คือโดยการเขียนโน้ทซึ่งคุณพอจำได้ว่าก่อนที่อาการ “จิตหลุด” ของคุณจะเกิดขึ้นนั้น ได้เกิดอะไรขึ้นมาบ้าง ยกตัวอย่างเช่น หายใจเร็วขึ้น, เหงื่อออกเยอะ, บิดตัวไปมาอยู่บนเก้าอี้ หรืออาการนั่งไม่ลง และหลังจากที่อาการ “จิตหลุด” ของคุณเริ่มรุนแรงขึ้น เช่น โวยวาย, ขว้างปาสิ่งของ หรือทำลายข้าวของ จนในที่สุดเมื่อคุณเกิดเอาการ “จิตหลุด” แบบเต็มขั้นหรือการตื่นตระหนกอย่างสุดขีด

แน่นอนว่ามันคงจะมีลิสท์ รายละเอียดของอาการที่เกิดขึ้นมาอย่างยาวเหยียดเลยทีเดียว แต่การที่คุณสามารถที่จะตระหนักถึงมันได้เมื่อมันเกิดขึ้นมานั้น อาจช่วยให้คุณเริ่มที่จะสามารถควบคุมมันเอาไว้ได้ ก่อนที่มันจะควบคุมตัวของคุณแทนนั่นเอง
        
คอยตระหนักอยู่ตลอดเวลา
คุณ ควรต้องรู้ถึงสิ่งที่มีศักย์ภาพที่จะก่อให้เกิดอาการ “จิตหลุด” ของคุณ มันเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการที่คุณจะยอมรับว่าตัวของคุณนั้นมี “อารมณ์” ข้องเกี่ยวอยู่เสมอ และจงอย่าพยายามที่จะมองข้ามมันไป หรือพยายามเก็บมันซ่อนเอาไว้เพราะคุณมองว่ามันคือสิ่งที่แสดงถึงความอ่อนแอ ของคุณ เพราะนี่จะเป็นสิ่งที่จะทำให้สถานการณ์ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่

คุณ เป็นมนุษย์! มนุษย์ทุกคนมีอารมณ์ และอารมณ์จะเข้มข้นขึ้นเมื่อสถานการณ์ต่างๆนั้นเริ่มบีบคั้นขึ้นมา ดังนั้น คุณอาจไม่จำเป็นที่จะต้องรู้หรอกว่าคุณจะทำอะไรเมื่อคุณ “จิตหลุด” และสูญเสียการควบคุณขึ้นมา แต่คุณจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้ หรือจำให้ได้ว่าคุณจะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้อาการ “จิตหลุด” นั้นเกิดขึ้นมาอีกครั้ง คุณจำเป็นต้องรู้ว่าอะไรที่จะช่วยให้คุณมี “สติ” อยู่เท่าที่คุณจะสามารถทำได้ ในช่วงเวลาแย่ๆของการเล่นหุ้นซึ่งจะเกิดขึ้นในอนาคต คุณจำเป็นต้องรู้ว่าอะไรจะช่วยให้คุณ “กลับมา” มีสติขึ้นอีกครั้ง
        
แล้วนักเล่นหุ้นที่ประสบความสำเร็จนั้นทำอะไรบ้าง?
นัก เล่นหุ้นที่ประสบความสำเร็จนั้น คือนักเล่นหุ้นที่สามารถที่จะควบคุม ”สติ” ไม่ว่าจะในสถานการณ์ที่เขามีกำไรหรือขาดทุน และมี “สติ” อยู่ในทุกๆเวลา การมี “สติ” นั้นเป็นส่วนสำคัญในการที่จะช่วยในการควบคุมอารมณ์ไม่ให้เกิดอาการณ์ “จิตหลุด “ ในการเล่นหุ้นขึ้นมา นักเล่นหุ้นที่ดีนั้นสามารถที่จะประเมิณการขาดทุนของเขาในรูปแบบของการเกิด ขึ้นตามธรรมดาของระบบการลงทุน และนักเล่นหุ้นที่ดีนั้นจะสามารถเล่นหุ้นได้ตามระบบที่ดีของเขาได้ไม่ว่าจะ ต้องเจอกับช่วงเวลาเลวร้ายเพียงใด และถึงแม้พวกเขาจะเกิดการขาดทุนขึ้นมา พวกเขาก็จะเข้าใจว่ามันต้องเกิดขึ้น พวกเขายอมรับกับ “ความน่าจะเป็น” ที่มันจะต้องเกิดขึ้น และทำตามระบบต่อไป ซึ่งการซื้อ-ขายครั้งต่อไปนั้นอาจจะทำกำไรให้พวกเขาก็ได้

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/t579/?/

บทนำกลยุทธ์การเก็งกำไร

ประเด็นหนึ่งที่นักเล่นหุ้นทั้งหลายสับสนกับชีวิต ว่าควรจะเป็นนักลงทุน หรือ นักเก็งกำไรดี เป็นคำถามที่หลายคนอยากรู้ เพราะ “เมื่อซื้อหุ้นอยากลงทุน แต่พอหุ้นขึ้นแรง กลับขาย เพราะอยากเก็งกำไร”  “แต่เมื่อซื้อหุ้นเพื่อเก็งกำไร หวังให้หุ้นขึ้น แต่พอหุ้นตกกลับบอกขอถือเพื่อเป็นการลงทุน”  แต่สำหรับตัวผม แล้วมองทุกอย่าง ก็คือการเก็งกำไร หากคุณอยากที่จะขายเพื่อทำกำไรจากสิ่งนั้นๆ ยกเว้นเสียแต่ ผู้ที่ซื้อหุ้นเพื่อสะสม หรือเก็บไว้เพื่อรับปันผล ดังเช่น วอเรนต์บัฟเฟต หรือ ผู้ที่ชอบซื้อสิ่งของที่มีค่าสะสม เช่น รูปภาพ, แสตมป์ หรือของ โบราณ เพื่อขายในราคาที่สูงจนเกินความพอใจ มากๆ (โดยที่ไม่ขายก็ไม่เดือดร้อน เพราะชอบและรัก กับของสะสมนั้นๆอยู่แล้ว) จึงจะเรียกว่านักลงทุน

ไม่ ว่าจะเรียกอย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่นักลงทุนจำเป็นจะต้องรู้คือ รู้จักตัวเอง ก่อนที่จะรู้จัก สิ่งอื่นๆ เพราะ หากเรารู้จักตัวเองดีพอ ก็จะสามารถ กำหนดกลยุทธ์การลงทุน หรือการวางแผน ให้ประสบความสำเร็จได้ ดังนั้นผมจึงรวบรวมข้อคิดที่ จะมาบอกกล่าว ในรูป กลยุทธ์ การเก็งกำไรกัน ซึ่งบทความนี้อาจจะมีบางส่วนที่อ้างอิง จากหนังสือ เรื่อง “The Zurich Axioms”

บทนำกลยุทธ์การเก็งกำไร
“ในตลาดการลง ทุนส่วนใหญ่มักมองว่า การเก็งกำไรเป็นเรื่องเลวร้าย ซึ่งแตกต่างจากการลงทุนโดยสิ้นเชิง  แต่ความเป็นจริงแล้ว เราทุกคนต่างหาก ที่ล้วนแล้วแต่ต้องการกำไร จากการลงทุน เพียงมองแต่ว่า การใช้ระยะเวลา หรือผลประโยชน์ระยะสั้น ก็จะมองเพียงเป็นการเก็งกำไร แต่การร่วมลงทุนในระยะยาวถือเป็นการลงทุน แต่แท้ที่จริงทุกคนต่างมองถึงผลประโยชน์ ซึ่งปรับแต่งคำพูดให้สวยงามว่าเราต่างเป็นนักลงทุน”

โดยธรรมชาติแล้ว กิจกรรมการเงินอะไรก็ตามที่ก่อให้เกิดกำไรมักจะเกี่ยวข้องกับความเสี่ยง ไม่ว่าผู้เกี่ยวข้องจะเป็นนักเสี่ยงโชคหรือไม่ก็ตาม วิธีเดียวที่ทำให้ความเสี่ยงใกล้ศูนย์คือการฝากเงินกับธนาคารหรือนำไปซื้อ พันธบัตรรัฐบาล แต่ผลตอบแทนก็ย่อมต่ำไปด้วย ด้วยเหตุนี้บรรดานักลงทุนที่กระตือรือร้นต่างพยายามขวนขวายหาการลงทุนแบบ อื่นที่ให้ผลตอบแทนและความเสี่ยงสูงกว่า แต่ที่แปลกคือทุกคนต่างไม่ยอมรับว่าตนเองกำลังเก็งกำไร กำลังเสี่ยงเงินของตนหรือกำลังเล่นการพนัน หากแต่แสร้งทำเป็นว่าตนเองมีความฉลาดรอบคอบและเรียกกิจกรรมที่ตนเองประกอบ อยู่ว่า “การลงทุน”

ในความเป็นจริงแล้ว นักลงทุนและนักเก็งกำไรฟังดูไม่ต่างกันนัก เพราะการลงทุนทุกชนิดคือการเก็งกำไร แตกต่างกันแต่เพียงว่าบางคนยอมรับในขณะที่บางคนไม่ยอมรับ ไม่ว่าคุณจะเรียกกิจกรรมซื้อขายหลักทรัพย์ว่าเป็นการลงทุนหรือไม่ก็ตาม ความจริงก็ยังหนีความจริงไม่พ้น เพราะการพนันก็ยังคงเป็นการพนันวันยังค่ำ เพราะฉะนั้นการลงทุนทุกชนิดคือการเสี่ยงโชค เพราะคุณต้องเลือกวางเงินของคุณไว้ข้างหน้าว่าจะแทงกองไหน ไม่ว่าคุณจะเลือกหุ้นอะไรก็ตาม ยอมรับเสียเถอะว่านั้นคือการเสี่ยงโชค ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะต้องมาหลอกตัวเอง

นักเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จ เจสซี่ ลิเวอร์โมร์ กล่าวว่า
“ความ เสี่ยงอาจมีผลทางบวกหรือลบ เพราะ เราอาจจะสูญเสียสิ่งที่มีอยู่แทนที่จะได้รับผลตอบแทน แต่อย่างไรก็ดีถ้าเราจนลงเพราะการเสี่ยงโชคแล้ว มันก็ยังดีกว่า การที่จนลงเพราะอยู่เฉยๆ ไม่ใช่หรือ?”

“ไม่ว่าคุณจะมีอาชีพอะไร คุณจะต้องเผชิญกับสิ่งที่หวานและขมเสมอ ถ้าคุณเลี้ยงผึ้ง คุณก็ย่อมถูกผึ้งต่อย แต่สำหรับผม ผมก็มีความกังวลอยู่เสมอ ถ้าใครไม่มีความกังวลแล้ว เขาผู้นั้นคงยากจนต่อไป”

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/t18/?/

รูปแบบและการเทรด Gap


รูปแบบและการเทรด Gap

Gap คือ ช่วงราคาที่ไม่ต่อเนื่องกัน เราจะเห็นว่าราคาเกิดการกระโดดขึ้นหรือลงจนทำให้เกิดช่องว่างขึ้น ซึ่งเกิดจากความไม่สมดุลของแรงซื้อกับแรงขาย ในตลาด Forex เราจะเห็น Gap กันเป็นประจำในช่วงเช้าวันจันทร์ที่ตลาดเปิด สาเหตุเพราะนักลงทุนต้องการซื้อหรือขายทันทีที่ตลาดเปิด หรือ ช่วงที่มีข่าวแรงๆ เมื่อเกิด Gap เราจะเรียก Gap ว่า Windows ซึ่งแนวที่เปิด Gap จะสามารถใช้เป็นแนวรับหรือแนวต้านที่ดีได้ และหากเราเข้าใจถึงชนิดของ Gap ที่เกิดขึ้นก็จะทำกำไรได้เป็นอย่างดี Gap กระโดดขึ้นมักแสดงแนวโน้มขาขึ้น Gap กระโดดลงมักแสดงแนวโน้มขาลง ซึ่ง เราสามารถแบ่ง Gap ออกได้เป็น 4 อย่างดังนี้
1. Common Gap มัก เกิดในขณะที่แนวโน้มของราคาเกิดการเคลื่อนตัวไปทางด้านข้าง (Sideways) ในบางครั้งจะเกิดช่องว่างและจะมีการปรับตัวขึ้น-ลงเพื่อปิดช่อง ว่าง จึงไม่น่าสนใจ เพราะไม่สามารถบอกทิศทางได้

Common gap
2. Breakaway Gap เป็น Gap ที่เกิดจากการที่ราคามีการวิ่งทะลุ (breakout) ฝ่าแนวรับหรือแนวต้านไปได้หลังจากที่ราคาวิ่งเป็น Sideway พูดได้ว่า เป็นการพุ่งทะลุแนวรับ - แนวต้านหลังจากที่สะสมพลังในช่วง Sideway มาเต็มที่แล้ว อาจเห็นได้ในช่วงที่ราคาวิ่งอยู่ในกรอบสามเหลี่ยมต่างๆ แล้วพุ่งทะลุออกมา มักเกิดจากการที่ตลาดรอข่าว จึงวิ่งเป็น Sideway และเมื่อข่าวออกมา ก็มีแรงซื้อหรือแรงขายเข้ามาแบบถล่มทลาย จึงทำให้ราคากระโดดจนเป็น Gap ถ้าเกิด Gap ในลักษณะนี้ ให้หาจังหวะซื้อหรือขาย ตามทันที (โดยทั่วไปแล้ว เมื่อราคาวิ่งทะลุแนวรับหรือแนวต้าน มักจะวิ่งกลับมาทดสอบที่แนวรับ - แนวต้านนั้นอีกครั้ง หรือที่เราเรียกว่า การ "ปิดแก๊บ"  แต่ บางครั้งถ้ามีการซื้อหรือขายที่มีปริมาณมากๆ แบบมีนัยสำคัญ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะกระแสข่าวที่ออกมาแรงมากเป็นต้น ราคาก็อาจจำไม่กลับมาทดสอบ แต่มันจะวิ่งไปเลย)
Breakaway Gap
3. Runaway Gap หรือ Measuring Gap เป็น Gap ที่มักเกิดหลังจากเกิด Breakaway Gap  ซึ่งเมื่อเกิด Runaway Gap ขึ้น ก็จะเป็นการยืนยันความแข็งแกร่งของทิศทางราคานั้นๆ แม้ว่าปริมาณการซื้อขายจะอยู่ในระดับปานกลาง ไม่มากนัก แต่ก็คาดได้ว่า ราคาจะวิ่งไปอีกประมาณ 1-2 เท่าตัวเมื่อวัดจาก Breakaway Gap (ตัวอย่างตามภาพ)

Runaway Gap
4. Exhaustion Gap เป็น Gap  ที่ต้องระวัง เพราะเป็นการกระโดดขึ้นหรือลงเป็นครั้งสุดท้ายของราคา เป็นสัญญาณว่าตลาดเริ่มหมดแรง และจะมีการเปลี่ยนทิศทางในไม่ช้าด้วยปริมาณการซื้อขายที่หนาแน่นจนทำให้ราคา ที่วิ่งต่อไปมีลักษณะเป็นกลุ่ม จนมีลักษณะเหมือน เกาะกลางทะเล หรือที่เรียกว่า Island reversal ดังนั้นเมื่อเจอ Gap แบบนี้ก็ควรจะเตรียมตัวออกจากออเดอร์ และ เมื่อมีการคอนเฟิร์ม ก็เข้าออเดอร์ในทิศทางใหม่ตามไป ในการพิจารณา Gap ประเภทนี้เราควรพิจารณา Oscillators ต่างๆ ดูการ Overbought  หรือ Oversold ประกอบด้วย เพื่อให้มั่นใจมากขึ้น เพราะExhaustion Gap มักเกิดในช่วงที่ราคาเป็น  Overbought  หรือ Oversold หรืออาจเกิด Divergence ร่วมด้วย
Exhaustion Gap

Island Reversal  คือ รูปแบบการกลับตัวของราคา โดยมี Gap 2 ชนิดรวมอยู่คือ ครั้งแรกจะเกิด Exhaustion Gap ก่อน อนื่องจากทิศทางเดิมนั้นอ่อนแรงลงแล้ว อาจจะมีการเทซื้อ หรือ ขายทิ้งเป็นครั้งสุดท้าย ทำให้ราคากระโดดไปจนเกิด ช่องว่างของราคาขขึ้น แล้วหลังจากนั้น ก็จะมีการซื้อขายที่หนาแน่นกลับเข้ามา ทำให้ราคาเกาะตัวกันเป็นกลุ่ม และสุดท้าย เกิด Breakaway Gap ขึ้นมาในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับแนวโน้มเดิม ทำให้เราเห็นลักษณะราคา เหมือนเป็น เกาะกลางทะเล จึงเรียกกันว่า Island Reversal 

 Island Reversal

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/gap/?/

ความจริงเกี่ยวกับการเล่นหุ้น

1. ในตลาดอะไรก็เกิดขึ้นได้
ตลอดเวลาในตลาดมันจะมีตัวแปรที่คอย ขับเคลื่อนตลาดที่เราไม่รู้จักอยู่ ขอแค่มีเทรดเทรดเดอร์เพียงคนเดียวที่อยู่ที่ไหนสักแห่งในโลก ทำอะไรซักอย่างกับตลาด มันก็อาจจะทำให้การวิเคราะห์กราฟของเราผิดพลาดได้เสมอ ไม่ว่าเราจะเสียเวลากับการวิเคราะห์มานานแค่ไหน ศึกษาหาความรู้มาอย่างมากมาย หรือลงทุนไปกับมันมากเท่าไหร่ แต่ถ้ามองในมุมมองของตลาดแล้ว มันไมเกี่ยวกันกับการที่ตลาดจะขึ้น หรือจะลง ดังนั้นการที่เราคาดหวังในทิศทางของตลาดนั้น มันเพียงแต่จะทำให้จิตใจเราสับสน และขัดแย้งกันก็แค่นั้น

2. เราไม่จำเป็นต้องรู้ทิศทางของตลาดอย่างแม่นยำ ก็สามารถทำเงินได้
การ เทรดหุ้นแต้ละครั้งมันมีเปอร์เซันได้ - เสียเป็นของมัน และตัวที่กำหนดสิ่งนี้คือ มุมมอง หรือระบบของเรา สมมุติต่อไปอีก 20 เทรด เรารู้ว่าเราจะได้ 12 และเสีย 8 แต่สิ่งที่เราไม่รู้คือเราจะได้ครั้งละเท่าไร และเราจะเสียครั้งละเท่าไร นี่เป็นสิ่งที่ทำให้การเล่นหุ้นเป็นเกมเกี่ยวกับความน่าจะเป็น หรือเป็นเกมนับเลข ยกตัวอย่าง นักเทรด 2 คน คนแรกมีโอกาสเทรดได้ 75% แต่จะได้แค่ครั้งละ 20 Pips และเสียครั้งละ 60 Pips เทรด 20 ครั้ง ผลที่ได้คือ 0 Pip ส่วนนักเทรดคนที่ 2 มีโอกาสเทรดได้แค่ 25% แต่จะได้ครั้งละ 100 Pips เสียครั้งละ 30 Pips 20 เทรด เขาจะได้ทั้งหมด 50 Pips เห็นไหมครับมันเป็นเกมบวกเลข - ลบเลข โอกาสแพ้ชนะแทบจะไม่มีผล ถ้าเรามี Money Management และ Risk-to-Reward ที่ดี และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือจิตใจ นักเทรดคนแรกเขามีโอกาสชนะที่สูงมาก แต่เขากลับสู้คนที่ 2 ที่โอกาสชนะน้อกว่าไม่ได้ แล้วถ้าเขาไม่กลัวว่าเทรดที่ได้จะกลับมาเสียแล้วรีบปิด เขาจะได้มากเท่าไร ถ้าเขากล้าที่จะตัดขาดทุนแทนที่จะนั่งรอให้มันตีกลับมาบวก เขาจะเสียมากขนาดนั้นไหม มันเป็นเรื่องของความกลัวครับ ความกลัวในการเล่นหุ้นในความคิดผมนั้นมีอยู่ 3 อย่าง กลัวที่จะขาดทุน กลัวที่จะพลาดโอกาส และกลัวที่จะได้กำไรมากเกินไป อันสุดท้ายนี่หมายถึง การกลัวว่าเทรดที่ได้จะกลับมาเสียรีบปิดเร็วเกินไป เรียนรู้ที่จะควบคุมความกลัวแล้วการเทรดของเราจะดีขึ้น

3. มันมีเปอร์เซ็นได้ - เสียของแต่ละระบบ
ข้อ ได้ได้อธิบายในข้อ 2 ไปบ้างแล้ว เมื่อเรารู้ระบบของเราแล้ว ก็เหลืออีกสองอย่างที่เราต้องมี คือ Money Management กับ Mindset อันแรก Money Management บางคนบอกว่าไม่จำเป็น แต่ความจริงแล้วมันจำเป็นมากในการที่จะประสบผลสำเร็จในตลาด Forex ผมแนะนำว่าเทรดแต่ละเทรดควรจะเสียได้ไม่เกิน 2% ของบัญชีนะครับ การที่เราตั้งไว้น้อยแบบนี้มันก็ช่วยลดความกลัวของเราได้อีกทางหนึ่งนะครับ ประมาณว่าถึงเสียก็เสียแค่ 2% ลองเสี่ยงดูก็ได้ ลองทำดูนะครับ เชื่อผม อย่างที่สอง Mindset ก็คือระบความคิดของเรานั่นเอง ระบบความคิดทั่วไปของเราทุกคนใช้ไม่ได้กับตลาดนะครับ ระบบความคิดที่เทรดเดอร์ควรมีคือการมองในความเป็นได้ เคยสังเกตไหมครับว่าคนส่วนใหญ่จะบอกว่า "ถ้าเราเดาทิศทางของตลาดหุ้นถูกเราก็รวย" ไม่ใช่ "ถ้าเราคำนวณทิศทางของตลาดหุ้นถูกเราก็รวย" เดากับคำนวณมันต่างกันนะครับ ผมมีคำถาม 3 ข้อมาถามครับ ถ้าเราเจอจุดเข้าเทรดที่ดีมากจุดหนึ่ง แต่ที่ผ่านมาเราเสียมาตลอด เราจะคิดยังไง ถ้าเราเข้ามาเจอว่าตลาดกำลังพุ่งไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งอย่างรวดเร็ว เราจะคิดยังไง และถ้าเราจับเทรนใหญ่ในตลาดได้เทรนหนึ่ง แต่แล้วเมื่อไปถึงแค่ครึ่งทางราคามันก็เริ่มวกกลับทางเดิม  เราจะคิดยังไง และสุดท้าย ถ้าเกิดเหตุการณ์อย่างที่ว่ามานี้ขึ้น เราจะทำอะไร ฝากเก็บไปคิดนะครับ

4. ระบบบอกแค่ว่าสึ่งหนึ่งมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นมากกว่าอีกสิ่งหนึ่ง
มัน ไม่ได้บอกว่าอะไรจะเกิด และอะไรจะไม่เกิด ถ้าพี่เคยคิดว่าเมื่อระบบบอกแบบนี้ มันจะต้องเป็นแบบนั้นแน่นอน ลง Lot หนัก หรือเทหมดหน้าตักได้ ผมว่ามันเสี่ยงมากเกินไปนะ
ครับ เพราะในตลาดอะไรก็เกิดขึ้นได้

5. ตลาดไม่เคยซ้ำกับในอดีต
ให้สนใจในปัจจุบันครับเป็นสำคัญครับ ตลาดมันแค่คล้ายกันกับในอดีต แต่มันไม่ซ้ำกับในอดีตแน่นอน

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/t577/?/

เล่น Forex ในไทยผิดกฏหมายหรือไม่???

หลายท่านอาจสงสัยว่าการเล่น Forex นั้นผิดกฎหมายหรือไม่ ถ้าไม่ผิดทำไมบ้านเราถึงยังไม่มี Broker ที่ไหนให้บริการ ในความเป็นจริงแล้วการลงทุนใน Forex นั้นรัฐบาลไทยอนุญาติให้กับสถาบันการเงินใหญ่ๆ เท่านั้น ด้วยเหตุผลที่ว่า Forex เป็นแหล่งการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง และใช้เงินลงทุนจำนวนมาก ประชาชนที่ไม่มีความรู้ที่เพียงพออาจเสียเงินทองจำนวนมากได้ และในอดีตมีข่าวทางด้านลบเกี่ยวกับบริษัทบางแห่ง เปิดให้บริการลูกค้าลงทุนใน Forex ในวงเงินที่สูง แต่กลับนำเงินไปรับความเสี่ยงเอง หรือทำตัวเป็นเจ้ามือเสียเอง ไม่ได้กินค่านายหน้าอย่างเดียว จนเมื่อลูกค้าทำกำไรได้มากๆ ก็ไม่สามารถจ่ายได้จนปิดบริษัทหนีไป ทำให้ Forex กลายเป็นสิ่งที่ไม่น่าลงทุน ไม่น่าเชื่อถือ ทำให้รัฐบาลออกกฎหมายเพื่อป้องกันสิ่งเหล่านี้ให้ห่างไกลจากประชาชน ซึ่งทำให้ประชาชนตาดำๆ อย่างเราถูกตัดโอกาสในการลงทุน ที่มหาเศรษฐีระดับโลกใช้เป็นเครื่องมือในการลงทุนชั้นเยี่ยมของเขา

ปัจจุบันการลงทุน Forex ของประชาชนทั่วไปยังถือว่าผิดกฎหมาย ทั้ง Broker ที่เปิดให้ลงทุนในประเทศไทย และผู้ลงทุนที่โอนเงินไปลงทุนกับ Broker ในต่างประเทศ โดยรัฐบาลกลัวว่าจะเป็นช่องทางที่จะนำเงินนอกระบบไปฟอกเงินนั่นเอง สำหรับท่านที่ลงทุนเล็กๆ น้อยๆ เพื่อเพิ่มทักษะทางการลงทุนคงไม่จำเป็นต้องใส่ใจในเรื่องนี้มาก หากแต่ท่านที่ลงทุนเงินเป็นจำนวนมาก คงต้องคิดถึงความเสี่ยงด้านนี้ด้วย เนื่องจากการนำเงินกลับเข้ามาในประเทศเป็นจำนวนมากทางธนาคาร อาจทำให้ ปปง. เพ่งเล็งท่านได้ ตอนนี้ทำอะไรก็ตามแต่ ต้องโปร่งใส และพิสูจน์ไม่ได้ครับ แล้วท่านจะห่างไกลจากการตรวจสอบของรัฐบาลไทย ที่ยังเกรงว่าประชาชนของพวกเขาจะโดนหลอก จึงปิดกั้น แทนที่จะให้ความรู้ (เพราะมันง่ายดี)

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.forexbuddytrader.com 

ที่มา : money7forex.blogspot.com

ค่าคอมมิสชัน ในการเทรด Forex

โบรคเกอร์ forex หลายโบรคเกอร์ ได้โฆษณาว่าฟรีค่าคอมมิสชัน (Commission) แต่จริงๆ แล้วมันเป็นยังไง?

อัน ที่จริงการเทรด forex นั้นต้องเสียค่าใช้จ่าย (จะเรียกว่าค่าคอมมิสชัน หรือไม่ก็ตาม) ถือว่าสูงมาก เมื่อเทียบกับการซื้อขายหุ้น หรือกองทุนในบ้านเราซึ่งมีค่าคอมมิสชันจะอยู่ที่ประมาณ 0.2% ของมูลค่าที่ทำการเทรด ดังนั้นการที่โบรคเกอร์ forex ส่วนใหญ่ ทำการตลาดโดยอ้างว่า ฟรีค่าคอมมิสชัน ที่จริงแล้วมันไม่จริงทั้งหมด และอาจทำให้เข้าใจผิดได้

ในตลาด forex นั้น คล้าย กับตลาดอื่น ๆ นั้นคือมีการตั้งซื้อ (Bid) และตั้งขาย (Ask) ราคาตั้งซื้อคือราคาที่เราสามารถขายได้ในขณะนั้น ส่วนราคาตั้งขายก็คือราคาที่เราสามารถซื้อได้ในขณะนั้น

ผลต่าง ระหว่างราคาตั้งซื้อ และตั้งขาย นั้นเรียกว่า Spread ยกตัวอย่าง EUR/USD ราคา Bid ที่1.4156 และ Ask ที่ 1.4159 ดังนั้นค่า Spread ของ EUR/USD จะเท่ากับ 0.0003 หรือ 3 PIPS ถ้าเราทำการเปิด Order ทำการซื้อขณะนั้น เราจะซื้อได้ที่ 1.4159 และ Transaction ของเราจะขึ้นเป็น -3 PIPS ทันที ถ้าเราปิดออร์เดอร์ขณะนั้นโดยอัตราแลกเปลี่ยนยังไม่เปลี่ยนแปลงเราจะขายได้ ที่ 1.4156 และขาดทุนทันที 0.0003 หรือ 3 PIPS จะเห็นได้ว่า ถ้ายิ่ง Spread กว้างมาก เราก็จะต้องจ่ายส่วนต่างนี้มากขึ้นไปด้วย ส่วนต่างตรงนี้เองที่ส่วนหนึ่งเป็นรายได้ของโบรคเกอร์ และเรา หรือผู้เทรดจำเป็นจะต้องจ่ายทุกครั้งที่เปิด Order ทำการเทรด

บางคน อาจจะเห็นว่า เสียแค่ 0.0003 จากราคาประมาณ 1.4 นั้นไม่เท่าไหร่เองหนิ ถ้าคิดเป็นเปอร์เซ็นก็แค่ประมาณ 0.03% เอง แต่อย่าลืมนะครับว่าการเทรด Forex นั้นมีระบบ Leverage ถ้า Leverage ที่ 1:100 นั้นก็เสมือนว่าเราส่งคำสั่งซื้อด้วยเงินทุน 100 เท่าจากเงินทุนจริงของเรา ดังนั้นถ้าเทียบกับเงินทุนจริงของเรา มันจะไม่ใช่ 0.03% แต่มันจะเป็น 3% นั้นเอง หรือถ้าเทรดในระบบLeverage 1:500 จำนวนเงินตรงนี้ก็จะยิ่งสูงขึ้นไปอีกเป็น 15% ของเงินทุนจริงของเรา ที่นี้จะเห็นเลยใช่ไหม๊ครับ ว่ามันแพงหูฉี่เลยทีเดียว

โบรคเกอร์แต่ ละที่จะมีค่า Spread ที่แตกต่างกันไป รวมไปถึง คู่อัตราแลกเปลียน แต่ละคู่ก็อาจมี Spread ที่แตกต่างกันด้วย หรือแม้กระทั้งคู่สกุลเงินคู่เดียวกัน แต่คนละช่วงเวลา บางโบรคเกอร์ค่า Spread ก็สามารถขึ้นลง และไม่ Fix ด้วยเช่นกัน ดังนั้นก่อนเปิดใช้บริการของโบรคเกอร์ ควรตรวจสอบค่า Spread ของโบรคเกอร์นั้นๆ ให้ดีก่อนนะครับ รวมไปถึงระบบ Spread ของโบรคเกอร์นั้น ๆ ว่าเป็นแบบ Fix คงที่ หรือเปลี่ยนแปลงได้ ในกรณีที่ใช้บริการของโบรคเกอร์ที่ไม่ Fix ค่า Spread ก่อนทำการเทรดทุกครั้ง ต้องตรวจสอบค่า Spread ในขณะนั้นก่อนส่งคำสั่ง ซื้อ ขาย ถ้ารีบร้อนเกิน กลัวไม่ได้ราคาที่เลงไว้ โดยไม่ได้ตรวจสอบ Spread ให้ดี เข้าเทรดไปแล้วอาจจะตกใจภายหลังได้ครับ

จะเห็นได้ว่าการเลือกโบ รคเกอร์ ค่า Spread ก็เป็นจุดสำคัญจุดหนึ่งที่สามารถลดค่าใช้จ่ายของเราได้ ถึงแม่มันจะน้อยเมื่อเทียบ กับราคาที่วิ่งขึ้น วิ่งลง ของอัตราแลกเปลี่ยน แต่ถ้าเราประหยัดตรงนี้ได้ แค่ 1-2% ต่อการเทรดแต่ละครั้ง แต่รวมๆ หลายๆ ครั้งก็ไม่ใช่จำนวนเงินน้อย ๆ เลยนะครับ

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/forex-196/?/

เรียนรู้ Forex Trading: ตัวเลือกที่แตกต่างกัน

Forex trading, อาจได้ยินผู้คนมากมายของมันอยู่แล้ว, แต่ไม่ใช่ทั้งหมดรู้ว่ามันคืออะไรทั้งหมดเกี่ยวกับ. หนึ่งมักอาจคิดว่า มันเป็นสำหรับ ‘big’ ที่, บิ๊กธุรกิจและองค์กร. แต่นั่นคือไม่ดังนั้น, อันที่จริง, มีบุคคลทั่วไปที่จะเข้าซื้อขาย forex มากมาย.

ต่าง ประเทศหรือประชาชาติมีสกุลเงินอื่น. แต่สกุลเงินทั้งหมดไม่มีการซื้อขายในตลาด FX. มีสกุลเงินหลักเจ็ดที่ซื้อขายในตลาด. Forex ค้าคือ การซื้อ และขายของสกุลเงินในการจับคู่. นอกจากนี้คุณอาจจะสามารถทำการค้าขาย โดยไม่มีคู่สกุลเงิน. ตัวอย่างการทั่วไปคือ ดอลลาร์สหรัฐ/ญี่ปุ่นเยน. พื้นฐานการค้า forex เป็นสกุลเงินในราคาที่ต่ำกว่าซื้อ และขายที่ราคาสูงขึ้นมาก. แต่บางครั้ง, มีความรู้นี้มีไม่เพียงพอ. Forex เทรดมากสิ่งที่แตกต่างกันที่แต่ละบุคคลทั้งหมดที่ไม่มีความรู้ที่เหมาะสมบน ที่เกี่ยวข้องกับ.

ใช้เวลาการค้า Forex วางยี่สิบสี่ชั่วโมงต่อวัน, ดังนั้นแม้เมื่อคุณกำลังหลับ, การค้าขายกันอยู่. FX ตลาดคือ ตลาดทางการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลกทั้งหมดทีเดียว. นั่นคือเหตุผลที่องค์กรมากมาย และแต่ละบุคคลจะดึงดูดการทำการค้าขาย.

ก่อน ที่จะ, speculators ขนาดใหญ่, ธนาคารและสกุลเงิน traders ครอบงำตลาด FX, แต่ที่ไม่เป็นจริงวันเหล่านี้. ขณะนี้มีโบรกเกอร์ที่สามารถช่วยบุคคลและบริษัทขนาดเล็ก โดยการแบ่งหน่วยเข้าบัญชีทันที.

ถ้าคุณสนใจ forex trading, คุณสามารถทำได้เพียงอย่างเดียว, แต่ความพยายามที่เข้าร่วมประชุม forex ชั้นแรก, หรือปฏิบัติเป็นการ apprentice. ตลาด forex เป็นแบบเปลี่ยนแปลงได้, traders ใหม่อาจหาได้ยากเนื่องจากของความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับ.

ตัวเลือก สองล่าสุดจะดีขึ้นมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณยังใหม่ในตลาด FX. ด้วยวิธีนี้, คุณจะได้ประโยชน์มากจากการมีผู้สอน well-experienced. คุณจะมีเวลาจริงพบซึ่งคุณสามารถใช้ในภายหลังเมื่อคุณทำการค้าของคุณ.

คุณ จำเป็นต้องเข้าใจกระบวนการของ forex ซื้อขายครั้งแรก. โปรดจำไว้ว่า ตลาด FX ไม่มีขอบเขตหรืออุปสรรค. ดังนั้นก่อนที่จะกระโดดเข้าไปในตลาด, คุณจำเป็นต้องทราบจุดด้านขวา.

Charting และแม็ปยังมีประเด็นที่สำคัญในการค้าขาย forex. ซอฟต์แวร์การทำแผนภูมิจะพร้อมใช้งาน, คุณสามารถป้องกันอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อให้คุณสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับมัน; ตลอดจนเรียนรู้วิธีการใช้อย่างถูกต้องแมป. เจอแบบนี้, คุณสามารถดูวิธีย้ายตลาด. และคุณสามารถเดี๋ยวนี้ดีตัดสินใจว่าจะซื้อ หรือขายสกุลเงิน, และหากำไรในกลับ.

อีกสิ่งที่สำคัญในการเรียนรู้ เป็นเทรดจิตวิทยา. คุณควรทราบวิธีการจัดการกับการขาดทุนทั้งหมดของคุณอย่างถูกต้อง, แน่นอนคุณไม่คาดหวังให้ได้ตลอดเวลา. ถ้าเป็นระยะสั้น คุณได้ทำการขาดทุนมากมาย, บางทีเวลาหยุดเพียงสำหรับบาง. ไม่ต้องถูกเก็บในการทำการค้าขาย, มิฉะนั้น คุณอาจต้องชำระขาดทุนมากมาย.

Starters ใหม่ใครได้ทันทีได้กำไรมากมายอาจคิดว่า พวกเขารู้มากจนเกินไป. แต่มันช่วยให้คุณทราบว่าไม่เหมือนกันทั้งหมด throughout. กำไรดี oftentimes กระตุ้นคนเพิ่มเติมในการซื้อขายมาก, โดยไม่คิดของความเสี่ยง. วินัยคือ คุณลักษณะหนึ่งที่คุณควรฝึก และเรียนรู้.

Starters, ใครไปถึงเทรดในตนเอง, โดยไม่ต้องการความช่วยเหลือใด ๆ, อาจไม่ประสบความสำเร็จในทางการค้าแบบนี้, ไม่ยกเว้นที่เขาหรือเธอเป็น ‘นิ '. แม้ว่าพวกเขาอาจสนุกสนานกับยอดกำไร, เวลาจะมาเมื่อไม่ได้ทันกับการค้าขายโดยไม่มีความรู้ซื้อขาย forex และด้านเทคนิคของ.

เป็นการพาณิช, คุณคนเดียวสามารถตัดสินใจเลือกที่จะดีที่สุดสำหรับคุณ. เรียนรู้การซื้อขาย forex ต้องอุทิศตน, ถ้าคุณสามารถดึงมันปิดบนของคุณเอง, ดีสำหรับคุณ. แต่ ถ้าคุณคิดว่า คุณต้องการให้ความช่วยเหลือเล็กน้อย, คุณมีอิสระที่จะเลือกจากหลายเทรดคลาสที่ได้รับการเสนอ; หรือคุณสามารถเป็นของนายหน้าซื้อขายแบบ apprentice. อย่างไรก็ตาม เลือกของคุณ, คุณสามารถเรียนรู้มากเกี่ยวกับ forex trading. และประสบการณ์การเรียนรู้ของคุณทั้งหมดสามารถเป็นความสำคัญเมื่อคุณทำการค้า ที่แท้จริงของคุณ.

ไม่มีไม่มีทดแทนเพื่อการเรียนรู้ที่เหมาะสม. ซึ่งให้จุดจับดีเกี่ยวกับการค้าขาย, และคุณสามารถมั่นใจได้ว่า คุณกำลังตัดสินใจที่ดี. สิ่งเหล่านี้จะแสดงให้เห็นถึงมากจากกำไรที่คุณกำลังจะเข้า.

ระบบ Financial Leverage ในตลาด Forex

Financial Leverage (FL) แปลตรงตัว คือ การงัดเพื่อให้เกิดแรงมากขึ้นทางการเงิน ในการลงทุนในตลาด Forex ก็คือการที่เรายืมเงินทุนจากโบรคเกอร์ไปลงทุน เพื่อก่อให้เกิดกำไรเพิ่มมากขึ้น โดยปกติค่า Leverage นั้นจะกำหนดโดยโบรคเกอร์ และระบุเป็นสัดส่วนซึ่งก็คือสัดส่วน การลงทุนโดยใช้ทุนของเรา เทียบกับการลงทุนจริงในตลาดโดยยืมทุนจากโบรคเกอร์ ฟังแล้วก็อาจจะงง ๆ มาดูตัวอย่างกันดีกว่าครับ ตัวอย่างแรกกรณีซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์บ้านเราธรรมดา Leverage คือ 1:1 นั้นคือ เราเอาเงินทุนของเราล้วนๆ ไปซื้อหุ้นจริงๆ ธรรมดา หุ้นมีมูลค่าเท่าไหร่ ก็จ่ายจริง ซื้อจริงตามนั้น กำไร หรือขาดทุน ก็คิดจากผลต่างราคาซื้อ กับราคาขาย ตรง ๆ ธรรมดา

ตัวอย่างที่ 2 ลงทุนในตลาด Forex กับโบรคเกอร์ที่ให้อัตราส่วน Leverage 1:100 (แต่ละโบรคเกอร์อาจให้สัดส่วน Leverage ที่แตกต่างกันไป) นั้นหมายความว่า เราใช้เงินทุนของเราเพียงแค่ 1 หน่วย แต่ทำการสั่งซื้อขายในตลาด 100 หน่วย โดยกำไร หรือขาดทุนที่ได้ นั้นก็คิดจาก 100 หน่วยนั้นที่เรายืมโบรคเกอร์ไปลงทุน เช่น เราใช้เงินทุนของเรา 1 USD ซื้อ THB ในขณะที่อัตราแลกเปลี่ยน 34.00 บาท ต่อ 1 ดอลลาห์ี่ Leverage 1:100 จะเปรียบเสมือนเราส่งคำสั่งซื้อ THB เข้าไปในตลาดด้วยจำนวนเงิน 100 USD ซึ่งจะทำให้เราได้ THB 3400 บาท เมื่ออัตราแลกเปลี่ยน USD/THB เปลี่ยนแปลงโดยเงิน THB แข็งค่าขึ้นจาก 34.00 บาท เป็น 33.80 บาท และเราสั่งปิดออร์เดอร์ ที่ 33.80 บาท ต่อ 1 ดอลลาห์ เมื่อแปลงกลับที่อัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบันในขณะนั้น เราจะได้ USD กลับมา 3400/33.8 = 100.59 USD ในส่วน 100 USD ที่เรายืมโบรคเกอร์มา ก็ต้องคืนไป ส่วนกำไรของเราคือผลต่างที่ได้จากการเทรดรอบนี้ซึ่งก็คือ 100.59-100 = 0.59$ จะเห็นเลยใช่ไหม๊ครับ ว่าแค่เงินบาทแข็งขึ้น 20 สตางค์ เราได้กำไรถึง 0.59 USD จากการลงทุนเพียงแค่ 1 USD ซึ่งนั้นก็คือกำไร 59% เลยทีเดียว!!

ใน ทางกลับกัน ถ้าเงินบาทอ่อนลงมาที่ 34.40 บาท เมื่อแปลงกลับมาเป็น USD จะเหลือ USD มูลค่าในตลาดเพียง 3400/34.40 = 98.84 USD หรือติดลบ 98.84-100 = -1.16 USD ซึ่ง จำนวนเงินตรงนี้ โบรคเกอร์จะหักเงินในพอร์ตของเราจากส่วนที่ว่าง และไม่ได้ใช้เทรด (Available Margin) ตรงนี้จะเห็นได้ว่าการเทรดแบบระบบ Leverage นั้น เราจะสั่งซื้อขาย โดยใช้เงินทั้งหมดในพอร์ตไม่ได้ เราต้องเหลือเงินจำนวนหนึ่งไว้เพื่อเป็น Margin ให้กับทางโบรคเกอร์ ถ้าเราเปิดออร์เดอร์อยู่ แล้วเกิดการขาดทุนจน Available Margin เป็น 0 ระบบจะปิดออเดอร์อัตโนมัติทันที และเราต้องจ่ายส่วนที่ขาดทุนทั้งหมดจาก Available Margin ทั้งหมด เพื่อคืนเงินที่เรายืมมาจากโบรคเกอร์ให้ครบ

สัด ส่วน Leverage ของแต่ละโบรคเกอร์นั้น จะแตกต่างกันไป ตั้งแต่ 1:100 ไปจนถึง 1:500 บางโบรคเกอร์เราสามารถกำหนด Leverage ได้เอง บางโบรคเกอร์ก็ตั้งไว้ตายตัว ดังนั้นก่อนจะสมัครเปิดพอร์ต Forex กับโบรกเกอร์ได้ก็ตาม ควรตรวจสอบ Leverage ของโบรคเกอร์นั้น ๆ ให้ดี และเลือกให้เหมาะสมกับการเล่นของตัวเองครับ

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/financial-leverage-forex/?/

เราจะทำเงินด้วยการเทรด Forex ได้อย่างไร

คุณจะทำเงินด้วยการเทรด Forex ได้อย่างไร

  
          ใน ตลาดฟอเร็กซ์ คุณจะซื้อหรือขายสกุลเงินนั้นเป็นเรื่องที่ง่าย เครื่องมือของการเทรดคล้ายๆกันซึ่งหาได้จากตลาดอื่นๆ เช่นตลาดหุ้น ดังนั้นเมื่อคุณมีประสบการณ์ในการเทรด คุณน่าจะมีความสามารถที่จะทำกำไรได้เร็วขึ้น

  
          วัตถุ ประสงค์ของการเทรดฟอเร็กซ์คือ การแลกเปลี่ยนสกุลหนึ่งเพื่อให้ได้อีกสกุลเงินหนึ่งและคาดหวังว่าราคาจะ เปลี่ยนแปลง นั้นหมายความว่า สกุลเงินที่คุณได้ซื้อจะต้องมีค่าเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับสกุลเงิน หนึ่งที่คุณขาย



ตัวอย่างของการทำเงินจากการซื้อสกุลเงินยูโร (euros)

          อัตรา แลกเปลี่ยนอัตราส่วนง่ายของสกุลเงินหนึ่งเทียบเงินสกุลเงินอื่นๆ ตัวอย่างเช่น อัตราแลกเปลี่ยนของ USD/CHF บ่งชี้ว่า กี่ดอลล่าร์สหรัฐ จึงจะซื้อ 1 Swiss francs ได้ หรือ กี่ ฟรังส์สวิส จึงจะซื้อ หนึ่งดอลล่าร์ ได้

     
คุณจะอ่านราคา Forex ได้อย่างไร

          สกุล เงินแสดงราคาเป็นคู่เสมอ เช่น GBP/USD หรือ USD/JPY เหตุผลที่แสดงราคาเป็นคู่ๆ ก็เพราะว่าในทุกๆรายการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศคุณต้องซื้อสุกลเงิน หนึ่งและขายอีกสกุลหนึ่งๆ ในเวลาเดียวกัน นี่คือตัวอย่างของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศของ ค่าเงินปอนด์(GBP) เทียบกับค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐ(USD)

GBP/USD=1.7500

          สกุล เงินตัวแรกที่อยู่ด้านซ้ายมือของเครื่องหมาย สแลซ (Slash /) จะเรียกว่า Base Currency สกุลเงินหลัก ในตัวอย่างนี้ก็คือค่าเงินปอนด์ (GBP)  ขณะที่อีกหนึ่งตัวที่อยู่ด้านขวาของสแลซ ถูกเรียกว่า Counter หรือ quot currency ในตัวอย่างนี้ก็คือ ค่าเงินดอลล่าสหรัฐ(USD)

          เมื่อ คุณทำการซื้อ อัตราแลกเปลี่ยนจะบอกคุณว่า คุณจะต้องจ่ายกี่หน่วยของ quote currency เพื่อที่จะซื้อ Base currency ต่อหนึ่งหน่วย จากตัวอย่างด้านบน คุณต้องจ่าย 1.7500 ดอลล่าร์เพื่อที่จะซื้อ 1 ปอนด์
เมื่อคุณทำการขาย อัตราแลกเปลี่ยนก็จะบอกคุณว่า คุณจะจ่ายกี่หน่วยของ Quote currency เพื่อทำการขาย Base currency ต่อหนึ่งหน่วย จากตัวอย่างด้านบน คุณจะได้รับ 1.7500 U.S ดอลล่าร์ เมื่อคุณขาย 1 ปอนด์

          ค่าเงินหลัก ตัวหน้า (Base currency) คือ (basis) ส่วนสำคัญ สำหรับการซื้อ หรือ ขาย ถ้าคุณซื้อ EUR/USD ความหมายง่ายๆก็คือคุณกำลังซื้อ base curency และกำลังขาย quote currency ในเวลาเดียวกัน
คุณจะซื้อคู่เงินที่คุณเชื่อ ว่า Base Currency จะมีอัตราราคาเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับ quote currency และคุณจะเซลคู่ที่คุณคิดว่า base currency นั้นมีอัตราของราคาลดลงเมื่อเทียบกับ quote currency

Long/Shot

          ก่อนอื่น คุณต้องรู้ว่า คุณต้องการซื้อ(Buy) หรือ ว่าขาย(Sell)
          ถ้า คุณต้องการที่จะซื้อ คุณต้องการให้ Base Currency มีค่ามากขึ้นแล้วคุณจะขายมันที่ราคาสูงกว่า แบบนี้เรียกว่า “going long “ หรือเรียกว่า Long position และจำไว้ว่า Long =Buy
ถ้าคุณต้องการที่จะ ขาย (Sell) คุณต้องการให้ราคา Base Currency ลดลง แล้วคุณจะซื้อ Buy มันกลับที่ราคาต่ำกว่าเดิม แบบนี้เรียกว่า Going Short หรือ เรียกว่า Short position  และจำไว้ว่า Short=Sell

Bid/Ask  Spread
          ในตารางแสดงราคาฟอเร็กจะประกอบด้วย Bid และ Ask ราคา Bid จะต่ำกว่าราคา Ask เสมอ
          Bid คือราคาที่ Dealer กำลังจะซื้อ Base Currency ในการแลกเปลี่ยนสำหรับ Quote Currency แบบนี้หมายความว่า  Bid ก็คือราคาที่คุณจะขาย (sell)
Ask คือราคาที่ Dealer กำลังจะขาย Base Currency ในการแลกเปลี่ยนเพื่อให้ได้ Quote Currency แบบนี้หมายความว่า Ask คือราคาที่คุณจะซื้อ (Buy)
          ส่วนต่างระหว่าง ราคา Bid และ Ask ส่วนใหญ่จะรู้จักกันดี หรือที่เรียกว่า Spread

มาดูตัวอย่างของตารางแสดงราคา

  Spead bid-ask
          นี่ คือ ตารางแสดงราคาของคู่เงิน GBP/USD ราคาบิดคือ 1.7445 และราคา ask คือ 1.7449  ถ้าคุณต้องการที่จะ Sell  GBP คุณก็กด Sell แล้วคุณก็เซลเงินปอนด์ที่ราคา 1.7445 ถ้าคุณต้องการที่จะ Buy GBP  คุณ Click Buyแล้วคุณก็ได้บายเงินปอนด์ในราคา 1.7449  จากตัวอย่างนี้ คุณจะต้องวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจว่าจะ บาย หรือจะ เซล คู่เงินนั้นๆ ถ้าคุณรู้สึกเบื่อกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานให้คุณผ่านขึ้นตอนนี้ไปได้ เลย

EUR/USD

          ในตัวอย่างนี้ EURO เป็น Base Currency และเป็นรากฐานที่สำคัญสำหรับการ Buy/Sell
ถ้า คุณเชื่อว่าเศรษฐกิจของสหรัฐจะอ่อนค่ามากๆ ซึ่งเป็นข่าวร้ายสำหรับ US ดอลล่าร์  คุณก็ดำเนินการ Buy EUR/USD ได้ ในระหว่างคุณซื้อยูโรไปแล้วในความคาดหมายของคุณ Euro จะต้องเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับ US ดอลล่า
          แต่ถ้าคุณเชื่อว่าเศรษฐกิจของสหรัฐดี มากๆ และยูโรอ่อนค่ามากๆเมื่อเทียบกับ ดอลล่าสหรัฐ จะดำเนินการ Sell EUR/USD ได้เลย ในระหว่างที่คุณ Sell ตามการคาดการณ์ว่า พวกเราจะต้องร่วง เมื่อเทียบกับ US ดอลล่าร์

USD/JPY
          ในตัวอย่างนี้ ค่าเงินดอลล่าสหรัฐ (USD) เป็น Base Currency และ ดังนั้น จึงเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการ Buy/Sell
          ถ้า คุณเชื่อว่า นักลงทุนญี่ปุ่่นกำลังดึงเงินออกจากสถาบันการเงินของสหรัฐ และเปลี่ยนจาก US ดอลล่าร์เป็นค่าเงิน เยน ของพวกเราแล้ว นี่คือ สิ่งที่เลวร้ายของ US ดอลล่า คุณดำเนินการ Sell USD/JPY ได้ทันที โดยการกระทำการ Sell  US ดอลล่าร์ของคุณโดยการคาดการณ์ที่ว่า พวกเราจะต้องร่วงเมื่อเทียบกับค่าเงินเยนของญี่ปุ่น

GBP/USD

          ในตัวอย่างนี้ GBP เป็น Base Currency แล้วมีความสำคัญต่อการ Buy/Sell
          ถ้า คุณคิดว่าเศรษฐกิจของอังกฤษโตกว่าเศรษฐกิจสหรัฐ คุณก็ดำเนินการเปิดออเดอร์ Buy  ได้ การ Buy ปอนด์ โดยการคาดการณ์ที่ว่า พวกเขาต้องมีค่าเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับดอลล่าสหรัฐ

USD/CHF
          ในตัวอย่างนี้ USD เป็น Base Currency ดังนั้นจึงมีความสำคัญในการ Buy/Sell
          ถ้า คุณเชื่อว่า ฟรังค์สวิส มีค่ามากเกินไป ให้คุณเปิดออเดอร์ Buy ได้ โดยการกระทำการ Buy Us ดอลล่าร์ของคุณหวังว่าพวกเราจะเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเมื่อเทียบกับฟรังค์ สวิส  แต่ถ้าคุณเชื่อว่า ตลาดบ้าน สหรัฐ เกิดภาวะฟองสบู่แตกซึ่งเป็นสิงเลวร้ายสำหรับการเจริญเติบโตของเศรญฐกิจสหรัฐ ทำให้ค่าเงินดอลล่าอ่อนตัว  คุณสามารถดำเนินการเปิดออเดอร์ Sell USD/CHF ได้เลย และคาดการณ์ว่าพวกเราจะต้องร่วงเมื่อเทียบกับค่าเงิน Swiss franc

Demo Account (บัญชีเงินปลอม)

          คุณ สามารถเปิดบัญชีเงินปลอมได้ฟรีได้ทุกๆโบรกเกอร์ บัญชีนี้มีการบรรจุของบัญชีจริงอยู่ด้วย ทำไมถึงฟรี ก็เพราะว่า ทางโบรกเกอร์ต้องการให้คุณเรียนรู้ จากภายในและภายนอกของโปรแกรมการเทรดของ พวกเขาและถ้าเป็นเวลาอันดีและไม่มีความเสี่ยง และเมื่อคุณตกหลุมรักกับโปรแกรมเทรดและระบบของเขา คุณก็ลงทุนด้วยเงินจริง บัญชีเงินปลอมนี้สามารถทำให้คุณเรียนรู้เกี่ยวกับตลาด Forex และสามารถทดสอบความสามารถและทักษะในการเทรดของคุณโดยไม่มีความเสี่ยง

“คุณควรที่จะเทรดบัญชีเงินปลอมก่อนอย่างน้อยหกเดือนก่อนที่คุณคิดอย่างระเอียดรอบคอบว่าจะใส่เงินจริงของคุณลงไป”


ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/forex-563/?/

12 เรื่อง ที่ต้องรู้ในการเทรด

บทความนี้ ไม่ไใช่เคล็ดลับที่จะช่วย หรือทำให้คุณมีแรงบันดาลใจ แต่เป็น ความจริง เป็นเรื่องที่ใครก็ไม่อยากพูดถึง
เราต้องเรียนรู้ ทั้ง 12 เรื่อง ต่อไปนี้ แล้วจะทำให้คุณ เข้าใกล้ความสำเร็จ มากขึ้น


ทิป 12 เรื่อง ที่ต้องรู้ในการเทรด

1. เรียนรู้พื้นฐาน

เป็น เรื่องที่ต้องพูดถึง พูดถึงนักเทรดหน้าใหม่ มือใหม่ส่วนมากจะมองข้ามการเข้าใจพื้นฐานไป แล้วกระโดดเข้าไปสู่ สงครามอย่างเต็มรูปแบบ แน่นอน มันส่งผลร้ายแรงกับพวกเขา

ถ้าคุณยังเป็นมือใหม่ คุณต้องเรียนรู้พื้นฐานการเทรด !


2. คุณจะไม่รวยเร็ว แต่ประสบการณ์จะทำให้คุณรวย
หาก คุณเข้ามาเทรดเพราะอยากจะรวยเร็ว คุณคือนักเดินทางที่ไม่มีเข็มทิศ อย่ามัวแต่ไร้เดียงสา การเทรดเป็นเรื่อง ของประสบการณ์ ยิ่งคุณมีประสบการณ์มากเท่าไหร่ คุณก็จะเทรดได้ดียิ่งขึ้น มักมีการถามบ่อย ๆ เช่น คุณทำกำไร 90 จุด ได้ยังไง ผมทำได้แค่ 70 จุด ทั้ง ๆ ที่เทรดเหมือนกัน ? มันเป็นเพราะประสบการณ์ หากเราเทรดมา 5 ปี เป็น นักเทรดที่มีประสิทธิภาพ เราย่อมจะเห็นสิ่งที่มือใหม่ไม่เห็น เพราะใช้ประสบการณ์ เส้นทางของการเป็นเทรดเดอร์ เป็นเส้นทาง ที่ยาว ดังนั้นเราต้องเตรียมตัวไว้ 1 – 3 ปี กว่าที่เราจะได้กำไรอย่างต่อเนื่อง

จำไว้เสมอว่า Forex ก็เป็นอาชีพหนึ่ง ไม่ใช่หนทางลัดไปสู่การรวยเร็ว


3. ผู้เชี่ยวชาญผู้หลอกลวง

การ ฟังความคิดเห็นของ ผู้เชี่ยวชาญ ต่าง ๆ นั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่ปัญหาคือ ตลาดเงิน เป็นที่ที่มือใหม่ทุกคน ชอบคิดว่า ตัวเองนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญ และ คนอื่น ๆ อีกมากมาย ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีอายุตั้งแต่ 30 – 60 ปีนั้น ไม่ว่าจะเป็น ผู้ชาย หรือผู้หญิง ที่ชอบใส่สูท จะบอกว่า ตัวเองเป็นนักเทรดมืออาชีพ และขอให้คุณซื้อหนังสือของพวกเขา คนเหล่านี้ ส่วนใหญ่ ล้วนแต่เป็นเทรดเดอร์ที่ล้มเหลว ซึ่งจะทำเงินจาก การสอนผู้อื่นเทรดว่า ทำไมถึงขาดทุน

พวกที่อ้างตัวว่าเป็นมืออาชีพ มักจะเป็น ดังนี้ :
1. ชอบให้ข้อมูลเก่า ๆ ซ้ำ ๆ แล้วก็ไม่เวิร์ค
2. พวกเขามักจะบอกว่าพวกเขาเป็นนักเทรดมืออาชีพที่รวยและพยายามขายหนังสือให้กับคุณ
3. พวกเขาจะบอกถึงสิ่งที่เขาทำได้ เช่น เขาทำเงิน 1 พันเหรียญ ให้กลายเป็น 1 ล้านเหรียญภายใน 1 สัปดาห์ หรืออะไรประมาณนี้
4. พยายามพิสูจน์ว่าพวกเขาเป็นนักเทรดที่ได้กำไร โดยการโพสต์ภาพที่แต่งขึ้นโดย photoshop
5. ชอบใช้คณิตศาสตร์เพื่อให้ตัวเองดูว่าเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จ มากกว่าที่เขาเป็นอยู่จริง ตัวอย่างเช่น พูดถึงแต่ออร์เดอร์ที่กำไรหลายครั้ง แต่ไม่ค่อยจะยอมพูดถึงออร์เดอร์ที่ขาดทุน

ดังนั้น ผู้เชี่ยวชาญ หรือมืออาชีพนั้นเป็นเรื่องตลก
ระวังอย่าไปหลงเชื่อสิ่งที่พวกเขาพูด


4. วิเคราะห์ด้วยตัวคุณเอง

ต่อ เนื่องจากข้อ 3 การที่เดินตาม คนอื่น จะทำให้คุณเป็น แกะตาบอด เป้าหมายของคุณ คือการเป็นนักเทรด ที่ ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่ตามใคร ซักคน อย่างไม่ลืมหูลืมตา ปล่อยให้เขาจูงจมูก ไม่ว่าจะไปทางไหน ในฐานะ นักเทรด คุณจำเป็นต้องมีวิธีการ ขั้นตอนในการวิเคราะห์ตลาด และสามารถทำการวิเคราะห์ด้วยตัวเอง ซึ่งจะทำให้ คุณเข้าใกล้ ความเป็นมืออาชีพมากยิ่งขึ้น

การวิเคราะห์ด้วยตัวเอง จะทำให้ :
1. ทำให้คุณ เป็นคนมีความมั่นใจในตัวเอง
2. ได้เรียนรู้ในการเทรด

ถ้า คุณตามคนที่บอกว่าเขาเป็นมืออาชีพ อย่างไม่ลืมหูลืมตา คุณก็ไม่ต่างอะไรกับตัวเลมมิ่ง คุณจะทำกำไรได้อย่างไร ถ้าวันนึงมืออาชีพเหล่านั้น ไม่ให้เคล็ดลับ หรือเคล็ดลับของเขามันใช้ไม่ได้อีกต่อไป

คุณจะเข้าใจหรือไม่ว่า พวกเขา มาบอกคุณทำไม ?
ทำไมตอนนี้พวกเขาไม่มาบอกคุณอีกแล้ว ?


5. ตำนาน เดโม
หาก คุณอยากจะเป็นนักมวยอาชีพ คุณต้องออกไปซื้อ เกมส์ต่อยมวย เอามาเล่นบนเครื่อง Play 3 แล้วก็มาฝึกมวย อ่านแล้วรู้สึกยังไงบ้าง ? มันก็เหมือนกับการเทรดเดโม แล้วคุณหวังว่า จะกลายเป็นนักเทรดมืออาชีพได้

การเทรดเดโม 3 เดือน ไม่เหมาะด้วยเหตุผลสองประการ :
1. เดโม ทำให้มือใหม่มั่นใจแบบผิด ๆ และทำให้พวกเขาติดนิสัยการเทรดที่ไม่ดี
2. บัญชีเดโม เรามักจะเทรดได้ดีกว่าบัญชีเงินจริงเสมอ เพราะมีออพชั่นที่ดีกว่า เช่น ส่งออร์เดอร์ได้ไวกว่า เร็วกว่า และปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมาย

วิธีแก้ คือ
ใช้ เดโมในการเรียนรู้พื้นฐานเกี่ยวกับวิธีการเทรด เมื่อคุณพร้อมที่จะเทรด คุณควรเทรดด้วยเงินจริงเท่านั้น ซึ่ง ทุกวันนี้ คุณสามารถเปิดบัญชีด้วยเงินเพียง 10 เหรียญ แล้วทำไมจึงไม่เทรดเงินจริงกัน

ถ้าหากยังไม่มีความสามารถหาเงิน 10 เหรียญมาเทรดได้
ก็ไม่ต้องมาเทรดเลยดีกว่า ....


6. พยายามแก้ปัญหาการขาดทุนติดกันให้ได้

นี่ เป็นข้อที่สาคัญที่สุดที่ควรใส่ใจในการเทรด ถ้าไม่มีกฏข้อนี้บอกได้เลยว่า คงไม่ได้เป็นเทรดเดอร์ ที่ประสบความ สาเร็จ ถ้าคุณเสียติดกัน สามครั้งติด ๆ กัน ให้อยู่ห่าง ๆ จากกราฟ หยุดไปซักพัก แล้วกลับมา พร้อมสมอง ที่ว่างเปล่า การเทรดเสียติด ๆ กัน เป็นสิ่งอันตรายมาก และสามารถนำเราไปสู่การเสียครั้งใหญ่ได้




แค่นี้คงอธิบายได้ชัดพอ ไม่ต้องย้ำอะไรมาก


7. การตามคนอื่น
เคย ได้ยินไหมว่า ? นักเทรดส่วนใหญ่ของมือใหม่ 90 % ล้มเหลวกันทั้งนั้น อย่างไรก็ตาม มันก็จริง ที่บอกว่า นักเทรด มือใหม่่ส่วนใหญ่ ที่เข้ามาในตลาด ต่างก็ล้มเหลว

ความ ลับ ก็คือ การคิดต่างออกจากปากคนส่วนใหญ่ และเทรดด้วยตัวเอง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ให้คุณอยู่ห่าง ๆ จากบอร์ดต่าง ๆ แต่หมายถึง คุณควรทำาทุกอย่างด้วยตัวเอง หาความรู้ประสบการณ์ ในการที่จะเป็นอิสระ จาก การตามความคิดของผู้อื่น

ลองคิดเรื่องพวกนี้ดู :
1. นักเทรดส่วนใหญ่ที่เป็นมือใหม่ ล้วนแต่ล้มเหลว
2. ถ้าเราตามคนส่วนใหญ่ เราก็จะเป็นส่วนหนึ่งของคนส่วนใหญ่
3. ถ้าเราเป็นส่วนหนึ่งของคนส่วนใหญ่ เราก็จะล้มเหลว

การที่จะเป็นอิสระ ต้องไม่เป็นผู้ตาม


8. ยึดมั่นในวิธีการของตัวเอง
วิธี การเทรดไม่ว่าวิธีใดก็ตาม ย่อมมีขึ้นมีลง ไม่มีระบบเทรด วิธีการใด หรือการเทรดแบบไหน ที่จะได้กำไร 100 % ตลอดไป วิธีการ เช่น มีโอกาสกำไรเฉลี่ย เท่ากับ 80 % บางช่วงของปี ควรจะได้กาไร 60 % หรือบางทีในช่วงอื่น ๆ ของปีก็ได้กาไร 100 % ซักหนึ่งหรือสองเดือน ควรรู้ว่าแต่ละปี จะต้องเจอช่วงที่แย่ และต้องเสียมากกว่าที่เคยเสีย เราจะต้องไม่สูญสิ้นศรัทธา และยังเทรดมันต่อไป

แต่ปัญหาของมือใหม่ คือ จะยอมแพ้ หลังจากเพียงแค่ สัปดาห์แรกเท่านั้น
อย่าทิ้งระบบของคุณเมื่อเวลาแย่ ๆ มาถึง


9. พยายามทำให้มันธรรมดาที่สุด นี่เป็นเรื่องง่าย และ ธรรมดา !
การ เทรดไม่จำเป็นต้องยุ่งยาก หรือซับซ้อน ตัวอย่างวิธีการเทรด ค่อนข้างธรรมดาและมีประสิทธิภาพ ใช้เวลา 2 -5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ในการเทรด โดยส่วนใหญ่จะใช้ชีวิตตามปกติ วิธีการเทรดไม่ต้องซับซ้อน และยากต่อการทำ ความเข้าใจ
ทำให้มันง่าย ซึ่งจะทำให้คุณ:
1. ใช้ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
2. ไม่ต้องเฝ้ามาก
3. ทำให้เรียนรู้ได้เร็วยิ่งขึ้น

ถ้าคุณจำอะไรเกี่ยวกับบทความนี้ไม่ได้เลย คุณต้องจำข้อ 10


10. เทรดเพียงคู่เดียวเท่านั้น
กุญแจ ไปสู่ประตูแห่งการเปลี่ยนแปลงตัวเอง จากมือใหม่ไปสู่มืออาชีพ คือ การทำให้การเทรดของคุณ เป็นเรื่อง ธรรมดาที่สุด วิธีหนึ่งที่ง่ายที่สุด คือ การทำให้การเทรดของคุณนั้นธรรมดาที่สุด โดยการเทรดแค่ คู่เงินเดียว ข้อนี้ธรรมดามาก แต่ว่าไม่น่าเชื่อว่า ไม่ค่อยมีใครทำมัน การเทรดแค่คู่เดียวจะช่วยเราได้ เพราะ จะทำให้คุณมีสมาธิ และพยายามเรียนรู้ เกี่ยวกับค่าเงินคู่นั้น ๆ ดังนั้น มันจะทำาให้คุณเข้าใจว่า มันเคลื่อนไหวยังไง?

ถ้าคุณพยายามดื้อดึง เทรด 5 คู่ ในเวลาเดียวกัน การเรียนรู้ในการเทรดย่อมจะยากกว่า

คุณจะต้องเรียนรู้ลักษณะพิเศษ ของค่าเงินแต่ละคู่ คุณจะต้อง:
1. มีปฏิกิริยากับข่าว ที่แตกต่างตามค่าเงิน
2. อัตราการวิ่งของแต่ละคู่ที่ บางคู่ช้า บางคู่เคลื่อนไหวเร็ว
3. เวลาที่คู่เงินเคลื่อนไหวแตกต่างกันในช่วงวันหนึ่ง
4. ต้องจัดการออร์เดอร์ที่เปิดอยู่ แตกต่างกันไป

ในฐานะมือใหม่ การกระโดดเข้าเล่นหลายคู่แบบนี้ จะทำให้มีความกดดันสูง และทำให้เรียนรู้ได้ช้า

ดังนั้น ควรเริ่มด้วยการ เทรดคู่เดียว
เมื่อคุณได้กำไร คุณสามารถเทรดได้หลายคู่ เท่าที่คุณจะสามารถรับได้


11. เทรดเพียงแค่ Time Frame (TF) เดียว
การเทรด Time Frame เดียวก็เป็นการทำให้ระบบธรรมดา

การดู Time Frame เดียวมีประโยชน์ ดังนี้ :
1. ทำให้คุณมีสมาธิจดจ่อกับการเรียนรู้ ในแต่ละ Time Frame ดังนั้น มันจะช่วยลดความสับสน ที่มาพร้อมกับ การเรียนรู้การใช้ หลาย ๆ Time Frame
2. ทำให้คุณต้องดูกราฟน้อย และมีสมาธิในการวิเคราะห์กราฟ Time Frame เดียวมากขึ้น ดังนั้น จะทำให้คุณ วิเคราะห์ มีประสิทธิภาพ และคุณภาพในการวิเคราะห์
3. ช่วยลดการวิเคราะห์มากเกินไป โดยการดูหลาย Time Frame ซึ่งทำให้เกิดข้อขัดแย้ง
4. มันทำให้ชีวิตง่ายขึ้น

จำ ไว้เสมอว่า ทั้งหมดนี้เพื่อทำให้ระบบเทรดของเราธรรมดามาก ถ้าคุณเทรด Time Frame เดียว และคู่เงินเดียว ในฐานะมือใหม่ คุณไม่ควรจะไปยึดกับกราฟหลายกราฟ

ควรจะเทรดกราฟเดียว จนกว่า คุณจะได้กำไรอย่างต่อเนื่อง


12. กราฟสะอาด
มือ ใหม่ส่วนใหญ่ จะใส่ Indicator เต็มไปหมดในกราฟของพวกเขา ตอนที่เข้าเทรด Indicator ช่วยคุณในการเทรด ฉะนั้นถ้าเราใส่เยอะ หมายความว่าดีกว่า ? ผิด หรือ ถูกกันแน่!

เมื่อเทรดเดอร์มีประสบการณ์มากขึ้น พวกเขาจะพบว่า ยิ่งน้อยก็ยิ่งดี Indicator ที่มากจะทำให้คุณสับสนมากขึ้น
ยิ่งคุณมี Indicator มากเท่าไหร่ก็จะทำให้ :
1. ทำให้กราฟยุ่งเหยิง ยากต่อการวิเคราะห์กราฟ
2. ทำให้คุณ ต้องคิดมากกว่าปกติ และการตัดสินใจของคุณแย่ลง
3. เพิ่มความขัดแย้งของสัญญาณมากขึ้น ระหว่าง Indicator

ฟังดูไม่เวิร์คเลย ใช่ไหม ? ...
Indicator ไม่ใช่ทั้งหมดของการเทรด จะเทรดด้วยกราฟเปล่า ๆ และอัตรากำไรต่อขาดทุนถึง 80 % ไม่ได้บอกว่า คุณต้องเอา Indicator ออกให้หมด แต่ว่า หลายคนเทรดโดยไม่ใช้ Indicator พร้อมกับแนวรับแนวต้านและ รูปแบบกราฟแท่งเทียนต่าง ๆ

อย่างน้อยไม่ควรมีเกินสองตัวในกราฟของคุณ

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/12-546/?/

มีทุนน้อยจะลงทุนใน Forex อย่างไรดี?

- จากที่เราสั่งซื้อด้วยเงินเพียง $1 ของเราเอง กำไรมันน้อยนิดมาก ขนาด +50 จุดยังทำเงินได้ 17 สตางค์เอง หากเราอยากทำกำไรเยอะๆ เช่น pip ละ $1 (50 pip ก็คือ $50) เราต้องสั่งเทรดถึง $10,000 เลยทีเดียว มีทุนไม่พอแน่ ทำไงดี ตรงนี้แหล่ะคjtที่ Leverage เข้ามามีผล Leverage มีผลกับการ เทรด Forex อย่างไร เรามาดูกัน

มารู้จัก Leverage กันค่ะ
- Leverage 1:100 แปลว่า เราใช้ทุนของเราเองเพียง 1 เพื่อสั่งซื้อ-ขาย 100 เช่น เราจะสั่งซื้อ EUR มาถือไว้ โดยจะซื้อที่ราคา 1.3502 จำนวน 100 USD (คือได้มา 74.0631 EUR) เราไม่ต้องใช้ 100 USD ค่ะ เราจะใช้เพียง 1 USD เพื่อแลก 74.0631 EUR มาถือไว้ ซึ่งเมื่อเราขายคืนไปที่ 1.3552 หรือกำไรมา 0.0050 แทนที่เราจะกำไรแค่ นั้น จะกลายเป็นว่าเราจะทำกำไรได้ 0.50 usd แปลว่าเราสามารถทำกำไรได้ 50% จากเงินที่เราลง (เราลงเพียง $1 เพื่อทำกำไร $0.50)

- แต่ไม่ต้องห่วงนะค่ะ ว่าเราจะมีเงินพอรึเปล่า เวลามี Leverage แบบนี้ เพราะเวลาเทรดเราจะสั่งเทรดอย่างมาก ไม่เกิน 40% ของทุน (แต่แนะนำที่ 10% ค่ะ จะได้มีเหลือไว้แก้ตัว) เช่นถ้าเรามีทุน $100 เราก็สั่งเทรดเพียง $10 หรือ 10% (แต่เวลาสั่ง $10 คือ 1,000 unit นะค่ะ ที่ Leverage 1:100) 10% ที่ใช้ เราจะเรียกว่า used margin เวลาราคาวิ่งขึ้นหรือลง มันจะมาบวก หรือ ลบ ที่ 90% ที่เหลือ หรือที่เรียกว่า available margin หากเราติดลบไปเรื่อยๆ จน available หมด ระบบจะทำการตัดขาดทุน โดยการปิด order นี้ โดยอัตโนมัติ นั่นคือ โบรกเกอร์จะไม่ยอมขาดทุนแทนเราหรอกค่ะ

- คิดคร่าวๆ คือ เราจะทำกำไร (ขาดทุน) ได้ ประมาณ 1% ต่อ pip จากเงินทุนของเรา (คู่อื่นอาจจะไม่ถึง 1% บางคู่ก็มากกว่า เช่น EUR/GBP ตกประมาณ 2% ค่ะ) นั่น หมายความว่า ด้วยทุนเพียง $100 (3,400 บาท) คุณจะสามารถทำกำไรได้ถึงจุดละ $1 (สั่งเทรด 10,000 unit) หากทำได้ 10 จุดต่อวัน ก็วันละ $10 หรือ 340 บาท (โดยประมาณ) หรือวันละ 10% และด้วยทุนเพียง $1,000 (34,000 บาท) เราจะสามารถทำกำไรได้ถึงจุดละ $10 (สั่งเทรด 100,000 unit) หากทำได้ 10 จุดต่อวัน ก็วันละ $100 หรือ 3,400 บาท หรืออาจจะเริ่มเพียง $1 (34 บาท) โดยจะได้จุดละประมาณ 1 เซ็นต์

- ค่อยๆ สะสมไปก็ได้ค่ะ เพราะมีแล้วคนที่ปั้น $5 จากทุนฟรีที่ Marketiva (โบรกเกอร์) มีให้ ไปเป็น $1,000 ใน 3 เดือน ลอง คิดดูเล่นๆู ล่ะกันค่ะ ถ้าเพียงคุณสามารถทำกำไรได้ 10% ของทุนต่อวัน เพิ่มไปเรื่อยๆ 6 เดือน (120 วันเทรด) จะเป็นเงินเท่าไหร่ จากทุนเพียง $5 เป็น $463,545.34 หรือ 15,765,541.60 บาท ครับ โอ้ววววว พระเจ้าช่วย (ทำได้แค่ 5% ของไอเดียนี้ก็สุดยอดแล้วค่ะ)

- ปกติ EUR/USD จะไม่แรงมาก ทำวันละ 20-30 จุดได้ หากเป็นบางคู่ เช่น GBP/JYP (ทุกวันนี้ผมเล่น GBP/JYP เป็นหลัก เพราะแรง เร้าใจ) ดิฉันเคยทำได้มากสุด +250 จุด เพียงช่วงเวลาที่หลับ (เที่ยงคืน) จนมาถึงเวลาที่ตื่น (7 โมงครึ่ง) หรือ 250% ของเงินทุนที่เทรด

- ที่ FxOpen (โบรกเกอร์) ให้เราสามารถ up Leverage ได้สูงสุดถึง 1:500 นั่นแปลว่า เราใช้ทุนตัวเองเพียง $200 ในการเทรด 100,000 unit (หรือ 1 lot จะได้จุดละ $10) เอง

- แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น Leverage ก็เป็นดาบ 2 คม ที่ทั้งทำให้ รวย-จน ได้ในพริบตา Leverage และการที่มันวิ่งขึ้นลงทั้งวัน นี่แหล่ะค่ะ ที่ทำให้ Forex สนุก และเร้าใจ

คุณสามารถลงทุนใน Forex แทนได้ โดยใช้ทุนเริ่มต้นเพียงน้อยนิด มาเริ่มเรียนรู้การลงทุนและทำเงินจาก Forex Trading ได้ที่นี่ และจงจำไว้เสมอว่า "การลงทุนมีความเสี่ยง"

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/forex-592/?/

ความผิดพลาดที่สำคัญ 9 ประการของนักลงทุน



1. ลงทุนด้วยจำนวนเงินที่มากเกินกว่าที่คุณจะสูญเสียได้
หนึ่ง ในอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ของการลงทุนให้ประสบความสำเร็จคือการลงทุนด้วยเงินก้อน ใหญ่ที่คุณไม่สามารถจะเสียไปได้  เช่น จำนวนเงินที่คุณจะต้องใช้ผ่อนค่างวด หรือค่าเทอมลูก ในกรณีเช่นนี้ เราเรียกว่า การลงทุนด้วยเงินร้อน (Trading with scared money) และในท้ายที่สุด สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ เมื่อในส่วนลึกของจิตใจ นักลงทุนเหล่านั้นรู้ว่าพวกเขากำลังเสี่ยงด้วยเงินที่เปรียบเสมือนเงินที่ ยืมมา พวกเขาจะลงทุนด้วยอารมณ์และความกลัว โดยปราศจากเหตุผล ถ้าคุณอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เราแนะนำให้คุณหยุดการลงทุน จนกระทั่งคุณสามารถลงทุนด้วยจำนวนเงินที่คุณสามารถจะเสียได้โดยไม่ก่อให้ เกิดความเดือดร้อนทางการเงิน คุณอาจจะเริ่มต้นด้วยจำนวนก้อนที่ไม่ใหญ่จนเกินไป เช่น 50,000 บาท และลงทุนในหุ้นที่มีราคาต่ำกว่า 10 บาท

2. ความต้องการความแน่นอน
เรา ทุกคนต้องมั่นใจว่าการลงทุนจะคุ้มค่า ดังนั้นเราจึงควรมองหาสัญญาณที่จะยืนยันจุดที่ควรเข้าลงทุน สัญญาณที่กล่าวถึงนี้มีหลายรูปแบบ เช่น การเปิดช่องยูบีซี หรือ อ่านหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับตลาดทุน เพื่อทราบถึงข่าวสารว่าหลักทรัพย์ใดอยู่ในช่วงที่น่าลงทุน หรือหลักทรัพย์ใดที่ควรรอจังหวะเข้าซื้อเมื่อแน่ใจว่าราคาจะพุ่งสูง ขึ้น  นักลงทุนบางคนอาจรับฟังข่าวสารจากเพื่อน ครอบครัว หรือเจ้าหน้าที่การตลาด (โบรกเกอร์) บางคนอาจรอจังหวะที่ดัชนีชี้นำทางเทคนิคทั้งหลายแสดงสัญญาณที่ดีจึงเข้าซื้อ สิ่งเหล่านี้สามารถเชื่อถือได้ในระดับหนึ่ง แต่ข้อผิดพลาดที่สำคัญและควรระวังมาก ก็คือ การใช้เวลามากเกินไปจนคุณปล่อยให้ราคาสูงขึ้นโดยที่คุณยังไม่ได้ซื้อ สิ่งที่ตามมาก็คือ ความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเมื่อราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนที่จะเข้าซื้อหุ้นนั้นมีน้อยลง ทำให้แรงซื้อน้อยลง ส่งผลให้ราคาปรับตัวลงจนกว่าจะมีแรงซื้อเข้ามาใหม่ ซึ่งก็เปรียบได้กับเกมเก้าอี้ดนตรี คนที่ช้าที่สุดก็จะไม่มีเก้าอี้เหลือให้นั่ง นักลงทุนที่รอแล้วรออีกเพื่อให้มั่นใจมากๆ จริงๆแล้วก็คือคนที่จะซื้อที่จุดสูงสุดก่อนที่ราคาหุ้นจะตกลง แล้วก็จะโทษว่าเป็นเพราะเลือกหุ้นผิดตัว ความจริงคือข้อผิดพลาดนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการเลือกหุ้น แต่เกี่ยวกับจังหวะของการลงทุน
สิ่งที่ควรจำใส่ใจคือไม่มีความแน่นอน 100 เปอร์เซ็นต์ ในการลงทุนครั้งใดๆก็ตาม สิ่งที่จะทำได้ก็คือศึกษาถึงความเสี่ยงประกอบกับความเชื่อมั่น

3. ใช้กำไรก่อนที่จะทำกำไรได้
ไม่ มีอะไรที่น่าตื่นเต้นไปกว่าการลงทุนที่ให้กำไรที่งดงาม แต่สิ่งนี้ก็เป็นปัญหาได้เช่นกัน เพราะมันให้คุณฝันหวานถึงกำไรก้อนใหญ่ คุณอาจจะบอกว่า “ว้าว! เงินลงทุนฉันเพิ่มขึ้น 15% ใน 2 วัน แล้วจะเพิ่มเป็น 50 % ใน 2 สัปดาห์และ อาจจะกลายเป็นเท่าตัวในพริบตา!”  สิ่งต่อไปที่จะเกิดขึ้นคือ คุณอาจคิดถึงรถใหม่คันหรูที่คุณคิดจะซื้อ หรืออาจจะบอกเจ้านายคุณว่าเขาก็ทำแบบเดียวกันได้ ถึงตอนนี้คุณคงนึกภาพออก ปัญหาที่แท้จริงจะเกิดขึ้นเมื่อคุณยึดติดกับความใฝ่ฝันนั้น และไม่ได้เตรียมพร้อมที่จะถอยออกมาเมื่อตลาดเข้าสู่ภาวะที่ไม่ดี และทำให้กำไรลดลง เพราะคุณถึงแต่ผลกำไรที่จะได้รับโดยไม่ยอมรับสถานการณ์จริง วิธีแก้ไขง่ายๆก็คือ ต้องรู้ว่าจะขายทำกำไรเมื่อไหร่และอย่างไร เมื่อลงทุน  และต้องจำไว้ว่าตลาดจะขึ้นสูงเท่าที่มันจะขึ้นได้  ไม่ใช่ว่าจะ ขึ้นสูงเท่าที่คุณคิดว่ามันจะขึ้นได้

4. การแสดงความคิดเห็น
เรา กำลังจะบอกคุณว่าตลาดไม่สนใจคุณหรอกว่าคุณจะคิดอย่างไร ถึงแม้ว่าคุณจะอ้างอิงถึงบทวิเคราะห์ที่เกิดจากความอุตสาหะ หรืออ้างอิงถึง ผู้เชี่ยวชาญตลาดหุ้นไทย  นั่นไม่สำคัญหรอก

5. คำ 3 คำที่จะฆ่าคุณได้ หวัง-ขอ-อธิษฐาน
ถ้า คุณพบว่าคุณทำ 1 อย่าง หรือมากกว่า ของคำที่กล่าวไว้ เมื่อคุณลงทุน คุณกำลังลำบากแล้วล่ะ! ดังเช่นที่กล่าวมาแล้ว ตลาดไม่สนใจคุณหรอก ดังนั้น ความหวัง คำขอ หรือคำอธิษฐาน ทั้งหลายไม่สามารถเปลี่ยนขาดทุนเป็นกำไร
เมื่อคุณคาดการณ์ผิด วิธีการง่ายๆที่จะแก้ไขสถานกาณ์ คือ ขาย!!

6. ไม่ทำตามแผนที่วางไว้
ปัญหา ใหญ่เกิดขึ้นได้เมื่อนักลงทุนเริ่มไม่ทำตามกลยุทธ์ที่วางไว้  อาจจะเป็นเวลา ซัก 1 อาทิตย์ที่พวกเค้าจะลงทุนตามกฎเกณฑ์ที่ตั้งไว้ แต่อีก1 อาทิตย์จะทำสิ่งที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง  การทำเช่นนี้ทำให้เจ็บตัวได้ง่าย เนื่องจากไม่มีใครสามารถบอกได้แน่ชัดว่ากลยุทธ์ใด จะได้ผลหรือไม่ ดังนั้นต้องจำไว้ว่าไม่ควรทำสิ่งที่ผิดไปจากแผนหรือวิธีการเมื่อคุณได้เริ่ม ต้นไปแล้ว  หากคุณพบว่ากลยุทธ์นั้นใช้ได้ผลเมื่อดูจากสถิติ ก็ไม่มีเหตุผลที่คุณจะเปลี่ยนกลยุทธ์  ทางที่จะทำกำไรคือ ซื้อขายซ้ำไปซ้ำมาจนกระทั่งถึงจุดที่กลยุทธ์นั้นจะใช้ไม่ได้ผล อีกด้านที่ต้องระวังก็คือ นักลงทุนมักจะขาดความมั่นคงและมีโอกาสที่จะเปลี่ยนแผนการลงทุนได้มากหลังจาก ขาดทุน 2-3 ครั้ง  ดังนั้น ในช่วงเวลาเช่นนี้ต้องระวังเป็นพิเศษ

7. ไม่รู้ว่าจะถอนตัวจากการลงทุนที่ขาดทุนได้อย่างไร
มี หลายครั้งที่นักลงทุนไม่มีเกณฑ์ที่แน่นอนในการนำตัวเองออกจากการลงทุนที่ไม่ คุ้มค่า  พวกเขามักจะคาดหวัง และคิดหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองในการที่จะไม่ถอนตัวและยอมขาดทุน ดังเช่นที่เราบอกซ้ำแล้วซ่ำเล่า ตลาดไม่สนใจว่าคุณจะคิดอะไร  มันเคลื่อนไปตามทางของมัน และเมื่อตลาดไม่เป็นไปตามที่คุณคิด นั่นคือคุณคิดผิด วิธีง่ายที่สุดที่จะทำให้สถานะการลงทุนไม่แย่ลงกว่าเดิม ก็คือต้องคิดก่อนที่จะลงทุนว่า เมื่อไรจะออกจากตลาด โดยอาจกำหนดเป็นจำนวนเงิน หรือ กำหนดจุดเป้าหมาย เช่น จุดที่เท่ากับจุดต่ำสุดในช่วงเวลา 15 นาทีก่อน ต้องมั่นใจว่าคุณจะไม่ปล่อยให้ราคาตกลงจนถึงจุดหยุดขาดทุนโดยที่ไม่สามารถทำ อะไรได้ ซึ่งอาจเนื่องมาจากความกลัวและความไม่เชื่อว่าคุณคิดผิด นั่นจะทำให้คุณเกิดปัญหาด้านการเงิน เว้นแต่ว่าคุณจะสามารถหยุดขาดทุนได้โดยเร็ว

8. มีความมั่นใจ
คน ที่เข้าลงทุนในตลาดนั่นมีหลายคนที่เป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงใน ธุรกิจด้านอื่นๆ เหตุนี้เองทำให้พวกเขามีความมั่นใจสูงและคิดว่าพวกเขาไม่มีทางที่จะล้ม เหลว  ความมั่นใจเช่นนี้กลายเป็นข้อเสียสำหรับการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ เพราะพวกเขาไม่เชื่อว่าลงทุนผิดพลาดและควรต้องหยุดการลงทุนที่ขาดทุน และเช่นกัน ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร มาจากไหน นั่นไม่เกี่ยวข้องกับตลาด รวมถึงปริญญา ประกาศนียบัตร ความสามารถในการจูงใจ หรือ ความรอบรู้เชิงธุรกิจ ไม่สามารถเปลี่ยนแนวโน้มตลาด เวลาที่คุณคาดการณ์ผิด

9. หลงใหลในหุ้นหรือการลงทุน
ห้ามหลงใหลในหุ้นเด็ดขาด เพราะนั่นจะให้บทเรียนที่สาหัสแก่คุณ

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/9-21/?/

การวิเคราะห์กราฟ Forex และหาราคาเป้าหมายด้วยตัวเอง

การเทรด Forex ให้ได้กำไรอย่างยั่งยืนนั้น นอกจากการบริหารจัดการเงิน (Money management) แล้วทักษะสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่เพื่อนๆ นักเทรดควรจะมีคือการการวิเคราะห์กราฟ Forex และหาราคาเป้าหมายด้วยตัวเอง
      ใน จุดนี้เพื่อนๆ นักเทรด Forex ที่เป็นมืออาชีพอยู่แล้วคงหายห่วง เพราะเอาตัวรอดกันได้อยู่แล้ว แต่ผมเป็นห่วงเพื่อนๆ นักเทรดที่เป็นมือใหม่มากกว่า ควรจะฝึกการวิเคราะห์กราฟ Forex และหาราคาเป้าหมายด้วยตัวเองให้มาก อย่ามัวแต่ไปหาบทวิเคราะห์ หรือ signal จากคนอื่น อย่าไปมัวแต่ขอกินปลาจากคนอื่น เพราะสุดท้ายวันใดวันหนึ่ง ถ้าเขาเลิกให้ปลาแล้วเราจะแย่ เราจะต้องฝึกวิธีจับปลา(ตัวโตๆ) ด้วยตัวเองวิเคราะห์เอง เพราะคนที่จะอยู่กับเพื่อนๆ ไปตลอด และคนตัดสินใจลงเงินเปิดออเดอร์ก็คือตัวเพื่อนๆ เองนะครับ ทุกอย่างมักเกิดขึ้นซ้ำๆ แค่หา pattern ให้เจอ
ขั้นตอนการวิเคราะห์กราฟ Forex และหาราคาเป้าหมายด้วยตัวเอง อย่างง่ายสำหรับมือใหม่ ลองเอาไปต่อยอดกันดูนะครับ

1.วิเคราะห์กราฟ Forex จากภาพใหญ่มาภาพเล็ก timeframe ใหญ่ไปหา timeframe เล็ก
ให้ มองภาพใหญ่ก่อนเพื่อวางแผนหลัก แล้วค่อยมาปรับกลยุทธ์การเล่นในส่วนของภาพเล็กๆ ราย 15 นาที หรือ รายชั่วโมงก็ได้ตามถนัดและตามแนวทางการเทรดหลัก ที่เราได้วางเอาไว้
2.ดูแนวรับแนวต้านจุดสำคัญๆ ที่ราคาเคยพักตัว
การเคลื่อนไหวของราคามักเกิดขึ้นซ้ำๆ  เคยไปพักที่จุดใหนมันก็จะไปวนอยู่จุดนั้นแหละ หา pattern ให้เจอแล้วทำกำไรจากมันซะ
ตัวอย่างการวิเคราะห์กราฟ Forex และหาราคาเป้าหมายด้วยตัวเอง

ตัวอย่างกรณีเล่น forex แบบ breakout

วางเป้าหมายแล้วกำหนดแผนการเล่นให้สอดคล้องกัน
และ ที่สำคัญไม่ว่าจะเป็นนักเทรด forex มือเก่าหรือใหม่ควรบันทึกการเทรด บันทึกการเปิดออเดอร์แต่ละครั้งไว้ด้วยนะครับ อาจจะเชพเป็นรูปไว้แล้วใส่ข้อความบ่งบอกอารมณ์ลงไปก็ได้ ว่าในแต่ล่ะครั้งที่เราเปิดออเดอร์เราอยู่ในอารมณ์ใหน พอมาดูที่หลังจะได้รู้ว่าอารมณ์ขณะนั้นและรูปแบบกราฟแบบนั้นมันส่งผลต่อการ ตัดสินใจของเราอย่างไร
ลองทำการบันทึกการเทรดแบบนี้ไปเรื่อยๆ สักพัก แล้วเพื่อนๆ จะรู้ด้วยตัวเองครับว่า มันส่งผลต่อสัณชาติญาณในการเทรดของเพื่อนๆ อย่างไร
ได้กำไรแล้วถ้ามีโอกาสก็อย่าลืมช่วยเหลือสังคมและคนรอบข้างบ้างนะครับ:-)
หมาย เหตุ: เสริมจากตัวอย่างนะครับ "ข้อสังเกตเล็กๆ สำหรับเพื่อนที่ชอบเล่นเล่น forex แบบแนวรับแนวต้าน และ แบบ breakout คือหลายคนมักจะตั้งปิดเพื่อเอากำไรหรือตั้งเปิดออเดอร์ไว้ที่ราคาตรงแนวนั้น เลย บางคนใจร้อนรีบเข้าเลยไม่รอจบแท่งเทียน อย่าลืมว่าไม่ใช่แค่เราเท่านั้นที่เห็นแนวรับแนวต้านนั้น คนอื่นเขาก็เห็นเหมือนกัน ขาใหญ่เขาก็เห็นเหมือนกัน(เห็นแล้วเขาจะทำยังไงน่าจะนึกออกนะครับ) ลองใช้กลยุทธเข้าทีหลังออกก่อนดู รอแท่งเทียนปิดแล้วมันทะลุจริงเราก็ค่อยเข้า แล้วปิดออเดอร์ด้วยกำไรที่เราพอใจก่อนถึงแนวรับแนวต้านนั้นๆ อย่าลืมตั้ง stoploss และต้องเป็นไปตาม Risk Reward Ratio (R:R) ที่วางไว้ด้วยนะครับ"
ทุกวิธีมีจุดอ่อนเสมอ ไม่มากก็น้อย อยู่ที่ว่าเราจะรู้ใหม เมื่อรู้แล้วจะจัดการกับมันอย่างไร

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่   http://www.thaibestforex.com/forex/forex-570/?/

เรื่องของ Swap by cmfx

เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อคืนผมเปิดออเดอร์ sell G/J ไว้, ตั้ง TP ไว้แล้วก็นอน, พอตื่นเช้าขึ้นมาก็เปิดดูออเดอร์ผ่าน iPhone บนเตียง, พบว่าออเดอร์ชน TP ไปเรียบร้อย (ใน iPhone จะโชว์เฉพาะข้อมูลสำคัญของออเดอร์ ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยจะซ่อนไว้) ผมก็ประเมิน TP คร่าวๆ ว่าควรจะได้ประมาณ 288$, โดนหักค่าคอม 9$ ก็ควรจะเหลือประมาณ 279$, แต่เห็นกำไรเหลือแค่ 250 นิดๆ, นั่นคือกำไรหายไป 20$ กว่าๆ ซึ่งถือว่าค่อนข้างเยอะ, ตอนนั้นงงไปเล็กน้อย (อาการเหมือนโดน stun ไป 3 วิ ในเกม), ผมจึงเปิดดูออเดอร์ในคอมฯ เพื่อเช็ครายละเอียด ถึงได้ก็พบว่า อ๋อ มันโดน "Swap คืนวันพุธ" ไปเต็มๆ นี่เอง !



    ที่นี้ก็เข้าเรื่องเลยว่า อะไรคือ Swap ? และ อะไรคือ Swap วันพุธ ?
    ผมขออนุญาต simplify คำอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ นะค
รับ เพราะถ้าอยากได้รายละเอียดเป๊ะๆ เต็มๆ คงหาจาก google ได้ไม่ยาก, ผมขอเล่าให้ฟังเป็นสรุปง่ายๆ ละกัน
    Swap คือ ดอกเบี้ยข้ามคืนในการถือออเ
ดอร์ข้ามคืนนั่นเอง (ซึ่งโดยมากจะคิดกันที่เวลาเที่ยงคืนของ server, ก็อาจจะประมาณ 7 โมงเช้าบ้านเรา)
    โดยทฤษฏีแล้ว Swap มีทั้งบวก ทั้งลบ, เช่น ถ้าเราถือ G/J ออเดอร์ "Sell" ข้ามคืน อาจจะต้อง"เสีย" Swap, แต่ถ้าถือ G/
J ออเดอร์ Buy ข้ามคืน ก็จะ"ได้" Swap, ส่วนอัตราที่ได้กับเสีย ก็แล้วแต่โบรคเขาจะกำหนดและแจ้งไว้ เลย, โดยมากโบรคก็จะขอกิน swap หน่อย โดยถ้าเราเสีย swap โบรคก็จะเก็บเยอะ, แต่ถ้าเราได้ swap โบรคก็จะจ่ายนิดเดียว, หรือกรณีเลวร้ายหน่อย (เช่น ทองคำ XAU) บางโบรคก็ประกาศไว้เลยว่า จะเก็บ swap ทั้ง Buy และ Sell ! ส่วนคู่ไหน Buy-Sell ได้เสียเท่าไหร่ ต้องไปเช็คกับโบรคที่ตัวเองเทรดเลย เพราะแต่ละโบรคเก็บไม่เหมือนกัน

    โดยปกติแล้ว Swap จะโดนกันเล็กน้อยมาก น้อยจนส่วนมากเราไม่ใส่ใจกั
น, แต่... ถ้าเป็นคืนวันพุธ จะโดนหนักหน่อย เพราะเขาจะยกเอา Swap ของวันเสาร์กับอาทิตย์ มาคิดรวมไว้ในคืนวันพุธ (เพราะการเคลียร์ออเดอร์เป็น T+3, จึงมาตกที่วันพุธ,อันนี้เป็นรายละเอียดที่โบรคกับวงการเทรดคุ้นเคย ถ้าเราไม่คุ้นก็ข้ามไปเลย) ฉะนั้น ถ้าเราถือออเดอร์ข้ามคืนวันพุธ ก็จะมีเรื่อง "Swap 3 เท่า" มาเกี่ยวข้อง, ถ้าโดนคู่ที่โดน swap หนักหน่อย ประกอบกับเรื่องวันพุธ ตัวเลขก็จะเยอะขึ้นมาอย่างมีนัยยะสำคัญนั่นเอง !

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/swap-by-cmfx/?/

Leverage คืออะไร

ความหมายง่ายๆของ เลเวอเรจ (Leverage) คือ จำนวนเปอร์เซนที่ได้ยืมเงินจากโบรกเกอร์เพื่อทำการเปิดออเดอร์เทรด ยกตัวอย่างเช่นเมื่อคุณซื้อ 100 หุ้นในตลาดหุ้นโดยที่ราคาหุ้นละ 10 $ ต่อหุ้น คุณต้องใช้เงิน 1000$ เพื่อเปิดการเทรด บางโบรกเกอร์ให้คุณยืมเงินเพื่อเทรดสูงถึง 50-80% ของมูลค่าหุ้นทั้งหมด แทนที่คุณจะใช้เงิน 1000$ แต่คุณกลับใช้แค่ 500 $ เท่านั้น เพื่อทำการเทรด สิ่งนี้แหระที่ทำให้เทรดเดอร์สามารถซื้อหุ้นได้มาก โดยใช้เงินเท่าเดิม อย่างไรก็ตามทางโบรกเกอร์ก็จะชาร์จกำไรจากการยืมของคุณ หลักการณ์นี้ก็น้ำมาใช้กับตลาดForex

แต่โบรกเกอร์ฟอเร็กให้ คุณยืมถึง 99 % ของทั้งหมดเพื่อให้คุณเปิดการเทรดและคุณก็ใช้มันเพียงแค่ 1 % เท่านั้น ถ้าคุณต้องการเทรด 1000$ คุณใช้มันเพียงแค่ 10 $ นี่แหระครับ คือความแตกต่างระหว่างตลาดหุ้นและตลาดฟอเร็กซ์ และตลาดฟอเร็กไม่ชาร์จกำไรจากการยืมของคุณด้วย

เอาล่ะครับ หลายๆคนอาจจะงง เรามาดูกันเลยครับ ว่า Leverage ที่โบรกเกอร์ฟอเร็กได้กำหนดไว้มีเท่าไรบ้าง
โดยส่วนมากโบรกเกอร์จะกำหนด Leverage ตั้งแต่
Leverage         
1:1
1:2
1:10
1:100
1:200
1:400
1:500
1:1000 เฉพาะบางโบรกเกอร์ เท่านั้นเช่นโบรก Exness และ Instaforex

ผมจะยกตัวอย่างการเทรดที่ Leverage 1:100
สมมติ ว่าผมต้องการซื้อ EUR ที่ 100 units ผมจะใช้เงินของผม 1  units เท่านั้นเพื่อซื้อ EUR 100 units  ถ้าซื้อ EUR/USD ที่ราคา 1.2750  เมื่อราคาขึ้นไปถึง 1.2800 ผลต่างของราคาเท่ากับ 50 pips  ผมพอใจแล้ว ก็ทำการขาย ผมได้กำไร 50 pips

มาดูตัวอย่างการคำนวณครับ จากหัวข้อ เรื่อง Pips และ Lot  ใครยังไม่ได้อ่านกลับไปอ่านนะครับ
(pip value / ราคาที่คุณปิด ) คูณด้วย Unit ที่คุณทำการ Buy Sell
=(0.001/1.2800)*100=0.39 $
หรือ ผมอาจจะคิดแบบนี้ สมมติว่า ผมต้องการซื้อ EUR ที่อัตราแลกเปลี่ยน ณ ปัจจุบัน EUR/USD =1.2750 เป็นจำนวน 100 $ ผมจึงใช้เงินของผม 1 $ บัญชีของผมเป็น Leverage 1:100 ดังนั้นผมต้องยืมโบรกเกอร์อีก 99$  เมื่อผมซื้อแล้ว ผมจะได้ EUR มา 78.43 Euro และเมื่อราคาขึ้นไป 1.2800 ผมได้ กำไร 50 pips ผมตัดสินใจขายยูโร ที่ผมซื้อมา จะได้ 78.43*1.2800=100.39 $  นี่คือกำไรของผม 100.39 $ แต่ผมได้ยืมโบรกเกอร์มา 99 $ ทางโบรกเกอร์จะหักเงินอัตโนมัติ แล้วที่เหลือก็คือ 1.39 $ สรุปคือ ถ้าได้กำไรมา 0.39 $ จากการเทรดเงิน 1 $ เมื่อราคาเคลื่อนที่ 50 pips

แต่ ปัจจุบันนี้ ทางโบรกเกอร์กำหนดให้เราแล้วว่าถ้าราคาเคลื่อนที่ไป 1 pip ถ้าเราซื้อ 1 $ เราจะได้ 0.01 $ ดังนั้นจากตัวอย่างข้างบน ได้มา 50 pips ผมจะได้เงิน 0.50$

Use Margin คือ จำนวนเงินที่เราใช้เทรดในแต่ละครั้ง
ความสัมพันธ์ระหว่าง Lot , Leverage  และ Use Margin
ประเภทของบัญชีในการเทรด Forex จะมีอยู่หลายประเภท แต่ที่หลักๆ ที่ใช้กันคือมีสามประเภทคือ
1.Standard Account
2.Mini Account
3.Micro Account
ผมจะเทียบความสัมพันธ์ระหว่าง Lot , Leverage และ Use Margin ของ บัญชี Standard นะครับ

                                                                                                                                                             
            Leverage       ความต้องการเทรด              Use Margin
            1:100                1 lot(100,000$)                1000$
            1:200                1 lot(100,000$)                500$
            1:400                1 lot(100,000$)                250$

การเทรด 1 Lot คือ การใช้ Use Margin 1000 ดอลล่า เพื่อที่จะเทรดฟอเร็กซ์ โดยใช้
Leverage 1:100
  หมาย ความว่า คุณต้องมีเงินในบัญชีเทรดฟอเร็กซ์มากกว่า 1000 $ คุณจึงจะเทรดที่ 1 Lot ได้ และการเปลี่ยนแปลงต่อจุด ถ้าราคาเคลื่อนที่ไป 1 pips จะเท่ากับ 10 $  เพราะฉะนั้น ถ้าคุณมีเงินแค่ 1000 $ แล้วคุณปล่อยให้ลบ 100 pips บัญชีของคุณก็จะโดน Margin Call ทันที ถ้าคุณไม่มี Margin โบรกเกอร์ก็จะตัดทันที
Leverage 1 :200 สิ่งที่แตกต่างของ Leverage 1:200 คือ จำนวนเงินที่ใช้เทรด Use Margin จะน้อยกว่า 1:100 แต่ การเปลี่ยนแปลงต่อ 1 pip เท่ากับ 10 $ เหมือนกัน

ไม่ว่าคุณจะเล่นที่ Leverage เท่าไร การเปลี่ยนแปลงต่อ 1 pips ก็ยังคงเท่าเดิม ซึ่งตอนนี้บางโบรกเกอร์ สร้าง Leverage  สูงๆ ขึ้นมาเพื่อให้พวก Scalper ที่เล่นสั้นๆ ลงเงินเยอะๆ อย่างเช่น  Loeverage 1:1000 ถ้าคุณมีเงิน 1000 $ ในบัญชี คุณสามารถเทรด 5 Lot ได้ ซึ่งก็หมายความว่า คุณต้องการให้ได้กำไร 50 $ ต่อ pips แต่ถ้าราคาไม่เป็นดังที่คุณต้องการ ราคาลบไป 20 pips
พอร์ตของคุณก็จะเกลี้ยงทันที

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/leverage-580/?/

จิตวิทยาในการเล่นหุ้น

จิตวิทยาในการเล่นหุ้น
ทำไม หลายคนซื้อหุ้นตัวไหนตัวนั้นจะลง แต่พอขายแล้วหุ้นกลับขึ้น หลายคนที่เล่นหุ้นในปัจจุบันจะรู้สึกเหมือนโชคไม่เข้าข้าง จริงๆแล้วมันเป็นเรื่องของดวงหรืออะไรกันแน่ ทฤษฎีการลงทุนต่างๆ ควรจะใช้ได้ดี เพราะหลักการลงทุนผู้ลงทุนควรจะเลือกลงทุนสิ่่งที่ดีและอยากได้กำไรไม่อยาก ขาดทุน แต่จริงๆกลยุทธิ์ต่างๆกลับใช้ไม่ได้ผลเพราะนักลงทุนแต่ละคนเองมี"อคติ"ยอม ขาดทุน หากคิดว่าหุ้นจะลงต่อ หรือยอมซื้อของที่แพงมากหากคิดว่ามันจะขึ้นไปต่อ สิ่งที่นักลงทุนทุกคนใช้ จริงๆจึงเป็นการ"คาดคะเน" ใช้ "สมอง"ประมวลสิ่งต่างๆจากข่าวสารและปัจจัยโดยรอบแต่หารู้ไม่ว่า สมองมีกระบวนการตัดสินใจลึกๆภายในที่ขึ้นอยู่กับ"อารมณ์"มากกว่า "เหตผล"ยกตัวอย่างการเลือกคู่ครองที่ใช้อารมณ์มากกว่าเหตผลแม้คนที่เรียน เก่ง มีสมองดีที่สุดก็มักใช้อารมณ์เป็นตัวตัดสินเรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิต มากกว่าเหตผล
  
นายเวอร์นอน สมิธ นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลปี 2002 ผู้ที่ศึกษาการเงินเชิงพฤติกรรมเคยกล่าวไว้ว่า "นักลงทุนทุกคนมีกล่องดำที่เป็นส่วนประมวลผลการตัดสินใจอยู่ในสมองโดยไม่มี ใครรู้ว่ากล่องดำอันนี้มีวิธีในการตัดสินใจอย่างไร แต่กระบวนการตัดสินใจนี้ไม่มีเหตผล เปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะของจิตใจเป็นหลัก" เมื่อคนแต่ละคนไม่ได้ใช้ความมีเหตุ มีผลในการคิดแล้วการลงทุนที่เป็นสิ่งสะท้อนความคิดของนักลงทุนแต่ละคน ย่อมไม่มีเหตุผล ตลาดหุ้นเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้เลย มีคนเคยตั้งคำถามว่า ทำไมคนที่เรียนด้านการลงทุน เก่งที่ 1-10 อันดับของระดับมหาวิทยาลัย Wharton กับไม่เคยมีชื่อเสียงในวงการลงทุนเลย ทำไมคนที่ IQ สูงขนาดนั้นถึงได้ไม่ประสบผลสำเร็จในตลาดหุ้นกัน
  
ย้อนกลับมาที่ ตลาดหุ้นไทยจะเห็นว่า คนที่ยิ่งฉลาด ยิ่งขาดทุนมากในตลาดหุ้น แต่คนที่ฉลาดปานกลางแต่หากมี EQ สูงแล้ว กลับสามารถประสบความสำเร็จได้มากกว่าเหตผลทั้งหมดจะค่อยๆถูกเฉลยในบทต่อๆไป ลองดูเหตการเหล่านี้
  
Ex1. คุณคิดว่าบริษัท A ผลประกอบการณ์ออกมาดีแน่ เลยซื้อหุ้นที่ราคาสิบบาท ตั้งใจจะขายในระยะสั้นๆที่่ 12 บาท เมื่อผลประกอบการณ์ออก แต่พอผลประกอบการณ์ออกมาดีดังคาดไว้ แต่ราคาหุ้นตกลงไป 8 บาท คุณทำใจขายทิ้งไม่ได้ (Avoid Regret) และคิดว่าหากราคาหุ้นกลับมาแค่เพียง10 บาท เท่าทุนก็จะขายไป ( Referance Point)
  
EX2. คุณซื้อหุ้นที่บริษัท B ที่ราคา 10 บาทจำนวน หมื่น หุ้น พอราคาหุ้นวิ่งไป 12 บาท คุณขายทำกำไรไป 20000 บาท พอราคาหุ้นวิ่งขึ้นไป 15 บาท คุณรู้สึกเสียดายอย่างมาก(เจ็บใจที่ขายเร็ว ขายหมู) พอราคาหุ้นเริ่มปรับตัวลงมาที่ 13 บาท คุณซื้อหุ้นกลับมาแต่คราวนี้ซื้อไป 20000 หุ้นเลย เพื่อเอากำไรเยอะๆ (โลภ เพราะพึ่งได้กำไรมา) ซื้อแล้วหุ้นวิ่งกลับไป 10 บาท เหมือนเดิม ปรากฏว่าเบ็ดเสร็จแล้วคุณขาดทุน 40000 บาท (งง?)
  
แม้ว่าสิ่งเหล่านี้ท่านเคยประสบมาหรือเคยได้รับ คำเตือนครั้งแล้วครั้งเล่า ว่าโปรดอย่าตามหลัง "มวลชน" แบบหลับหูหลับตา อันที่จริงคำว่า"มวลชน"นั้นไม่ใช่อื่นใด หากแต่เป็น"เรา "และ "ท่าน" นั้นเอง พฤติกรรมของ "มวลชน" ก็คือพฤติกรรมของคนทั่วไปหากมวลชนตัดสินใจผิดพลาดหรือเกิดปฏิกริยาทางอารมณ์ อย่างรุนแรงเพราะความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง เราและท่าน ก็ตกออยู่ในสภาพเช่นนั้นด้วยเช่นกัน
  
ดังนั้นลำพังการคิดว่าเรา ต้องปฏิบัติให้แตกต่างจากคนอื่นไม่เกิดประโยชน์ อะไร เพราะเรื่องเหล่านี้คนส่วนใหญ่ต่างทราบดีว่าควรทำอะไร ยกตัวอย่าง การสูบบุหรี่ ทุกคนทราบดีกว่า การเลิกบุหรี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องแต่หากไม่"ปฏิบัติ"ก็ไม่มีทางก้าวพ้นจาก อุปสรรคทางความคิดและอารมณ์ที่ส่งผลให้เราไม่ประสบผลสำเร็จในตลาดหุ้นได้
  
ใน"วิกฤติ มีโอกาส" แต่จะมีซักกี่คน ที่มองข้ามผ่านเมฆหมอกแห่งความกังวลเห็นถึงวันข้างหน้าที่สดใสได้ ในเมื่อบรรยากาศทั้งหมด มันไม่เป็นเช่นนั้น ทุกอย่างดูจะแย่ลง แย่ลง คนเรามองเห็นสิ่งที่ใจรู้สึกหากบรรยากาศรอบตัวร้อนเราก็จะเห็นแค่ความร้อน เราจะนึกถึงเวลาอากาศเย็นไม่ถูกเลย สิ่งเหล่านี้เป็นวิทยาสาสตร์ที่พิสูจน์แล้วว่า คนเราใช้ความรู้สึก ณ ขณะนี้เป็นส่วนประกอบสำคัญในการตัดสินใจเรื่องใดๆ เช่น เวลาคนหิวจะชอปปิ้งมากกว่าเวลาอิ่มเป็นต้น
  
อารมณ์มีผลต่อการตัดสินใจ
คุณ อาจคิดว่าอารมณ์ดีหรืออารมณ์เสีย ไม่มีผลต่อการตัดสินใจ แต่จริงๆไม่ใช่แม้คนที่มีเหตผลที่สุดหากขาดซึ่งอารมณ์ ก็จะไม่สามารถตัดสินใจใดๆได้ โดยเคยมีการศึกษาเรื่องนี้โดยนักประสาทวิทยา ชื่อ แอนโทนิโอ ดามาชิโอ ได้รายงานว่ามีคนไข้ที่สมองส่วน Ventromedical Frontal Crotices ถูกทำลายซึ่้งเป็นสมองส่วนที่ทำให้เกิดอารมณ์ แต่สมองส่วนความจำความฉลาดและความสามารถในการใช้เหตผลยังเป็นปกติอยู่ แต่จากการทดลองหลายครั้งพบว่า การปราศจากอารมณ์ในกระบวนการตัดสินใจได้ทำลายความสามารถในการตัดสินใจอย่าง สมเหตสมผล หมดไปด้วย
  
ดังนั้นหากสถานการณ์ไม่ดี ทิศทางที่สมองที่คิดได้ จากข่าวสารและความรู้สึกคือ สิ่งที่ดำเนินต่อไป ของความไม่ดี จะให้สมองสั่งการว่า "ดี" จะเป็นการยากสมองจะสั่งการขัดแย้งออกมาทันทีว่า "ดีจริงหรือ" ใช้เหตผลอะไรที่คิดว่ามันจะดี ? ดังนั้นการซื้อหุ้นตอนที่บรรยากาศร้ายสุด แม้แต่คุณเองยังกลัว คงทำได้ยาก เพราะสมองจะคิดขัดแย้งออกมาว่า "จริงหรือ คราวนี้อาจลงยาวนะ"
  
เครื่องมือเทคนิคกับอารมณ์
บาง คนบอกว่าหากเราไม่ใช้อารมณ์เข้ามาในการลงทุนหุ้นแต่เชื่อเฉพาะเครื่องมือ ทางเทคนิคซึ่งเป็นเครื่องมือที่ไม่ได้อ้างอิงใดๆเกี่ยวกับอารมณ์ของตลาดล่ะ จะได้ผลหรือไม่? คำตอบแรก ก็ต้องบอกว่าท่านที่คิดแบบนี้ ยังไม่เข้าใจเครื่องเทคนิคที่ดีพอ เพราะจริงๆแล้วเครื่องมือทางเทคนิคคือการใช้หลักสถิติศาสตร์ถอดแบบสภาพความ เป็นจริงในตลาดหุ้นแล้วนำมาพยากรณ์ความเป็นไปได้ต่อไป ซึ่งความเป็นจริงในตลาดหุ้นที่ถูกนำมาถอดแบบนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์"ความกลัว" และ "ความโลภ" ดังนั้นการใช้เครื่องมือก็ยังอิงกับอารมณ์ของตลาดอยู่ดี

คำ ตอบที่สอง ขออ้างถึงคุณ J. Wells wilder เจ้าของเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคยอดนิยม เช่น RSI (Relative Strength Index) PAR(Parabolic Sar) MOM ( Momentum) Volatility( แรงกระเพื่อมของระดับราคา) ซึ่งเครื่องมือทางเทคนิคเหล่านี้ สร้างชื่อเสียงให้กับ Wilder เป็นอย่างมาก แต่ในภายหลัง เขาได้ออกบทความใหม่ ที่ชื่อว่า Adam's Theory เป็นการปฏิเสธเครื่องมือทางเทคนิคของเขาที่คิดค้นมาก่อนหน้า โดยเขาบอกว่า ทฤษฎีใหม่นี้เป็นการตกผลึกในความคิด ความเข้าใจ ในเรื่องการลงทุน หลายสิบปีที่เขามี

ทฤษฎี Adam ตั้งอยู่บนข้อสรุปที่ว่า"ไม่มีเครื่องมือวิเคราะห์อันไหนที่สมบูรณ์ในตัว ที่สามารถชี้นำการตัดสินใจ ลงทุนได้อย่างแม่นยำและถูกต้อง 100% แต่เครื่องมือแต่ละชิ้นที่มีอยู่ในวงการ ต่างมีข้อบกพร่องในตัวเองไม่อาจ"จับตลาด"จนอยู่หมัดได้ ด้วยเหตุว่าตลาดว่า ตลาดนั้นไม่เคยหยุดนิ่ง ไม่มีลักษณะตายตัว แต่เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นอื่นได้ตลอดเวลา

เขาตั้งคำถามว่า "หากเครื่องมือเหล่านั้นแม่นยำจริง ทำไมนักลงทุน ที่ใช้เครื่องมือเหล่านั้น จึงยังประสบความขาดทุนอยู่ เครื่องมือเหล่านั้นจะวิเคราะห์เฉพาะจุด ไม่ผิดกับตาดบอด คลำช้าง ไม่เห็นภาพรวมของตลาดหรือของตัวหุ้นนั้นๆ มันไม่สมบูรณ์ ไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์ที่ผันแปรอยู่เสมอของตลาดหุ้นได้ "

ดังนั้นแม้เครื่องมือต่างอาจจะไม่มีความสมบูรณ์ในตัวมัน แต่หากเราเข้าใขอารมณ์ตลาด มาผสมผสานการ การวางแผน การลงทุนที่เข้าใจหลักจิตวิทยามวลชน การเล่นหุ้นจะทำได้ดียิ่งขึ้น โดยวิธีแก้ไขปัญหาเรื่องอารมณ์นั้น

MT4 Template

MT4 Template

สำหรับบางท่านที่เทรดหลายคู่เงิน หรือเทรดหลาย Time Frame อาจจะประสบปัญหาในการ setup กราฟ เพราะต้องมาใส่ indicators หรือ tools ต่างๆ ลงไปในกราฟใหม่ทุกกราฟ ซึ่งถ้าใครยิ่งเทรดหลายคู่ยิ่งต้องทำเยอะ หรือบางทีเทรดเดอร์ setup กราฟไว้ในโบรกหนึ่งแล้ว อยากจะเอาค่าที่ setup ไว้ไปใช้กับโบรกอื่นบ้าง ปัญหาเหล่านี้จะหมดไปด้วยการใช้เมนู Template ของ MT4 มาดูขั้นตอนกันเลย
1. หลังจากที่ใส่ indicator ตามระบบของตนเองเข้าไปในกราฟเรียบร้อยแล้ว ให้คลิกขวา เลือก Template>>save template จากนั้นเลือกโฟลเดอร์ที่จะเก็บ template ตั้งชื่อ และกด Save เพียงแค่นี้เราก็จะได้ template ส่วนตัวไว้ใช้งาน



2. หลังจาก save template เราก็สามารถเพิ่มกราฟใหม่ และเรียก template ที่เราบันทึกไว้ออกมาใช้งาน โดยคลิกขวา เลือก Template>>Load Template แล้วก็เลือก template ส่วนตัวของเราที่บันทึกไว้ จากนั้นกด Open ก็จะได้กราฟหน้าตาเหมือน template ต้นแบบ

 

 ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/mt4-template/?/