RSS
Showing posts with label Short. Show all posts
Showing posts with label Short. Show all posts

10 แนวทางการเทรด forex

1. การวางแผนการเทรดและเทรดตามแผนของคุณ(Plan your trade And Trade your plan)
ใน การเทรด ไม่ควรตัดสินตามอารมณ์ ความรู้สึกของคุณ ว่าราคาน่าจะขึ้น ราคาน่าจะลง แล้วเปิดคำสั่งเทรด คุณจำเป็นจะต้องมีการวางแผนในการเทรดเพื่อนำไปสู่ึความประสบความสำเร็จ แผนการเทรดที่ดี ควรประกอบด้วย
1.1 การกำหนด จุดเข้า หรือ สัญญาณในการเข้าเทรด
1.2 การกำหนดจุด ขาดทุน ( Stop Loss)
1.3 การกำหนดเป้าหมายกำไร ( Target)
1.4 การวางแผนทางการเงิน ( Money Management)
1.5 การบริหารความเสี่ยง ( Risk Management)
การ จัดสรรค์การเรดให้เหมาะสม แผนการเทรดที่ดีจะช่วยให้คุณตัดอารมณ์ ออกจากการเทรด ช่วยให้คุณไม่ต้องมานั่งเครียด เวลาที่ติดลบ หรือ ใกล้จะ Call Margin ( เงินใกล้จะหมด) ไม่ต้องถูกบังคับปิด เช่น มาจิ้นของคุณหมด ตัวอย่างแผนการเทรดหรือระบบเทรด คุณสามารถ หาได้จากเ็ว็บนี้ หรือ จาก google ลองหาแผนการเทรดที่เหมาะกับตัวของคุณ ลองทดสอบระบบ และเทรดตามระบบด้วยเงินปลอม อาจจะปรับปรุงให้เหมาะสมกับตัวของคุณ แล้วนำมาประยุกต์ใช้กับการเทรดของคุณ ซึ่งไม่มีระบบไหนที่ได้ผลการเทรดของคุณออกมา 100% ระบบเทรดที่ดี ควรมีประสิทธิ์ภาพมากกว่า 60 % ไม่ว่าคุณจะได้ระบบเทพ หรือ สุดยอดเทพ ยังไง คุณก็ต้องติดลบก่อน ไม่มีใครไม่เคย ติดลบ

2. แนวโน้มของกราฟ คือเพื่อนของคุณ ( The Trend is Your Friend )
อย่า คิดสวนเทรน ให้หาสัญญาณ Buy/ Long เมื่อ ตลาดอยู่ในสภาวะขาขึ้น ( Bullish Market ตลาดแดนบวก) และหาจังหวะ Sell/Short เมื่อตลาดอยู่ในสภาวะขาลง (Bearish Market ตลาดแดนลบ)

3. การรักษาเงินลงทุน ( Focus on capital preservation)
สิง สำคัญอีกอย่างสำหรับการเทรด ต้องรักษาเงินในบัญชีของคุณให้ดีที่สุด การเปิดคำสั่งเทรดแค่ละคำสั่ง ไม่ควรจะเกิน 10 % ของเงินในบัญชีเทรดของคุณ เช่น เงินทุน 1000 $ คุณควจจะเทรดไม่เกิน 100$ ถ้าไม่มีการรักษาเงินทุนไว้ เงินทุนจะลดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อเทรดมาก ได้มาก ก็เสียมาก เช่นกัน เมื่อเงินหมด คุณอาจจะท้อ หรือเลิกไปเลย เพราะฉะนั้น ควรจะเล่นน้อยๆ เรื่อย ๆ แล้ว จะประสบผลสำเร็จในตลาดฟอเร็ก ฟอเ็ร็กไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่าย

4.ต้องรู้ว่าเมื่อไรควรจะตัดขาดทุน (Know when to cut loss)
ถ้า ราคาวิ่งตรงข้ามกับที่คุณได้เทรดไว้ หรือคาดการณ์ไว้ สิิ่งแรกที่คุณต้องทำคือ ตัดเนื้อร้ายออกไป อย่าให้มันรุกราม แล้วหาโอกาสหรือจังหวะดีๆ เพื่อเข้าใหม่ การถือติดลบไว้ เป็นการเสียโอกาสในการหาจังหวะเข้าใหม่ในสัญญาณดีๆ และต้องมานั่งเครียด เพราะกลัวว่า มาจิ้น จะหมด คังคำที่พูดกันว่าเสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย และ ลบน้อยตัดยาก ลบมากตัดง่าย ถ้าเลวร้ายจริงๆ คุณอาจจะโดนคำสั่งปิด Margin Call ดังนั้นเมื่อทำการเทรดทุกครั้ง ควรหาจุด Stop Loss จุดที่คุณควรปิดทิ้ง เมื่อราคาวิ่งตรงข้าม จากทีคาดการณ์ไว้ โดนอาจจะกำหนดไว้เลย เช่น Exit stop Loss -20 จุด -30 จุด หรือตั้งไว้ตามแนวรับแนวต้าน Support- Resistance

5. ปิดทำกำไรเมื่อได้โอกาส หรือด้วยความพอใจของเรา(take Profit when the trade is good)
ก่อน ทำการเทรด ตั้งเป้าหมายไว้ ว่าต้องการกำไรเท่าไร เมื่อได้โอกาส ก็ควรปิดทำกำไร เป้าหมาย (Target) อาจจะกำหนดตายตัว หรือ ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของเรา เช่น ทำกำไร 20 จุด หรือ 30 จุด หรือกำหนด ตามแนวรับแนวต้าน ( Support and Resistance) หรือกำหนด โดย Fibonaccy ก็ได้

6. ตัดอารมณ์ออกไป(Be Emotionless)
สอง อารมณ์ ที่มีผลมากให้การเทรด คือ ความโลภ ( Greedy) และความกลัว(fear) อย่าทำให่้สองสิ่งนี้ครอบงำจิตใจของคุณ เพราะมันจะทำให้คุณไม่สามารถเทรดได้ หมั่นฝึกฝนเทรดให้เป็นระบบ เทรดตามแผน หรือระบบเทรดที่คุณได้เตรียมไว้ จัดการ กับ การกำหนดจุดเข้า ( Entry Position) จุดออก ( Exit Position) ระบบการเงินของคุณ(Money Management) เพียงแค่นี้ คุณก็จะประสบความสำเร็จกับฟอเร็กได้

7. อย่าเทรดตามคนอื่น ( Do not trade base on tips from other people)
ควรเทรดตามระบบ ตามสัญญาณ หรือตามแผนที่วางไว้ อย่าเทรดตามคนอื่นโดยเด็ดขาด วิเคราะห์ให้ดีทุกครั้งก่อนการเทรด

8. จดบันทึกการเทรด (Keep A trade journal)
เมื่อ คุณเปิดคำสั่ง ซื้อ (Buy/Long) ให้จด เหตุผลว่าเข้าเพราะอะไร และจดความรู็้สึกตอนนั้นไว้ เมื่อเปิดคำสั่ง ขาย ( sell/Short) ก็ทำเช่นเดียวกัน แล้วนำมาวิเคราะห์ บันทึก ข้อผิดพลาด ในการเทรด ขำข้อผิดพลาดของคุณที่เกิดขึ้น นำมาเป็นบทเรียน แล้วอย่าทำตามนั้นอีก

9.เมื่อไม่แน่ใจไม่ต้องเทรด( When in doubt, stay out)
เมื่อ คุณไม่มั่นใจหรือกำลังสับสน กับสภาวะของตลาดไม่แน่ใจว่าราคาจะวิ่งไปทางไหน ให้อยู่เฉยๆ ไม่ต้องเทรด ออกไปเดินเล่นหาอย่างอื่นทำ แล้วก็รอตลาดในช่วงต่อไป คุณค่อยมาหาจังหวะการเทรดใหม่

10. อย่าเทรดมากเกินไป ( DO Not Over Trade)
ไม่ ควรเปิดเทรดมากเกินไป ในการเทรดแต่ละครั้งควรมีออเดอร์ที่เปิดทิ้งไว้ ไม่เกิน 3 ออเดอร์ ถ้ามีมากเกินไป คุณอาจจะควบคุมไม่ได้ หรือาจจะใช้อารมณ์ในการตัดสินใจเมื่อตลาดเกิดการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นอย่าเปิดเทรดจนมากเกินไป
สิ่งที่จะแนะนำเพิ่มเติมคือ ก่อนที่จะเริ่มเทรดด้วยเงินจริงนั้น ควรจะลองเทรดด้วยเงินปลอม เสียก่อนนะครับ อย่างน้อยๆ 1-3 เดือนเป็นอย่างต่ำ

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/10-forex-639/?/

หาเงินจากฟอร์เร็กซ์ทำอย่างไร?

ทำเงินจากฟอร์เร็กซ์ ได้อย่างไร

ใน ตลาด เราจะซื้อหรือขายค่าเงิน การทำการเทรดในตลาดค่าเงินนั้นง่าย วิธีการเทรดก็เหมือนกับตลาดอื่นๆ (เช่น ตลาดหุ้น) ดังนั้นถ้าเรา มีประสบการณ์ ในการเทรดตลาดอื่นมาก่อน จะเข้าใจได้ง่ายขึ้น

วัตถุ ประสงค์ของการเทรดฟอร์เร็กซ์ เพื่อที่จะทำการแลกเปลี่ยนค่าเงิน เพราะคาดหวังว่า ราคาจะเปลี่ยนแปลงไป ในทิศทางที่คาดหวัง ดังนั้น ค่าเงินที่เราซื้อ จะมีการเปลี่ยนแปลงมูลค่า เมื่อเราขาย

                                  ตัวอย่างของการทำกำไรจากค่าเงิน

                    สิ่งที่นักเทรด ทำ                                                 EUR          USD
        เรา Buy EUR / USD ที่ราคา 1.18 มูลค่า 10,000 ยูโร          +10,000    -11,800*
สองสัปดาห์ต่อมา เราแลกเงินยูโรกลับมาเป็นเงินดอลล่าร์ ที่ราคา 1.2500 -10,000   +12,500**
                 เราได้กำไร $700                                                     0        +700

*EUR 10,000x1.18=US$11,800 **EUR 10,000x1.25=US $12,500

อัตรา แลกเปลี่ยนเป็นค่าอัตราส่วน ของค่าเงินหนึ่งต่อค่าเงินหนึ่ง เช่น USD/CHF อัตราส่วนจะบอกว่า จำนวนเงิน ดอลล่าร์กี่เหรียญ จึงจะสามารถซื้อได้ 1 สวิสฟรังค์ หรือ สวิสฟรังค์จำนวนเท่าไร ที่เราจะต้องใช้ในการซื้อเงิน 1 ดอลล่าร์

วิธีอ่าน FX Quote
ค่าเงิน จะวางเป็นคู่ ๆ เสมอ เช่น GBP/USD หรือ USD/JPY เหตุผลที่ค่าเงินถูกกำหนดเป็นคู่ๆ เพราะในตลาดการเงิน เราจะทำการซื้อค่าเงินหนึ่ง ด้วยการขายอีกค่าเงินหนึ่งในเวลาเดียวกัน ตัวอย่างต่อไป เป็นอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน ปอนด์อังกฤษ กับเงิน ดอลล่าร์สหรัฐฯ

GBP/USD = 1.7500
ค่าเงินตัวแรก ( ก่อนเครื่องหมาย / ) เรียกว่า Base Currency (ในตัวอย่างนี้คือค่าเงินปอนด์ GBP)
ค่าเงินตัวที่สอง ( ทางขวาของ / )เรียกว่า Quote currency (ในตัวอย่างนี้คือค่าเงินดอลล่าร์ USD)

เมื่อ เราซื้อ อัตราแลกเปลี่ยนจะบอกเราว่า เราต้องจ่ายเท่าไหร่เป็นจำนวนเงิน Quote currency เพื่อที่จะซื้อ 1 หน่วย ของ Base Currency ตามตัวอย่างข้างต้น เราต้องจ่าย 1.7500 ดอลล่าร์ สหรัฐฯ เพื่อจะซื้อเงินปอนด์ 1 ปอนด์

เมื่อเราขาย อัตราแลกเปลี่ยนจะบอกเราว่า เราต้องได้ Quote currency กี่หน่วยในการขาย 1 หน่วยของ Base Currency

ในตัวอย่างข้างต้น เราจะได้เงิน 1.7500 ดอลล่าร์ เมื่อคุณขายเงินปอนด์ 1 ปอนด์

Base Currency เป็นเกณฑ์ ในการซื้อขาย ถ้าเราซื้อ EUR/USD หมายถึงว่าเรากำลังซื้อ Base Currency และเราก็ขาย Quote currency

เรา จะซื้อคู่เงิน ถ้าเราคิดว่าค่าเงิน ที่เป็น Base Currency จะแพงขึ้นถ้าเทียบกับ Quote currencyเราจะขายคู่เงิน ถ้าเราคิดว่าค่าเงิน ที่เป็น Base Currency จะลงเมื่อเทียบกับค่าเงินที่เป็น Quote currency

Long/Short
อันดับแรก สิ่งที่ต้องทำคือ เราต้องตัดสินใจว่า ต้องการซื้อ หรือขาย

ถ้า ต้องการซื้อ (หมายถึง ซื้อ Base Currency หรือขาย Quote currency) หากต้องการให้ค่าเงินที่เป็น Base Currency มีมูลค่ามากขึ้น ก็ต้องขายมัน ที่ราคาสูงกว่าที่เราซื้อ และสำหรับนักเทรด เรียกว่า Long หรือ Long position ซึ่งก็เท่ากับ Buy นั่นเอง

ถ้าต้องการขาย (หมายถึง ขาย Base Currency หรือซื้อ Quote currency) หากต้องการซื้อค่าเงิน ที่เป็น Base Currency คืนในราคาที่ต่ำกว่า การทำแบบนี้ เรียกว่า การ Short position หรือ Short ก็คือการ Sell นั่นเอง

Bid/Ask Spread
ทุก ๆ คู่เงิน มีราคา อยู่สองราคา คือ ราคา bid และ ราคา Ask ราคา Bid จะต่ำกว่า ราคา Ask เสมอ
Bid เป็นราคา ซึ่งโบรคเกอร์จะซื้อราคา Base Currency เพื่อที่จะแลกเปลี่ยนกับค่าเงิน Quote currency ซึ่งหมายถึง นั่นหมายถึงนักเทรดจะขาย หรือ sell ได้

Ask เป็นราคา ซึ่งโบรคเกอร์จะขายราคา base currency เพื่อที่จะแลกเปลี่ยนกับค่าเงิน quote currency ซึ่งหมายถึง Ask เป็นราคาที่เราจะซื้อ หรือ buy ได้นั่นเอง

ความแตกต่างระหว่าง Bid กับ Ask เรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า Spread (สเปรด)
ลองดูที่ตัวอย่างของราคา ที่ปรากฎอยู่ในหน้าจอโปรแกรมเทรด

forex,eur,usd
นี่ คือ คู่เงิน GBP/USD ราคา Bid 1.7445 และราคา ask เท่ากับ 1.7449 นี่เป็นสิ่งที่โบรคเกอร์มี เพื่ออำนวยความ สะดวก ให้เรา ถ้าเราต้องการ sell GBP ก็เพียงคลิก "Sell" ที่ราคา 1.7445 ถ้าต้องการซื้อ GBP คุณก็คลิก " Buy" จะได้ราคาที่ 1.7449
ตามตัวอย่าง
เราใช้การวิเคราะห์พื้นฐาน ในการช่วยตัดสินใจว่า จะซื้อหรือขายคู่เงินนั้นๆ ยังมีข้อมูลให้ต้องศึกษาต่อไป สำหรับ ตอนนี้ แค่เข้าใจว่า เกิดอะไรขึ้นก่อนก็พอ

EUR/USD
ถ้าคุณเชื่อว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะหดตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นข่าวร้ายอย่างหนึ่งสำหรับค่าเงินดอลล่าร์ คุณก็จะต้อง ส่ง คำสั่ง BUY ค่าเงิน EUR/USD หมายความว่า คุณซื้อเงินยูโร ซึ่งคาดว่าจะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามกับ ค่าเงิน ดอลล่าร์ ตามตัวอย่างนี้ เงินยูโรเป็น base currency และใช้เป็นเกณฑ์ในการ ซื้อขายด้วย

ถ้า คุณเชื่อว่า เศรษฐกิจของสหรัฐฯ นั้นแข็งแกร่ง และค่าเงินยูโรจะอ่อนแอ เมื่อเทียบกับค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐ คุณต้อง ส่งคำสั่ง Sell EUR/USD นั่นคือ คุณคาดว่าค่าเงินยูโรจะร่วงลงเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ

USD/JPY
ตัวอย่างนี้คือ ค่าเงิน ดอลล่าร์สหรัฐฯ เป็น base currency และใช้เป็นเกณฑ์ในการซื้อขาย

ถ้า คุณคิดว่า รัฐบาลญี่ปุ่น จะทำให้ค่าเงินเยน ตกต่ำเพื่อจะกระตุ้นอุตสาหกรรมส่งออก คุณต้องส่งออร์เดอร์ Buy USD/JPY นั่นหมายถึง คุณซื้อเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ เพราะคาดว่ามันจะแข็งค่าขึ้น เมื่อเทียบกับเงินเงินญี่ปุ่น

ถ้าคุณเชื่อว่า นักลงทุนญี่ปุ่น กำลังดึงเงินออกจากตลาดการเงินสหรัฐฯ และแลกเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ ทั้งหมดที่เขามี ในมือ กลับมาเป็นเงินเยน ซึ่งจะทำให้เงินดอลล่าร์สหรัฐฯ ได้รับความเสียหาย คุณต้องส่งคำสั่ง Sell USD/JPY โดยการทำแบบนี้หมายความว่า คุณคิดว่าค่าเงินสหรัฐฯ มีการอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับค่าเงินเยน

GBP/USD
ตามตัวอย่างนี้ เงินปอนด์เป็น base currency และใช้เป็นเกณฑ์ในการวัดการซื้อหรือขายคู่เงิน

ถ้า คุณคิดว่าเศรษฐกิจของอังกฤษ จะยังคงเติบโตต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ คุณต้องส่งคำสั่ง BUY GBP/USD นั่นคือคุณต้องการซื้อเงินปอนด์ เพราะคิดว่ามันจะขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ

ถ้าคุณคิด ว่าเศรษฐกิจของประเทศอังกฤษจะชะงัก ขณะที่เศรษฐกิจของสหรัฐฯอเมริกายังคงแข็งแกร่งต่อเนื่อง คุณก็ต้องส่งคำสั่ง Sell GBP/USD หมายความว่า คุณต้องขายเงินปอนด์เพราะว่าคุณคิดว่า ราคามันจะลดลง เมื่อ เทียบกับค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ

USD/CHF
ตัวอย่างนี้ ค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ เป็น base currency และจะใช้เป็นเกณฑ์ในการซื้อขาย

ถ้า คุณคิดว่า สวิสฯฟรังค์ ราคาเกินมูลค่าจริงกว่าที่เป็น คุณต้องส่งคำสั่ง BUY USD/CHF โดยคุณซื้อเงินดอลล่าร์ เพราะคุณคิดว่าเงินดอลล่าร์จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเพื่อเทียบกับสวิสฯฟรังค์ ณ ราคาปัจจุบัน

ถ้าคุณเชื่อว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐฯจะเผชิญกับภาวะฟองสบู่แตก ซึ่งกระทบกับกับ การเติบโตของ เศรษฐกิจสหรัฐฯในภายภาคหน้า ซึ่งจะทำให้เงินดอลล่าร์อ่อนค่าลง คุณต้องส่งคำสั่ง Sell USD/CHF เพราะว่าคุณ คิดว่า ดอลล่าร์จะลดค่าลงเมื่อเทียบกับสวิสฯฟรังค์จากราคาปัจจุบัน


หากค่าเงินมูลค่า 10,000 ยูโร เราจะเทรดได้ หรือไม่ ?
เทรดได้ เพราะเราสามารถใช้ margin ได้
คำ ว่า Margin หมายถึง การเทรดโดยการยืมเงินจากโบรกเกอร์นั่นเอง ด้วยเหตุนี้คุณสามารถเปิด position มูลค่า 100,000 เหรียญ หรือ 10,000 เหรียญ โดยเงินเพียง 50 เหรียญ หรือ 1,000 เหรียญ เท่านั้น คุณสามารถถือครอง position ขนาดใหญ่ ด้วยเงินเพียงน้อยนิด และต้นทุนไม่มากนัก

การเทรดแบบใช้มาร์จิ้น ในตลาดค่าเงินนี้ เราเรียกว่า Lots ซึ่งเราจะพูดถึงเรื่องเหล่านี้อย่างละเอียดต่อไป สำหรับ ตอนนี้ ให้คิดแค่ว่า คำว่า lot คือปริมาณค่าเงินอย่างต่ำ ที่คุณสามารถซื้อได้ก็พอ เช่น

เมื่อคุณไปร้านขายของชำและอยากซื้อไข่ คุณไม่สามารถที่จะซื้อไข่เพียงใบเดียวได้ เพราะมันขายเป็นแผง หรือ เราเรียกได้ว่า 1 lot ก็ได้ ในบัญชี Mini 1 lot มูลค่าเท่ากับ 10,000 เหรียญ และในบัญชี standard นั้น มูลค่า 100,000 เหรียญ ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าคุณเปิดบัญชีประเภทไหน หรือ โบรกเกอร์ไหน อีกที

ตัวอย่าง
• คุณคิดว่าสัญญาณทางเทคนิคที่คุณใช้บอกว่า ค่าเงินปอนด์จะสูงขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลล่าร์
• คุณจะเปิด position 1 lot ซึ่งมีมูลค่าเท่ากับ 100,000 คุณอยากซื้อเงินปอนด์ที่ 1 เปอร์เซ็นต์ของมาร์จิ้น และ รอให้ ค่าเงินมันแข็งค่าขึ้น เมื่อคุณซื้อ GBP/USD 1 ลอท(100,000) ที่ราคา 1.5000 คุณกำลัง Buy 100,000 ปอนด์ซึ่งมีมูลค่า 150,000 ดอลล่าร์สหรัฐ (เงินปอนด์ 100,000 หน่วย x 1.50(อัตราแลกเปลี่ยนต่อเงินดอลล่าร์) ถ้ามาร์จิ้นที่ต้องใช้ เท่ากับ 1 % คุณต้องมีเงิน เท่ากับ 1,500 เหรียญ อย่างน้อยในบัญชีของคุณ(150,000 เหรียญX 1%) ตอนนี้คุณ ถือครอง position เงินปอนด์ มูลค่า 100,000 ปอนด์ ซึ่งใช้เงินเพียงแค่ 1,500 เหรียญ ถ้าค่าเงินมัน ขึ้นไปอย่างที่คุณคิด และคุณอยากจะซื้อ
• คุณจะปิด position ที่ราคา 1.5050 คุณจะได้ 50 pip หรือราว ๆ 500 เหรียญ( Pip (ปิ๊บ) คือ จำนวนน้อยที่สุด ที่ค่าเงินเคลื่อนไหว หรือ 1 จุดนั่นเอง)

                    การตัดสินใจของคุณ                                                      GBP           USD
คุณซื้อเงินปอนด์มูลค่า 100,000 ในคู่เงิน GBP/USD ที่ราคา 1.5000          +100,000   -150,000
หลังจากคุณซื้อได้ซักครู่ มันวิ่งไป 50 จุด ที่ราคา 1.5050 คุณเลยอยากจะขาย    -100,000  +150,500**
                 คุณได้กำไร 500 เหรียญ                                                       0       +500


เมื่อ คุณตัดสินใจที่จะปิด position กำไรขาดทุนก็จะถูกคำนวณ และมันก็จะเอาไปรวมกับบัญชีของคุณ ที่คุณเปิด เรื่องมาร์จิ้นมีรายละเอียดกว่านี้ ตอนนี้ คุณคงพอเข้าใจความหมายของมาร์จิ้นบ้างแล้ว

 Rollover

ดอกเบี้ย ค่าเงิน
เรื่อง นี้เกี่ยวกับออร์เดอร์ที่เปิดข้ามคืน จนถึงเวลา "Cut-off time" ปกติประมาณตี 4-5 บ้านเรา จะมีดอกเบี้ยเกิดขึ้น ซึ่งนักเทรดจะได้ หรือจะเสีย เท่าไหร่นั้น ขึ้นอยู่กับ จำนวนมาร์จิ้น ที่คุณถืออยู่ในตลาด ถ้าคุณไม่ต้องการ ดอกเบี้ยนี้ คุณก็ต้องปิดคำสั่งของคุณก่อนจะถึงเวลา ตี 4


เมื่อ ทุกๆ การเทรดค่าเงินนั้นเกี่ยวพันกับการยืมเงิน จากค่าเงินค่าหนึ่ง แล้วนำไปซื้อค่าเงินอีกค่าหนึ่ง ดอกเบี้ยนี้ ก็จะ ถูกชาร์จเข้าไปในการเทรดฟอร์เร็กซ์ ดอกเบี้ยจะถูกจ่ายให้กับค่าเงินที่ถูกยืม และได้รับ ดอกเบี้ยจากค่าเงินที่ถูกซื้อ


ถ้าเทรดเดอร์กำลังซื้อค่าเงินค่า เงินหนึ่ง ที่มีดอกเบี้ยสูงกว่าดอกเบี้ยที่เราต้องเสีย ให้กับคนที่เรายืมมา จะทำให้ ดอกเบี้ย มีผลเป็นบวก (ตัวอย่างเช่น USD/JPY) และเทรดเดอร์จะได้เงินค่าดอกเบี้ยส่วนต่าง เข้าบัญชี คุณสามารถ ถามราย ละเอียด ของ Rollover กับโบรคเกอร์ของคุณ และจำไว้ว่า โบรคเกอร์รายย่อยส่วนมาก จะปรับอัตรา Rollover ซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยที่แตกต่างกัน (เช่น Leverage, อัตรากู้ยืมจาก interbank) คุณอาจจะต้องตรวจสอบ ข้อมูลเรื่อง Rollover ให้ละเอียด ทั้งด้านเครดิต และ เดบิต

ถ้าคุณไม่รู้ว่าอัตราดอกเบี้ยของแต่ละค่า เงิน เท่ากับเท่าไหร่ ภาพนี้จะช่วยให้คุณได้เข้าใจขึ้นบ้าง เป็นภาพของวันที่ 19 เดือน เมษายน ปี 2009

บัญชี Demo
คุณสามารถเปิดบัญชี demo ได้ฟรี แทบจะทุกโบรคเกอร์ ซึ่งบัญชีเดโม จะเหมือนบัญชีจริงทุกอย่าง

ทำไมถึงฟรี?
เพราะ โบรกเกอร์อยากให้คุณใช้โปรแกรมการเทรดของเขาให้คล่อง และถ้าคุณเทรดได้ดี คุณก็จะตกหลุมรัก ฟอร์เร็กซ์ แล้วคุณก็จะอยากฝากเงินจริง บัญชีเดโมจะทำให้คุณเรียนรู้เกี่ยวกับตลาดฟอร์เร็กซ์ได้ง่ายขึ้น และ สามารถทดสอบ ความสามารถ ในการเทรดของคุณได้ โดยที่คุณไม่ต้องเสี่ยง ที่จะเสียเงินเลย

คุณควรจะเทรดบัญชีเดโมอย่างน้อย 3 - 6 เดือน ก่อนที่คุณคิดว่าจะใส่เงินจริงลงไป

ขอย้ำอีกครั้งว่า คุณควรจะเทรด บัญชีเดโม อย่างน้อย 3 - 6เดือน ก่อนที่คุณคิดจะใส่บัญชีเงินจริงของคุณลงไป
                                                         
   (ถ้าเป็นไปได้)

"อย่าเสียเงินของคุณ" ให้พูดออกมา
เอามือของคุณมาแนบกับหน้าอก แล้วก็พูดออกมา....
"ฉันจะเล่นบัญชีจริงเป็นเวลา 3 - 6 เดือนก่อนที่จะเทรดเงินจริง"
แล้วเอานิ้วชี้ชี้ไปที่หัวของคุณแล้วบอกว่า...

"ฉันเป็นนักเทรดที่ฉลาดและอดทน"
 
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/t625/?/

ความแตกต่างระหว่าง forex กับ หุ้น

ความแตกต่างระหว่าง forex กับ หุ้น

   ความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่าง ฟอร์เร็กซ์ กับ หุ้น
       ความได้เปรียบ                  Forex       หุ้น
       เทรดได้ตลอด 24 ชั่วโมง      YES       NO
       ฟรีค่าธรรมเนียมในการเทรด    YES       NO
       สามารถส่งคำสั่งเทรดได้ทันที  YES       NO
       สามารถเล่น Short Sell ได้   YES       NO


เทรดได้ 24 ชั่วโมง
ตลาด ฟอร์เร็กซ์ เป็นตลาดที่ไม่มีจุดสิ้นสุด เพราะ เปิดตลอด 24 ชั่วโมง โบรคเกอร์ส่วนมาก เปิดตั้งแต่วันอาทิตย์ เวลา บ่ายสอง จนถึง บ่ายสี่โมงวันศุกร์ (เวลาสหรัฐฯ) แต่ฝ่ายบริการลูกค้าเปิดตลอด 24 ชั่วโมงตลอด 7 วัน ทำให้เรา สามารถเทรดสามตลาดคือ ตลาดสหรัฐฯ ตลาดเอเชีย และตลาดยุโรป สามารถกำหนดตารางการเทรดได้

ฟรีค่าธรรมเนียมในการเทรด
ฟอร์เร็กซ์ โบรคเกอร์ ส่วนใหญ่ไม่มีการชาร์จค่าคอมมิชชั่น หรือ ค่าดำเนินการใด ๆ ในการเทรดค่าเงินออนไลน์ หรือ ทางโทรศัพท์ ถ้ารวมค่าใช้จ่ายต่าง ๆ และค่า spread แล้ว การเทรดฟอร์เร็กซ์ มีต้นทุนในการเทรด ต่ำกว่าตลาดใด ๆ ในโลก โบรคเกอร์ได้รับรายได้จากส่วนต่างของ Bid/Ask ซึ่งก็คือ ค่า Spread นั่นเอง

สามารถส่งคำสั่งเทรดได้ทันที Instantaneous Execution of Market Orders
เมื่อ ส่งคำสั่ง สามารถทำได้ทันทีภายใต้ภาวะตลาดปกติ และได้ราคาที่คุณคิด ดังนั้น เมื่อคลิ๊กที่ราคาไหน ก็จะได้ ราคานั้น เพราะตลาดฟอร์เร็กซ์เป็นระบบเรียลไทม์ จะได้ราคาที่อยากได้ที่แสดงในหน้าจอโปรแกรมเทรด จะเห็นได้ว่า โบรคเกอร์ส่วนใหญ่จะรับประกันเพียงแค่ ออร์เดอร์ Stop , Limit หรือ ออร์เดอร์ที่คุณเข้าเทรดภายใน ภาวะตลาดปกติ เท่านั้น แต่ว่าถ้าเกิดในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนมาก ออร์เดอร์อาจจะมีการล่าช้าบ้าง ทำให้ไม่ได้ราคาที่ตามคิด

สามารถเล่น Short-Selling ได้
ตลาด ฟอร์เร็กซ์ ไม่เหมือนตลาดทุนอื่นๆ ไม่มีกฏเงื่อนไข ใด ๆ ในการส่งคำสั่ง Short selling โอกาสในการเทรด ขึ้นอยู่กับ ภาวะตลาดไม่ว่าเทรดเดอร์จะ Buy หรือ Sell หรือว่าตลาดจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางไหน เพราะเมื่อมี การซื้อ ค่าเงินหนึ่ง ก็ต้องมีการขายอีกค่าเงินหนึ่ง จึงไม่มีผลกระทบอะไรกับตลาด ดังนั้น จึงสามารถส่งคำสั่งได้ตลอด ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่ตลาดกำลังเป็น ขาขึ้น หรือ ขาลง

 ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/forex-622/?/

ทฤษฎี Elliott Wave


ย้อนกลับไปในปี 1920-30s มีอัจฉริยะด้านการบัญชีคนหนึ่งชื่อ
Ralph Nelson Elliott (ราฟ เนลสัน เอลเลียต)
ได้ ทำการวิเคราะห์วิจัยตลาดหุ้นอย่างใกล้ชิด กับข้อมูลบน 75 ปี ของ ตลาดหุ้น เขาพบว่า ตลาดหุ้นนั้น มีพฤติกรรมที่การเคลื่อนไหวของราคาที่ไร้รูปแบบ
ซึ่งปกติไม่ได้เป็นแบบนั้น

เมื่ออายุ 66 ปี เขาได้หลักฐานสุดท้ายที่ทำให้มั่นใจในการค้นพบของเขา เข้าตีพิมพ์ทฤษฎีลงหนังสือ
ชื่อThe Wave Principle.
เขา บอกว่า ตลาดนั้นมีการเทรดเป็นลักษณะวงจรที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ กัน ซึ่งสาเหตุนั้นมาจาก อารมณ์ของนักลงทุน ที่ส่งผลมาจากปัจจัยต่าง ๆ กัน เช่น (ข่าวใน CNBC Bloomberg, ESPN) หรือ ข่าวที่มีผลต่อจิตวิทยา ของนักลงทุน เวลานั้น ๆ
อธิบายว่า การสวิงขึ้นลงของทิศทางราคา สาเหตุนั้นเกิดจากพฤติกรรมทางจิตวิทยา ซึ่งแสดงออกมาในรูปแบบเดิม ๆ ซ้ำ ๆ เสมอ ๆ
เขาเรียกการสวิงขึ้นลงของราคาในลักษณะนี้ว่า คลื่น หรือ Waves
เขา เชื่อว่า ถ้าเราสามารถวิเคราะห์ได้อย่างถูกต้องเกี่ยวกับพฤติกรรมราคาที่เกิดซ้ำ ๆ ได้ ก็จะสามารถทำนาย ทิศทางราคาได้ ว่ามันจะไปทางไหน (หรือว่าไม่เคลื่อนไหว) ต่อไป

สิ่งนี้ทำให้ Elliott waves นั้นเป็นที่นิยมในหมู่นักเทรด มันทำให้พวกเขาสามารถวิเคราะห์ราคา ว่าจะไป ทิศทางไหน หรือ กลับตัวที่จุดไหน หรือถ้าจะให้พูดอีกอย่าง

Elliot Wave ทำให้นักเทรดสามารถจับรูปแบบการเกิด Top จุดสูงสุด กับ Bottom จุดต่าสุดได้
ดังนั้น ท่ามกลางความวุ่นวายของทิศทางราคา Elliott สามารถค้นพบการจัดเรียงตัวของมัน

เหมือนอัจฉริยะคนอื่น ๆ เขาต้องเป็นเจ้าของการค้นพบนี้
ดังนั้น จึงมีชื่อทฤษฎีของเขาว่า The Elliott Wave Theory.

ก่อนที่เราจะเจาะลึกตัว Elliott waves ต้องเข้าใจเป็นอันดับแรกก่อนว่า มันคือ Fractals
โดย ทั่วไปแล้ว Fractal เป็นโครงสร้างแบบหนึ่งที่สามารถแบ่งออกเป็นส่วน ๆ ได้ ซึ่งส่วนต่าง ๆ เหล่านั้น ที่ถูกแยกออกมา จะมีลักษณะความคล้ายคลึงกัน นักคณิตศาสตร์จะเรียกปรากฏการณ์ นี้ว่า "ความเหมือนในตัวมันเอง" หรือ Self similarity คุณไม่ต้องไปหาตัวอย่างของเรื่อง Fractal นี้ที่ไหนไกล เพราะตัวอย่างของมัน เราสามารถหาได้ตามธรรมชาติมากมาย อยู่แล้ว


 เปลือกหอยทะเล ก็เป็นตัวอย่างของ Fractal แบบหนึ่ง เกล็ดหิมะก็เป็น Fractal และรวมทั้งเมฆ และสายฟ้าก็เป็น Fractal ด้วยเช่นกัน

Fractal สาคัญ อย่างไร?
สิ่ง สาคัญอย่างหนึ่งของลักษณะของ Elliot Wave คือมันเป็น Fractal ซึ่งมีลักษณะเดียวกันกับ เปลือกหอยทะเล และเกล็ดหิมะ Elliot Wave จะแบ่งย่อย ๆ ได้เป็นกลุ่มคลื่นเล็ก ๆ ได้อีกมากมาย

Mr. Elliott กล่าวว่า ตลาดและการเคลื่อนไหวของทิศทางราคาในตลาดนั้น เคลื่อนไหวในรูปแบบที่เขาเรียกว่า 5 -3
รูปแบบคลื่น 5 คลื่นแรก เรียกว่า Impulse waves
รูปแบบคลื่น 3 คลื่น เรียกว่า Corrective waves
เวฟรูปแบบนี้ เวฟที่ 1 3 5 เป็นรูปแบบ Motive หมายถึง จะไปในทิศทางเดียวกับเทรนด์หลัก ขณะที่เวฟ 2 4 เป็น Corrective

อย่าสับสนกับเวฟ 2 และ 4 มาปนกับรูปแบบ Corrective ABC (อยู่ในเรื่องต่อไป)

รูปแบบ 5 คลื่นแบบ Impulse

หรือ

 กำหนดสีให้ เพื่อมีการนับคลื่นง่ายขึ้น ทำความเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นในแต่ละเวฟ

จะ ใช้หุ้นเป็นตัวอย่าง เพราะ หุ้นเป็นกรณีศึกษาของ Elliott แต่ไม่สาคัญ เพราะมันใช้ได้ทั้ง ค่าเงิน อนุพันธ์ ทอง สิ่งสำคัญคือ ทฤษฎี Elliot Wave สามารถประยุกต์ในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราได้

คลื่นที่ 1
ราคาหุ้น พุ่งขึ้น เป็นเพราะ มีคนกลุ่มเล็ก ๆ ในตลาด (ด้วยหลาย ๆ เหตุผล ทั้งจินตนาการ หรือการคิดแบบมีเหตุผล ของพวกเขา) พวกเขาคิดว่าราคาหุ้นนั้นถูก และเป็นเวลาเหมาะที่จะซื้อ ทำให้ราคาขึ้น

คลื่นที่ 2
จุด นี้ เป็นจุดที่ผู้คนส่วนหนึ่งที่ถือหุ้นมาก่อน แล้วคิดว่าหุ้นได้แพงเกินมูลค่าของมันแล้ว พวกเขาจึงขายทำกำไร ออกมา ทำให้ราคาหุ้นลง อย่างไรก็ตาม ราคาจะไม่ต่ากว่าราคา Low เดิม (ราคาต่ำสุดครั้งก่อนหน้า) ก่อนที่จะมี การเคลื่อนไหวในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง ต่อไป

คลื่นที่ 3
เป็นคลื่นที่แรงที่สุด ในบรรดาคลื่นเหล่านี้ หุ้นขึ้นมาจาก คนส่วนใหญ่ที่เข้ามาร่วมกันซื้อ ผู้คนสนใจหุ้นตัวนี้มากขึ้น และอยากจะซื้อมัน ทำให้ราคาพุ่งสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ซึ่งจะทะลุราคาสูงสุดของคลื่นที่ 1 ก่อนหน้านี้ไป

คลื่นที่ 4
เท รดเดอร์เริ่มขายทำกำไร เพราะพวกเขาคิดว่าราคาหุ้นแพงไปแล้ว แต่ว่าคลื่นนี้ก็ไม่ค่อยมีแรงขายมากเท่าไร เพราะยังมีคนเข้ามาในตลาดเพิ่มขึ้น และยังคิดว่าหุ้นตัวนี้ยังอยู่ในขาขึ้น และอยากจะซื้อในราคาที่มันปรับฐานลงมา

คลื่นที่ 5
เป็นจุดที่คน ส่วนใหญ่เข้าสู่ตลาด หุ้นซึ่งมาจากอารมณ์ของพวกเขาล้วน ๆ เพราะคุณเห็น CEO ของบริษัทออกมาพูด ในหน้าต่าง ๆ ของนิตยสารดัง ๆ ในฐานะบุคคลแห่งปี เทรดเดอร์และนักลงทุนเริ่มหาเหตุผล มาซื้อหุ้นตัวนี้ และ พยายามทำให้คุณตกใจกับราคาที่พุ่งไป ถ้าคุณคิดว่าหุ้นตัวนี้แพงมากแล้ว
ซึ่ง เหตุการเหล่านี้เกิดขึ้นเมื่อ ราคาหุ้นเริ่มที่จะมีมูลค่าสูงเกินจริง ซึ่งพวกที่เล่น Short ก็จะเริ่มเข้ามา Sell ในตลาด เมื่อหุ้นเริ่มเข้าสู่ภาวะ ABC

คลื่นขยาย Impulse Waves
สิ่ง หนึ่งที่ต้องรู้ เกี่ยวกับทฤษฎี Elliot Wave คือ คลื่นแบบ Impulse 3 คลื่น (1 3 5) ซึ่งจะมีคลื่นตัวใดตัวหนึ่ง ยาวกว่าอีกสองคลื่นเสมอ

เริ่มจาก คลื่นที่ 1 แล้วคลื่นที่ 3 จะยาวกว่าคลื่นที่หนึ่ง และคลื่นที่ 5 ตามระดับความยาวของแรงคลื่น

ตาม ที่ Elliott กล่าวไว้คลื่นที่ 5 จะเป็นคลื่นขยายเข้ามาตอนท้าย แต่เมื่อเวลาผ่านไป ก่อนคลื่นที่ 5 เปลี่ยนไป เพราะว่าทุกคนเริ่มใช้คลื่นที่สาม มาเป็นคลื่นขยายเข้ามา

*คลื่นขยาย หมายถึง ตัวคลื่นที่มีความยาวกว่าคลื่นปกติ หรือได้ถูกขยายออกไป*
เท รนด์ของคลื่นทั้ง 5 จะถูกยืนยันจากการเกิดรูปแบบกลับตัว จากคลื่นสามคลื่น ที่ตรงข้ามกับเทรนด์ ตัวอักษรจะถูกใช้แทนการใช้ตัวเลขในการนับเทรนด์
ดูตัวอย่างของการนับคลื่นแบบ Corrective 3-wave pattern

ตลาดในภาวะกระทิง


ตลาดในภาวะหมี


ตาม ที่ Elliott กล่าวไว้ มีรูปแบบ Corrective Wave ABC อยู่ 21 รูปแบบ จากรูปแบบง่าย ๆ ไปจนถึง รูปแบบที่มี ความซับว้อน ไม่จำเป็นต้องจดจำรูปแบบทั้ง 21 ชนิดทั้งหมด เพราะสร้างขึ้นมาจากรูปแบบสามรูปแบบ ที่สามารถเข้าใจได้ง่าย

ดูรูปแบบสามรูปแบบ รูปแบบข้างล่าง ใช้กับเทรนด์ขาขึ้น แต่สามารถปรับใช้กับเทรนด์ขาลงได้เช่นเดียวกัน

รูปแบบ Zig-Zag


รูป แบบ Zig-zag เป็นรูปแบบกราฟทิศทางราคาที่มีความชันมาก ซึ่งไปในทิศทางตรงกันข้ามกับเทรนด์ คลื่น B ปกติ จะสั้น เมื่อเปรียบเทียบกับคลื่น A และคลื่น C ซึ่งรูปแบบ zig zag สามารถเกิดสองหรือสามครั้งใน Elliott wave Correction (มี zig zag สองถึงสามอันต่อกัน) และเหมือนคลื่นอื่น ๆ คลื่นแต่ละชนิดใน Zig Zag สามารถแตกย่อย เป็น 5 คลื่นได้อีกเหมือนกัน

รูปแบบราบ


รูป แบบราบ เป็นรูปแบบ Side way corrective wave ความราบของความยาวของคลื่นจะมีเท่า ๆ กัน ซึ่ง คลื่น B เป็นการกลับตัวของคลื่น A และ คลื่น C เป็นรูปแบบการกลับตัวของคลื่อน B อีกที เป็นไปได้ว่า คลื่น B อาจจะเลย จากจุดกำเนิดของคลื่น A ได้บ้างเล็กน้อย

รูปแบบสามเหลี่ยม


รูป แบบสามเหลี่ยม เป็นรูปแบบที่ราคาเป็นคลื่นเด้งขึ้นลง อยู่ในแนวเส้นรูปสามเหลี่ยม สามเหลี่ยมจะมี 5 คลื่น ที่อยู่ในรูปสามเหลี่ยม อาจจะเป็นแบบสามเหลี่ยมหดตัวลง หรือ กว้างขึ้น

คลื่น Elliott เป็น Fractal ซึ่งคลื่นแต่ละคลื่นจะมีคลื่นเล็ก ๆ แทรกอยู่


 คลื่น ที่ 1, 3, และ 5 จะมีคลื่นเล็ก ๆ แทรกอยู่ในคลื่นเหล่านี้ และคลื่นที่ 2 และคลื่นที่ 4 ก็มี 3 คลื่นเล็กๆ แทรกอยู่ในนั้น ด้วยเหมือนกัน
ต้องจำไว้เสมอว่า คลื่นแต่ละคลื่นจะประกอบด้วยคลื่นเล็ก ๆ อีก ซึ่งรูปแบบนี้จะมีความคล้ายตัวของมันเอง จนไม่มีที่สิ้นสุด!

 ให้ เราเข้าใจเรื่องนี้ง่าย สามารถบอกได้ว่า ทฤษฎี Elliott Wave เป็นการจัดลำดับจากคลื่นที่ใหญ่สุด ไปหาคลื่น ที่เล็กที่สุด ประกอบด้วย:

- Grand Supercycle
- Supercycle
- Cycle
- Primary
- Intermediate
- Minor
- Minutte
- Minuette
- Sub-Minuette

Grand Supercycle ได้มาจากคลื่น Supercycle ที่มาจากคลื่นแบบ Cycle ที่มาจากคลื่นแบบ Primary ที่มาจากคลื่นแบบ Intermediate ที่มาจากคลื่นแบบ Minor ที่มาจากคลื่นแบบ Minuette ที่็มาจากคลื่นแบบ Sub-Minuette

ทำให้ทฤษฎีที่ได้อธิบายให้ง่าย ดูว่าเราจะใช้ Elliott Wave ในกราฟจริง ได้อย่างไร


 อย่าง ที่เห็นคลื่นไม่ได้มีรูปร่าง แบบที่เราอธิบายไป ในกราฟจริง จะพบว่ามันยากที่จะกำหนดคลื่นด้วย แต่ว่า ยิ่งคุณ ฝึกมากเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งเข้าใจมัน ได้มากขึ้นเท่านั้น  อีกประการในที่นี้เราจะให้เคล็ดลับ และเพื่อให้ง่ายในการวิเคราะห์ลักษณะของคลื่น จะทำให้คุณเทรดโดยใช้คลื่น Elliotte ได้ดี มาโต้คลื่นกัน!


 คุณ คงจะคิดว่า การใช้ Elliot Wave ในการเทรด ขึ้นอยู่กับความสามารถที่จะวิเคราะห์ตัวคลื่นได้ ในการพัฒนาการมองคลื่นของเราว่า ตอนนี้ ตลาดอยู่ในคลื่นที่เท่าไหร่

คุณจะสามารถบอกได้ว่าคุณควรจะเทรดด้านไหน Buy หรือ Sell

 มี กฏสำคัญ 3 ข้อ ที่ห้ามแหกกฏ เพื่อการวิเคราะห์คลื่น ดังนั้นก่อนที่คุณจะเข้าเทรดแบบทฤษฎี Elliotte Wave คุณต้องจดบันทึกกฏต่อไปนี้ไว้

การวิเคราะห์คลื่นผิดจะทาให้เงินในบัญชีของเราหายไปอย่างมาก

กฏ 3 ข้อ ของทฤษฎี Elliott Wave Theory

- กฏข้อที่ 1 : คลื่นที่ 3 จะไม่มีทางสั้นกว่า คลื่นที่ 1 และ คลื่นที่ 5
- กฏข้อที่ 2 : คลื่นที่ 2 จะไม่ลงไปต่ากว่า จุดเริ่มต้น ของคลื่นที่ 1
- กฏข้อที่ 3 : คลื่นที่ 4 จะไม่สามารถลงไป จนถึงพื้นที่ของ คลื่นที่ 1 ได้

มีแนวทางที่จะช่วยให้คุณระบุลักษณะของคลื่น ได้อย่างถูกต้อง ซึ่งจะไม่เหมือนกับกฏทั้ง 3 ข้อ คือ

แนวทางสามารถยืดหยุ่นได้ ดังนี้ :

- ในทางกลับกัน บางครั้ง คลื่นที่ 5 จะไม่ลงไปต่ากว่าจุดสิ้นสุด ของคลื่นที่ 3 ซึ่งเรียกว่า การแบ่งเป็นส่วน ๆ
- คลื่นที่ 5 จะไม่ทะลุเส้นเทรนด์ไลน์ ที่ลากเฉียงมาจากจุดเริ่มต้นของคลื่นที่ 3 และจุดเริ่มต้นของคลื่นที่ 5
- คลื่นที่ 3 จะยาว คม และ ขยายออกไป
- คลื่นที่ 2 และ 4 จะหลุดออกจาก แนวเส้น Fibonacci


สิ่งที่รออยู่ คือ การใช้ทฤษฎีคลื่น Elliott ในการเทรด เราจะมาดูการประยุกต์ใช้ในการหา จุดเข้า จุดหยุดขาดทุน และจุดทำกำไร

เหตุการณ์ที่ 1 ในบางสถานการณ์ การไม่ต้องมีเหตุผลอาจจะดีกว่าก็เป็นได้ :
เช่น คุณต้องการเริ่มนับคลื่น จะเห็นว่าราคาเริ่มจะมีจุดต่ำสุด และเริ่มจะมีการเคลื่อนไหวขึ้น ใช้ความรู้ของคุณเรื่อง Elliot Wave คุณเริ่มนับตรงนี้ว่า เป็นคลื่นที่ 1 และจุดแนวรับเป็นคลื่นที่สอง


 ในการหาจุดเข้าที่ดี ต้องกลับไปดูกฏทั้ง 3 ข้อ และ แนวทางในการใช้ Elliott Wave มาประยุกต์ใช้ สิ่งที่จะต้องเจอคือ:

- กฏข้อที่ 2 คลื่นที่ 2 จะไม่ลงไปต่ากว่า จุดเริ่มต้น ของคลื่นที่ 1
- คลื่นที่ 2 และ คลื่นที่ 4 จะเคลื่อนไหวออกจากแนวเส้น Fibonacci

ดัง นั้น เราควรใช้ทักษะของ Elliot Wave ในการเทรด ถ้าคุณลองใส่ Fibonnacci ลงไปในกราฟของคุณ ถ้าราคา อยู่ที่แนว Fibonnacci และราคากำลังเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบ ๆ ระหว่างเส้น Fibonacci 50% ซึ่งหมายความว่า นี่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้น ของคลื่นที่ 3 เป็นสัญญาณซื้อที่แรงมาก สัญญาณหนึ่ง


ตั้งแต่ คุณได้เรียนรู้อะไรไปเยอะ จะเห็นว่าสิ่งหนึ่งที่สำคัญ คือ คุณจะต้องใส่ จุดหยุดขาดทุน เข้าไปด้วย ตามกฏ ข้อที่ 2 ที่บอกว่า คลื่นที่ 2 จะไม่ไปต่ำกว่า จุดเริ่มต้นของคลื่นลูกที่ 1 ดังนั้นคุณอาจจะตั้ง จุดหยุดขาดทุน (Stop loss) ไว้ให้ต่ำกว่าจุดต่ำสุดครั้งก่อนหน้า หรือ จุดเริ่มต้นของคลื่นที่ 1 อยู่นิดหน่อย ถ้าราคาลงไปเยอะกว่า 100 % ของคลื่นลูกที่ 1 นั่นหมายความว่า คุณนับคลื่นผิด มาดูว่าเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ ...


 การวิ เคราะห์ Elliott Wave ของคุณได้ผลเป็นอย่างดี และสามารถเข้าเทรนด์ใหญ่ ๆ ได้ ไม่ต้องห่วง เพราะเรา มีวิธีทำกำไร ที่คุณสามารถทำเงินได้อีกครั้ง

เหตุการณ์ที่ 2 ตอนนี้ จะให้คุณใช้ความรู้ที่คุณมี ในการวิเคราะห์ Elliot Wave แบบ corrective waves ในการหาจุดเข้า-ออก


คุณ ต้องเริ่มนับคลื่นตอนขาลง และสังเกตุว่า รูปแบบ ABC corrective กำลังเคลื่อนไหวเป็น Side way ซึ่งนี่เป็น รูปแบบราบ (Flat formation) หมายความว่า ราคาพึ่งจะเริ่มเป็นตัว Elliott Wave อีกครั้งเมือ ตัวคลื่น C จบลง


เชื่อ ในทักษะ ให้คุณส่งออร์เดอร์ Sell และจะได้ขี่เทรนด์ไปด้วยกัน ส่งออร์เดอร์หยุดขาดทุน ให้เหนือกว่า จุดเริ่มต้น ของคลื่นที่ 4 นิดหน่อย เผื่อว่าคุณจะนับคลื่นผิด


 เพราะ เราชอบตอนจบแบบ แฮปปี้ เอนดิ้ง การเทรดของคุณประสบความสำเร็จไปได้ด้วยดี และทำกำไรให้คุณได้หลายพันจุด ซึ่งเกิดขึ้นได้ไม่บ่อยนัก

คุณยังได้บทเรียนตอนนี้อีกว่า อย่าไปเล่นการพนัน แล้วใช้กำไรที่ได้ เพิ่มทุนเข้าไปให้บัญชีจะดีกว่า

- Elliott Waves เป็น fractals คลื่นแต่ละคลื่นสามารถแยกเป็นคลื่นย่อย ๆ ได้ ซึ่งเมื่อแบ่งออกมาแล้ว จะมีลักษณะ ความคล้ายกันของตัวมันเองอยู่ทุกคลื่น นักคณิตศาสตร์มักจะเรียกปรากฏการนี้ว่า ความคล้ายตัวของมันเอง หรือ "self-similarity"

- ตลาดที่เกิดเทรนด์ จะเคลื่อนไหวเป็นรูปแบบ คลื่น 5 - 3
- คลื่น 5 คลื่นแรก เรียกว่า Impulse wave.
- คลื่นใดคลื่นหนึ่ง ใน 3 คลื่นแบบ impulse (1, 3, หรือ 5) จะเป็นคลื่นขยาย ซึ่งปกติจะเป็นคลื่นที่ 3
- คลื่น 3 คลื่นหลัง เรียกว่า คลื่น corrective จะใช้ตัวอักษรแทนการเรียกเป็นเลข
- คลื่นที่ 1, 3 และ 5, จะมีคลื่นเล็ก ๆ แบบ impulse อยู่ในนั้น 5 คลื่น ขณะที่คลื่น 2 – 4 จะมีคลื่นเล็ก ๆ แบบ corrective อยู่ 3 คลื่นแทรกอยู่ในนั้น
- มีคลื่นแบบ corrective อยุ่ 21 ชนิด แต่ว่ามันมีพื้นฐานมาจากพื้นฐานของ 3 ชนิด ง่ายที่จะทำความเข้าใจ
- รูปแบบพื้นฐานของ Corrective เหล่านั้นคือ ซิกแซก (zig-zags), แบบราบ (flats), และ แบบสามเหลี่ยม (triangles)
- มีกฏสามข้อในการระบุคลื่น:
-- กฏข้อที่ 1 คลื่นที่ 3 จะไม่สั้นกว่า คลื่นที่ 1 และคลื่นที่ 5
-- กฏข้อที่ 2 คลื่นที่ 2 จะไม่ลงไปต่ำกว่าจุดเริ่มเกิด คลื่นที่ 1
-- กฏข้อที่ 3 คลื่นที่ 4 จะไม่ลงไปต่ำจนถึงพื้นที่ของ คลื่นที่ 1
-- ถ้าคุณมองดูให้ดี ๆ ตลาดนั้นเคลื่อนไหวเป็นแบบคลื่นจริง ๆ
-- เพราะว่าตลาดไม่ได้เคลื่อนไหวง่าย ๆ ตามที่เราได้อธิบาย แต่ว่ามันจะใช้เวลานานมากในการวิเคราะห์คลื่น ก่อนที่คุณจะเริ่มรู้สึกว่า คุณจะหาคลื่น Elliott ได้ง่าย ขอให้คุณขยันเข้าไว้และอย่ายอมแพ้!

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/elliott-wave/?/

Forex กับการ Send Order

Forex Send Order คือ การส่งคำสั่งซื้อ หรือการลงเงินเพื่อเล่นสกุลเงินใด สกุลเงินหนึ่งที่เราจะเล่น ก่อนที่เพื่อนๆ จะสร้างรายได้จาก Forex เพื่อนๆ ต้องใช้คำสั่งซื้อเป็นเสียก่อน เพราะคำสั่งซื้อใน Forex จะมีอยู่ด้วยกัน 2 แบบ เพื่อนๆ สามารถเลือกใช้คำสั่งไหนก็ได้แล้วแต่เหตุผลที่เราวิเคราะห์ออกมา และคำสั่งซื้อ 2 แบบที่ว่าคือ Long และ Short มันมีความหมายว่าอย่างไร เรามาดูกัน

Long คือ
การ ซื้อในราคาต่ำ เพื่อที่จะขายในราคาที่สูงกว่า เช่น ถ้าตลาดอยู่ในช่วงขาขึ้น แล้วเราเล่น EURO/USD และถ้าเราคิดว่า ค่าเงินตัวนี้มันจะพุ่งขึ้นสูงกว่านี้อีก เราก็ Long หรือซื้อแบบ Longไว้ เมื่อเราซื้อไว้แล้ว ถ้ามันยิ่งขึ้นสูงมากเท่าไร เราก็ยิ่งได้กำไรมากขึ้นเช่นกัน

Short คือ
การ เล่นตอนที่ตลาดขาลง เช่น ถ้าเราเล่น EURO/USD แล้วตลาดขณะนั้นเป็นขาลง และเมื่อเราวิเคราะห์แล้วว่า มันยังจะลงต่อไปเรื่อยๆ ให้เราใช้คำสั่งซื้อ Short และเมื่อเราซื้อแล้ว ยิ่งตลาดลงเท่าไร เราก็ยิ่งรวยมากขึ้นเท่านั้น


- ดังนั้น เราจึงต้องวิเคราะห์ตลาด และกราฟให้ดี ช้าไม่ว่ากัน แต่เร็วแล้วหมดตัวนี่ซิแย่แน่ๆ และก่อนจะใช้คำสั่ง สั่งซื้อกัน เรามาดูรายละเอียดของตรางสั่งซื้อกันก่อนนะ

- Instrument - สกุลเงิน แล้วแต่ว่าเราชอบแบบไหน
- Buy/Sell - คือ การที่คุณจะ ซื้อ หรือ ขาย
- Price - ราคา
- Price type - ชนิด
- Duration - ระยะเวลา
- Duration type - ชนิดของระยะเวลา
- Quantity - จำนวน
- Quantity type - ชนิดของจำนวน
- Exist stop loss – ตั้งค่าให้ขายออกในกรณี หุ้นราคาตก เพื่อลดการขาดทุน
- Exit target – ตั้งค่าให้ขายอัตโนมัติ เมื่อได้ระดับราคาที่เรากำหนด
- Desk - ชนิดของตังที่ลง (จริงหรือปลอม) ถ้า Virtual trading คือเงินปลอม ให้หัดเล่นฝึกฝีมือ แต่ถ้าเป็นLive trading คือเงินจริง
- Text – ข้อความ ไว้ใส่ note ช่วยเตือนความจำ ก็ไม่ต้องไปเปลี่ยนแปลงค่าอะไร ให้ละไว้

วันนี้ เราก็ได้รู้จัก คำสั่งซื้อ ของ Forex กันแล้ว เมื่อเข้าใจบ้างแล้วก็เริ่มเทรดค่าเงินกันได้เลย แต่เราต้องบอกไว้ก่อนนะ ว่าอย่าใจร้อนเล่นเงินจริง ให้เล่นเงินปลอมเพื่อให้ได้ความรู้เพิ่มมากขึ้นก่อน แล้วหลังจากนั้นก็แล้วแต่คุณ คิดว่าน่าที่จะเสี่ยงหรือเปล่า

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/forex-send-order/?/

การขาดทุนติดๆกัน และภาวะอาการ “จิตหลุด” ของนักเล่นหุ้น

การขาดทุนติดๆกัน และภาวะอาการ “จิตหลุด” ของนักเล่นหุ้น โดย Barry Lutz
ใน ช่วงที่ตลาดหุ้นเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆ หรือเคลื่อนไหวอยู่ในแนวโน้มขาลงนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นประจำกับนักเล่นหุ้นทุกคนนั้น คือการขาดทุนที่มักจะเกิดขึ้นติดๆกันเป็นระยะ สิ่งที่สำคัญที่สุดในช่วงนี้คือการควบคุมอารมณ์และสติของเราให้มั่นคง เพื่อที่จะรักษาวินัยในการลงทุนเอาไว้ และในวันนี้ผมได้นำวิธีการง่ายๆที่อาจช่วยให้คุณควบคุมอารมณ์และสติของคุณ ได้ดียิ่งขึ้นเมื่อต้องเจอกับตลาดที่ไม่เอื้ออำนวยครับ  

คุณได้ เข้าซื้อหุ้นไปสักพักหนึ่ง หลังจากนั้นไม่นานมันก็เริ่มดิ่งหัวลง หลังจากนั้นคุณจึงตัดสินใจครั้งใหม่ที่จะ Short หุ้น แต่หลังจากนั้นไม่นานมันก็เด้งขึ้นทันที นับรวมแล้วก็เป็นอันว่าคุณขาดทุนติดกัน 2 ครั้งเสียแล้ว และมันทำให้คุณรู้สึกค่อนข้างลังเลขใจเล็กน้อย นั่นทำให้คุณรู้สึกแหยงๆที่จะไม่เทรดหุ้นในสัญญาณครั้งต่อไป และเป็นอย่างที่คุณคิดเอาไว้ นั่นเป็นสัญญาณที่ทำให้คุณได้กำไร! เอาล่ะสมมุติว่ามันแย่กว่านั้นอีก คุณตัดสินใจไล่ซื้อตามมันไป ซึ่งหลังจากที่คุณได้ไล่ซื้อมันไปไม่นานนัก มันก็ดิ่งหัวลงมาและทำให้คุณขาดทุนอีกครั้ง สรุปแล้วในขณะนี้คุณขาดทุนติดกันถึง 3 ครั้งแล้ว..   

คุณอาจคิดว่า “โอเค.. ลองอีกครั้งก็ได้ฟระตรู เรื่องอย่างนี้มันเกิดขึ้นได้เสมอแหละวุ้ยยยย”

ใน ครั้งนี้ คุณตัดสินใจอย่างฉลาดสุดๆ คุณสังเกตได้ว่าตลาดนั้นวิ่งอยู่กรอบแคบๆ มันจะเด้งขึ้นเมื่อเจอกับแนวรับ และเด้งลงเมื่อเจอกับแนวต้าน ดังนั้นในครั้งต่อไป คุณจึงตัดสินใจที่จะซื้อ-ขายเมื่อมันวิ่งไปชนกับกรอบราคา แทนที่จะเล่นด้วยระบบเดิมๆของคุณ

ต่อมานั้น ตลาดได้วิ่งไปคลอเคลียอยู่แถวแนวรับ ซึ่งมันเข้าทางกับแผนการที่คุณได้วางเอาไว้ คุณจึงตัดสินใจ “ซื้อมันซะเลย” แต่แทนที่มันจะเด้งขึ้นเหมือนอย่างที่ผ่านมา ราคาของหุ้นกลับดิ่งทะลุแนวรับไปเสียนี่.. และนี่ไม่เพียงทำให้คุณขาดทุนติดๆกันถึง 4 ครั้ง แต่นี่เป็นการขาดทุนจากการที่คุณแหกระบบที่ดีที่สุดระบบหนึ่งของคุณไป เท่านั้นยังไม่พอ มันยังเป็นสัญญาณที่หากว่าคุณทำตามระบบไปละก็ กำไรในคราวนี้จะกลบการขาดทุนใน 3 ครั้งที่ผ่านมาทั้งหมดเลยทีเดียว

เอา ล่ะ เมื่อมาถึงตอนนี้คุณจะทำอย่างไรต่อไป.. “เลิกเล่น?” แล้วพยายามยับยั้งชั่งใจไม่ให้ตัวเองหลงผิดมาเก็งกำไรครั้งใหม่.. โยนคอมพิวเตอร์ทิ้งไปนอกบ้านซะเลย แล้วลืมๆมันไปซะ… นี่เป็นสัญญาณที่กำลังบอกคุณว่า คุณกำลัง “จิตหลุด” แล้วหละครับ
        
อะไรคือภาวะ “จิตหลุด”
ผม คิดว่าภาวะของอาการ “จิตหลุด” นั้นมีจุดเริ่มต้นมาจากการที่คุณนั้นได้ยอมรับว่า “การขาดทุนเป็นส่วนหนึ่งของระบบการลงทุนและการเก็งกำไร” ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ แต่การขาดทุนที่สะสมติดต่อกันนั้น ได้ค่อยๆทำให้คุณสะสมความกดดันจนไปถึงจุดหนึ่งที่คุณนั้นไม่สามารถที่จะยอม รับมันได้อีกแล้วนั่นเอง ซึ่งภาวะอาการ “จิตหลุด” กะทันหันนี้ ทำให้คุณนั้นหน้ามืดและมองข้ามระบบการลงทุนของคุณไป และถูกแทนที่ด้วยอารมณ์จากผลการซื้อ-ขายในครั้งที่ผ่านๆมานั่นเอง และถึงแม้ว่าการ “เลิกเล่น” นั้นจะเป็นสิ่งเดียวที่ดูจะเหมาะสมในช่วงเวลาอย่างนี้ แต่อาการ “จิตหลุด” ของคุณนั้น อาจจะทำให้คุณทำในสิ่งที่คุณไม่คาดคิดไปตามอารมณ์ของคุณก็เป็นได้ และมันอาจเป็นไปอย่างนั้นจนถึงจุดๆหนึ่งซึ่งมันหมดหวังเต็มที จนทำให้คุณนั้นไม่สามารถรับมันได้อีกต่อไปและจำเป็นต้อง “เลิกเล่น” ไปโดยปริยาย

อย่างไรก็ตาม บทความนี้นั้นไม่ได้พยายามที่จะพูดถึงเรื่องของอารมณ์และการเก็งกำไรของคุณ หรือเกี่ยวกับเรื่องของความกลัวซึ่งคอยขัดขวางนักเล่นหุ้นหรืออะไรเทือกๆ นั้น เพราะอย่างที่เรารู้ๆกันว่า อารมณ์นั้นเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการเก็งกำไรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และคุณต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมมัน หรือไม่เช่นนั้นคุณก็ต้องเลิกเก็งกำไรซะ

นี่ เป็นบทความที่เกี่ยวกับการที่โดยปกติแล้วคุณนั้นสามารถที่จะควบคุมอารมณ์และ สติของคุณในการเก็งกำไรได้เป็นอย่างดี แต่แล้วจู่ๆก็กลับมีบางสิ่งบางอย่างมาทำให้นักเล่นหุ้นอย่างเราๆเสียการควบ คุมไป และเกิดอาการ “จิตหลุด” ขึ้นมานั่นเอง ซึ่งผลจากการขาดทุนติดๆกันหลายๆครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขาดทุนซึ่งเกิดจากการแหกระบบของนักเล่นหุ้นเองนี่เอง ที่เป็นต้นเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นนี้

นี่ไม่ใช่สิ่งที่สามารถเกิด ขึ้นได้เฉพาะกับนักเล่นหุ้นหน้าใหม่ หรือนักลงทุนระดับล่างๆ เนื่องจากมันเป็นเรื่องที่จะต้องเกิดขึ้นกับนักเล่นหุ้นทุกคน ซึ่งไม่ว่าใครก็มีสิทธิที่จะต้องเจอกับช่วงเวลาที่ไม่ว่าเราจะทำอะไรไป ทุกอย่างก็ดูจะผิดที่ผิดทางไปเสียหมด และนั่นทำให้เราเกิดการขาดทุนติดๆกันหลายๆครั้งขึ้นมา ดัง นั้น นี่จึงเป็นสถานการณ์ซึ่งเกิดขึ้นได้กับนักเล่นหุ้นทุกคน เพียงแต่ว่านักเล่นหุ้นแต่ละคนแต่ละระดับนั้น จะมีการตอบสนองต่อภาวะเช่นนี้ต่างกันไป

ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเจอกับภาวะเช่นนี้นักเล่นหุ้น นาย A. อาจจะเกิดความตื่นตระหนกอย่างรุนแรงและเกิดอาการ “จิตหลุด” ตามมาทันที ซึ่งทำให้เขารู้สึกเสียความมั่นใจของเขาไปและผลที่ตามมาก็คือการขาดทุนที่ มากกว่าที่ได้คาดคิดเอาไว้อย่างมากมาย หรือในอีกทางหนึ่งนั้น นาย B. อาจจะเกิดความรู้สึกอยาก “เอาคืน” และเพิ่มน้ำหนักการลงทุนขึ้นอีกเป็นเท่าตัว เนื่องจากเขามั่นใจว่ายังไงซะ การเก็งกำไรครั้งต่อไปของเขาจะสามารถทำให้เขากลับมาเท่าทุนเหมือนเดิมได้ แต่แล้วอาการ “จิตหลุด” นี้ก็ยังดังเนินต่อไปพร้อมกับการขาดทุนของเขา และทำให้เขาต้องสูญเสียเงินไปมากกว่าที่เขาได้คาดคิดเอาไว้แต่แรก.. แล้วนักเล่นหุ้นที่ประสบความสำเร็จอย่างนาย C. ล่ะ เขาทำอย่างไรกับภาวะเช่นนี้?
        
การควบคุมภาวะของอาการ “จิตหลุด” ในการเล่นหุ้น
เมื่อคุณลองคิดไตร่ตรองดูให้ดี คุณจะพบว่า “ทุก ครั้งที่อาการ “จิตหลุด” ของคุณได้เกิดขึ้นและคุณสุญเสียการควบคุมสติของคุณไป นั่นจะยิ่งทำให้อาการ “จิตหลุด” ในครั้งต่อไปของคุณเกิดขึ้นเร็วยิ่งกว่าเดิม” นี่เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปเรื่อยๆ จนถึงเวลาหนึ่งที่การเล่นหุ้นกลายเป็นสิ่งที่เจ็บปวดเกินกว่าที่คุณจะทนไหว ซึ่งทำให้คุณไม่อยากเล่นหุ้นอีกต่อไปนั่นเอง

เมื่อลองคิดและไตร่ตรองดูให้ดีอีกครั้ง คุณจะพบว่า “มันเป็นการดีกว่าที่คุณจะเรียนรู้ที่จะควบคุมอารมณ์ในการเล่นหุ้นของคุณ แทนที่คุณจะตัดสินใจเลิกเล่นหุ้นไป” เนื่องจากการเลิกเล่นหุ้นเก็งกำไรนั้น ไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง เพราะมันไม่ได้ช่วยป้องกันให้คุณไม่คิดที่จะกลับมาลองเก็งกำไรหรือเล่นหุ้น รอบใหม่อีกครั้ง และไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นเมื่อคุณต้องเจอกับภาวะขาดทุนติดๆกันอีกครั้ง

ใน การที่จะควบคุมสติของคุณให้ได้ ก่อนที่คุณจะเกิดอาการ “จิตหลุด” ขึ้นมานั้น คือการเอาชนะจิตใจและตัวตนข้างในของคุณให้ได้เสียก่อน คุณต้องทำมันและพาตัวเองกลับมาเดินอยู่ในหนทางที่ถูกต้อง แล้วคุณจะได้กำไรชีวิตจากสิ่งที่คุณทำอย่างคาดไม่ถึง เพราะคุณจะรู้ว่าถึงแม้คุณจะต้องเจอกับช่วงเวลาที่โหดร้าย แต่คุณก็จะมั่นใจในตนเองว่าคุณจะข้ามผ่านมันไปได้ และสามารถควบคุมสติของคุณเอาไว้ได้จนไม่ต้องเกิดการขาดทุนที่มากมายอีกครั้ง

วิธี การง่ายๆที่จะช่วยคุณได้ คือให้คุณลองนำสิ่งที่คุณเชื่อว่าเป็นหลักหรือแก่นในการเก็งกำไรของคุณ มาเขียนลงในกระดาษโน้ทเล็กๆแปะไว้กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ของคุณเอง โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยให้คุณระลึกและตระหนักถึงมันอยู่ตลอดเวลา ทำให้สิ่งต่างๆเหล่านี้อยู่ในจิตสำนึกของคุณอยู่ตลอดเวลา แทนที่มันจะไปฝังอยู่ในจิตไต้สำนึกของคุณจนลึกเกินไปนั่นเอง แต่จงระวังไว้ว่าทุกๆครั้งที่คุณได้เขียนโน้ทเอาไว้นั้น ขอให้แน่ใจว่าคุณกำลังเขียนแนวคิดลงไป ไม่ใช่วิธีการ จงอย่ายึดติดกับ”วิธีการ” จนเป็นการทำให้ปัญหาของคุณนั้นย่ำแย่ลงไปกว่าเดิม

ยก ตัวอย่างเช่น ลองคิดถึงช่วงเวลาที่อารมณ์ของคุณนั้นพลุ่งพล่านจากการที่คุณได้เกิดการขาด ทุนติดๆกัน ภายในช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นกำลังเคลื่อนไว้อยู่ในกรอบแคบๆดู แล้วลองเขียนโน้ทลงไปในลักษณะคำพูดแบบนี้ครับ

“อารมณ์บ้าๆนี้อาจจะมา จากการขาดทุนติดๆกันอย่างรวดเร็วของเรา และการขาดทุนติดๆกันอย่างรวดเร็วนี้อาจมาจากการที่เราพยายามเล่นหุ้นในช่วง เวลาที่ตลาดหุ้นกำลังเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆนี้ก็ได้ หรือเราอาจกำลังเล่นหุ้นบ่อยเกินไปก็ได้ และไม่มีอะไรที่ได้ผิดพลาดไปในระบบของเราหรอก ตราบใดที่เรายังเล่นหุ้นได้ตามระบบของเราอยู่ ทุกอย่างก็ยังคงปกติและเราก็ยังเล่นหุ้นได้ดีอยู่เหมือนเดิม”

เอาล่ะ หรือไม่คุณอาจลองเปลี่ยนเป็นประโยคอีกประโยคหนึ่ง ซึ่งเขียนออกมาในสถานการณ์เดียวกันดู

“อย่า เป็นไอ้โง่ที่เล่นหุ้นโง่ๆบ่อยเกินไปสิฟะ! เหมือนกับว่ากลัวที่จะขาดทุนในวันนี้เสียเหลือเกิน อย่าทำเหมือนกับทุกๆวันที่ผ่านมา ไม่งั้นเรื่องแบบนี้มันก็จะเกิดขึ้นอีกเรื่อยๆ และไม่จำเป็นต้องรีบร้อนที่จะเล่นหุ้นเกินไปถ้ายังคิดจะเล่นในหุ้นแบบเดิมๆ อีก”
        
จงรักษา “สติ” ของคุณเอาไว้
“รักษาสติเอาไว้” คือประโยคต่อไปในกระดาษโน้ทของคุณ
อีก วิธีหนึ่งซึ่งคุณสามารถทำได้นั้น คือโดยการเขียนโน้ทซึ่งคุณพอจำได้ว่าก่อนที่อาการ “จิตหลุด” ของคุณจะเกิดขึ้นนั้น ได้เกิดอะไรขึ้นมาบ้าง ยกตัวอย่างเช่น หายใจเร็วขึ้น, เหงื่อออกเยอะ, บิดตัวไปมาอยู่บนเก้าอี้ หรืออาการนั่งไม่ลง และหลังจากที่อาการ “จิตหลุด” ของคุณเริ่มรุนแรงขึ้น เช่น โวยวาย, ขว้างปาสิ่งของ หรือทำลายข้าวของ จนในที่สุดเมื่อคุณเกิดเอาการ “จิตหลุด” แบบเต็มขั้นหรือการตื่นตระหนกอย่างสุดขีด

แน่นอนว่ามันคงจะมีลิสท์ รายละเอียดของอาการที่เกิดขึ้นมาอย่างยาวเหยียดเลยทีเดียว แต่การที่คุณสามารถที่จะตระหนักถึงมันได้เมื่อมันเกิดขึ้นมานั้น อาจช่วยให้คุณเริ่มที่จะสามารถควบคุมมันเอาไว้ได้ ก่อนที่มันจะควบคุมตัวของคุณแทนนั่นเอง
        
คอยตระหนักอยู่ตลอดเวลา
คุณ ควรต้องรู้ถึงสิ่งที่มีศักย์ภาพที่จะก่อให้เกิดอาการ “จิตหลุด” ของคุณ มันเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการที่คุณจะยอมรับว่าตัวของคุณนั้นมี “อารมณ์” ข้องเกี่ยวอยู่เสมอ และจงอย่าพยายามที่จะมองข้ามมันไป หรือพยายามเก็บมันซ่อนเอาไว้เพราะคุณมองว่ามันคือสิ่งที่แสดงถึงความอ่อนแอ ของคุณ เพราะนี่จะเป็นสิ่งที่จะทำให้สถานการณ์ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่

คุณ เป็นมนุษย์! มนุษย์ทุกคนมีอารมณ์ และอารมณ์จะเข้มข้นขึ้นเมื่อสถานการณ์ต่างๆนั้นเริ่มบีบคั้นขึ้นมา ดังนั้น คุณอาจไม่จำเป็นที่จะต้องรู้หรอกว่าคุณจะทำอะไรเมื่อคุณ “จิตหลุด” และสูญเสียการควบคุณขึ้นมา แต่คุณจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้ หรือจำให้ได้ว่าคุณจะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้อาการ “จิตหลุด” นั้นเกิดขึ้นมาอีกครั้ง คุณจำเป็นต้องรู้ว่าอะไรที่จะช่วยให้คุณมี “สติ” อยู่เท่าที่คุณจะสามารถทำได้ ในช่วงเวลาแย่ๆของการเล่นหุ้นซึ่งจะเกิดขึ้นในอนาคต คุณจำเป็นต้องรู้ว่าอะไรจะช่วยให้คุณ “กลับมา” มีสติขึ้นอีกครั้ง
        
แล้วนักเล่นหุ้นที่ประสบความสำเร็จนั้นทำอะไรบ้าง?
นัก เล่นหุ้นที่ประสบความสำเร็จนั้น คือนักเล่นหุ้นที่สามารถที่จะควบคุม ”สติ” ไม่ว่าจะในสถานการณ์ที่เขามีกำไรหรือขาดทุน และมี “สติ” อยู่ในทุกๆเวลา การมี “สติ” นั้นเป็นส่วนสำคัญในการที่จะช่วยในการควบคุมอารมณ์ไม่ให้เกิดอาการณ์ “จิตหลุด “ ในการเล่นหุ้นขึ้นมา นักเล่นหุ้นที่ดีนั้นสามารถที่จะประเมิณการขาดทุนของเขาในรูปแบบของการเกิด ขึ้นตามธรรมดาของระบบการลงทุน และนักเล่นหุ้นที่ดีนั้นจะสามารถเล่นหุ้นได้ตามระบบที่ดีของเขาได้ไม่ว่าจะ ต้องเจอกับช่วงเวลาเลวร้ายเพียงใด และถึงแม้พวกเขาจะเกิดการขาดทุนขึ้นมา พวกเขาก็จะเข้าใจว่ามันต้องเกิดขึ้น พวกเขายอมรับกับ “ความน่าจะเป็น” ที่มันจะต้องเกิดขึ้น และทำตามระบบต่อไป ซึ่งการซื้อ-ขายครั้งต่อไปนั้นอาจจะทำกำไรให้พวกเขาก็ได้

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/t579/?/