RSS
Showing posts with label กราฟ. Show all posts
Showing posts with label กราฟ. Show all posts

ฝากความหวังไว้กับ Forex ได้จริงไหม?


 เนื่องจากวันนี้เป็นวันแห่งการเริ่มต้นการทำงานวันแห่งการเริ่มต้นสิ่งใหม่ ๆ รวมไปถึงการเทรดด้วย ผมจึงอยากเปิดอาทิตย์
นี้ด้วยบทความจากประสบการณ์ของเจ้าของกระทู้คนนี้เพื่อให้เทรดเดอร์ที่กำลังพยายามก้าวตามฝันได้มีไฟลุกสู้ขึ้นมา

คุณ pawpaw100 เข้ามาตั้งกระทู้ว่า เขาเห็นคำถามที่คนเข้ามาเทรดใหม่ชอบตั้งกระทู้เสมอว่า “Forex จะเลี้ยงชีวิตเค้าได้จริง
หรือ” “จะสามารถใช้ชีวิตด้วยการเทรดได้จริงอะ” เขาเลยอยากจะมาแบ่งประสบการณ์ส่วนตัวของเขากับคนที่นี่และหวังว่า
เทรดเดอร์หน้าใหม่จะเลิกคิดเรื่องนี้และลงมือเทรดสักที! ก่อนอื่นเขาขอยืนยันนอนยันในคำตอบของกระทู้นี้ก่อนเลยว่าคุณ
สามารถฝากชีวิตไว้กับการเทรดได้จริง ๆ นะเฟ้ย !!!! เขาเคยพบกับคนที่เป็นเทรดเดอร์เต็มตัวมาแล้วถึง 2 คน ทั้งยังเคยเห็น
บัญชีของเขาและเทรดกับเขาด้วย คนแรกเคยเป็นพนักงานแบงค์มาก่อนก็จะย้ายมาเทรด Forex เขาเทรดใน Time Frame 15
นาทีแต่วิเคราะห์กราฟจาก 1 ชั่วโมงและ 4 ชั่วโมง บางครั้งก็ Daily หรือ Weekly เลยทีเดียว เขามีพอร์ตที่ใหญ่และก็แบ่ง
พอร์ตไปลงในหุ้นกับสินทรัพย์ด้วย เขาเคยทำกำไรได้ถึง 2 หมื่นยูโรในเวลาอันสั้นในช่วงเช้า

ส่วนอีกคนหนึ่งเริ่มต้นด้วยเงินในพอร์ต 3 หมื่นเหรียญดอลลาร์ใช้เวลาปั้นพอร์ตไปจนถึง 6 แสนเหรียญในเวลา 18 เดือน เคย
ล้างพอร์ตมาก่อนแต่เขาก็ไม่ย้อมแพ้กลับไปตั้งหลักใหม่ในบัญชีทดลอง 3 บัญชีด้วยกันก่อนจะกลับมาเทรดบัญชีเงินจริงอีกครั้ง
เขาบอกว่าการเปลี่ยนจากบัญชีเงินปลอมเป็นบัญชีเงืนจริงไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเขาเพราะเขามองการเทรดแค่เฉพาะเปอร์เซนต์ที่
พอร์ตเติบโตกับจำนวนจุด (pips) ที่ได้ในแต่ละวันโดยที่ไม่ได้สนใจเลยว่าได้กำไรเท่าไหร่ เคยคิดว่ามันเป็นเหมือนเกมส์ ๆ หนึ่ง
ที่สนุกดี

ดังนั้น! หยุดฟังเสียงจากคนรอบข้างหรือคนที่เคยพ่ายแพ้ในตลาดแห่งนี้แล้วมาพูดให้คุณฟังว่า “คุณไม่มีวันทำได้” แน่นอนว่าคุณ
สามารถทำได้! ตั้งใจเทรดต่อไปและกระหายที่จะหาความรู้เกี่ยวการการเทรดมาพัฒนาตัวเองให้ก้าวขึ้นไปอีกเรื่อย ๆ ยิ่งคุณ
พยายามค้นหามากเท่าไหร่คุณก็ยิ่งจะเจอมันมากเท่านั้น เคาะประตูไปเรื่อย ๆ สักวันประตูก็จะเปิดรับให้คุณเข้าไปเองซึ่งผมก็เป็น
คนหนึ่งที่ยังเคาะประตูอยู่ซึ่งผมจะไม่หยุดหาหรือหยุดเคาะประตูแน่นอน ทุกวันนี้ผมพอใจมากที่ผลการเทรดของผมขึ้นมา 83%
ถึงแม้จะเป็นบัญชีเดโม่ก็เถอะ ผมคิดว่าจะเปิดบัญชีเดโม่เพิ่มอีก 2 บัญชีเพื่อหาข้อผิดพลาดของวิธีการเทรดของตัวเองและแก้ไข
มันแล้วค่อยเปลี่ยนไปเล่นบัญชีจริงซึ่งผมมั่นใจว่าสักวันหนึ่งผมจะเป็นเทรดเดอร์ที่ดีเหมือนกับคนสองคนที่ผมยกตัวอย่างไปก่อน
หน้านี้ เพื่อเป็นกำลังใจให้กับเทรดเดอร์หน้าใหม่ ผมจึงอยากจะยืมคำพูดของเพื่อนผมมาพูดสักหน่อย

เขาบอกกับผมว่า “การเทรดเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาเพื่อศึกษามัน ฉันคิดว่าปัญหาที่นายกำลังเจอตอนนี้คือนายอยากจะ
ประสบความสำเร็จ อยากรวย ณ ตอนนี้เวลานี้เลยซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ ตลาดแห่งนี้ต้องการให้นายเรียนรู้กับมันอย่าง
จริงจังเพื่อพิสูจน์ตัวเองซะก่อนว่านายเจ๋งพอที่จะได้ครอบครองคำว่า “ประสบความสำเร็จ” เปรียบเทียบง่าย ๆ กับการ
เล่นฟุตบอล นายไม่ได้กลายเป็น คริสเตียโน โรนัลโด้ ทันทีที่นายเริ่มเตะบอล นายจะต้องฝึกเล่นบ่อย ๆ และอยู่กับ
ลูกบอลทุกวันจนถึงขั้นหมกมุ่นเลยละ การเทรดก็ไม่แตกต่างไปจากการเป็นนักฟุตบอลมืออาชีพเลยสักนิด นายต้อง
ทุ่มเทใส่ใจและอุทิศเวลาให้กับการเทรด ไม่มีทางลัดใด ๆ สู่ความสำเร็จ ไม่มีเทรดเดอร์คนไหนที่ประสบความสำเร็จจาก
การใช้ระบบเทรดของชาวบ้านหรือเพียงเพราะเข้าร่วมสัมมนาการเทรดหรอก การที่นายจะได้กลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า
“คนรวย” หรือ มีอิสรภาพทางการเงินจากการเทรดต้องผ่านอะไรเยอะแยะกว่านั้น ต้องมีทั้งการอุทิศ มีไหวพริบ และ
ความอดทน นายอาจจะล้างพอร์ตหรือโดนกราฟน๊อกนายลงไปนอนกองกับพื้นแต่นายต้องลุกขึ้นมาให้ได้ เลือกวิธีการ
เทรดที่เหมาะกับนายมาแล้วก็เทรด เทรด เทรด ไปเรื่อย ๆ ล้มแล้วลุกอีก ล้มแล้วลุกอีก หากพบจุดอ่อนของวิธีการเทรด
ของตัวเองก็หาวิธีมาแก้ไขมันให้ได้ เคยมีคนบอกกับฉันว่ามันจะต้องใช้เวลาเป็นหมื่น ๆ ชั่วโมงเลยทีเดียวแต่นายพร้อม
จะทำเพื่อมันไหมละ?

มุ่งมั่น จดจ่อ หมกมุ่นอยู่กับระบบและวิธีคิดของนาย ทุกระบบและกลยุทธ์สามารถทำกำไรได้หมดแต่ไม่ได้หมายความ
ว่าทุกระบบและกลยุทธ์จะเหมาะกับทุกคน หาวิธีเทรดที่เป็นของนาย สร้างขึ้นมาเพื่อนาย เพื่อนายคนเดียวให้เจอ อย่า
ลืมที่จะอ่านหนังสือเกี่ยวกับการเทรดดี ๆ ด้วยละ หนังสือเหล่านั้นอาจจะช่วยจุดประกายความคิดให้นายได้ และเมื่อวัน
หนึ่งที่นายได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่านายแน่พอเจ๋งพอที่จะได้รับคำว่า “อิสรภาพทางการเงิน” นายก็จะได้มันเอง”


 หลาย ๆ คอมเม้นหลังจากนั้นก็เข้ามาเห็นด้วยกับเจ้าของกระทู้ซะส่วนมาก บางคนก็บอกว่า ขอบคุณนะ สำหรับคำพูดดี ๆ มันช่วย
กระตุ้นไฟในตัวเราได้ดีมาก ๆ เลยละ บางคนก็บอกว่า ใช่เลย ผมเห็นด้วยกับบทความนี้


 คุณ mm2mm เข้ามาเสริมว่า เป็นกระทู้ที่ดีมากเลยนะครับ ผมขอเสริมอีกนิดจากประสบการณ์ตรงของผมเอง ผมเริ่มเทรดมาได้
ประมาณ 1 ปีละและสิ่งที่ผมได้รับมาและอยากจะมอบมันให้กับเทรดเดอร์หน้าใหม่คือ “อย่า Overlot เด็ดขาด”การเทรดด้วย
เงิน 100$ กับ 10000$ เหรียญนั้นเหมือนกันหากเรามองในแง่ของเปอร์เซนต์อะนะ คนส่วนมากเมื่อได้เงินมากขึ้นมักจะชอบเพื่อ
lot ของตัวเองขึ้นมาเกินกว่าที่ควรจะเป็นซึ่งมันคือหายนะดี ๆ นี่เอง สมมุติว่ามีเทรดเดอร์คนหนึ่งมีเงินในบัญชี 30000$ และ
สามารถทำกำไรได้ 10% ต่อเดือน เขาสามารถอยู่ได้แบบสบาย ๆ หากคุณโลภ คุณจะทำลายทุกสิ่งที่คุณสร้างมาเพราะอารมณ์
กังวล โลภ โกรธ เป็นต้นนี่เป็นสิ่งที่เทรดเดอร์หน้าใหม่ควรระวัง มันเป็นไปไม่ได้ที่คุณจะมีชีวิตจากการเทรดด้วยเงินเล็ก ๆ ในบัญชี
100$ แต่คุณสามารถใช้มันในการปั้นไปเรื่อย ๆ จนถึง 1 พัน 2 พัน 3 พันได้ ดังนั้นจงอย่าหมิ่นเงินน้อย แต่ฝึกไปเรื่อย ๆ และ
วันหนึ่งคุณจะได้สิ่งที่คุณฝันมาครอบครองเอง


 ผมเชื่อว่าเกิน 90% ขึ้นไปทุกคนที่เข้ามาในตลาดแห่งนี้มีจุดประสงค์เดียวกัน แต่สิ่งที่ทุกคนเข้ามาและมีไม่เหมือนกันคือ ความ
พยายาม บางคนเข้ามาเพราะอยากรู้อยากลอง บางคนเข้ามาแบบเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง บางคนมาแบบฝากความหวังทั้งชีวิตไว้กับ
Forex วัฏจักรของวงการนี้ที่ผมเห็นจนชินตาก็คือแรก ๆ จะมีคนเข้ามาแล้วทำกำไรได้ จากนั้นก็จะล้างพอร์ตแล้วก็โทษว่า Forex
ทำไม่ได้จริง Forex มันการพนันชัด ๆ แล้วก็ออกไป ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้เริ่มต้นถึง 10% ของระยะทางทั้งหมดเลย การเข้ามาที่นี่
แล้วตั้งคำถามว่า “เราจะได้อะไรออกไปจากตลาดนี้” ผมว่ามันไม่ถูก ผมอยากจะให้ทุกคนที่อ่านบทความนี้ถามกับตัวเองว่า “คุณ
พร้อมที่จะทุ่มเทกับตลาดแห่งนี้มากแค่ไหน” “คุณกล้าทำทุกอย่าง ทิ้งบางสิ่งที่ไม่จำเป็น เปลี่ยนตัวเองเพื่อ Forex รึเปล่า?”  ไม่
ว่าจะต้องทำการบ้านหนักแค่ไหน หาข้อมูลเยอะแค่ไหน อ่านหนังสือภาษาอังกฤษที่ตัวเองไม่ค่อยจะเก่ง คุณกล้าทุ่มเททำเพื่อให้
ตัวเองได้มาในสิ่งที่คุณพูดกับตัวเองว่าอยากได้รึเปล่า

ผมจะแชร์ประสบการณ์ส่วนตัวของผมให้ฟังนะครับ ก่อนที่ผมจะหันมาเทรด Price Action อย่างทุกวันนี้ เมื่อ 2 ปีก่อนสมัยที่ผม
พึ่งเริ่มเทรดใหม่ ๆ หลังจากที่ย้ายออกจาก Marketiva มาเริ่มเทรดใน MT4 ผมได้เอาระบบคนนั้นคนนี้มาใช้มากมาย ทุก ๆ วัน
ผมจะต้องนั่งทำ Backtest ที่เขียนด้วยมือย้อนหลังกลับไป 1 ปีอย่างน้อยวันละ 1 ระบบ ถึงแม้จะมีการบ้านจากมหาลัยหนัก
หนาแค่ไหนก็ตามผมก็ต้องทำ Backtest ให้ได้ 1 ระบบทุกคืนให้ได้ เสาร์-อาทิตย์ นี่ก็ไม่เว้นครับ ยิ่งนั่งทำวันละ 2-3 ระบบ
ผมทำอย่างงี้มาอยู่ 2 ปี สิ่งที่ผมได้ตอบแทนมาจากสองปีนี้คือ ความว่างเปล่ากับความรู้ที่ว่า “อินดิเคเตอร์ยังไงก็วิ่งช้ากว่ากราฟ”
ผมใช้เวลาถึง 2 ปีเพื่อให้ได้รู้คำตอบคำนี้ แต่ผมก็ไม่ยอมแพ้ ผมยอมที่จะยอมรับผลของผมและก้าวออกมาจากกะลาของตัวเอง
ยอมเปลี่ยนตัวเองจากคนเก็บตัวเทรดออกมาหาความรู้จนได้มาเจอกับอาจารย์แมค จนกระทั่งวันหนึ่งอาจารย์แมคก็ให้หนังสือที่
มีชื่อว่า Reading Price Chart Bar by Bar ให้กับผมแล้วบอกกับผมว่า “อ่านมันให้จบ” เป็นภาษาอังกฤษล้วนเลย ตอนนั้น
ผมไม่เข้าใจหรอกครับยังคิดอยู่เลยว่า “ทำไมไม่สอนผมไปเลยอะ ง่ายกว่าเยอะ” แต่ผมก็กลับมาถามตัวเองอีกครั้งว่า “ทุกวันนี้
มายืนอยู่ตรงนี้เพราะอะไร” หัวใจผมมันก็ยังตอบเหมือนเดิมว่า “เพราะอยากมีอิสรภาพและถึงแม้ว่าจะต้องผ่านอะไรที่ลำบากกว่านี้
เพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้นผมก็พร้อมจะทำ” ผมจึงเริ่มอ่านหนังสือเล่มนั้นจริงจังจนสุดท้ายตัวเองก็ก้าวผ่านจุดที่คิดว่าตัวเองทำ
ไม่ได้และเป็นหนังสือภาษาอังกฤษเล่มแรกที่ผมอ่านจบอย่างจริงจัง ทุกวันนี้ผมต้องขอบคุณอาจารย์แมคจริง ๆ ที่ให้ผมอ่าน
หนังสือเล่มนี้ เพราะมันเปลี่ยนความคิดผมไปเยอะมากและผมก็มีความสุขกับการเทรดในปัจจุบันมาก ๆ เพราะหนังสือเล่มนี้

แล้วคุณละครับ? เข้ามายืน ณ จุดนี้เพราะอะไร? พร้อมที่จะทิ้งความลังเลที่มีอยู่ในสมองว่าจะฝากชีวิตไว้กับตลาดแห่งนี้แล้วลงมือ
ฝึกฝนแล้วหรือไม่? พร้อมที่จะเลิกหาข้ออ้างให้ตัวเองดูไม่ผิดและลงมือทำหรือยัง? ตลาดแห่งนี้ไม่ใช่ที่เล่นขายของ หากคุณไม่
คิดจะจริงจังกับมัน ผมแนะนำว่าให้เอาเงินไปทำอย่างอื่นดีกว่า แต่ถ้าอยากจะเปลี่ยนชีวิตโดยตั้งมั่นแล้วว่า “จนกว่าจะได้ในสิ่งที่
ต้องการฉันจะไม่ถอย” ก็สู้ให้เต็มที่เลยครับ เมื่อไหร่ที่ล้มก็ให้ลุก ล้มอีกก็ลุกอีก จนกว่าคุณจะชินกับการล้มและสักวันคุณก็จะไม่
ล้มอีกต่อไป

ปล. ที่ผมบอกว่าให้ทิ้งทุกอย่างเพื่อเทรด ไม่ได้หมายความว่าต้องขายบ้านขายรถเพื่อเทรดนะครับ สิ่งที่ผมอยากให้ทิ้งคือ ความลังเล ความไม่แน่ใจ ความสงสัยว่าสิ่ง ๆ นี้จะเปลี่ยนชีวิตคุณได้รึเปล่า จำไว้ว่าเงินที่คุณจะนำมาเทรดจะต้องเป็นเงินเย็นไม่ใช่เงินร้อนนะครับ

 ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/forex-680/?/

กราฟเหวี่ยงแรงๆจะทำอย่างไร?


 มี คนชื่อ Bhoopalan มาตั้งกระทู้ว่า ทุกวันนี้เขามักจะมีปัญหากับการโดนกราฟเหวี่ยงอยู่บ่อย ๆ โดยราคาจะวิ่งขึ้นไปชน Stop Loss ของเขาก่อนจากนั้นก็วิ่งไปตามทางที่เขาได้คาด
การณ์ไว้เขาเลยสงสัยอยาก รู้ว่า หากกราฟเหวี่ยงเนี่ยปกติมันจะวิ่งไปกี่จุด? และเมื่อกราฟวิ่งผ่านไปแล้วบางครั้งมันไม่บันทึกด้วยว่าตรงนั้นเคยมีการ เหวี่ยงแรง ๆ ของกราฟเกิดขึ้น แบบนี้ก็
แปลว่าการทดสอบย้อนหลังก็ไม่เป็นความจริงนะสิครับ?


 คุณ TheMaxx ก็เข้ามาให้คำตอบว่า การเหวี่ยงของกราฟส่วนมากมักจะเกิดจากผลกระทบจากข่าว ดังนั้นคุณก็ควรจะสนใจตารางของข่าวด้วยว่าในแต่ละวันตารางของข่าวมีข่าวอะไร บ้าง
ส่วนเรื่องที่คุณโดนกราฟเหวี่ยงไปชน Stop Loss นั้นผมแนะนำว่าคุณอาจจะใช้วิธีลองเพิ่มระยะของ Stop Loss ของตัวเองดูซึ่งนั่นหมายความว่าคุณต้องวาง Money Management
ของคุณให้ดี ๆ ด้วยเช่นกัน


นาย Bhoopalan ก็เข้ามาขอบคุณแล้วถามต่อว่า การเหวี่ยงของกราฟในลักษณะแบบนี้เกิดบ่อยไหมครับในโบรกเกอร์อื่น ๆ?


 นาย Iro ก็เข้ามาตอบว่า หากคุณเจอกราฟเหวี่ยงไปชน Stop Loss แล้วกราฟไม่บันทึกเนี่ย คุณรีบเปลี่ยนโบรกเกอร์ที่เทรดให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ดีกว่า

นาย bull . bear เสนอว่า คุณก็ลองเทรดในช่วงเวลาที่กว้างขึ้นแทนที่จะไปเทรดในช่วงเวลาเล็ก ๆ สิ เพราะการเหวี่ยงของราคาที่รุนแรงมักจะไม่มีให้เห็นใน
Time Frame ใหญ่ ๆ แล้วก็ปรับ Stop Loss กับ Target ของคุณให้กว้างขึ้น แต่คุณอาจจะต้องลดขนาดของ lot ของคุณลงนะ


 นาย Bhoopalan เจ้าของกระทู้ก็บอกนาย bull . bear ว่าตัวเค้าเองก็เทรดใน Time Frame ใหญ่ ๆ นะ แต่ที่เค้าถามเนี่ยเพราะอยากจะหาทางป้องกันเรื่องนี้ไว้เฉย ๆ
ว่าการเหวี่ยงของกราฟเนี่ยมันเกิดที่ Broker เค้าคนเดียวหรือที่อื่นก็เป็นเพื่อที่ตัวเองจะได้หาทางรับมือกับมันในอนาคต


 นาย bull . bear ก็มาตอบกลับว่า เค้าไม่รู้ว่า “การเหวี่ยง” ที่เจ้าของกระทู้พูดถึงมันเป็นการเหวี่ยงที่เกิดขึ้นจาก Gap ในวันจันทร์หรือเวลาเฉพาะอื่นรึเปล่า?
หากเป็นข่าวการที่กราฟจะเหวี่ยงก็ ถือว่าเป็นเรื่องปกติและมักจะเกิดขึ้นชัด ๆ ใน Time Frame เล็ก ๆ แต่หากเกิดการเหวี่ยงในช่วงที่ไม่มีข่าวก็แสดงว่าราคามีอะไรผิดปกติเช่น
ไปชนแนวรับแนวต้านที่แข็งแกร่งเป็นต้น


 สรุป แล้วการที่กราฟเหวี่ยงของกราฟส่วนมากเกิดจากข่าวที่ออกมาส่งผลกับแรงซื้อแรง ขายของนักลงทุนในขณะนั้น ๆ หากมองในมุมมองของเทรดเดอร์รายย่อยอย่างเรา ๆ
ที่ ได้แต่ลุ้นอยู่หน้าคอม ไม่ได้ไปลุ้นอะไรกับที่ตลาดใหญ่จริง ๆ แล้วสิ่งที่เราทำได้ก็คือหากลยุทธ์ที่เหมาะสมกับทั้งช่วงเวลากราฟเหวี่ยงและ ตัวเราเอง
บางคนอาจจะรอข่าวออกแล้วค่อยเข้า บางคนเข้าก่อนแล้วตั้ง Stop Loss บางคนอาจจะไม่เทรดเลย ก็แล้วแต่กลยุทธ์ของแต่ละคนครับ แต่ข้อเสียอย่างหนึ่งที่มักจะเกิดขึ้นประจำ
กับคนที่ตั้ง Stop Loss ก็คือราคาเหวี่ยงไปไม่ถึงราคาที่ตั้ง Stop Loss ไว้แต่กลับปิดให้เรา อันนี้เป็นกลยุทธ์หนึ่งของโบรกเกอร์ วิธีแก้คือไม่ต้องตั้ง Stop Loss ครับง่ายไหม
แต่ให้ใช้วิธีมองกราฟเป็นโซนของราคาเอาว่าถ้าหลุดบริเวณไหน จะคัทเพราะมันไม่มีคำว่าตายตัวสำหรับ Forex ดังนั้นผู้เทรดจะต้องใจแข็งพอที่จะยอมรับความผิดพลาดของตนแล้วคัททิ้ง
ไปเพื่อลดความเสียหายให้กับตัวเอง จึงจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการรับมือกราฟเหวี่ยงครับ

 
 
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/t656/?/

RSI VS Stochastic


ที่ Babypips นาย Proximus มาตั้งกระทู้ถามเรื่อง RSI กับ Stochastic เขาบอกว่าเขาได้ทดลองใช้ Stochastic มาระยะหนึ่งแล้วสำหรับเขาแล้วมันได้ผลมาก ๆ เลยผมเทรดได้ตั้ง 7 ใน 10 ครั้งแนะ แต่ผมก็ได้ยินมาว่ามีอินดิเคเตอร์อีกตัวหนึ่งที่คล้าย ๆ กันนั่นคือ RSI แต่ผมก็ยังไม่เคยได้ลองใช้มันสักที นอกจากนี้ผมยังเห็นว่ากรอบ over ของ RSI มันต่างจาก Stochastic แค่ 10 เอง Stochastic ใช้ 80 20 แต่ RSI ใช้ 70 30 ผมไม่แน่ใจว่ามันจะช่วยทำให้ RSI มันวิ่งสมูธขึ้นหรือทำให้สัญญาณกลับตัวมันช้าลงกันแน่ ผมเลยมาตั้งกระทู้นี้เพราะอยากได้ข้อมูลหรือความคิดเห็นเกี่ยวกับอินดิเค เตอร์ 2 ตัวนี้ว่าอันไหนดีกว่ากันอันไหนแม่นกว่ากันเพราะมันทั้งคู่ใกล้เคียงกันมาก ระหว่างให้สัญญาณที่เร็วแต่มีโฮกาสหลอกบ่อย กับ วิ่งช้าลงสักหน่อยแต่มั่นใจมากขึ้น อันไหนดีกว่ากันครับ


คุณ TheDayTrader เข้ามาตอบว่า ทั้ง Stochastic และ RSI เป็น Indicator ประเภทเดียวกันคือใช้วัดการแกว่งของราคาเหมือนกันถึงแม้ว่ามันจะต่างกัน เพียงนิดเดียวก็ตามแต่มันก็ทำหน้าที่คล้าย ๆ กันอยู่ผมแนะนำให้เลือกใช้เพียงตัวเดียวพอ แต่ถ้าคุณยังไม่แน่ใจก็ลองใช้ทั้งคู่ไปก่อนก็ได้แล้วดูว่าตัวไหนเหมาะกับ วิธีเทรดของคุณมากที่สุด พยายามปรับมันให้เข้ากับสไตล์การเทรดของคุณแต่อย่าลืมว่าการตั้งค่าของอิน ดิเคเตอร์พวกนี้มันจะเปลี่ยนไปตามการเลือก Time Frame ที่เทรดด้วยหากเปลี่ยน Time Frame ที่ดูกราฟก็อาจจะต้องปรับค่ามันใหม่ด้วยเช่นกัน ส่วนตัวแล้วผมชอบใช้ Stochastic ตั้งค่าไว้ที่ 8 3 3 ที่สุดแต่ถ้าคถณอยากได้ Stochastic กับ RSI รวมกันแล้วละก็ผมแนะนำ อินดิเคเตอร์ที่ชื่อ DT Oscillator นะ


คุณ GRIX FX ตอบว่า ส่วนตัวแล้วผมชอบ Stochastic มากกว่านะเพราะมันเห็นภาพเวลาที่อินดิเคเตอร์ขึ้นไปชนเส้นได้ดีกว่า RSI ทำให้ผมสามารถกะ divergence ได้ดีกว่า


คุณ จขกท. หลังจากหายไปสักพักก็เข้ามาตอบว่า ดูเหมือนว่าคนใส่วนใหญ่ในกระทู้จะชอบ Stochastic มากกว่านะแล้วถ้าผมตั้งค่าเป็น 15 3 3 ละ มันจะทำให้ Stochastic สมูธขึ้นไหมและช่วยลดการ false breakout ได้มากขึ้นรึเปล่า


คุณ TheDayTrader เจ้าเก่าก็เข้ามาตอบว่า คำตอบของคำถามข้อนี้ของคุณมันก็ขึ้นอยู่กับวิธีการเทรดที่คุณใช้และ Time Frame ที่คุณเทรด ลองใช้วิธีนี้ดูสิครับ เอา Horizontal Line มาร์คจุด swing high, low ไว้หลังจากนั้นก็ลองปรับค่าของ สโต ของคุณให้มันใกล้เคียงกับจุดสวิงเหล่านั้นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพราะ จุดสวิงเหล่านี้มันจะหลายเป็นเหมือน Overbought/Oversold ไปอัตโนมัติเลยเมื่อเส้นใน สโต มันตัดกันตรง Overbought/Oversold มันก็จะหลายเป็นสัญญาณกลับตัวที่น่าเชื่อถือไปโดยอัตโนมัติ


จขกท. ก็กลับมาตอบว่า ผมเห็นด้วยครับแต่ใน Time Frame เล็ก ๆ อาจจะต้องใช้ค่า 8 3 3 เพราะยิ่ง Time Frame เล็กเท่าไหร่ ความมั่วขงอินดิเคเตอร์ก็จะเพิ่มมากขึ้น ดูเหมือนว่าผมคงจะต้องตั้งค่า สโต ใน 1 ชั่วโมงและดูใน 15 นาทีไปด้วยหากเป็นไปตามที่คิด 15 นาทีน่าจะช่วยบอกสัญญาณกลับตัวให้กับ 1 ชั่วโมงได้ดังนั้นมันจึงจำเป้นมากที่จะต้องมองกราฟมากกว่า 1 Time Frame ขึ้นไป


นาย TheDayTrader ตอบว่า ใช่ครับการเทรดของผมก็อาศัยการดู Time Frame หลาย ๆ ตัวดูพร้อมกันเหมือนกันเช่นผมดู daily 4H 1H 15M ทุกการวิเคราะห์จะต้องตรงกันและจะเข้าเทรดใน TF 15 นาที


นาย wizard56 เข้ามาตอบว่า ความเห็นส่วนตัวนะครับผมว่า Stochastic จะวิ่งเร็วกว่า RSI เวลาที่ราคาเริ่มมีการเคลื่อนตัวแต่นั่นก็ทำให้ สโต มีข้อเสียคือมักจะให้สัญญาณหลอกบ่อย ๆ แต่ RSI ถึงจะช้าไปหน่อยแต่จะให้สัญญาณที่น่าเชื่อถือกว่าดังนั้นผมเลยชอบ stochastic มากกว่าครับ


เป็น เรื่องที่ถกถึยงกันมานานเหมือนกันเรื่องหนึ่งระหว่าง Stochastic กับ RSI ว่าอะไรดีกว่ากัน เมื่อก่อนผมเคยคิดว่า RSI ดีกว่าแต่พักหลัง ๆ มานี่ผมว่าแล้วแต่สไตล์การเทรดและกลยุทธ์การเทรดของแต่ละคนมากกว่า ใครที่ชอบ scalp ผมก็แนะนำว่า Stochastic จะเป็นคำตอบที่ดีกว่าแต่ใครที่ชอบเทรดเป็นวัน ๆไปหรือเก็บเป็นสวิงไปการใช้ RSI ก็น่าจะเหมาะกว่าสำหรับเทรดเดอร์คนนั้นการเอาอินดิเคเตอร์ประเภท Oscillator หรือวัดการแกว่งไปปรับค่าในมันสมูธขึ้นเพื่อลดสัญญาณหลอกของมันไม่ได้ช่วย อะไรนอกจากจะทำให้การอ่านค่าที่ปกติก็ช้ากว่าราคาอยู่แล้วมันช้าลงไปอีก และ การเอามันไปปรับให้เร็วขึ้นเพื่อหาสัญญาณเข้าที่ทันกราฟละก็ไม่มีทางเป็นไป ได้ครับเพราะอินดิเคเตอร์คำนวณออกมาจากกราฟดังนั้นกราฟต้องวิ่งก่อนมันถึงจะ คำนวณได้ครับ สรุปคือค่ามาตรฐานที่เค้าให้มาตั้งแต่แรกนั้นดีที่สุดแล้วครับ ส่วนตัวแล้วผมว่า Stochastic จะเหมาะกับ TF 1 นาที – 15 นาที เท่านั้นมันไม่เหมาะที่จะนำไปวิเคราะห์เทรนที่เป็นภาพใหญ่ ๆ วิ่งช้า ๆ อันนั้นเนี่ยถ้าใช้เป็น RSI หรือ MACD ไปเลยจะให้ผลที่ดีกว่าเพราะ Day Trader อย่างเรา ๆ คงจะไม่หาจังหวะเข้าจาก Time Frame ใหญ่ ๆ อย่าง Daily ใช่ไหมครับ


ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/rsi-vs-stochastic/?/

แนวรับและแนวต้าน

มาทำความรู้จักกับ แนวรับและแนวต้าน กันครับ
     
      แนวรับ(Support) คือ จุดที่เป็นจุดกลับตัวของกราฟ แล้วราคาได้ลงมาทดสอบอีกครั้ง เราจะใช้จุดนั้นเป็นแนวรับ ถ้าราคาลงมาทดสอบจุดนั้นแล้วไม่สามารถผ่านลงไปได้ แนวรับนั้นจะกลายเป็นแนวรับที่แข็งแกร่ง (Strong Support) โดยราคาจะลงมาทดสอบอย่างน้อย 2 ครั้ง (Double Bottom) หรือ 3 ครั้ง (Triple Bottom)  ถ้าราคาไม่สามารถผ่านแนวรับเหล่านี้ได้ มันก็จะกลับตัวขึ้นไปอีกครั้ง
      แนวรับมีอยู่ 2 แบบ คือ 1.แนวรับหลัก( Major Support ) 2. แนวรับรอง (Minor Support)
      แนวรับหลัก(Major Support)จะเป็นจุดกลับตัวของกราฟ จากแนวโน้มขาลงกลายเป็นขาขึ้น ส่วนแนวรับรอง(Minor Support) จะเป็นจุดสูงสุดหรือ ต่ำสุดของกราฟ ที่เกิดการสวิงของราคา
     
      ภาพตัวอย่างแนวรับ
     
 
   
       
      แนวต้าน (Resistance) คือ จุดที่เป็นจุดกลับตัวของกราฟแล้วราคากลับขึ้นไปทดสอบอีกครั้ง ถ้าราคาทดสอบจุดที่เป็นแนวต้านแล้วไม่ผ่านสามารถผ่านได้ จุดนั้นจะกลายเป็น แนวต้านที่แข็งแกร็ง (Strong Resistance) โดยที่ราคาจะไปทดสอบ 2 ครั้ง( Double Top ) หรือ 3 ครั้ง(Triple Top )
       แนวต้านก็แบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ Major Resistance และ Minor Resistance
     
      ภาพตัวอย่าง แนวต้าน Resistance
     
     
       
     
      ต่อไปเรามาดูกันครับ ว่าเราจะสามารถหาแนวรับแนวต้านได้จากอะไรบ้าง ผมจะแบ่งออกเป็น  4 ประเภทนะครับ
      1. การหาแนวรับ-แนวต้าน จาก จุดสูงสุด High และ จุดต่ำสุด Low เก่าๆจุดกลับตัวของกราฟ
      ดูจากรูปกันเลยครับ
     
       
     
      ดูแนวรับแนวต้านของEUR จากราคาปัจจุบันกันเลยครับ
     
       
     
      จะสังเกตว่า จุดกลับตัว และจุดสูงสุด และต่ำสุดของกราฟในอดีตสามารถใช้เป็นแนวรับและแนวต้านได้
     
     
         
      2.หาแนวรับแนวต้านจากการคำนวณ
      เราจะใช้ราคาปิด(Close) ราคาสูงสุด ( High) และ ราคาต่ำสุด (Low) ของเมื่อวานมาคำนวณครับ
      โดยเอาเม้าไปชี้้ที่แท่งเทียน Daily ครับ ดังรูป
     
       
     
      เมื่อได้ค่าแล้วก็นำมาใส่สูตรดังนี้ครับ C=Close H=High L=Low
      P=Pivot 
      S=Support
      R=Resistance
      Calculate
      P=(H+L+C)/3
     
นำ P มาคำนวนหา แนวรับและแนวต้าน
      Support แนวรับ
      S1=P-0.382(H-L)
      S2=P-0.500(H-L)
      S3=P-0.618(H-L)
     
      Resistance แนวต้าน
      R1=P+0.382(H-L)
      R2=P+0.500(H-L)
      R3=P+0.618(H-L)
     
   
 ตัวอย่างการคำนวน แนวรับแนวต้านของอียู กราฟวันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม 2553
   
 จากกราฟราคาของวันพฤหัสบดีที่ 30 กันยายน 2553  ราคาต่ำสุด L=1.3559 ราคาสูงสุด H= 1.3683 ราคาปิด C=1.3633
      P=(1.3683+1.3559+1.3633)/3 = 1.3625  , H-L=0.0124
      S1=1.3625-0.382(0.0124)=1.3577
      S2=1.3625-0.500(0.0124)=1.3563
      S3=1.3625-0.618(0.0124)=1.3548
     
      R1=1.3625+0.382(0.0124)=1.3672
      R2=1.3625+0.500(0.0124)=1.3687
      R3=1.3625+0.618(0.0124)=1.3701
     
      เมื่อได้ค่าแล้วก็จดบันทึกไว้ หรือเอาไปติดไว้บนกราฟก็ได้ โดยใช้เครื่องมือ Horizontal Line ใส่ราคาลงไป จะได้ดังรูป
     
       
      แต่ไม่ต้องคำนวณให้ยุ่งยากหรอกครับ ลองโหลด Indicator เกี่ยวกับ แนวรับและแนวต้านเอาไปใช้กันนะครับ DownLoad Support and Resistance Indicators
     
     
 อีกหนึ่งวิธีคือ  ใช้เว็บคำนวนครับ
      http://www.pivotpointcalculator.com/
      http://www.actionforex.com/markets/pivot-points/standard-pivot-points-2010040848154/
     
      Actionforex เป็นเว็บที่ให้ความรู้ได้ดีครับ ผมศึกษาวิธีการวิเคราะห์กราฟ ลากเทรนไลน์จาก บทวิเคราะห์ของ Actionforex
     
      3. หาแนวรับ-แนวต้านจาก Fibonacci     
หาแนวรับแนวต้านจาก Fibonacci Retrace

การหาแนวรับ จาก Fibonacci Retracement   ก่อนอื่นเลยเราต้องใช้ Fibonacci วัดจาก Low ไปหา
     
      High ของคลื่นปัจจุบัน แล้วหาแนวรับจากระดับการปรับฐานของ Fibonacci ที่ ระดับ 78.6 61.8 50.0  38.2 23.6 และ 0 % ดังรูป
     
     
     
      และแนวต้านที่อยู่เหนือระดับ Fibonacci 100 % แนวต้านจะอยู่ที่ระดับ 138.2, 161.8 ,261.8,และ 423.6 % ดังรูปด้านล่าง
     
       
     
              หาแนวต้านจาก Fibonacci Retracement โดยการวัดขาลง
     
 
 
         
                หาแนวรับแนวต้านจาก Fibonacci Fan
         

      Fibonacci Fan  วัดได้สองแบบคือ 1. วัดขาขึ้น Bullish โดยทั่วไป หุ้นมีขึ้นมันก็ต้องมีลง เมื่อราคาขึ้นไปสูงสุด ก็ต้องลงมาปรับฐาน ตำแหน่งที่มันจะปรับฐานก็คือตำแหน่งของ Fibonacci 61.8-38.2 %
      ดูรูปด้านล่างนะครับ
     
      ตัวอย่างการใช้ Fibonacci Fan วัดหาราคาแนวรับ(ราคาปรับฐาน)ของราคาขาขึ้น
     
 
 
       
      วิธีการวัด ใช้เอา Fibonacci Fan ไปที่จุด Low แล้วลากไปไว้ที่ High
     
      ตัวอย่างใช้ Fibonacci Fan เพื่อหาแนวต้านของราคาขาลง (ราคาปรับฐาน)
     
       
     
      Fibonacci Fan เปรียบเสมือนเส้นแนวโน้ม แต่เป็นเส้นแนวโน้มที่ระดับต่างๆของ Fibonacci
     
      4. การหาแนวรับแนวต้าน โดยใช้ Trendline
      เทรนไลน์ เป็นเครื่องมือหนึ่งที่ใช้หาแนวรับแนวต้านได้ดีทีเดียว โดยแนวต้านที่ได้จากการลากเทรนไลน์ เราจะเรียกว่า Resistance Trendline และแนวรับที่ได้จากการลากเทรนไลน์เราจะเรียกว่า Support Trendline
     
      การหาแนวรับจาก Support Trendline
      การหาแนวรับจาก Trendline เราจะวัดจากจุดต่ำสุดเก่า เทียบกับจุดกับต่ำสุด ณ ปัจจุบัน
     
      ตัวอย่างการลากเทรนไลน์เพื่อหา Support Trendline (แนวรับ )
     
     
             
      ตัวอย่างการหาแนวต้านจากการลากเทรนไลน์ (Resistance Trendline)
     
       
     
      ลองฝึกการลากเทรนไลน์นะครับ แล้ว เพื่อนๆจะรู้ว่า แค่เทรนไลน์ก็สามารถทำให้เราเทรดได้ ทำให้เรารู้ว่า จุดกลับตัวอยู่ตรงไหน แนวรับแนวต้านอยู่ตรงไหน ลองศึกษาจากเว็บต่างประเทศ หรือจาก Youtube ก็ได้นะครับ Keyword : Trendline
     


ความรู้เพิ่มเติ่ม

ศึกษาระบบแนวรับแนวต้านได้ที่นี่คลิ๊ก   
เลือกแนวรับแนวต้านอย่างไรดี?
แนวรับแนวต้านที่ดีที่สุด?

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/t654/?/

Fibonacci มือใหม่ควรใช้

Fibonacci เป็นเครื่องมือเครื่องมือที่ใช้วัดหา แนวรับ –แนวต้านและหาราคาเป้าหมายของราคาในตลาดForex เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ใช้กันมากเพราะ Fibonacci ใช้ง่าย และเป็นพื้นฐานที่เราควรจะรู้
สัดส่วนของ fibonacci ได้แก่ 0 (0%) , 0.236(23.6%) ,0.382(38.2%) ,0.500(50%),0.618(61.8%) , 0.764(76.4%) , 1.00(100%), 1.382(138.2%) , 1.618(161.8%) , 2.618(261.8%) และ 4.236(423.6%) ดังรูปด้านล่าง


วิธี การใช้ Fibonacci ก่อนอื่น เรามาตั้งค่า Fibonacci ในโปรแกรม Mt4 ของเราก่อน ถ้าใครยังไม่รู้ ให้ไปดาวโหลดและดูวิธีการสมัครขั้นตอนการติดตั้งโปรแกรม Mt4 สำหรับเทรด forex
เลือก Fibonacci โดยเข้าไปที่ Insert >> Fibonacci >> Retracement แล้วก็เอามาลากบนกราฟ โดย Fibonacci แบบเดิมๆ ที่ให้มากับ Mt4 จะไม่มีราคาติดอยู่ที่ระดับต่างๆของ Fibonacci ดังรูปด้านล่าง


- เมื่อเรามี Fibonacci อยู่บน Chart แล้ว ให้ คลิกขวาที่ Chart เลือก Objects List แล้วเลือก Fibo จากนั้นเลือก Edit
- เมื่อคลิกที่ Edit แล้ว ให้คลิกที่ Fibo Levels จากนั้นให้เติมคำว่า =%$ ลงไปต่อท้ายที่ช่อง Descriptions ทุกตัว
Edit-fibo


- เมื่อ ทำเสร็จแล้วจะได้ดังรูป


การใช้ Fibonacci Retracement
1. ใช้เพื่อหาแนวรับแนวต้าน (Support and Resistance)
-หา จุดต่ำสุด(Low) และ หาจุดสูงสุด High ก่อน โดยหาจากยอดคลื่นล่าสุด และ ก้นบึ้งล่าสุด ดังรูป


เมื่อ ราคาได้เคลื่อนตัวลงมาแล้ว ราคาจะขึ้นไปปรับตัวที่ระดับ Fibonacci Retracement 38.2 , 50.0 และ 61.8 เราสามารถใช้ จุดเหล่านี้เป็นแนวต้านของราคาได้ ถ้าราคาไม่สามารถผ่านแนวต้าน (resistance ) นี้ได้ ราคาก็จะปรับตัวลงต่อ และมาทดสอบที่ Low เดิม แต่ถ้าสามารถผ่าน แนวต้านนี้ได้ ราคาก็จะกลับไปทดสอบ High เดิม เช่นเดียวกัน
2.ใช้ Fibonacci Retracement เพื่อหาราคาเป้าหมาย (Target price )
-ทุกๆ ครั้งที่เราทำการเข้าเทรด เมื่อเข้าไปแล้ว เราก็ต้องหาราคาเป้าหมาย ว่ามันควรจะไปถึงไหน ซึ่ง Fibonacci Retracement สามารถบอกเราได้ ว่ามันควรจะไปแค่ไหน แต่จงจำไว้นะครับ ว่าทุกอย่างเป็นเพียงแค่การคาดการณ์ ไม่ได้ตรงแปะเสมอไป


จาก รูปด้านบน จะเห็นว่า ราคาสวิงขึ้นจาก Low ไปที่ High แล้วราคามีการปรับตัวลงมา ตำแหน่งที่ปรับฐาน หรือ แนวรับ ที่เราควรจะสังเกตก็คือ ที่ระดับ Fibonacci Retracement 61.8 , 50.0 และ 38.2 จากรูปด้านบนจะเห็นว่าราคาไม่สามารถผ่าน 50.0 ไปได้ หรือบางครั้งเราอาจจะเรียกตำแหน่งนี้ว่า Pivot Point เมื่อราคาดีดตัว ตรงนี้ เราก็คาดการณ์ได้เลย ว่ามันต้องขึ้นแน่ๆ ก็ เปิด Long (Buy) ได้เลย แล้ว ตั้ง TARGET ไว้ที่ Fibonacci Retracement 161.8
หวังว่าวิธีนี้คงเป็นประโยชน์ กับเพื่อนๆนะครับ หากมีข้อสงสัยอะไร สามารถ Comment ไว้เลยนะครับ ผมจะกลับมาตอบให้

 ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/fibonacci-653/?/

สร้างระบบเทรดตามเทรนง่ายๆด้วย EMA200

อย่าง ที่เรารู้กันดีว่า คุณสมบัติพื้นฐานที่ควรจะมีอย่างหนึ่งของระบบเทรดที่ดี คือ ใช้ง่าย ดูง่าย ไม่ซับซ้อน ในบทความก่อนหน้าเราได้แนะนำให้ท่านได้รู้จักกับหลักการทำงานและเทคนิคเล็กๆ น้อยๆในการวิเคราะห์กราฟด้วย EMA200 กันไปแล้ว ในบทนี้เราก็มาแนะนำการสร้างระบบเทรดแบบง่ายๆ ด้วย EMA200 กับเครื่องมือพื้นฐานที่มีมากับโปรแกรมเทรดทั่วไป

เทรดด้วย EMA200 กับ MACD
ถ้า พูดถึง MACD คงไม่มีเทรดเดอร์คนไหนที่ไม่รู้จัก MACD เป็นเครื่องมือที่คลาสสิคตลอดกาล เป็นที่นิยมกันมากไม่ว่าจะเป็นเทรดเดอร์รุ่นเล็กหรือรุ่นใหญ่ กลักการทำงานโดยทั่วไปของ MACD สามารถเข้าไปดูได้ที่บทความเรื่อง MACD ในส่วนนี้เราจะใช้เครื่องมือ 2 อย่างคือ EMA200 และ MACD เซทค่าพื้นฐานคือ 12,26,9
รูปแบบการเทรดแบบแรก คือ การเทรดเมื่ออยู่ในเทรนที่ชัดเจน  จากภาพตัวอย่าง EMA200 บอกเราว่าราคาอยู่ในเทรนขาลง แล้วเราใช้สัญญาณจาก MACD เพื่อระบุจุดเข้า- ออก ออเดอร์ของเรา พิจารณาจากภาพตัวอย่างต่อไปนี้


สร้างระบบเทรดตามเทรนง่ายๆด้วย EMA200

ตาม ตัวอย่างเป็นราคาอยู่ในเทรนขาลง เราจะเข้าเซลอย่างเดียว (เทรดตามเทรน) และจะเข้าเมื่อ Histoream ของ MACD ปรับตัวลดลงต่ำกว่าระดับของเส้น MA หรือ เราอาจจะรอให้ Histogram ลงไปอยู่ต่ำกว่าระดับ Zero Line ก็ได้ ซึ่งนั่นจะเป็นการยืนยันว่าลงแน่ๆแล้ว แต่โดยส่วนตัวแล้วจะไม่รอค่ะ จะเข้าตั้งแต่จังหวะแรกตามภาพ และเมื่อมีการยืนยันก็จะเปิดออเดอร์ซ้ำเข้าไปอีกค่ะ แต่เทรดเดอร์บางคนที่เคร่งครัดมากๆ ก็จะรอให้มีการยืนยันก่อนจึงค่อยเข้า และการออกจากออเดอร์ เราจะออกเมื่อ Histogram ของ MACD ปรับระดับขึ้นไปอยู่เหนือเส้น MA เป็นการออกแบบเซฟกำไรค่ะ จะเข้าออเดอร์ใหม่เมื่อมีสัญญาณรอบใหม่ ส่วนในการเทรดเมื่อเป็นเทรนขาขึ้นก็ใช้หลักการเทรดอย่างเดียวกัน ลองพิจารณาภาพตัวอย่างค่ะ


สร้างระบบเทรดตามเทรนง่ายๆด้วย EMA200

เมื่อ ราคาเป็น Sideway ราคาจะวิ่งคอลเคลียอยู่กับเส้น EMA 200 ที่แทบจะไม่มีความชันเลย และ Histogram ของ MACD ก็แคบ และน้อยมาก ดังนั้นเราจะรอ ให้ ราคาตัดผ่านเส้น EMA200 อย่างชัดเจน และ Histogram ของ MACD มีขนาดกว้างขึ้น และอยู่สูงกว่าเส้น MA (ในกรณีที่เป็นเทรนขาขึ้นตามภาพตัวอย่าง)


เทรดด้วย EMA200 กับ MACD

ลักษณะ ของเทรนที่อ่อนแอ นอกจากจะสังเกตได้จากความชันของ EMA200 แล้ว เรายังสามารถดูสัญญาณยืนยันความอ่อนแอของเทรนได้จาก MACD ด้วย ในภาพตัวอย่าง เป็นการยืนยันเทรนที่อ่อนแอด้วยสัญญาณ Divergence ของ MACD เป็นการเตือนให้เราเตรียมตัวออกจากออเดอร์บาย และมีแนวโน้มว่าจะเปลี่ยนเทรนในเร็วๆนี้


Divergence

แต่ นอกจาก Divergence จะเตือนเราว่าจะมีการเปลี่ยนแนวโน้มแล้ว ในบางครั้งก็อาจจะเป็นแค่สัญญาณการพักตัวของเทรนที่อ่อนแอ ก่อนที่จะมีแรงไปต่อในทิศทางเดิม ดังนั้นเราก็ควรจะมีการวางแผนรับมือที่ดีเพื่อรองรับเหตุการณ์ที่อาจจะเกิด ขึ้นด้วย

การเทรดด้วย EMA200 และ Parabolic SAR
Parabolic SAR เป็นเครื่องมือพื้นฐานอีกตัวหนึ่ง หลักการทำงานโดยทั่วไปคือบอกแนวโน้มและจุดที่จะมีการเปลี่ยนแนวโน้มได้ ด้วยจุดไข่ปลาเล็กๆที่เรียงกัน ถ้าจุดไข่ปลาอยู่ด้านบนจะแสดงถึงแนวโน้มขาลง และถ้าสุดไข่ปลาอยู่ด้านล่างก็แสดงถึงแนวโน้มขาขึ้น จุดไข่ปลานี้จะเรียงต่อกันไปตามโมเมนตัมของราคาเหมือนเป็นแนวรับแนวต้าน ธรรมชาติของราคา ตัวอย่างเช่น ถ้าราคากำลังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น SAR จะเป็นจุดไข่ปลาที่เรียงตัวต่อกันอยู่ใต้แนวแท่งเทียน และเมื่อราคามีการกลับตัวลงมาต่ำกว่าระดับของจุดไข่ปลา จุดไข่ปลาก็จะไปปราหฎอยู่ที่เหนือแท่งเทียนแท่งต่อไปแทน นั่นก็จะเป็นสัญญาณบอกว่าเริ่มมีการเปลี่ยนแนวโน้มจากขาขึ้นเป็นขาลงแล้ว ให้เราออกจากออเดอร์บาย แล้วเข้าเซลแทน


การเทรดด้วย EMA200 และ Parabolic SAR เราก็จะยึด EMA200 เป็นตัวบอกเทรนหลัก และเข้าออเดอร์ด้วยสัญญาณจาก SAR ดังตัวอย่างตามภาพ


ใน ตัวอย่างราคาอยู่เหนือ EMA200 เป็นเทรนขาขึ้น เราจึงจะเข้าออเดอร์บายอย่างเดียว การเข้าออเดอร์เราก็ดูสัญญาณ SAR เมื่อเริ่มมีจุดไข่ปลาขึ้นที่ใต้แท่งเทียนเราก็เข้าบาย และออกจากออเดอร์เมื่อมีจุดไข่ปลาของ SAR เกิดขึ้นที่เหนือแท่งเทียน
ระบบ การเทรดง่ายๆ 2 ระบบนี้ เป็นตัวอย่างการสร้างระบบโดยการใช้ EMA200 เป็นมาเป็นตัวบอกแนวโน้มของราคา แล้วใช้เครื่องมืออีกตัวมาช่วยในการบอกจุดเข้า-ออก ซึ่งเราอาจจะไม่ใช้เป็น MACD หรือ Parabolic SAR แต่อาจใช้เป็นเครื่องมืออื่นแทนก็ได้ แล้วแต่ความถนัดของแต่ละบุคคล ในการสร้างระบบเทรดของเราเองนั้น ก่อนอื่นต้องตอบคำถามตัวเองให้ได้ก่อนว่าตัวคุณต้องการมองหาอะไรจากกราฟ แล้วเครื่องมือไหนที่จะช่วยตอบสนองความต้องการของคุณได้ หลังจากนั้นจึงทดลองและศึกษาเครื่องมือนั้นๆให้เข้าใจหลักการทำงานของมันจน สามารถใช้ประโยชน์จากมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เท่านี้ระบบเทรดง่ายๆของคุณก็อาจกลายเป็นระบบเทรดที่ทำกำไรได้ไม่แพ้ระบบเท รดเทพๆที่ขายกันในราคาหลักร้อยเหรียญดอลลาร์ได้เหมือนกันค่ะ
หวังว่าบท ความนี้น่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยสำหรับใครหลายๆคนที่กำลังค้นหาระบบเท รดของตัวเองอยู่ จำไว้ว่า ระบบเทรดที่ดีไม่จำเป็นต้องเยอะหรือยุ่งยาก ทำให้มันง่ายเข้าไว้ ยิ่งง่ายเท่าไหร่ก็จะช่วยให้การตัดสินใจในการเทรดของคุณง่ายขึ้น ความผิดพลาดที่เกิดก็จะน้อยลง (เพราะไม่ต้องคิดเยอะ)

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/ema200/?/

Relative Strength Index (RSI)

Relative Strength Index (RSI)


RSI เป็นเครื่องมือที่ใช้วัดการแกว่งตัวของราคา  เพื่อดูภาวะการซื้อมากเกินไป (OVERBOUGHT) หรือขายมากเกินไป (OVERSOLD) โดยใช้ระดับเหนือ 70% บอกภาวะ OVERBOUGHT
และระดับต่ำกว่า 30% บอกภาวะ OVERSOLD และยังใช้เป็นสัญญาณเตือนว่า แนวโน้มของราคาหุ้นที่กำลังมีทิศทางขึ้นหรือลงนั้น กำลังใกล้จะอ่อนตัวลง RSI ประกอบไปด้วย
1.เส้น Moving Average
2. เส้นบอกบริเวณ Overbought Oversold (เส้น 30 และเส้น 70)


Overbought และ Oversold คืออะไร? แล้วใช้ดูกับ RSI อย่างไร?

OVERBOUGHT คือสัญญาณจาก RSI ที่บ่งบอกว่าตลาดขาขึ้นเริ่มมีคน”ซื้อ”มากเกินไปและอิ่มตัวแล้วซึ่งราคามีความเป็นไปได้ที่จะปรับตัวลง
OVERSOLD คือสัญญาณจาก RSI ที่บ่งบอกว่าตลาดขาขึ้นเริ่มมีคน”ขาย”มากเกินไปและอิ่มตัวแล้วซึ่งราคามีความเป็นไปได้ที่จะปรับตัวขึ้น

ผู้ เทรดจะต้องมองเทรนหรือแนวโน้มของราคาให้ออกก่อนว่า ณ ขณะนั้นกราฟกำลังวิ่งเป็นเทรนอะไร เมื่อผู้เทรดสามารถระบุเทรนได้ชัดเจนแล้วก็ให้มองแต่ Over ของกราฟเทรนนั้น ยกตัวอย่างเช่น
หากผู้เทรดเห็นว่ากราฟเป็นเทรนขาขึ้น ผู้เทรดก็ต้องมองแต่ตอนที่เส้น Moving Average ของ RSI เวลากลับมาที่แนว Oversold อย่างเดียวแล้วรอเทียบสวิงของ Oversold กับ สวิง Low
ของราคาอย่างเดียวครับ
ตัวอย่างของการดู Overbought และ Oversold


 
 
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/relative-strength-index-(rsi)/?/