ในการเทรด ไม่ควรตัดสินตามอารมณ์ ความรู้สึกของคุณ ว่า ราคาน่าจะขึ้น
ราคาน่าจะลง แล้วเปิดคำสั่งเทรด
คุณจำเป็นต้องมีแผนในการเทรดเพื่อนำไปสู่ความสำเร็จ แผนการเทรดที่ดี
ควรประกอบด้วย
1. การกำหนดจุดเข้า หรือสัญญาณในการเข้าเทรด,
2. การกำหนดจุดตัดขาดทุน (Stop-Loss),
3. การกำหนดเป้าหมายกำไร (Target),
4. การวางแผนการเงิน (Money Management)
จัด
สรรเงินเทรด ให้เหมาะสม แผนการเทรดที่ดี จะช่วยให้คุณตัดอารมณ์
ออกจากการเทรด ช่วยให้คุณไม่ต้องมานั่งเครียด เวลาติดลบเยอะๆ
ไม่ต้องถูกบังคับปิด เมื่อ Margin ของคุณหมด ตัวอย่างแผนการเทรด
หรือระบบเทรด
เทรนคือเพื่อนของคุณ:
อย่า
คิดสวนเทรน หาจังหวะหรือสัญญาณ เพื่อ Buy/Long เมื่อตลาดอยู่ในภาวะ Bullish
(เทรนขึ้น-กระทิงขวิดขึ้น) และหาจังหวะ หรือสัญญาณ เพื่อเข้า Sell/Short
เมื่อตลาดอยู่ในภาวะ Bearish (เทรนลง-หมีตะปบลง)
การรักษาเงินลงทุน
สิ่ง
ที่สำคัญอีกอย่าง เมื่อทำการเทรด ต้องรักษาเงินในบัญชีของคุณให้ดีู่
การเปิดคำสั่งเทรด แต่ละคำสั่ง ไม่ควรเกิน 10% ของเงินลงทุนที่มีอยู่
ตัวอย่างเช่น ถ้ามีเงินอยู่ในบัญชี $100 ในการเทรดแต่ละครั้ง ไม่เกิน $10
ถ้าไม่มีการรักษาเงินลงทุน เงินทุนอาจลดลงอย่างรวดเร็ว จนหมดและคุณอาจท้อ
จนต้องเลิกไปเลย
รู้ว่าเมื่อไหร่ต้องตัดขาดทุน:
ถ้า
ราคาวิ่งตรงข้ามกับที่เทรดไว้ ควรปิดทิ้งแล้ว รอสัญญาณ
หรือโอกาสในการเข้าใหม่ อย่าถือไว้โดย หวังว่าราคาจะวิ่งกลับมา
ให้เราปิดทำกำไร การถือติดลบไว้ ทำให้คุณเสียโอกาส ในสัญญาณดีๆ
และจะต้องมานั่งเครียด กลัว margin จะหมด ดังคำ "เสียน้อยเสียยาก
เสียมากเสียง่าย" ถ้าเลวร้ายจริงๆ อาจถึง โดนสั่งปิดไปเลย ดังนั้น
ก่อนทำการเทรด จึงควรหาจุด Stop-Loss จุดที่คุณต้องปิดทิ้ง
เมื่อราคาวิ่งตรงข้าม จากที่คาดหมายไว้ โดยอาจกำหนดไว้ เลย เช่น -20 จุด
หรือ -30 จุด หรืออาจดูจาก แนวรับ-แนวต้าน นำมาตั้งเป็นจุด Stop-Loss
ปิดทำกำไรเมื่อได้โอกาส:
ก่อน
ทำการเทรด ตั้งเป้าหมายไว้ ว่าต้องการกำไรเท่าไหร่ เมื่อได้โอกาส
ก็ควรปิดเพื่อทำกำไร เป้าหมาย หรือ Target อาจกำหนดตายตัว
ขึ้นอยู่กับความพอใจของเรา เช่น กำไร 20 จุด, กำไร 30 จุด, 50 จุด
หรือกำหนดจาก แนวรับ-แนวต้าน หรืออาจใช้เครื่องมือช่วย เช่น Fibonacci หรือ
Pivot Point เป็นตัวกำหนด
ตัดอารมณ์ออกไป:
2
อารมณ์ ที่มีผลมากในการเทรด คือ ความโลภ และความกลัว อย่าให้ความโลภ
และความกลัว เข้ามามีผลต่อการเทรดของคุณ หมั่นฝึกฝน เทรดให้เป็นระบบ
เทรดตามแผน หรือระบบเทรด ที่วางไว้ ตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop-Loss), เป้าหมาย
(Target) , บริหารเงินให้ดี คุณก็จะมีโอกาส ประสบความสำเร็จ ใน Forex ได้
อย่าเทรดมากจนเกินไป:
คุณ
ไม่ควรเปิดเทรด มากจนเกินไป ปกติในเวลาหนึ่ง ควรมี Position ที่เทรดค้างไว้
ไม่เกิน 3-5 Position ถ้ามีมากเกินไป คุณอาจควบคุมไม่ได้ หรืออาจใช้
อารมณ์ในการ ตัดสินใจ เมื่อตลาดเกิดการเเปลี่ยนแปลง ดังนั้นอย่าเปิดเทรด
มากจนเกินไป
เมื่อไม่แน่ใจ ไม่ต้องเทรด:
เมื่อ
คุณมั่นใจ หรือกำลังสับสน กับสภาวะของตลาด ไม่แน่ใจว่าราคา จะวิ่งไปทางไหน
ใหัอยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำอะไร บางครั้งการไม่ทำอะไร ก็อาจดีที่สุด
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaibestforex.com/forex/t591/?/
Showing posts with label เทรด forex. Show all posts
Showing posts with label เทรด forex. Show all posts
วางแผนการเทรด และเทรดตามแผนของคุณ
Posted by
goodintequila
on Thursday, April 9, 2015
Labels:
exness,
forex,
trade forex,
ซื้อขายforex,
ตลาดforex,
เทรด forex,
โบรคเกอร์ forex,
เล่นforex,
หุ้นforex
/
บทสรุปสำหรับนักเก็งกำไร
Posted by
goodintequila
Labels:
exness,
forex,
trade forex,
ซื้อขายforex,
ตลาดforex,
เทรด forex,
โบรคเกอร์ forex,
เล่นforex,
หุ้นforex
/
หลายคนอาจจะสับสนว่าจริงแล้ว การเล่นหุ้นเป็นการพนันหรือเปล่า
เพราะมันสามารถทำกำไรหรือขาดทุนมหาศาล ได้ในพริบตา
โดยเมื่อทุกคนได้สัมผัสการเล่นหุ้นแล้ว
ก็จะรู้ว่าความโลภมักจะตามมาครอบงำเสมอ ซึ่งสิ่งนี้เองทำให้ นักลงทุน
ขาดสติและจะแปลงร่างเป็นนักพนันทันที นั่นก็คือ "เสียแล้วอยากเอาคืน
ได้แล้วอยากได้อีก" ดังนั้นหากคุณจะเป็นผู้นึงที่อยู่รอดในเกมส์(ตลาดหุ้น)
นี้คุณ
จะต้องเรียนรู้ถืงความแตกต่างระหว่างนักเก็งกำไร(นักลงทุน)และนักพนัน
ความแตกต่างระหว่าง นักเก็งกำไร(นักลงทุน)และนักพนัน
“นัก เก็งกำไรต้องสามารถบริหารความเสี่ยงได้ดี รู้จัก Upside Gain and Downside Risk หรือเลือกลงทุน แบบ Low Risk and High Return ได้”
“ต้องรู้ว่าเมื่อใดควร Cut Loss และเมื่อใด ควร Let Profit Run”
“โดยสรุปแล้วควรมีการวางแผน เฝ้าสังเกตการณ์ และการป้องกันความเสียหายด้วยการป้องกันต้นทุน เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง”
ส่วน นักเก็งกำไรระดับโลก อย่าง Jesse Livermore ก็มีการพูดถึงปรัญญาการเป็นนักลงทุน ที่ดีเลยทีเดียว ครับ เพราะเขาพูดถึงว่าหากคุณจะเป็น นักเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จ จะเป็นคนช่างสังเกต มีความจำและมีหัวทางคณิตศาสตร์ที่ดี นอกจากนี้ จะต้องไม่เสี่ยงโดยไร้เหตุผล หรือในสิ่งที่คาดหวังไม่ได้ โดยหากสิ่งที่คาดหวังไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย เขาก็จะจดจำ และประเมินออกมาให้เป็นความน่าจะเป็น ถึงจะยอมเลือกเสี่ยงเมื่อประเมิณความ เสี่ยงได้
Wisdom of Jesse Livermore
“ Observation, experience, memory and mathematics. These are what the successful trader must depend on. He must not only observe accurately but remember at all times what he has observed. He cannot bet on the unreasonable or on the unexpected, however strong his personal convictions may be about man's unreasonableness or however certain he may feel that the unexpected happens very frequently. He must bet always on probabilities. That is, try to anticipate them. Years of practice at the game, of constant study, of always remembering, enable the trader to act on the instant when the unexpected happens as well as when the expected comes to pass. “
ดังนั้นหากจะลบจุดอ่อนต่างๆ คุณอาจจะต้องคิดพิจารณาว่าอะไร คือสิ่งที่ไม่ควรทำในการลงทุน
1. ลงทุนเกินตัว เช่น การเล่น Net settlement การกู้เงินมาเล่น หรือเงินที่ต้องใช้จ่ายในระยะสั้น เพราะจะทำให้คุณเกิดความกลัว และทำให้ตัดสินใจผิดพลาด
2. รอความแน่นอน การรอข่าวสารหรือสิ่งยืนยันที่ชัดเจน เช่นข่าวจาก นสพ.หรือรอให้ทุกคนเห็นด้วย บางครั้งก็ช้าไปเสียแล้ว
3. ยึดติดกับความฝันหรือตัวเลขของกำไร ทำให้คุณไม่กล้าที่จะขายหากหุ้นเปลี่ยนทิศทาง
4. คิดวาดฝันหรือจิตนาการขึ้นเอง
5. ไม่ทำตามแผนที่วางไว้
6. ไม่รู้ว่าจะหยุดขาดทุนเมื่อไหร่
7. มีความมั่นใจเกินไป
8. หลงไหลในหุ้น
ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://www.thaibestforex.com/forex/t19/?/

ความแตกต่างระหว่าง นักเก็งกำไร(นักลงทุน)และนักพนัน
“นัก เก็งกำไรต้องสามารถบริหารความเสี่ยงได้ดี รู้จัก Upside Gain and Downside Risk หรือเลือกลงทุน แบบ Low Risk and High Return ได้”
“ต้องรู้ว่าเมื่อใดควร Cut Loss และเมื่อใด ควร Let Profit Run”
“โดยสรุปแล้วควรมีการวางแผน เฝ้าสังเกตการณ์ และการป้องกันความเสียหายด้วยการป้องกันต้นทุน เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง”
ส่วน นักเก็งกำไรระดับโลก อย่าง Jesse Livermore ก็มีการพูดถึงปรัญญาการเป็นนักลงทุน ที่ดีเลยทีเดียว ครับ เพราะเขาพูดถึงว่าหากคุณจะเป็น นักเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จ จะเป็นคนช่างสังเกต มีความจำและมีหัวทางคณิตศาสตร์ที่ดี นอกจากนี้ จะต้องไม่เสี่ยงโดยไร้เหตุผล หรือในสิ่งที่คาดหวังไม่ได้ โดยหากสิ่งที่คาดหวังไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย เขาก็จะจดจำ และประเมินออกมาให้เป็นความน่าจะเป็น ถึงจะยอมเลือกเสี่ยงเมื่อประเมิณความ เสี่ยงได้
Wisdom of Jesse Livermore
“ Observation, experience, memory and mathematics. These are what the successful trader must depend on. He must not only observe accurately but remember at all times what he has observed. He cannot bet on the unreasonable or on the unexpected, however strong his personal convictions may be about man's unreasonableness or however certain he may feel that the unexpected happens very frequently. He must bet always on probabilities. That is, try to anticipate them. Years of practice at the game, of constant study, of always remembering, enable the trader to act on the instant when the unexpected happens as well as when the expected comes to pass. “
ดังนั้นหากจะลบจุดอ่อนต่างๆ คุณอาจจะต้องคิดพิจารณาว่าอะไร คือสิ่งที่ไม่ควรทำในการลงทุน
1. ลงทุนเกินตัว เช่น การเล่น Net settlement การกู้เงินมาเล่น หรือเงินที่ต้องใช้จ่ายในระยะสั้น เพราะจะทำให้คุณเกิดความกลัว และทำให้ตัดสินใจผิดพลาด
2. รอความแน่นอน การรอข่าวสารหรือสิ่งยืนยันที่ชัดเจน เช่นข่าวจาก นสพ.หรือรอให้ทุกคนเห็นด้วย บางครั้งก็ช้าไปเสียแล้ว
3. ยึดติดกับความฝันหรือตัวเลขของกำไร ทำให้คุณไม่กล้าที่จะขายหากหุ้นเปลี่ยนทิศทาง
4. คิดวาดฝันหรือจิตนาการขึ้นเอง
5. ไม่ทำตามแผนที่วางไว้
6. ไม่รู้ว่าจะหยุดขาดทุนเมื่อไหร่
7. มีความมั่นใจเกินไป
8. หลงไหลในหุ้น
ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://www.thaibestforex.com/forex/t19/?/
ชีวิตของคนที่ล้มเหลวมาตลอดเกือบทั้งชีวิต แต่ในท้ายที่สุดเค้าสู้จนได้ชัยชนะ
Posted by
goodintequila
on Friday, October 10, 2014
Labels:
exness,
forex,
trade forex,
ซื้อขายforex,
ตลาดforex,
เทรด forex,
โบรคเกอร์ forex,
เล่นforex,
หุ้นforex
/
มีชายคนหนึ่ง พ่อของเขาเสียชีวิตตอนที่เขาอายุได้เพียงห้าขวบเขาต้องออกจากโรงเรียนกลาง
คัน ขณะอายุ 16 ปี ตอนอายุ 17 ปี
เขาแสดงความสามารถพิเศษด้วยการตกงานติดต่อกันถึง 4 ครั้งเขาแต่งงานตอนอายุ
18 ปี ปีถัดมาเขาได้เป็นพ่อคนแต่ชีวิตคู่ของเขาก็มีความสุขอยู่ได้ไม่นานนัก
อายุ 20 ปี ภรรยาของเขาพาลูกสาวหนีไปเพราะทนใช้ชีวิตกับเขาไม่ได้ช่วงอายุ
18-22 ปี
เขาประกอบอาชีพเป็นคนขายตั๋วรถไฟแล้วก็ล้มเหลวแต่เขาก็ยังต่อสู้กับชีวิต
ด้วยการหาโอกาสให้ชีวิต
แต่ทุกอย่างที่เขาทำก็ไม่วายล้มเหลวเหมือนเดิมเขาสมัครเข้าเป็นทหารในกองทัพ
แต่ก็ถูกขับออกมาหันเหมาสมัครเข้าโรงเรียนกฎหมาย
แต่ด้วยความสามารถอันเอกอุเขาถูกปฏิเสธอย่างไม่ใยดีแล้วเขาก็ไปทำงานเป็น
พนักงานขายประกัน แน่นอนที่สุดเขาล้มเหลวอีกครั้ง (แล้ว)
แค่เกริ่นมาข้างต้นก็คงไม่ต้องบอกว่า
ชายคนนี้ทำอะไรไม่ได้เรื่องเลยสักอย่าง !แต่ก็อย่างว่าแหละ
คนเราอะไรมันจะไม่ได้เรื่องไปเสียหมดสิ่งเดียวที่เขาพบว่า เขาทำได้ดีก็คือ
การทำอาหารดังนั้นเขาจึงไปทำงานเป็นพ่อครัวและคนล้างจานในร้านกาแฟเล็กๆ
แห่งหนึ่ง
แต่นั่นก็ไม่ใช่ชีวิตที่ทรงคุณค่าอะไรเลยในความคิดของเขาชีวิตที่ร้านกาแฟ
เขามีเวลามากมายที่จะนั่งคิดและทำอะไรได้มากพอสมควรแต่เขากลับเลือกใช้เวลา
นั่งคิดถึงภรรยาและลูกสาวของเขาเขาเพียรพยายามติดต่อภรรยาและอ้อนวอนให้เธอ
กลับมาใช้ชีวิตร่วมกันอีกครั้ง แต่ได้รับคำปฏิเสธ เขาเปลี่ยนความคิดใหม่
เขาไม่ต้องการภรรยาอีกต่อไป
ขอเพียงแต่ได้ลูกสาวกลับคืนมาก็พอเพราะเขารักและคิดถึงเธอเหลือเกินเขาใช้
เวลาว่างในร้านกาแฟวางแผนในการนำลูกสาวกลับคืนมาสู่อ้อมอกของตนเขาวางแผนทุก
ขั้นตอนละเอียดยิบ
คำนวณทุกฝีก้าวในที่สุดแผนการอันแสนยาวนานก็เสร็จสิ้นลงเมื่อเวลาผ่านไป
หนึ่งสัปดาห์
คุณพ่อวัยรุ่นผู้น่าสงสารซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้นอกบ้านหลังเล็กๆ
ของภรรยาของเขาเฝ้ามองลูกสาวของเขาเล่นอยู่หน้าบ้านและเตรียม พร้อมที่จะ
“ลักพาตัวเธอ!”แล้ววันที่ตั้งใจไว้ก็มาถึง
เขาซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้อย่างระมัดระวัง แม้จะรู้สึกกังวล ตื่นเต้น
และตระหนกอยู่บ้างแต่นั่นมิอาจเทียบได้กับความรักที่เขามีต่อลูก
เขาตัดสินใจที่จะต้องลงมือทำให้สำเร็จ แต่แล้วอนิจจา วันนั้นลูก
สาวของเขาไม่ออกมาเล่นหน้าบ้านเลยแม้กระทั่งความพยายามในการก่ออาชญากรรม
เขาก็ยังล้มเหลวเขารู้สึกเหมือนคนที่พ่ายแพ้ต่อโชคชะตา
รู้สึกเหมือนคนไม่มีค่าและเหมือนพระเจ้ากำหนดมาแล้วว่าเขาจะต้องอยู่เพียง
ลำพังไปตลอดชีวิตแต่เหมือนปาฏิหาริย์
ในที่สุดเขาก็สามารถโน้มน้าวภรรยาให้กลับมาอยู่ด้วยกันได้พวกเขาทำงานด้วย
กันในร้านกาแฟแห่งนั้น ทำอาหารและล้างจานอยู่จนกระทั่งเขาเกษียณ ตอนอายุ 65
ปี วันแรกของการเกษียณอายุ เขาได้รับเช็คเงินประกันสังคมฉบับแรกของเขา
เป็นเงิน 105
ดอลลาร์(ราวสี่พันบาท)เช็คดังกล่าวเหมือนเป็นตัวแทนของรัฐที่ฝากมาบอกเขาว่า
เขาไม่อาจจะดูแลตัวเองได้อีกต่อไปแล้ว ทั้งหมดที่เขาทำได้ก็คือใช้ชีวิต
อยู่จนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิตด้วยเงินสนับสนุนจากรัฐบาลมันไม่ใช่ครั้ง
แรกที่เขารู้สึกถูกปฏิเสธ ล้มเหลว เสียกำลังใจ
และท้อแท้ชีวิตของเขาได้รับความผิดหวังอีกครั้งหนึ่งหลังจาก 65
ปีอันยาวนานเขาบอกกับตัวเองว่าถ้าเขาดูแลตัวเองไม่ได้
ต้องมีชีวิตอยู่โดยให้รัฐบาลดูแลเขาก็ไม่สมควรจะมีชีวิตอีกต่อไป
เขาตัดสินใจ (อีกแล้ว) ว่า
“จะฆ่าตัวตาย”เขาหยิบกระดาษหนึ่งแผ่นกับดินสอหนึ่งแท่งนั่งลงใต้ต้นไม้ในสวน
หลังบ้านอย่างสงบ
ตั้งใจที่จะเขียนคำสั่งเสียและพินัยกรรมแต่แทนที่จะทำเช่นนั้น
กลับเหมือนมีอะไรมาดลใจ
เหมือนเป็นครั้งแรกที่ชีวิตเกิดปัญญาเขาเริ่มต้นเขียนสิ่งที่เขาควรจะเป็น
ชีวิตที่เขาควรจะมี
และสิ่งที่เขาปรารถนาในช่วงชีวิตสุดท้ายที่เหลืออยู่เขาตกใจมาก
เมื่อค้นพบความจริงในชีวิตว่า
เขายังไม่เคยทำอะไรสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันกับเขาสักอย่างเลย ! (เพิ่งนึกได้)
เขา นั่งครุ่นคิดกับตัวเองอย่างจริงจัง มีบางอย่างที่เขาสามารถทำได้บางอย่างที่คนที่รอบตัวทำสู้เขาไม่ได้ ใช่ ! เขารู้วิธีปรุงอาหารชีวิตเกือบทั้งหมดของเขา อยู่ที่หน้าเตาร้อนๆ มาตลอด เขาตัดสินใจกับตัวเองอีกครั้งในที่สุดเขาเลือกที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อทำอะไร สักอย่างในชีวิตให้ประสบความสำเร็จเขาตั้งใจว่าถ้าเขาจะตาย เขาก็อยากจะตายในแบบที่ได้ลองพยายามเป็นใครสักคนและทำบางสิ่งบางอย่างที่มี ค่าด้วยชีวิตที่เหลืออยู่น้อยนิดของเขาเขาลุกจากเงาไม้ มุ่งหน้าไปยังธนาคารในเมือง เพื่อขอยืมเงินจำนวน 87 ดอลลาร์จากเช็คประกันสังคมฉบับต่อไปของเขาด้วยเงิน 87 ดอลลาร์นั้น เขาซื้อกล่องเปล่าและไก่จำนวนหนึ่งจากนั้นเขาก็กลับไปที่บ้านและลงมือทอดไก่ ที่ซื้อมาด้วยสูตรพิเศษที่เขาได้คิดค้นขึ้นมาในช่วงหลายปีที่ทำงานที่ร้าน กาแฟนั้นเขาเริ่มขายไก่ทอดของเขาตามบ้านต่างๆ ในเมืองคอร์บิน รัฐเคนตั๊กกี้ของเขาแล้วคนขายไก่ทอดอายุ 65 ปีคนนั้นก็กลายมาเป็นผู้พันฮาร์แลนด์ แซนเดอร์สราชาผู้เป็นที่รักของอาณาจักร Kentucky Fried Chicken หรือที่เรารู้จักกันในนาม KFC นั่นเองตอนอายุ 65 ปี เขาเป็นเหมือนอนุสรณ์แห่งความล้มเหลวที่ยังมีชีวิต แต่ในวัย 85 ปีเขาก็กลายเป็นเศรษฐีพันล้านและมีชื่อเสียงไปทั่วโลก มีผู้คนให้เกียรติเขาทั่วประเทศ
เรื่องราวชีวิตของผู้พันแซนเดอร์ส เป็นอีกบทหนึ่งของเรื่องราวความสำเร็จที่ได้รับคำยกย่องจากผู้คนทั่วโลก แต่ใครจะรู้บ้างว่าหากใต้ต้นไม้วันนั้นผู้พันแซนเดอร์สได้ทำตามที่เขาตั้งใจ ไว้แต่แรกตำนานไก่ทอดสะท้านโลกก็คงจะไม่มีให้เราได้เห็นกัน จริงอย่างที่เขาว่า ความสำเร็จกับความล้มเหลวห่างกันเพียงแค่พลิกฝ่ามือมันอยู่ที่ว่าคุณเลือก ที่จะ “สู้ต่อ” หรือ “ยอมแพ้”
สำหรับผู้พันแซนเดอร์ส 65 ปี ของชีวิตที่ล้มเหลว เทียบคุณค่าอะไรไม่ได้เลยกับ 20 ปีแห่งความสำเร็จแล้วชีวิตของคุณหละ ล้มเหลวมากพอหรือยัง ?
ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://www.thaibestforex.com/forex/t555/?/
เขา นั่งครุ่นคิดกับตัวเองอย่างจริงจัง มีบางอย่างที่เขาสามารถทำได้บางอย่างที่คนที่รอบตัวทำสู้เขาไม่ได้ ใช่ ! เขารู้วิธีปรุงอาหารชีวิตเกือบทั้งหมดของเขา อยู่ที่หน้าเตาร้อนๆ มาตลอด เขาตัดสินใจกับตัวเองอีกครั้งในที่สุดเขาเลือกที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อทำอะไร สักอย่างในชีวิตให้ประสบความสำเร็จเขาตั้งใจว่าถ้าเขาจะตาย เขาก็อยากจะตายในแบบที่ได้ลองพยายามเป็นใครสักคนและทำบางสิ่งบางอย่างที่มี ค่าด้วยชีวิตที่เหลืออยู่น้อยนิดของเขาเขาลุกจากเงาไม้ มุ่งหน้าไปยังธนาคารในเมือง เพื่อขอยืมเงินจำนวน 87 ดอลลาร์จากเช็คประกันสังคมฉบับต่อไปของเขาด้วยเงิน 87 ดอลลาร์นั้น เขาซื้อกล่องเปล่าและไก่จำนวนหนึ่งจากนั้นเขาก็กลับไปที่บ้านและลงมือทอดไก่ ที่ซื้อมาด้วยสูตรพิเศษที่เขาได้คิดค้นขึ้นมาในช่วงหลายปีที่ทำงานที่ร้าน กาแฟนั้นเขาเริ่มขายไก่ทอดของเขาตามบ้านต่างๆ ในเมืองคอร์บิน รัฐเคนตั๊กกี้ของเขาแล้วคนขายไก่ทอดอายุ 65 ปีคนนั้นก็กลายมาเป็นผู้พันฮาร์แลนด์ แซนเดอร์สราชาผู้เป็นที่รักของอาณาจักร Kentucky Fried Chicken หรือที่เรารู้จักกันในนาม KFC นั่นเองตอนอายุ 65 ปี เขาเป็นเหมือนอนุสรณ์แห่งความล้มเหลวที่ยังมีชีวิต แต่ในวัย 85 ปีเขาก็กลายเป็นเศรษฐีพันล้านและมีชื่อเสียงไปทั่วโลก มีผู้คนให้เกียรติเขาทั่วประเทศ
เรื่องราวชีวิตของผู้พันแซนเดอร์ส เป็นอีกบทหนึ่งของเรื่องราวความสำเร็จที่ได้รับคำยกย่องจากผู้คนทั่วโลก แต่ใครจะรู้บ้างว่าหากใต้ต้นไม้วันนั้นผู้พันแซนเดอร์สได้ทำตามที่เขาตั้งใจ ไว้แต่แรกตำนานไก่ทอดสะท้านโลกก็คงจะไม่มีให้เราได้เห็นกัน จริงอย่างที่เขาว่า ความสำเร็จกับความล้มเหลวห่างกันเพียงแค่พลิกฝ่ามือมันอยู่ที่ว่าคุณเลือก ที่จะ “สู้ต่อ” หรือ “ยอมแพ้”
สำหรับผู้พันแซนเดอร์ส 65 ปี ของชีวิตที่ล้มเหลว เทียบคุณค่าอะไรไม่ได้เลยกับ 20 ปีแห่งความสำเร็จแล้วชีวิตของคุณหละ ล้มเหลวมากพอหรือยัง ?
ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://www.thaibestforex.com/forex/t555/?/
บทนำกลยุทธ์การเก็งกำไร
Posted by
goodintequila
on Tuesday, September 23, 2014
Labels:
exness,
forex,
trade forex,
ซื้อขายforex,
ตลาดforex,
เทรด forex,
โบรคเกอร์ forex,
เล่นforex,
หุ้นforex
/
ประเด็นหนึ่งที่นักเล่นหุ้นทั้งหลายสับสนกับชีวิต ว่าควรจะเป็นนักลงทุน หรือ นักเก็งกำไรดี เป็นคำถามที่หลายคนอยากรู้ เพราะ “เมื่อซื้อหุ้นอยากลงทุน แต่พอหุ้นขึ้นแรง กลับขาย เพราะอยากเก็งกำไร” “แต่เมื่อซื้อหุ้นเพื่อเก็งกำไร หวังให้หุ้นขึ้น แต่พอหุ้นตกกลับบอกขอถือเพื่อเป็นการลงทุน”
แต่สำหรับตัวผม แล้วมองทุกอย่าง ก็คือการเก็งกำไร
หากคุณอยากที่จะขายเพื่อทำกำไรจากสิ่งนั้นๆ ยกเว้นเสียแต่
ผู้ที่ซื้อหุ้นเพื่อสะสม หรือเก็บไว้เพื่อรับปันผล ดังเช่น วอเรนต์บัฟเฟต
หรือ ผู้ที่ชอบซื้อสิ่งของที่มีค่าสะสม เช่น รูปภาพ, แสตมป์ หรือของ โบราณ
เพื่อขายในราคาที่สูงจนเกินความพอใจ มากๆ (โดยที่ไม่ขายก็ไม่เดือดร้อน
เพราะชอบและรัก กับของสะสมนั้นๆอยู่แล้ว) จึงจะเรียกว่านักลงทุน
ไม่ ว่าจะเรียกอย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่นักลงทุนจำเป็นจะต้องรู้คือ รู้จักตัวเอง ก่อนที่จะรู้จัก สิ่งอื่นๆ เพราะ หากเรารู้จักตัวเองดีพอ ก็จะสามารถ กำหนดกลยุทธ์การลงทุน หรือการวางแผน ให้ประสบความสำเร็จได้ ดังนั้นผมจึงรวบรวมข้อคิดที่ จะมาบอกกล่าว ในรูป กลยุทธ์ การเก็งกำไรกัน ซึ่งบทความนี้อาจจะมีบางส่วนที่อ้างอิง จากหนังสือ เรื่อง “The Zurich Axioms”
บทนำกลยุทธ์การเก็งกำไร
“ในตลาดการลง ทุนส่วนใหญ่มักมองว่า การเก็งกำไรเป็นเรื่องเลวร้าย ซึ่งแตกต่างจากการลงทุนโดยสิ้นเชิง แต่ความเป็นจริงแล้ว เราทุกคนต่างหาก ที่ล้วนแล้วแต่ต้องการกำไร จากการลงทุน เพียงมองแต่ว่า การใช้ระยะเวลา หรือผลประโยชน์ระยะสั้น ก็จะมองเพียงเป็นการเก็งกำไร แต่การร่วมลงทุนในระยะยาวถือเป็นการลงทุน แต่แท้ที่จริงทุกคนต่างมองถึงผลประโยชน์ ซึ่งปรับแต่งคำพูดให้สวยงามว่าเราต่างเป็นนักลงทุน”
โดยธรรมชาติแล้ว กิจกรรมการเงินอะไรก็ตามที่ก่อให้เกิดกำไรมักจะเกี่ยวข้องกับความเสี่ยง ไม่ว่าผู้เกี่ยวข้องจะเป็นนักเสี่ยงโชคหรือไม่ก็ตาม วิธีเดียวที่ทำให้ความเสี่ยงใกล้ศูนย์คือการฝากเงินกับธนาคารหรือนำไปซื้อ พันธบัตรรัฐบาล แต่ผลตอบแทนก็ย่อมต่ำไปด้วย ด้วยเหตุนี้บรรดานักลงทุนที่กระตือรือร้นต่างพยายามขวนขวายหาการลงทุนแบบ อื่นที่ให้ผลตอบแทนและความเสี่ยงสูงกว่า แต่ที่แปลกคือทุกคนต่างไม่ยอมรับว่าตนเองกำลังเก็งกำไร กำลังเสี่ยงเงินของตนหรือกำลังเล่นการพนัน หากแต่แสร้งทำเป็นว่าตนเองมีความฉลาดรอบคอบและเรียกกิจกรรมที่ตนเองประกอบ อยู่ว่า “การลงทุน”
ในความเป็นจริงแล้ว นักลงทุนและนักเก็งกำไรฟังดูไม่ต่างกันนัก เพราะการลงทุนทุกชนิดคือการเก็งกำไร แตกต่างกันแต่เพียงว่าบางคนยอมรับในขณะที่บางคนไม่ยอมรับ ไม่ว่าคุณจะเรียกกิจกรรมซื้อขายหลักทรัพย์ว่าเป็นการลงทุนหรือไม่ก็ตาม ความจริงก็ยังหนีความจริงไม่พ้น เพราะการพนันก็ยังคงเป็นการพนันวันยังค่ำ เพราะฉะนั้นการลงทุนทุกชนิดคือการเสี่ยงโชค เพราะคุณต้องเลือกวางเงินของคุณไว้ข้างหน้าว่าจะแทงกองไหน ไม่ว่าคุณจะเลือกหุ้นอะไรก็ตาม ยอมรับเสียเถอะว่านั้นคือการเสี่ยงโชค ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะต้องมาหลอกตัวเอง
นักเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จ เจสซี่ ลิเวอร์โมร์ กล่าวว่า
“ความ เสี่ยงอาจมีผลทางบวกหรือลบ เพราะ เราอาจจะสูญเสียสิ่งที่มีอยู่แทนที่จะได้รับผลตอบแทน แต่อย่างไรก็ดีถ้าเราจนลงเพราะการเสี่ยงโชคแล้ว มันก็ยังดีกว่า การที่จนลงเพราะอยู่เฉยๆ ไม่ใช่หรือ?”
“ไม่ว่าคุณจะมีอาชีพอะไร คุณจะต้องเผชิญกับสิ่งที่หวานและขมเสมอ ถ้าคุณเลี้ยงผึ้ง คุณก็ย่อมถูกผึ้งต่อย แต่สำหรับผม ผมก็มีความกังวลอยู่เสมอ ถ้าใครไม่มีความกังวลแล้ว เขาผู้นั้นคงยากจนต่อไป”
ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://www.thaibestforex.com/forex/t18/?/
ไม่ ว่าจะเรียกอย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่นักลงทุนจำเป็นจะต้องรู้คือ รู้จักตัวเอง ก่อนที่จะรู้จัก สิ่งอื่นๆ เพราะ หากเรารู้จักตัวเองดีพอ ก็จะสามารถ กำหนดกลยุทธ์การลงทุน หรือการวางแผน ให้ประสบความสำเร็จได้ ดังนั้นผมจึงรวบรวมข้อคิดที่ จะมาบอกกล่าว ในรูป กลยุทธ์ การเก็งกำไรกัน ซึ่งบทความนี้อาจจะมีบางส่วนที่อ้างอิง จากหนังสือ เรื่อง “The Zurich Axioms”
บทนำกลยุทธ์การเก็งกำไร
“ในตลาดการลง ทุนส่วนใหญ่มักมองว่า การเก็งกำไรเป็นเรื่องเลวร้าย ซึ่งแตกต่างจากการลงทุนโดยสิ้นเชิง แต่ความเป็นจริงแล้ว เราทุกคนต่างหาก ที่ล้วนแล้วแต่ต้องการกำไร จากการลงทุน เพียงมองแต่ว่า การใช้ระยะเวลา หรือผลประโยชน์ระยะสั้น ก็จะมองเพียงเป็นการเก็งกำไร แต่การร่วมลงทุนในระยะยาวถือเป็นการลงทุน แต่แท้ที่จริงทุกคนต่างมองถึงผลประโยชน์ ซึ่งปรับแต่งคำพูดให้สวยงามว่าเราต่างเป็นนักลงทุน”
โดยธรรมชาติแล้ว กิจกรรมการเงินอะไรก็ตามที่ก่อให้เกิดกำไรมักจะเกี่ยวข้องกับความเสี่ยง ไม่ว่าผู้เกี่ยวข้องจะเป็นนักเสี่ยงโชคหรือไม่ก็ตาม วิธีเดียวที่ทำให้ความเสี่ยงใกล้ศูนย์คือการฝากเงินกับธนาคารหรือนำไปซื้อ พันธบัตรรัฐบาล แต่ผลตอบแทนก็ย่อมต่ำไปด้วย ด้วยเหตุนี้บรรดานักลงทุนที่กระตือรือร้นต่างพยายามขวนขวายหาการลงทุนแบบ อื่นที่ให้ผลตอบแทนและความเสี่ยงสูงกว่า แต่ที่แปลกคือทุกคนต่างไม่ยอมรับว่าตนเองกำลังเก็งกำไร กำลังเสี่ยงเงินของตนหรือกำลังเล่นการพนัน หากแต่แสร้งทำเป็นว่าตนเองมีความฉลาดรอบคอบและเรียกกิจกรรมที่ตนเองประกอบ อยู่ว่า “การลงทุน”
ในความเป็นจริงแล้ว นักลงทุนและนักเก็งกำไรฟังดูไม่ต่างกันนัก เพราะการลงทุนทุกชนิดคือการเก็งกำไร แตกต่างกันแต่เพียงว่าบางคนยอมรับในขณะที่บางคนไม่ยอมรับ ไม่ว่าคุณจะเรียกกิจกรรมซื้อขายหลักทรัพย์ว่าเป็นการลงทุนหรือไม่ก็ตาม ความจริงก็ยังหนีความจริงไม่พ้น เพราะการพนันก็ยังคงเป็นการพนันวันยังค่ำ เพราะฉะนั้นการลงทุนทุกชนิดคือการเสี่ยงโชค เพราะคุณต้องเลือกวางเงินของคุณไว้ข้างหน้าว่าจะแทงกองไหน ไม่ว่าคุณจะเลือกหุ้นอะไรก็ตาม ยอมรับเสียเถอะว่านั้นคือการเสี่ยงโชค ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะต้องมาหลอกตัวเอง
นักเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จ เจสซี่ ลิเวอร์โมร์ กล่าวว่า
“ความ เสี่ยงอาจมีผลทางบวกหรือลบ เพราะ เราอาจจะสูญเสียสิ่งที่มีอยู่แทนที่จะได้รับผลตอบแทน แต่อย่างไรก็ดีถ้าเราจนลงเพราะการเสี่ยงโชคแล้ว มันก็ยังดีกว่า การที่จนลงเพราะอยู่เฉยๆ ไม่ใช่หรือ?”
“ไม่ว่าคุณจะมีอาชีพอะไร คุณจะต้องเผชิญกับสิ่งที่หวานและขมเสมอ ถ้าคุณเลี้ยงผึ้ง คุณก็ย่อมถูกผึ้งต่อย แต่สำหรับผม ผมก็มีความกังวลอยู่เสมอ ถ้าใครไม่มีความกังวลแล้ว เขาผู้นั้นคงยากจนต่อไป”
ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://www.thaibestforex.com/forex/t18/?/
ค่าคอมมิสชัน ในการเทรด Forex
Posted by
goodintequila
on Tuesday, September 16, 2014
Labels:
exness,
forex,
trade forex,
ซื้อขายforex,
ตลาดforex,
เทรด forex,
โบรคเกอร์ forex,
เล่นforex,
หุ้นforex
/
โบรคเกอร์ forex หลายโบรคเกอร์ ได้โฆษณาว่าฟรีค่าคอมมิสชัน (Commission) แต่จริงๆ แล้วมันเป็นยังไง?
อัน ที่จริงการเทรด forex นั้นต้องเสียค่าใช้จ่าย (จะเรียกว่าค่าคอมมิสชัน หรือไม่ก็ตาม) ถือว่าสูงมาก เมื่อเทียบกับการซื้อขายหุ้น หรือกองทุนในบ้านเราซึ่งมีค่าคอมมิสชันจะอยู่ที่ประมาณ 0.2% ของมูลค่าที่ทำการเทรด ดังนั้นการที่โบรคเกอร์ forex ส่วนใหญ่ ทำการตลาดโดยอ้างว่า ฟรีค่าคอมมิสชัน ที่จริงแล้วมันไม่จริงทั้งหมด และอาจทำให้เข้าใจผิดได้
ในตลาด forex นั้น คล้าย กับตลาดอื่น ๆ นั้นคือมีการตั้งซื้อ (Bid) และตั้งขาย (Ask) ราคาตั้งซื้อคือราคาที่เราสามารถขายได้ในขณะนั้น ส่วนราคาตั้งขายก็คือราคาที่เราสามารถซื้อได้ในขณะนั้น
ผลต่าง ระหว่างราคาตั้งซื้อ และตั้งขาย นั้นเรียกว่า Spread ยกตัวอย่าง EUR/USD ราคา Bid ที่1.4156 และ Ask ที่ 1.4159 ดังนั้นค่า Spread ของ EUR/USD จะเท่ากับ 0.0003 หรือ 3 PIPS ถ้าเราทำการเปิด Order ทำการซื้อขณะนั้น เราจะซื้อได้ที่ 1.4159 และ Transaction ของเราจะขึ้นเป็น -3 PIPS ทันที ถ้าเราปิดออร์เดอร์ขณะนั้นโดยอัตราแลกเปลี่ยนยังไม่เปลี่ยนแปลงเราจะขายได้ ที่ 1.4156 และขาดทุนทันที 0.0003 หรือ 3 PIPS จะเห็นได้ว่า ถ้ายิ่ง Spread กว้างมาก เราก็จะต้องจ่ายส่วนต่างนี้มากขึ้นไปด้วย ส่วนต่างตรงนี้เองที่ส่วนหนึ่งเป็นรายได้ของโบรคเกอร์ และเรา หรือผู้เทรดจำเป็นจะต้องจ่ายทุกครั้งที่เปิด Order ทำการเทรด
บางคน อาจจะเห็นว่า เสียแค่ 0.0003 จากราคาประมาณ 1.4 นั้นไม่เท่าไหร่เองหนิ ถ้าคิดเป็นเปอร์เซ็นก็แค่ประมาณ 0.03% เอง แต่อย่าลืมนะครับว่าการเทรด Forex นั้นมีระบบ Leverage ถ้า Leverage ที่ 1:100 นั้นก็เสมือนว่าเราส่งคำสั่งซื้อด้วยเงินทุน 100 เท่าจากเงินทุนจริงของเรา ดังนั้นถ้าเทียบกับเงินทุนจริงของเรา มันจะไม่ใช่ 0.03% แต่มันจะเป็น 3% นั้นเอง หรือถ้าเทรดในระบบLeverage 1:500 จำนวนเงินตรงนี้ก็จะยิ่งสูงขึ้นไปอีกเป็น 15% ของเงินทุนจริงของเรา ที่นี้จะเห็นเลยใช่ไหม๊ครับ ว่ามันแพงหูฉี่เลยทีเดียว
โบรคเกอร์แต่ ละที่จะมีค่า Spread ที่แตกต่างกันไป รวมไปถึง คู่อัตราแลกเปลียน แต่ละคู่ก็อาจมี Spread ที่แตกต่างกันด้วย หรือแม้กระทั้งคู่สกุลเงินคู่เดียวกัน แต่คนละช่วงเวลา บางโบรคเกอร์ค่า Spread ก็สามารถขึ้นลง และไม่ Fix ด้วยเช่นกัน ดังนั้นก่อนเปิดใช้บริการของโบรคเกอร์ ควรตรวจสอบค่า Spread ของโบรคเกอร์นั้นๆ ให้ดีก่อนนะครับ รวมไปถึงระบบ Spread ของโบรคเกอร์นั้น ๆ ว่าเป็นแบบ Fix คงที่ หรือเปลี่ยนแปลงได้ ในกรณีที่ใช้บริการของโบรคเกอร์ที่ไม่ Fix ค่า Spread ก่อนทำการเทรดทุกครั้ง ต้องตรวจสอบค่า Spread ในขณะนั้นก่อนส่งคำสั่ง ซื้อ ขาย ถ้ารีบร้อนเกิน กลัวไม่ได้ราคาที่เลงไว้ โดยไม่ได้ตรวจสอบ Spread ให้ดี เข้าเทรดไปแล้วอาจจะตกใจภายหลังได้ครับ
จะเห็นได้ว่าการเลือกโบ รคเกอร์ ค่า Spread ก็เป็นจุดสำคัญจุดหนึ่งที่สามารถลดค่าใช้จ่ายของเราได้ ถึงแม่มันจะน้อยเมื่อเทียบ กับราคาที่วิ่งขึ้น วิ่งลง ของอัตราแลกเปลี่ยน แต่ถ้าเราประหยัดตรงนี้ได้ แค่ 1-2% ต่อการเทรดแต่ละครั้ง แต่รวมๆ หลายๆ ครั้งก็ไม่ใช่จำนวนเงินน้อย ๆ เลยนะครับ
ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://www.thaibestforex.com/forex/forex-196/?/
อัน ที่จริงการเทรด forex นั้นต้องเสียค่าใช้จ่าย (จะเรียกว่าค่าคอมมิสชัน หรือไม่ก็ตาม) ถือว่าสูงมาก เมื่อเทียบกับการซื้อขายหุ้น หรือกองทุนในบ้านเราซึ่งมีค่าคอมมิสชันจะอยู่ที่ประมาณ 0.2% ของมูลค่าที่ทำการเทรด ดังนั้นการที่โบรคเกอร์ forex ส่วนใหญ่ ทำการตลาดโดยอ้างว่า ฟรีค่าคอมมิสชัน ที่จริงแล้วมันไม่จริงทั้งหมด และอาจทำให้เข้าใจผิดได้
ในตลาด forex นั้น คล้าย กับตลาดอื่น ๆ นั้นคือมีการตั้งซื้อ (Bid) และตั้งขาย (Ask) ราคาตั้งซื้อคือราคาที่เราสามารถขายได้ในขณะนั้น ส่วนราคาตั้งขายก็คือราคาที่เราสามารถซื้อได้ในขณะนั้น
ผลต่าง ระหว่างราคาตั้งซื้อ และตั้งขาย นั้นเรียกว่า Spread ยกตัวอย่าง EUR/USD ราคา Bid ที่1.4156 และ Ask ที่ 1.4159 ดังนั้นค่า Spread ของ EUR/USD จะเท่ากับ 0.0003 หรือ 3 PIPS ถ้าเราทำการเปิด Order ทำการซื้อขณะนั้น เราจะซื้อได้ที่ 1.4159 และ Transaction ของเราจะขึ้นเป็น -3 PIPS ทันที ถ้าเราปิดออร์เดอร์ขณะนั้นโดยอัตราแลกเปลี่ยนยังไม่เปลี่ยนแปลงเราจะขายได้ ที่ 1.4156 และขาดทุนทันที 0.0003 หรือ 3 PIPS จะเห็นได้ว่า ถ้ายิ่ง Spread กว้างมาก เราก็จะต้องจ่ายส่วนต่างนี้มากขึ้นไปด้วย ส่วนต่างตรงนี้เองที่ส่วนหนึ่งเป็นรายได้ของโบรคเกอร์ และเรา หรือผู้เทรดจำเป็นจะต้องจ่ายทุกครั้งที่เปิด Order ทำการเทรด
บางคน อาจจะเห็นว่า เสียแค่ 0.0003 จากราคาประมาณ 1.4 นั้นไม่เท่าไหร่เองหนิ ถ้าคิดเป็นเปอร์เซ็นก็แค่ประมาณ 0.03% เอง แต่อย่าลืมนะครับว่าการเทรด Forex นั้นมีระบบ Leverage ถ้า Leverage ที่ 1:100 นั้นก็เสมือนว่าเราส่งคำสั่งซื้อด้วยเงินทุน 100 เท่าจากเงินทุนจริงของเรา ดังนั้นถ้าเทียบกับเงินทุนจริงของเรา มันจะไม่ใช่ 0.03% แต่มันจะเป็น 3% นั้นเอง หรือถ้าเทรดในระบบLeverage 1:500 จำนวนเงินตรงนี้ก็จะยิ่งสูงขึ้นไปอีกเป็น 15% ของเงินทุนจริงของเรา ที่นี้จะเห็นเลยใช่ไหม๊ครับ ว่ามันแพงหูฉี่เลยทีเดียว
โบรคเกอร์แต่ ละที่จะมีค่า Spread ที่แตกต่างกันไป รวมไปถึง คู่อัตราแลกเปลียน แต่ละคู่ก็อาจมี Spread ที่แตกต่างกันด้วย หรือแม้กระทั้งคู่สกุลเงินคู่เดียวกัน แต่คนละช่วงเวลา บางโบรคเกอร์ค่า Spread ก็สามารถขึ้นลง และไม่ Fix ด้วยเช่นกัน ดังนั้นก่อนเปิดใช้บริการของโบรคเกอร์ ควรตรวจสอบค่า Spread ของโบรคเกอร์นั้นๆ ให้ดีก่อนนะครับ รวมไปถึงระบบ Spread ของโบรคเกอร์นั้น ๆ ว่าเป็นแบบ Fix คงที่ หรือเปลี่ยนแปลงได้ ในกรณีที่ใช้บริการของโบรคเกอร์ที่ไม่ Fix ค่า Spread ก่อนทำการเทรดทุกครั้ง ต้องตรวจสอบค่า Spread ในขณะนั้นก่อนส่งคำสั่ง ซื้อ ขาย ถ้ารีบร้อนเกิน กลัวไม่ได้ราคาที่เลงไว้ โดยไม่ได้ตรวจสอบ Spread ให้ดี เข้าเทรดไปแล้วอาจจะตกใจภายหลังได้ครับ
จะเห็นได้ว่าการเลือกโบ รคเกอร์ ค่า Spread ก็เป็นจุดสำคัญจุดหนึ่งที่สามารถลดค่าใช้จ่ายของเราได้ ถึงแม่มันจะน้อยเมื่อเทียบ กับราคาที่วิ่งขึ้น วิ่งลง ของอัตราแลกเปลี่ยน แต่ถ้าเราประหยัดตรงนี้ได้ แค่ 1-2% ต่อการเทรดแต่ละครั้ง แต่รวมๆ หลายๆ ครั้งก็ไม่ใช่จำนวนเงินน้อย ๆ เลยนะครับ
ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://www.thaibestforex.com/forex/forex-196/?/
เคล็ดวิชาไร้พ่าย
Posted by
goodintequila
on Saturday, July 27, 2013
Labels:
exness,
forex,
trade forex,
ซื้อขายforex,
ตลาดforex,
เทรด forex,
โบรคเกอร์ forex,
เล่นforex,
หุ้นforex
/
Comments: (0)
เดิมที
จักรวาลนั้นว่างเปล่า อู๋จี๋ (Ou Chi) "หุ้นตัวนั้นยังไม่มีใครสนใจ"
ต่อมาจึงมีสิ่งที่ตามมาภายหลังความว่างเปล่าเรียกว่า ไท่จี๋ (Tai Chi)
"หุ้นตัวนั้นเริ่มมีคนสนใจแต่ยังไม่ไปใหน แรงซื้อ=แรงขาย"
แล้วจึงเกิดการแบ่งแยกเป็นหยิน หยิน (YIN) และ หยาง (YANG)
"แสดงทิศทางว่าขึ้นหรือลง แรงขายไม่เท่ากับแรงซื้อ"
เป็นขั้วซึ่งกำหนดขอบเขตของวัฏจักรแห่งการเปลี่ยนแปลง
เมื่อขั้วหนึ่งถึงจุดสูงสุดก็ต้องถอยให้กับอีกขั้วหนึ่ง
จะเป็นเช่นนี้เสมอไป ที่สุดของภาวะหมีคือภาวะกระทิง
ที่สุดของภาวะกระทิงก็คือภาวะหมี ในภาวะหมีมีภาวะกระทิง
ในภาวะกระทิงมีภาวะหมี ที่สุดของแรงซื้อก็คือแรงขาย
ที่สุดของแรงขายก็คือแรงซื้อ ในแรงซื้อมีแรงขาย ในแรงขายมีแรงซื้อ
การดำรงอยู่อย่างเป็นสุขต้องทำตนให้สอดคล้องกับจักรวาล
คือหลักสมดุลแห่งหยินหยาง การเล่นหุ้นได้
กำไรและมีความสุข ต้องเข้าออกอย่างสอดคล้องกับแรงขายและแรงซื้อของรายใหญ่
ใช้ความสงบสยบความเคลื่อนใหว ใช้ความอ่อนพิชิตความแข็ง
ใช้ความช้าพิชิตความเร็ว นิ่มอ่อน ผ่อนคลาย ลีลาเชื่องช้า มั่นคง
พร้อมดูดซับพลังปรปักษ์แล้วโต้กลับได้ทุกเมื่อ
ที่สุดของหยินก็คือหยางอันกล้าแข็งอย่างยิ่ง
นี่คือหลักการใช้หยินพิชิตหยางในคัมภีร์เก้าอิมที่อาจนำเอามาใช้ในการเอาชนะ
ตลาดหุ้นได้โดยไม่ยาก ทำตัวเป็นเหาฉลามแล้วจะเล่นหุ้นได้กำไรไม่ค่อยขาดทุน
ทำตัวเป็นนักเลงหุ้นอาจต้องขาดทุนไม่ค่อยได้กำไร
การ ทุบหุ้นของรายใหญ่ ผู้ที่เสียหายเยอะสุดสุดก็คือรายใหญ่และผู้ถือหุ้นใหญ่กับเจ้าของบริษัท ดังนั้นจึง ควรใช้หลักวิชาของมวยไท้เก็ก อันว่าด้วยการอ่อนตามและเกาะติด แล้วจึงโต้กลับด้วกระบวนท่าอันไร้กระบวนท่า ไร้กำลังแต่เปี่ยมด้วยแรง ไร้สภาวะแต่ดำรงอยู่ หยิน-หยางไม่ปรากฏ พร้อมเข้าตีปรปักษ์ได้ทุกเมื่อ อย่างไร้ตัวตน โดยอาศัยแรงของปรปักษ์ในการทำร้ายปรปักษ์
ไร้กระบวนท่าจึงเป็นสุดยอดกระบวนท่า
ไร้กำลังจึงมีแรง
ไร้ตัวตนจึงไร้พ่าย
ธรรมดาทั่วไปแล้ว
ผู้มีกำลังมากย่อมชนะผู้มีกำลังน้อย
ผู้ที่ว่องไวย่อมชนะผู้ที่เชื่องช้า
แต่...
ด้วยหลักอ่อนหยุ่นพิชิตแกร่งกร้าว(สี่ตำลึงเหวี่ยงฟาดพันชั่ง)
นิ่งสงบสยบความเคลื่อนใหว
ลงมือทีหลังแต่ถึงก่อน
ดังนี้...
ผู้มีกำลังน้อยย่อมชนะผู้มีกำลังมาก
ผู้ที่เชื่องช้าย่อมชนะผู้ที่ว่องไวได้โดยง่ายดาย
อย่าซื้อหุ้นในขณะที่แรงขายยังไม่หมด
รอให้แรงขายหมดแล้วจึงค่อยเข้าซื้อ
เมื่อไม่มีผู้รอซื้อรายใหญ่ย่อมซื้อกลับคืนรายย่อยจึงมีกำไร
รู้จักผู้อื่น --> เป็นความฉลาด
รู้จักตัวเอง --> เป็นการรู้แจ้ง
ควบคุมผู้อื่น --> ใช้กำลัง
ควบคุมตัวเอง --> ใช้ความเข้มแข็ง
คนที่รู้จักพอ -->เป็นคนร่ำรวย
ความบากบั่น --> เป็นเครื่องหมายของพลังจิต
มนุษย์ไปได้ไกล --> เท่าที่เขามีความอดทน
การตาย -->โดยไม่สูญสิ้น --> เป็นการอยู่ชั่วนิรันดร์
ตำราทั่วไปมัก แบ่งแยกหุ้นดีกับหุ้นไม่ดี
แต่สำหรับข้า หาได้แบ่งแยกเช่นนั้นไม่
ข้ารู้จักแต่ หุ้นวิ่งกับหุ้นไม่วิ่งเท่านั้น
เพื่อการได้กำไรมากสุดในเวลาอันสั้นสุด
แล้วก็ไม่ต้องคิดอะไรให้มากมายด้วย
ข้ารู้ว่าเมื่อใดมันจะวิ่งเมื่อใดมันจะหยุดวิ่ง
และเมื่อใดมันจะวิ่งต่อ ด้วยการศึกษานิสัยของมัน
...เกมส์ ของความกลัวและความอยาก... ใช้ความนิ่งสยบความเคลื่อนไหว... อย่ามองเพียง ด้านเดียวจงมองให้รอบด้าน... เก็บเกี่ยวข้อมูลให้มากแต่จงตัดสินใจเอง...
ผิดพลาดไม่ต้องโทษใครให้เสียกำลังใจจงแก้ตัวใหม่อย่าท้อถอย... ความสำเร็จรอคอยพวกเราอยู่แล้วข้างหน้า...
การ ทุบหุ้นของรายใหญ่ ผู้ที่เสียหายเยอะสุดสุดก็คือรายใหญ่และผู้ถือหุ้นใหญ่กับเจ้าของบริษัท ดังนั้นจึง ควรใช้หลักวิชาของมวยไท้เก็ก อันว่าด้วยการอ่อนตามและเกาะติด แล้วจึงโต้กลับด้วกระบวนท่าอันไร้กระบวนท่า ไร้กำลังแต่เปี่ยมด้วยแรง ไร้สภาวะแต่ดำรงอยู่ หยิน-หยางไม่ปรากฏ พร้อมเข้าตีปรปักษ์ได้ทุกเมื่อ อย่างไร้ตัวตน โดยอาศัยแรงของปรปักษ์ในการทำร้ายปรปักษ์
ไร้กระบวนท่าจึงเป็นสุดยอดกระบวนท่า
ไร้กำลังจึงมีแรง
ไร้ตัวตนจึงไร้พ่าย
ธรรมดาทั่วไปแล้ว
ผู้มีกำลังมากย่อมชนะผู้มีกำลังน้อย
ผู้ที่ว่องไวย่อมชนะผู้ที่เชื่องช้า
แต่...
ด้วยหลักอ่อนหยุ่นพิชิตแกร่งกร้าว(สี่ตำลึงเหวี่ยงฟาดพันชั่ง)
นิ่งสงบสยบความเคลื่อนใหว
ลงมือทีหลังแต่ถึงก่อน
ดังนี้...
ผู้มีกำลังน้อยย่อมชนะผู้มีกำลังมาก
ผู้ที่เชื่องช้าย่อมชนะผู้ที่ว่องไวได้โดยง่ายดาย
อย่าซื้อหุ้นในขณะที่แรงขายยังไม่หมด
รอให้แรงขายหมดแล้วจึงค่อยเข้าซื้อ
เมื่อไม่มีผู้รอซื้อรายใหญ่ย่อมซื้อกลับคืนรายย่อยจึงมีกำไร
รู้จักผู้อื่น --> เป็นความฉลาด
รู้จักตัวเอง --> เป็นการรู้แจ้ง
ควบคุมผู้อื่น --> ใช้กำลัง
ควบคุมตัวเอง --> ใช้ความเข้มแข็ง
คนที่รู้จักพอ -->เป็นคนร่ำรวย
ความบากบั่น --> เป็นเครื่องหมายของพลังจิต
มนุษย์ไปได้ไกล --> เท่าที่เขามีความอดทน
การตาย -->โดยไม่สูญสิ้น --> เป็นการอยู่ชั่วนิรันดร์
ตำราทั่วไปมัก แบ่งแยกหุ้นดีกับหุ้นไม่ดี
แต่สำหรับข้า หาได้แบ่งแยกเช่นนั้นไม่
ข้ารู้จักแต่ หุ้นวิ่งกับหุ้นไม่วิ่งเท่านั้น
เพื่อการได้กำไรมากสุดในเวลาอันสั้นสุด
แล้วก็ไม่ต้องคิดอะไรให้มากมายด้วย
ข้ารู้ว่าเมื่อใดมันจะวิ่งเมื่อใดมันจะหยุดวิ่ง
และเมื่อใดมันจะวิ่งต่อ ด้วยการศึกษานิสัยของมัน
...เกมส์ ของความกลัวและความอยาก... ใช้ความนิ่งสยบความเคลื่อนไหว... อย่ามองเพียง ด้านเดียวจงมองให้รอบด้าน... เก็บเกี่ยวข้อมูลให้มากแต่จงตัดสินใจเอง...
ผิดพลาดไม่ต้องโทษใครให้เสียกำลังใจจงแก้ตัวใหม่อย่าท้อถอย... ความสำเร็จรอคอยพวกเราอยู่แล้วข้างหน้า...
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaibestforex.com/forex/t539/?/