RSS
Showing posts with label ทิศทาง. Show all posts
Showing posts with label ทิศทาง. Show all posts

Divergence and Convergence

Divergence and Convergence (ไดเวอร์เจนซ์ และ คอนเวอร์เจนซ์)

Divergence and Convergence Trading
สวัสดี ครับเพื่อนๆทุกคน วันนี้ขอนำเสนอ วิธีการเทรดโดยการดู Divergence วิธีนี้เทรดเดอร์มือใหม่ควรจะเรียนรู้เอาไว้นะครับ เพราะสามารถใช้ทำกำไรได้ดีทีเดียว เทรดเดอร์บางคนเทรดมาหลายปีแล้วยังไม่รู้เลยครับ ว่า

Divergence และ Convergence คืออะไร วันนี้ผมจะเขียนบทความให้อ่านนะครับ
Divergence เป็นการวิเคราะห์ทางเทคนิคอีกแบบหนึ่งที่นิยมใช้กันมากในการวิเคราะห์ ในตลาดฟอเร็กซ์หรือแม้แต่ตลาดหุ้น  เพราะ Divergence เป็นวิธีการเทรดที่ง่ายและเข้าใจง่าย


    Divergence คือ การแยกออกจากกัน ความขัดแย้งกันของราคาและตัวชี้วัด(Indicator) หมายความว่า ทิศทางของราคาและทิศทางของตัวชี้วัด Indicator จะตรงกันข้ามกัน


    Convergence คือ การลู่เข้ามาหากัน ลู่เข้ามาบรรจบกัน ในการวิเคราะห์เราจะหมายความว่า ทิศทางของราคา และทิศทางของตัวชี้วัด Indicator จะไปในทิศทางเดียวกัน

ตัวชี้วัด Indicators ที่ใช้ในการดู Divergence และ Convergence ที่ใช้กันทั่วไป ส่วนมากจะเป็น Oscillators Indicator คือ Indicators ที่วัดการแกว่งของราคา ได้แก่ Relative Strength Index (RSI) , Moving Average Convergence Divergence (Macd) , Stochastic Slow (Sto) , Commodity Channel Index และ William's Percent Range (W%R)
ตัวชี้วัดเหล่านี้ ผมได้ทดลองใช้แล้วพบว่าดีที่สุดสำหรับการดู Divergence

     Divergence มี 2 ประเภท คือ Divergence Bullish คือ ราคาทำจุดต่ำสุดใหม่(New Low) เมื่อเทียบกับจุดต่ำสุดเก่า (Low)  แต่ตัวชี้วัด(indicator) ทำจุดต่ำสุดใหม่(New Low) สูงกว่าจุดต่ำสุดเก่า(Low)  ดูรูปด้านล่างครับ


Bullish Divergence

จากรูปจะเห็นว่าความชันของ Indivator จะเป็นบวก

EX. Bullish Divergence Chart เป็นกราฟ ของ GBP/USD


- ทริคในการดู Bullish Divergence ให้ได้ผลออกมาดีที่สุด คือ เราต้องรอให้ราคาที่มาทำ New Low มีการดีดตัวกลับก่อน ตรงตำแหน่ง New Low ต้องเกิด Bullish Candle คือมีการดีดตัวกลับ แล้วเราจึงมาดู Indicator ว่า New Low มันสูงกว่า Low เดิมมั้ย ถ้ามันสูงกว่า นี่คือสัญญาณ Bullish Divergence เราสามารถเปิดออเดอร์ Buy(Long) ได้เลยครับ

   Divergence Bearish คือ ราคาทำจุดสูงสุดใหม่ (New High) สูงกว่าจุดสูงสุดเก่า (Low) แต่ตัวชี้วัด (Indicator) ทำจุดสูงสุดใหม่ (New High) ต่ำกว่าจุดสูงสุดเก่า (High) ดูที่รูปด้านล่างครับ


จากรูปเราจะเห็นว่า ความชันของอินดิเคอร์เตอร์ จะเป็นลบ

Ex. ตัวอย่างกราฟ Divergence Bearish เป็นกราฟ EUR/USD 4 H
 จาก รูปเราจะเห็นว่า ราคาขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ที่สูงกว่า แต่อินดี้ของเรากลับทำจุดสูงสุดใหม่ต่ำกว่าเก่า แบบนี้เราเรียกว่า Divergence Bearish ครับ


ทริ คในการสังเกตไดเวอร์เจนประเภทนี้ คือเราต้องรอให้ราคาหยุดนิ่งก่อน อย่าไปสวนขณะที่มันกำลังพุ่งขึ้นเด็ดขาด ต้องรอให้มีการกลับตัวเล็กน้อย โดยดูจากแท่งเทียน ถ้ามีแท่งเทียนกลับตัว Bearish Candle , Reverse Candle และมาดูที่ Indicator ถ้ามันต่ำกว่า High เก่า เราก็สามารถ Sell (Short)
ได้เลย
ความรู้เพิ่มเติม
- Trend Followers
 
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/divergence-and-convergence/?/

Relative Strength Index (RSI)

Relative Strength Index (RSI)


RSI เป็นเครื่องมือที่ใช้วัดการแกว่งตัวของราคา  เพื่อดูภาวะการซื้อมากเกินไป (OVERBOUGHT) หรือขายมากเกินไป (OVERSOLD) โดยใช้ระดับเหนือ 70% บอกภาวะ OVERBOUGHT
และระดับต่ำกว่า 30% บอกภาวะ OVERSOLD และยังใช้เป็นสัญญาณเตือนว่า แนวโน้มของราคาหุ้นที่กำลังมีทิศทางขึ้นหรือลงนั้น กำลังใกล้จะอ่อนตัวลง RSI ประกอบไปด้วย
1.เส้น Moving Average
2. เส้นบอกบริเวณ Overbought Oversold (เส้น 30 และเส้น 70)


Overbought และ Oversold คืออะไร? แล้วใช้ดูกับ RSI อย่างไร?

OVERBOUGHT คือสัญญาณจาก RSI ที่บ่งบอกว่าตลาดขาขึ้นเริ่มมีคน”ซื้อ”มากเกินไปและอิ่มตัวแล้วซึ่งราคามีความเป็นไปได้ที่จะปรับตัวลง
OVERSOLD คือสัญญาณจาก RSI ที่บ่งบอกว่าตลาดขาขึ้นเริ่มมีคน”ขาย”มากเกินไปและอิ่มตัวแล้วซึ่งราคามีความเป็นไปได้ที่จะปรับตัวขึ้น

ผู้ เทรดจะต้องมองเทรนหรือแนวโน้มของราคาให้ออกก่อนว่า ณ ขณะนั้นกราฟกำลังวิ่งเป็นเทรนอะไร เมื่อผู้เทรดสามารถระบุเทรนได้ชัดเจนแล้วก็ให้มองแต่ Over ของกราฟเทรนนั้น ยกตัวอย่างเช่น
หากผู้เทรดเห็นว่ากราฟเป็นเทรนขาขึ้น ผู้เทรดก็ต้องมองแต่ตอนที่เส้น Moving Average ของ RSI เวลากลับมาที่แนว Oversold อย่างเดียวแล้วรอเทียบสวิงของ Oversold กับ สวิง Low
ของราคาอย่างเดียวครับ
ตัวอย่างของการดู Overbought และ Oversold


 
 
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/relative-strength-index-(rsi)/?/

Quantitative Qualitative Estimation (QQE)

Quantitative Qualitative Estimation (QQE) เป็นเครื่องมือ ที่ได้รับความนิยมและเป็นที่รู้จัก QQE indicator ใช้วัดค่าความผันผวน volatile ตามคาบการแกว่ง โดยใช้โมเดล RSI และ ATR เข้ามาทำงานร่วมกัน


แนวคิดการทำงาน
สร้าง ค่า smoothed Relative Strength Index (RSI 14) จาก Moving average ตาม period ที่กำหนด เพื่อเปรียบเทียบกับ ค่า ATR(14) โดยมี trailing stop lines ทั้ง 2 เส้นคือ
- fast trailing stop สร้างจาก ATR smoothed ที่คำนวณจาก wilders function [wilders()] * 2.618
- slow trailing stop สร้างจาก ATR smoothed ที่คำนวณจาก wilders function [wilders()] * 4.236

การแปลความหมาย
QQE แสดงค่า 2 เส้นคือ fast และ slow ร่วมกับการพิจารณาระดับ level ที่สำคัญในการบอก นัยสำคัญของระดับ คือ level 50 ตัวบ่งบอกการเปลี่ยนทิศของแนวโน้ม

การให้สัญญาณแบ่งออกเป็น 2 ระดับ
1. ดู cross over การตัดของเส้นทึบ fast(สีฟ้า) และเส้นประ slow (สีเหลือง)โดย เส้นทึบค่า fast trailing stop และเส้นประ คือค่า slow trailing stop

ถ้าเส้นทึบ fast ตัดขึ้น หมายถึงการ ยกตัวของระดับราคา ถ้าเส้น slow ตัดลงหมายถึงการย่อตัวของระดับราคา

2. ดู level เนื่องจากแนวคิดของ RSI คือการเทียบ rate of change ของการแกว่งตัว ในคาบเวลาที่กำหนด แล้วนำมาสเกลแบบเปอร์เซนต์  ระดับที่มี นัยยะสำคัญในการเปลี่ยนทิศทางแนวโน้ม จากทิศขึ้น เป็นลง หรือ ทิศลงเป็นขึ้น คือ ระดับที่ 50 ซึ่งเป็นตัวบ่งบอก ยืนยันการเกิดแนวโน้มที่ชัดเจนและคงตัว

สัญญาณซื้อ
-ที่นิยมใช้กันคือ รอดูค่า เส้นทึบ fast ตัดขึ้นเส้นประ slow (บอกการกลับตัว) และเส้นทึบ fast ยืนเหนือเส้น level line ที่ 50

สัญญาณการขาย
-  ที่นิยมใช้กันคือ รอดูค่า เส้นทึบ fast ตัดลงเส้นประ slow และเส้นทึบ fast ลงต่ำใต้เส้น level line ที่ 50

- กรณีแกว่งตัวแคบ หรือ sideway trend สามารถเลือกใช้เฉพาะการตัดกันของเส้นเพื่อบอกสัญญาณซื้อขายได้


Download indicator
http://codebase.mql4.com/2887


ข้อตกลงเบื้องต้น
 การ นำเครื่องมือไปใช้ ความแม่นยำ ต้องทำการทดสอบกับระบบท่านก่อนเสมอ ก่อนนำไปใช้ซื้อขายจริงการเผยแพร่ เพื่อให้ความรู้ทางวิชาการและนำเสนอแนวคิดการวิเคราะห์ ไม่มีเจตนาชี้นำการลงทุน ระดมทุน หรือจำหน่ายเครื่องมือเชิงพาณิชย์การปรับตั้งค่า ควรศึกษารายละเอียด parameter ให้เข้าใจ ก่อนปรับแต่งเพิ่มเติม ความถูกต้องของสัญญาณ และเครื่องมือเป็นไปตามที่โปรแกรมเมอร์ผู้พัฒนา อ้างอิง และเผยแพร่ใน mt4 codebase ทางBlog นี้เป็นเพียงผู้เผยแพร่ต่อไม่มีส่วนรับผิดชอบในความเสียหายของเครื่องมือ กรณีผู้ใช้นำไปใช้งาน

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/quantitative-qualitative-estimation-(qqe)/?/

Moving Average Convergence Divergence (MACD)

Moving Average Convergence Divergence (MACD)


MACD เป็นเครื่องมือที่เคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกับราคา (TREND FOLLOWING) สามารถใช้วัดระดับ (DEGREE) ตลาดว่าเป็นตลาดขาขึ้น หรือตลาดขาลง

ค่ามตรฐานสำหรับ MACD อยู่ที่ 12,26,9 ผู้เทรดสามารถใช้ MACD เพื่อช่วยในการระบุพฤติกรรมของเทรนหรือราคาได้เช่น ราคากำลังเป็นเทรน

ราคากำลังชะลอตัวหรือสะสมแรง หรือ ราคากำลังจะกลับตัว MACD มีส่วนประกอบอยู่ 3 อย่างคือ


1. เส้น Moving Average
2.แท่ง Histogram
3.เส้น Zero Line


MACD แบบ Histogram สามารถบอกผู้เทรดได้ถึงภาวะของเทรนซึ่งมีอยู่ 3 สถานะคือ

1. สภาวะที่กราฟเป็นเทรน

2. สภาวะที่กราฟชะลอตัว

3. สภาวะที่กราฟกลับตัว


สัญญาณ จาก MACD แบบ Histogram ที่บ่งบอกว่าราคาเป็นเทรนขึ้น (UPTREND) เมื่อกลุ่มของแท่ง Histogram สามารถยืนเหนือเส้น Moving Average

ใน MACD ได้และเส้น Moving Average ใน MACD และกลุ่มของ Histogram สามารถยืนเหนือเส้น Zero Line ได้ จากนั้นแท่ง Histogram ลู่ขึ้นเรื่อย ๆ


สัญญาณจาก MACD แบบ Histogram ที่บ่งบอกว่าราคากำลังชะลอตัว (UPTREND SIDEWAY) กลุ่มของ Histogram อยู่ต่ำกว่าเส้น Moving Average

ใน MACD และเส้น Moving Average ใน MACD และกลุ่มของ Histogram สามารถยืนเหนือเส้น Zero Line ได้

[/img]

สัญญาณจาก MACD แบบ Histogram ที่บ่งบอกว่าราคากำลังกลับตัวจากเทรนขึ้นเป็นลง (Reversal) เมื่อกลุ่มของ Histogram อยู่ต่ำกว่าเส้น
Moving Average ใน MACD จากนั้นแท่ง Histogram ลู่ลงเรื่อย ๆ และเส้น Moving Average ใน MACD และกลุ่มของ Histogram

สามารถยืนอยู่ใต้เส้น Zero Line


วิธีการเทรดจาก MACD

ผู้เทรดไม่จำเป็นต้องรอให้ Histogram หรือเส้น Moving Average ใน MACD ตัด Zero Line เมื่อเห็นแท่ง Histogram

เริ่มตัดกับเส้น Moving Average ผู้เทรดสามารถเทรดตามทางนั้นได้เลยครับ เพราะมันจะเป็นการเข้าที่ภาวะราคาชะลอตัวพอดี

 
 
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/moving-average-convergence-divergence-(macd)/?/

กลยุทธ์การตั้ง Stop Loss (จุดขาดทุน)

"ทำไมราคาวิ่งมาชน Stop loss (SL) ของเราอีกแล้ว" นี่น่าจะเป็นคำถามที่เทรดเดอร์ถามตัวเองแบบเซ็งๆเป็นประจำเมื่อออเดอร์ของเราโดน SL
ที่ มันเป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ตลาดจะทำทุกอย่างที่มันอยากจะทำ เคลื่อนไหวไปในทางที่มันอยากจะไป เทรดเดอร์ต้องเจอกับความท้าทายใหม่ๆทุกวัน ส่วนมาก็จะเป็นในเรื่องของการเมืองทั่วโลก เหตุการณ์สำคัญทางเศรษฐกิจ หรือแม้แต่กระทั่งข่าวลือที่เกี่ยวกับธนาคารกลางที่สามารถทำให้ราคาวิ่งไปใน ทิศทางไหนก็ได้ในเวลาอันรวดเร็วโดยที่คุณไม่ทันได้ตั้งตัว นั่นก็หมายความว่า จะต้องมีเทรดเดอร์บางคนที่เปิดออเดอร์ในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับราคาตลาด และต้องเสียเงินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ว่าเราสามารถควบคุมได้ว่าเราจะทำอย่างไรเมื่อเราตกอยู่ในสถานการณ์อย่าง นั้น เราสามารถปิดออเดอร์เพื่อตัดการขาดทุนในตอนนั้นเลย หรือว่าคุณจะนั่งรอคอยความหวังว่าราคามันจะกลับมาในที่ที่คุณต้องการ และถ้ามันไม่กลับมาอย่างที่คุณหวังไว้แล้วคุณปล่อยไปอย่างนั้นเรื่อยๆโดยไม่ มีการตัดสินใจ พอร์ตของคุณก็อาจจะสะอาดได้ (ล้างพอร์ต)
คำพูดที่ว่า  "Live to trade another day!" น่าจะเป็นคำขวัญของเทรดเดอร์มือใหม่ทุกคน เพราะ ยิ่งคุณอยู่รอดได้นานเท่าไหร่ คุณก็สามารถเรียนรู้ได้มากขึ้นเท่านั้น และนั่นก็จะเพิ่มโอกาสที่จะประสบความสำเร็จของคุณด้วย
กลยุทธ์การเทรด อีกอย่างที่สำคัญคือการ  "stop losses" ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญที่เทรดเดอร์ควรจะรู้ไว้เพื่อเป็นอาวุธอย่างหนึ่งใน การเทรด การที่มีการตั้ง SL นี้ นอกจากจะช่วยตัดการขาดทุนของคุณเพื่อให้มีโอกาสในการกู้สถานการณ์แล้ว มันยังช่วยขจัดความวิตกกังวลที่เกิดจากการสูญเสียในการเทรดโดยไม่ต้องวางแผน ด้วย และความเครียดที่ลดลงมันก็เป็นผลดีในการเทรดของคุณด้วย
จุด SL ควรจะเป็นจุดที่ "ลบล้างความคิด" ในการเทรดสำหรับออเดอร์นั้นๆของคุณ ดังนั้นเมื่อราคามาถึงจุด SL มันก็น่าจะเป็นสัญญาณว่า "มันถึงเวลาที่ต้องออกจากออเดอร์นี้แล้ว"
การตั้งจะ SL นั้นมี 4 วิธี ที่เราสามารถเลือกใช้ได้ในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน หรือเลือกแล้วแต่ความถนัดของเรา
1. หยุดตามสัดส่วนความเสี่ยงของเงินทุน
2. หยุดตามรูปแบบของกราฟ
3. หยุดตามความผันผวน
4. หยุดตามเวลา


1. หยุดตามสัดส่วนความเสี่ยงของเงินทุน
การ ตั้ง SL แบบนี้เป็นการตั้ง SL แบบพื้นฐานที่สุด โดยใช้การกำหนดความเสี่ยงจากสัดส่วนของเงินทุนที่อยู่ในบัญชี อย่างเช่นว่า เราเต็มใจที่จะเสี่ยงขาดทุนได้ที่ 2% ต่อการเทรดในแต่ละครั้ง แต่ว่าเทรดเดอร์ทุกคนจะยอมรับความเสี่ยได้ไม่เท่ากัน บางคนอาจจะรับความเสี่ยงได้ถึง 10% ในขณะที่บางคนอาจจะยอมเสี่ยงได้เพียงแค่ 1% เท่านั้น
และในการตั้ง SL คุณควรจะตั้งตามสภาวะของตลาด หรือตามกฎของระบบเทรดของคุณ ไม่ใช่ว่าตั้งตามจำนวนเงินที่คุณจะยอมสูญเสียได้
สับสนมั้ยคะ :) งั้นเรามาดูตัวอย่างกัน
นาย แดง มีบัญชีมินิ ที่มีเงินอยู่ $500 และ ขนาด Lot size ที่เขาสามารถเทรดได้คือ 10k ( ในบัญชีมินิ 10k เท่ากับการเทรดที่ จุดละ $1) แดงต้องการที่จะเทรด GBP/USD และเขาเห็นว่าราคาวิ่งอยู่แถวๆแนวต้านที่ระดับ 1.5620 เขาจึงต้องการที่จะเซล และตามกฎการลงทุนของเขาคือ เขาจะไม่เสี่ยงเกิน 2% ของเงินทุนในการเทรดแต่ละครั้ง และสำหรับการเทรดที่ขนาด 10k ของ GBP/USD แต่ละจุดมีค่า $1 และ 2% ของเงินในบัญชีแดงเท่ากับ $10 ดังแดงก็จะตั้ง SL ได้มากที่สุดที่ 10 จุด ดังนั้นแดงจะต้องตั้งจุด SL ของเขาไว้ที่ 1.5630


แต่ ว่า GBP/USD มีการเคลื่อนไหวทีมากกว่า 100 จุดต่อวัน ราคาจึงอาจจะวิ่งมาชนจุด SL ของแดงได้อย่างง่ายดาย เพราะตำแหน่ง SL นั้นจำกัดด้วยการตั้งค่าความเสี่ยงจากเงินในบัญชีของเขา และเขาตัง SL ด้วยโดยยึดตามจำนวนเงินที่เขาสามารถสูญเสียได้ แทนที่จะกำหนดตามเงื่อนไขจากการเคลื่อนไหวของ GBP/USD


และ ในที่สุด ราคาก็วิ่งมาชน SL ของแดง เพราะว่าจุด SL ของเขาที่วางไว้น้อยเกินไป และนอกเหนือจากนั้นคือ เขาเสียโอกาสที่จะเก็บมากกว่า 100 จุดด้วย
จากตัวอย่างนี้คุณได้เห็นถึง อันตรายจากการตั้ง SL จากการใช้สัดส่วนความเสี่ยงของเงินทุน ที่บังคับให้เทรดเดอร์ต้องตั้งจุด SL ในระดับราคาที่ไม่เหมาะสมกับสภาวะของตลาดและอย่างในกรณีนี้ จุด SL ก็อยุ่ใกล้กับจุดเปิดออเดอร์มาก และเป็นการตั้ง SL ที่ไม่ได้ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคร่วมด้วยเลย (เห็นว่าใกล้แนวต้านก็ใส่เลย ไม่ได้วิเคราะห์อย่างอื่นร่วมเลย)
คุณรู้อยู่แล้วว่า คุณควรจะตั้ง SL ในระดับที่ราคาสามารถจะกลับตัวมาในทิศทางที่คุณคาดคิดไว้โดยไม่ชน SL ของคุณ แต่ในกรณีนี้ราคามันวิ่งไปชน SL เข้าแล้ว จึงหมดโอกาสที่จะทำกำไรได้ และ วิธีแก้ปัญหาสำหรับแดงก็คือ หาโบรคเกอร์ที่เหมาะสมกับสไตร์การเทรดและเงินทุนของเขา
ในกรณีของแดง เขาควรแก้ไขโดยการหาโบรคเกอร์ที่เขาสามารถกำหนดขนาดการซื้อขายที่เล็กลง หรือแม้แต่สามารถกำหนดขนาดเองได้ อย่างเช่น สามารถเทรดที่ขนาด 1k ในคู่เงิน GBP/USD ได้ ซึ่งแต่ละจุด จะมีค่าเท่ากับ $0.10 ซึ่งจะทำให้แดงสามารถตั้งจุด SL ได้ตามเงื่อนไขความเสี่ยงของเขาได้อย่างสบายๆ แดงจะสามารถตั้งจุด SL สำหรับการเทรด GBP/USD ได้ถึง 100 จุด ในความเสี่ยงที่ 2% ของเงินในบัญชีของเขา และตอนนี้เขาก็สามารถตั้ง SL ให้เหมาะสมกับสภาวะของตลาด รวมทั้งเป็นไปตามกฎของระบบการซื้อขาย ตามแนวรับแนวต้านแล้ว

2. หยุดตามรูปแบบของกราฟ
วิธี การหาจุด SL อีกวิธหนึ่งที่เหมาะสมมากกว่าวิธีแรกคือ ตั้งตามรูปแบบของกราฟ เป็นการตั้ง SL โดยยึดตามสิ่งที่ที่ตลาดบอกเราด้วยรูปแบบของตัวมันเอง
เรา สามารถสังเกตการเคลื่อนไหวของราคาได้ ในบางครั้งราคาก็ดูเหมือนไม่สามารถที่จะวิ่งทะลุผ่านแนวรับแนวต้านนั้นๆ และก็มีบ่อยครั้งที่ราคาวิ่งผ่านแนวรับแนวต้านไปได้ในที่สุดหลังจากวิ่งไป วิ่งมาอยู่ในกรอบแนวรับแนวต้านนั้นมาระยะหนึ่ง
การตั้งจุด SL ให้เหนือหรือต่ำกว่าระดับแนวรับแนวต้านนั้นก็เป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลในกรณี ที่ราคาไม่ Break ระดับแนวรับแนวต้าน แต่ถ้าราคาสามารถ break กรอบราคานั้น ก็จะทำให้เทรดเดอร์อื่นๆเห่เข้ามาเล่นด้วยเมื่อเห็นการทะลุของราคา (Breakout) และเทรดเดอร์เหล่านั้นอาจจะทำให้ราคาวิ่งไปในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับออเดอร์ ของคุณ(ที่เล่นอยู่ในกรอบราคา) ได้ และอย่างที่คุณทราวว่าเมื่อเวลาพักตัวอยู่ในกรอบราคานั่นหมายถึงการสะสมพลัง ซึ่งเมื่อราคาเกิดการ Breakout แล้วก็มีแนวโน้มมากที่ราคาอาจวิ่งพุ่งเป็นเทรนไปในทิศทางนั้นๆ  ต่อไปเรามาดูตัวอย่างการตั้ง SL อีกอย่างหนึ่งเมื่อเกิดการ Breakout ของราคา
จากตัวอย่างเป็นการตั้ง SL โดยยึดตามแนวรับแนวต้าน


ตาม ภาพตัวอย่างเราเห็นได้ว่าราคามีการซื้อขายกันอยู่เหนือเส้นแนวรับ (สีดำ) และเมื่อราคาวิ่งทะลุผ่านแนวต้านด้านบน (สีแดง) ไปได้คุณก็คิดว่ามันการ Breakout ที่สวยงาม และคุณตัดสินใจที่จะซื้อตามแนวโน้มนั้น แต่ก่อนอื่นคุณต้องตั้งคำถามก่อนว่า ตรงไหนที่คุณจะตั้ง SL ถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คุณคาดคิดไว้ และเงือนไขอะไรที่จะบอกคุณได้ว่า ความคิดของคุณในการเข้าซื้อครั้งนี้ไม่ถูกต้อง


ใน กรณีนี้ การตั้ง SL ที่สมเหตุสมผมมากที่สุดคือ ตั้ง SL ไว้ใต้แนวรับ (สำดำ) และเส้นเทรนไลน์ (สีแดง) และถ้าราคาวิ่งผ่านเส้นเทรนไลน์นี้ลงมาได้ ก็หมายความว่า มีแรงซื้อไม่พอและตอนนี้ผู้ขายเป็นฝ่ายควบคุมตลาด ดังนั้นความคิดของคุณในการเปิดออเดอร์ซื้อในครั้งนี้จึงเป็นความผิดพลาด และถึงเวลาที่คุณควรจะออกจากออเดอร์ของคุณและยอมรับการสูญเสีย คุณจะเห็นราคาวิ่งในลักษณะนี้ได้บ่อยมากในคู่เงิน EUR/USD

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/stop-loss-()/?/

การป้องกันความเสี่ยง

ก่อนที่จะลงลึกไปในรายละเอียดกว่านี้ เราบอกคุณได้อย่างไม่ปิดบังเรื่องที่ต้องคิดก่อนที่จะเทรด คือ:

1. นักเทรดทุกคน หมายถึง ทุกคนจริงๆ จะเสียเงินในการเทรด
90 เปอร์เซ็นของเทรดเดอร์ จะเสียเงิน เนื่องจากขาดการวางแผน การฝึก และไม่มีความรู้ ความเข้าใจ เรื่องการ จัดการ การเงิน ถ้าคุณไม่อยากเสียเงิน คุณจะต้องเผชิญกับความยากลำบากในการเทรด หรือการปรับตัว ในการ เทรด

2. การเทรดฟอร์เร็กซ์ ไม่เหมาะสำหรับคนที่ไม่ทำงาน ไม่เหมาะสำหรับคนที่มีรายได้น้อย และไม่สามารถ
ดูแลตัวเอง จ่ายค่าน้ำค่าไฟ ค่ากับข้าวให้ตัวเองได้
คุณ ควรจะมีเงินในการเทรด ในบัญชี mini เป็นอย่างน้อย นั่นหมายความว่าเป็นเงินที่คุณ สามารถเสียไปได้ ไม่ใช่ยืม คนอื่นมาเล่น อย่าคิดว่าจะสามารถเริ่มเทรดด้วยเงินเพียงไม่กี่ร้อยเหรียญแล้วจะกลายเป็น มหาเศรษฐี ในชั่วข้ามคืน

ตลาดฟอร์เร็กซ์เป็นตลาดที่ได้รับความนิยม มาก สำหรับนักเก็งกำไร เนื่องจากตลาดที่มีความคล่องตัวสูง ของการ เคลื่อนไหว ของทิศทางค่าเงิน เมื่อเกิดเทรนด์ขึ้น นักเทรดทั่วโลกส่วนใหญ่จะ เสียเงิน ขณะที่คนที่ประสบ ความ สำเร็จ กับฟอร์เร็กซ์ มีเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ของจำนวนเทรดเดอร์ ทั้งหมด

เทรดเดอร์ส่วน ใหญ่เข้ามาในตลาด พร้อมกับ ความหวังว่า พวกเขาจะทำเงินได้เป็นล้านเหรียญ แต่ว่าในความจริง พวกเขา ต้องมีวินัยในการเทรด ผู้คนส่วนมากจะขาดวินัยอยู่แล้วแม้กระทั่ง แค่พยายามจะลดน้ำหนัก ด้วยการ ไปที่ยิมสามครั้ง ต่อสัปดาห์ยังทำได้ยาก ถ้าแค่นั้นคุณยังทำ ไม่ได้คุณจะเทรดแล้วประสบความสำเร็จได้ยังไง การเล่นระยะสั้นนั้น ไม่เหมาะกับมือสมัครเล่น และมันเป็นหนทางที่เต็มไปด้วยขวากหนามในการ ทำให้ตัวเอง รวยขึ้น คุณไม่สามรถทำกำไร ได้มหาศาลโดยไม่เสี่ยงเลยได้หรอก กลยุทธ์การเทรดที่เสี่ยงสูง ย่อมหมายถึง โอกาสที่คุณ จะขาดทุนสูงเข้าไปด้วย เทรดเดอร์ที่ทำอย่างนั้น เรียกได้ว่าไม่มีแม้กระทั่งกลยุทธในการเทรด แม้ว่าคุณจะเรียกมันว่ากลยุทธการพนันก็ตาม


ฟอร์เร็กซ์ ไม่ใช่หนทางไปสู่ความร่ำรวยมั่งคั่ง !
- การเทรดฟอร์เร็กซ์เป็นทักษะ และต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ นักเทรดที่มีทักษะที่ดี สามารถทำเงินได้ จากการเทรด อย่างไรก็ตามก็เหมือนอาชีพอื่น ๆ ความสำเร็จไม่ได้มา เพียงชั่วข้ามคืน การเทรดฟอร์เร็กซ์ ไม่ใช่เรื่องกล้วย ๆ (เหมือนที่คนบางคนเชื่อ) ลองคิดดูว่า ถ้าทุกคนที่เทรดจะ ได้เป็นเศรษฐีกันหมด ทำไม ระดับมืออาชีพที่เทรดมาหลายปีก็ยังต้องขาดทุนอยู่บ้าง

- ท่องไว้ในหัวของคุณเสมอ : ไม่มีทางลัดในการเทรดฟอร์เร็กซ์ มันใช้เวลานาน และนาน และนาน ยิ่งกว่า อย่างอื่น ในการที่เราจะกลายเป็นมืออาชีพ ไม่มีตัวสำรองให้เปลี่ยน เมื่อเรารู้สึกเหนื่อย และคิดว่างานนั้นยาก ในการฝึกเทรดเดโม และการเล่นเงินปลอม แล้วคิดว่าเป็นเงินจริง

อย่าพึ่งเปิดบัญชีเงินจริง จนกว่าคุณจะเทรดแล้วได้กำไรในบัญชีเดโม

ถ้า คุณไม่สามารถรอให้คุณทำกำไรในบัญชีเดโมได้ อย่างน้อยคุณก็ต้องลองเทรดเดโมซักสองเดือน อย่างน้อย คุณก็จะไม่เสียเงินจริง ไปอย่างน้อยสองเดือน ถ้าแค่สอง เดือนคุณยังเทรดเดโมไม่ได้กกำไร ก็เลิกเล่นซะ

- จำไว้ว่า เล่นคู่หลัก ๆ ซักคู่หนึ่ง มันยากที่จะเทรดด้วยการเทรดหลายค่าเงิน เมื่อตอนที่คุณกำลังหัดเล่น เล่นแค่คู่หลัก ๆ คู่เดียวพอ เพราะค่า spread ก็จะถูกด้วย



คุณอาจจะเป็นผู้ชนะในการเทรดฟอร์เร็กซ์
แต่ว่า.. ในชีวิตของคุณ คุณต้องศึกษามันอย่างหนัก
ทำการบ้าน ทุ่มเท และต้องใช้โชคช่วยนิดหน่อย
ต้องใช้สามัญสำนึก และ การตัดสินใจที่ดี เป็นอย่างมาก
 
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/t637/?/
"ทำไมราคาวิ่งมาชน Stop loss (SL) ของเราอีกแล้ว" นี่น่าจะเป็นคำถามที่เทรดเดอร์ถามตัวเองแบบเซ็งๆเป็นประจำเมื่อออเดอร์ของเราโดน SL
ที่ มันเป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ตลาดจะทำทุกอย่างที่มันอยากจะทำ เคลื่อนไหวไปในทางที่มันอยากจะไป เทรดเดอร์ต้องเจอกับความท้าทายใหม่ๆทุกวัน ส่วนมาก็จะเป็นในเรื่องของการเมืองทั่วโลก เหตุการณ์สำคัญทางเศรษฐกิจ หรือแม้แต่กระทั่งข่าวลือที่เกี่ยวกับธนาคารกลางที่สามารถทำให้ราคาวิ่งไปใน ทิศทางไหนก็ได้ในเวลาอันรวดเร็วโดยที่คุณไม่ทันได้ตั้งตัว นั่นก็หมายความว่า จะต้องมีเทรดเดอร์บางคนที่เปิดออเดอร์ในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับราคาตลาด และต้องเสียเงินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ว่าเราสามารถควบคุมได้ว่าเราจะทำอย่างไรเมื่อเราตกอยู่ในสถานการณ์อย่าง นั้น เราสามารถปิดออเดอร์เพื่อตัดการขาดทุนในตอนนั้นเลย หรือว่าคุณจะนั่งรอคอยความหวังว่าราคามันจะกลับมาในที่ที่คุณต้องการ และถ้ามันไม่กลับมาอย่างที่คุณหวังไว้แล้วคุณปล่อยไปอย่างนั้นเรื่อยๆโดยไม่ มีการตัดสินใจ พอร์ตของคุณก็อาจจะสะอาดได้ (ล้างพอร์ต)
คำพูดที่ว่า  "Live to trade another day!" น่าจะเป็นคำขวัญของเทรดเดอร์มือใหม่ทุกคน เพราะ ยิ่งคุณอยู่รอดได้นานเท่าไหร่ คุณก็สามารถเรียนรู้ได้มากขึ้นเท่านั้น และนั่นก็จะเพิ่มโอกาสที่จะประสบความสำเร็จของคุณด้วย
กลยุทธ์การเทรด อีกอย่างที่สำคัญคือการ  "stop losses" ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญที่เทรดเดอร์ควรจะรู้ไว้เพื่อเป็นอาวุธอย่างหนึ่งใน การเทรด การที่มีการตั้ง SL นี้ นอกจากจะช่วยตัดการขาดทุนของคุณเพื่อให้มีโอกาสในการกู้สถานการณ์แล้ว มันยังช่วยขจัดความวิตกกังวลที่เกิดจากการสูญเสียในการเทรดโดยไม่ต้องวางแผน ด้วย และความเครียดที่ลดลงมันก็เป็นผลดีในการเทรดของคุณด้วย
จุด SL ควรจะเป็นจุดที่ "ลบล้างความคิด" ในการเทรดสำหรับออเดอร์นั้นๆของคุณ ดังนั้นเมื่อราคามาถึงจุด SL มันก็น่าจะเป็นสัญญาณว่า "มันถึงเวลาที่ต้องออกจากออเดอร์นี้แล้ว"
การตั้งจะ SL นั้นมี 4 วิธี ที่เราสามารถเลือกใช้ได้ในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน หรือเลือกแล้วแต่ความถนัดของเรา
1. หยุดตามสัดส่วนความเสี่ยงของเงินทุน
2. หยุดตามรูปแบบของกราฟ
3. หยุดตามความผันผวน
4. หยุดตามเวลา


1. หยุดตามสัดส่วนความเสี่ยงของเงินทุน
การ ตั้ง SL แบบนี้เป็นการตั้ง SL แบบพื้นฐานที่สุด โดยใช้การกำหนดความเสี่ยงจากสัดส่วนของเงินทุนที่อยู่ในบัญชี อย่างเช่นว่า เราเต็มใจที่จะเสี่ยงขาดทุนได้ที่ 2% ต่อการเทรดในแต่ละครั้ง แต่ว่าเทรดเดอร์ทุกคนจะยอมรับความเสี่ยได้ไม่เท่ากัน บางคนอาจจะรับความเสี่ยงได้ถึง 10% ในขณะที่บางคนอาจจะยอมเสี่ยงได้เพียงแค่ 1% เท่านั้น
และในการตั้ง SL คุณควรจะตั้งตามสภาวะของตลาด หรือตามกฎของระบบเทรดของคุณ ไม่ใช่ว่าตั้งตามจำนวนเงินที่คุณจะยอมสูญเสียได้
สับสนมั้ยคะ :) งั้นเรามาดูตัวอย่างกัน
นาย แดง มีบัญชีมินิ ที่มีเงินอยู่ $500 และ ขนาด Lot size ที่เขาสามารถเทรดได้คือ 10k ( ในบัญชีมินิ 10k เท่ากับการเทรดที่ จุดละ $1) แดงต้องการที่จะเทรด GBP/USD และเขาเห็นว่าราคาวิ่งอยู่แถวๆแนวต้านที่ระดับ 1.5620 เขาจึงต้องการที่จะเซล และตามกฎการลงทุนของเขาคือ เขาจะไม่เสี่ยงเกิน 2% ของเงินทุนในการเทรดแต่ละครั้ง และสำหรับการเทรดที่ขนาด 10k ของ GBP/USD แต่ละจุดมีค่า $1 และ 2% ของเงินในบัญชีแดงเท่ากับ $10 ดังแดงก็จะตั้ง SL ได้มากที่สุดที่ 10 จุด ดังนั้นแดงจะต้องตั้งจุด SL ของเขาไว้ที่ 1.5630


แต่ ว่า GBP/USD มีการเคลื่อนไหวทีมากกว่า 100 จุดต่อวัน ราคาจึงอาจจะวิ่งมาชนจุด SL ของแดงได้อย่างง่ายดาย เพราะตำแหน่ง SL นั้นจำกัดด้วยการตั้งค่าความเสี่ยงจากเงินในบัญชีของเขา และเขาตัง SL ด้วยโดยยึดตามจำนวนเงินที่เขาสามารถสูญเสียได้ แทนที่จะกำหนดตามเงื่อนไขจากการเคลื่อนไหวของ GBP/USD


และ ในที่สุด ราคาก็วิ่งมาชน SL ของแดง เพราะว่าจุด SL ของเขาที่วางไว้น้อยเกินไป และนอกเหนือจากนั้นคือ เขาเสียโอกาสที่จะเก็บมากกว่า 100 จุดด้วย
จากตัวอย่างนี้คุณได้เห็นถึง อันตรายจากการตั้ง SL จากการใช้สัดส่วนความเสี่ยงของเงินทุน ที่บังคับให้เทรดเดอร์ต้องตั้งจุด SL ในระดับราคาที่ไม่เหมาะสมกับสภาวะของตลาดและอย่างในกรณีนี้ จุด SL ก็อยุ่ใกล้กับจุดเปิดออเดอร์มาก และเป็นการตั้ง SL ที่ไม่ได้ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคร่วมด้วยเลย (เห็นว่าใกล้แนวต้านก็ใส่เลย ไม่ได้วิเคราะห์อย่างอื่นร่วมเลย)
คุณรู้อยู่แล้วว่า คุณควรจะตั้ง SL ในระดับที่ราคาสามารถจะกลับตัวมาในทิศทางที่คุณคาดคิดไว้โดยไม่ชน SL ของคุณ แต่ในกรณีนี้ราคามันวิ่งไปชน SL เข้าแล้ว จึงหมดโอกาสที่จะทำกำไรได้ และ วิธีแก้ปัญหาสำหรับแดงก็คือ หาโบรคเกอร์ที่เหมาะสมกับสไตร์การเทรดและเงินทุนของเขา
ในกรณีของแดง เขาควรแก้ไขโดยการหาโบรคเกอร์ที่เขาสามารถกำหนดขนาดการซื้อขายที่เล็กลง หรือแม้แต่สามารถกำหนดขนาดเองได้ อย่างเช่น สามารถเทรดที่ขนาด 1k ในคู่เงิน GBP/USD ได้ ซึ่งแต่ละจุด จะมีค่าเท่ากับ $0.10 ซึ่งจะทำให้แดงสามารถตั้งจุด SL ได้ตามเงื่อนไขความเสี่ยงของเขาได้อย่างสบายๆ แดงจะสามารถตั้งจุด SL สำหรับการเทรด GBP/USD ได้ถึง 100 จุด ในความเสี่ยงที่ 2% ของเงินในบัญชีของเขา และตอนนี้เขาก็สามารถตั้ง SL ให้เหมาะสมกับสภาวะของตลาด รวมทั้งเป็นไปตามกฎของระบบการซื้อขาย ตามแนวรับแนวต้านแล้ว

2. หยุดตามรูปแบบของกราฟ
วิธี การหาจุด SL อีกวิธหนึ่งที่เหมาะสมมากกว่าวิธีแรกคือ ตั้งตามรูปแบบของกราฟ เป็นการตั้ง SL โดยยึดตามสิ่งที่ที่ตลาดบอกเราด้วยรูปแบบของตัวมันเอง
เรา สามารถสังเกตการเคลื่อนไหวของราคาได้ ในบางครั้งราคาก็ดูเหมือนไม่สามารถที่จะวิ่งทะลุผ่านแนวรับแนวต้านนั้นๆ และก็มีบ่อยครั้งที่ราคาวิ่งผ่านแนวรับแนวต้านไปได้ในที่สุดหลังจากวิ่งไป วิ่งมาอยู่ในกรอบแนวรับแนวต้านนั้นมาระยะหนึ่ง
การตั้งจุด SL ให้เหนือหรือต่ำกว่าระดับแนวรับแนวต้านนั้นก็เป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลในกรณี ที่ราคาไม่ Break ระดับแนวรับแนวต้าน แต่ถ้าราคาสามารถ break กรอบราคานั้น ก็จะทำให้เทรดเดอร์อื่นๆเห่เข้ามาเล่นด้วยเมื่อเห็นการทะลุของราคา (Breakout) และเทรดเดอร์เหล่านั้นอาจจะทำให้ราคาวิ่งไปในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับออเดอร์ ของคุณ(ที่เล่นอยู่ในกรอบราคา) ได้ และอย่างที่คุณทราวว่าเมื่อเวลาพักตัวอยู่ในกรอบราคานั่นหมายถึงการสะสมพลัง ซึ่งเมื่อราคาเกิดการ Breakout แล้วก็มีแนวโน้มมากที่ราคาอาจวิ่งพุ่งเป็นเทรนไปในทิศทางนั้นๆ  ต่อไปเรามาดูตัวอย่างการตั้ง SL อีกอย่างหนึ่งเมื่อเกิดการ Breakout ของราคา
จากตัวอย่างเป็นการตั้ง SL โดยยึดตามแนวรับแนวต้าน


ตาม ภาพตัวอย่างเราเห็นได้ว่าราคามีการซื้อขายกันอยู่เหนือเส้นแนวรับ (สีดำ) และเมื่อราคาวิ่งทะลุผ่านแนวต้านด้านบน (สีแดง) ไปได้คุณก็คิดว่ามันการ Breakout ที่สวยงาม และคุณตัดสินใจที่จะซื้อตามแนวโน้มนั้น แต่ก่อนอื่นคุณต้องตั้งคำถามก่อนว่า ตรงไหนที่คุณจะตั้ง SL ถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คุณคาดคิดไว้ และเงือนไขอะไรที่จะบอกคุณได้ว่า ความคิดของคุณในการเข้าซื้อครั้งนี้ไม่ถูกต้อง


ใน กรณีนี้ การตั้ง SL ที่สมเหตุสมผมมากที่สุดคือ ตั้ง SL ไว้ใต้แนวรับ (สำดำ) และเส้นเทรนไลน์ (สีแดง) และถ้าราคาวิ่งผ่านเส้นเทรนไลน์นี้ลงมาได้ ก็หมายความว่า มีแรงซื้อไม่พอและตอนนี้ผู้ขายเป็นฝ่ายควบคุมตลาด ดังนั้นความคิดของคุณในการเปิดออเดอร์ซื้อในครั้งนี้จึงเป็นความผิดพลาด และถึงเวลาที่คุณควรจะออกจากออเดอร์ของคุณและยอมรับการสูญเสีย คุณจะเห็นราคาวิ่งในลักษณะนี้ได้บ่อยมากในคู่เงิน EUR/USD

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/stop-loss-()/?/

การวิเคราะห์ข่าว

การมองภาพกว้าง ภาพรวมของตลาดก่อนเทรด เพื่อวิเคราะห์ ทิศทางตลาด รวมไปถึงการกำหนดกลยุทธ์การเทรด กรณีที่เกิด event ต่างๆ  ระดับความสำคัญของตัวเลขเหล่านี้ จะนิยมเล่นเก็งกำไร ก่อนตัวเลขจะประกาศ บางสายเรียกว่า Event Trade ครับ มันจะสอดคล้องกับ เทรนด์ราคา ของค่าเงิน หรือดัชนีต่างประเทศ บ่งบอกคุณภาพของแนวโน้ม และการอยู่ตัวของแนวโน้ม ได้อีกด้วย

โดยผมขอแบ่งออกเป็นหัวข้อหลักๆดังต่อไปนี้

การแถลงตัวเลขเศรษฐกิจ
-PMI (กำลังการผลิตภาคอุตสาหกรรม, การขยายตัวของเศรษฐกิจ)
- GDP
- Non farm Payrolls  (เกี่ยวกับอัตราว่างงาน)
- Unemployment Rate (เกี่ยวกับอัตราว่างงาน)
- Retail sales Indicator(อสังหาริมทรัพย์)
- Housing stats(อสังหาริมทรัพย์)
- CPI ( Consumer Price index )
- อัตราเงินเฟ้อ

โดยตัวเลขต่างดูได้จาก www.investing.com


ปฏิทินเศรษฐกิจ
Event ต่างๆเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจในรอบสัปดาห์ พวกการประชุมของผู้นำชาติ ผู้นำธนาคารกลาง
www. forexfactory.com


ข่าว
-Reuters, The Wall Street Journal, Bloomberg, MarketWatch.com


Market Sentimental
อารมณ์ตลาด โลภ กลัว หมี กระทิง ดูกราฟ timeframe Day แล้วเทียบกับแนวโน้มใหญ่ EMA20 วัน , ดูกราฟ VIX
http://www.bloomberg.com/quote/VIX:IND

Fundflow
ปกติดูการไหลของเงินจากตลาดหนึ่งไปตลาดหนึ่ง เช่น ทองคำ ไปค่าเงินดอลลาร์ หรือไป ตลาดหุ้น เป็นตัว

ตัวอย่าง จากภาพ แสดง ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลก รอบสัปดาห์ หรือรอบวัน ก็สามารถกำหนดได้ พบว่าเงินไหล ไปภูมิภาคไหน ตลาดประเทศไหนมีการเปลี่ยนแปลง หรือมีการแกว่งของกระแสเงินมากน้อย


อีก ภาพ เป็นการเปลี่ยนแปลงของค่าเงิน เราเลือกสกุลได้ ในภาพผมวิเคราะห์ USD เป็นหลัก จากภาพ จะเห็นรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา Thai bath แข็ง +0.12 ขณะที่ EUR -2.02 % การมองภาพใหญ่ออก จะทำให้เราวางกลยุทธ์การเล่นได้ชัดมากขึ้นครับ

 
 
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/t618/?/

สิ่งที่ควรปฏิบัติเมื่อขาดทุน

สิ่งที่ควรปฏิบัติเมื่อขาดทุน

สิ่งที่เราควรปฏิบัติเมื่อขาดทุน...อาจจะใช้คำว่า "ควร" อย่างเดียวก็ไม่ถูก ต้องใช้คำว่า "ต้อง!!"
เพราะมันคือสิ่งที่ Trader ทุกคน ย้ำนะครับว่า ทุกคน!! ต้องทำ

สิ่งที่เราต้องทำคือ Cut Loss แปลง่ายๆก็คือ หยุดขาดทุน
เมื่อทิศทางของกราฟไม่เป็นไปตามที่เราคาด เราควรจะตัดไฟตั้งแต่ต้นลม
ไม่งั้น อาจจะหมดตูดได้...

สิ่งที่นักลงทุนที่ไม่ประสบความสำเร็จทำก็ คือ ใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผลในการ
เมื่อเกิดการขาดทุน จะมีความรู้สึกว่า "ต้องเอาคืนมาให้ได้เลย"
เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณคิดแบบนั้นละ ก็ล้างพอร์ตกันแทบทุกราย เอาง่ายๆคือตายเรียยบ...

ควรตั้ง Cut Loss ไว้ไม่เกิน 30% ของทุนทั้งหมด

เมื่อทำการ Cut Loss เสร็จก็ควรใจเย็นๆ แล้วหาจังหวะเข้าใหม่โดยไร้อารมณ์ตอนที่ขาดทุนไป

"ชีวิคคนเรามีขึ้น ก็ต้องมีลง"

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/t548/?/

บทที่ 2 ปัจจัยพื้นฐานของทองคำ

แปลกใจกันบ้างหรือไม่ว่า ทำไมนักวิเคราะห์จึงเชื่ออย่างหัวปักหัวปำว่า ทองคำจะขึ้นไปถึง 2000 เหรียญ หรือกว่านั้น ถ้าได้อ่านบทที่ 1 ถึงความสัมพันธ์ระหว่างทองคำกับดอลล่าร์แล้ว คงพอจะเข้าใจกันบ้างแล้วว่า ทองคำคงไม่ลดมูลค่าง่ายๆ ตราบเท่าที่สหรัฐยังคงพิมพ์แบงค์ออกมาใช้เองไม่หยุด

เมื่อปี 2006 World Gold Council ได้มีงานวิจัยชิ้นหนึ่ง เกี่ยวกับปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับราคาทองคำ ได้พบว่า
- ระยะยาว ราคาทองคำมีสัดส่วนความสัมพันธ์แบบ 1:1 กับเงินเฟ้อของสหรัฐ
- ราคาทองคำ ไม่มีความสัมพันธ์โดยตรงกับเงินเฟ้อในส่วนอื่นๆของโลก
- ความเบี่ยงเบนจากปัจจัยอื่น เช่น การเมือง ความเสี่ยงทางการเงิน ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน อาจจะกินเวลาสั้นๆหรือเป็นปี แต่สุดท้าย ก็จะกลับมาอยู่ที่ความสัมพันธ์หลัก คือเงินเฟ้อสหรัฐเท่านั้น
หมายความ ว่า หากเงินเฟ้อสหรัฐขยับ 1% ราคาทองคำจะขยับ 1% ด้วยนั้นแหละครับ และนั่นคือที่มา ที่นักวิเคราะห์ทั้งหลาย ทำนายว่า ทองคำมันจะไป 2000 เหรียญ หรือกว่านั้น เพราะเทียบจากอดีตเมื่อครั้งลอยแพมูลค่าทองคำจนถึงปัจจุบัน ทองคำมันควรจะพุ่งไปข้างหน้าอย่างเดียว


แล้ว จริงหรือเปล่า? ทำไมสิ่งที่เห็นอยู่ ไม่เห็นจะเกี่ยวกับเงินเฟ้อเท่าไหร่เลย เห็นทองคำวิ่งตามดอลล่าร์บ้าง น้ำมันบ้าง จนเวียนหัวไปหมด งานวิจัยมันบอกชัดครับ ว่าความเบี่ยงเบนไม่เกี่ยว สุดท้ายเมื่อปัจจัยที่ทำให้ราคาเบี่ยงเบนนั้นจบลง มันก็จะกลับเข้ามาหาความเป็นจริง เพียงแต่ว่า ในมุมมองการลงทุนของเรา กลับต้องมาศึกษาไอ้ปัจจัยเบี่ยงเบนพวกนี้ เพราะคือตัวแปรสำคัญ ตราบเท่าที่ราคาทองคำ มันยังไม่เข้าหาความจริง ที่ 2000 เหรียญกว่าๆโน่น และการที่อเมริกาในช่วงนี้ เร่งพิมพ์แบงค์อย่างไม่เกรงอกเกรงใจประชาคมโลก ทำให้มีการคำนวณและป่าวประกาศราคาทองคำ 5000 เหรียญแทนซะแล้ว

ปัจจัยเบี่ยงเบนราคาทองคำที่เราต้องรู้
ใครๆ ก็พูดว่า ราคาทองคำมาจากปัจจัยคือดีมานด์การใช้งานจริง กับดีมานด์การลงทุน แต่นั่นมันปัจจัยพื้นฐานจริงๆ ที่ไม่มีมือมืดมาเกี่ยวข้องครับ คุณแปลกใจมั๊ยล่ะ ว่าทำไมราคาทองคำมันยังอยู่ห่างจากความเป็นจริงมากขนาดนั้น ใครพอจำได้ ทองคำ เคยโดนกดราคาลงถึงแค่ 256 เหรียญในปี 1999

The Central Bank Gold Agreement – CBGA
นั่น เป็นเพราะมีภาพมายาที่ถูกสร้างขึ้น เพราะทองคำถือเป็นศัตรูตัวฉกาจกับระบบการเงิน นวัตกรรมใหม่ของสหรัฐ ความร่วมมือกันของเหล่าธนาคารกลางที่รวมหัว ประชุมกันที่กรุงวอชิงตันจึงเกิดขึ้น หัวเรือใหญ่ไม่ใช่ใครที่ไหน คือสหรัฐกับอังกฤษนั่นแหละ ข้อตกลงร่วมกันที่ออกมารู้จักกันในชื่อ the Central Bank Gold Agreement – CBGA นั่นเอง
ในปี 1999 นับเป็นจุดเริ่มต้นของข้อตกลงที่ว่า โดยธนาคารต่างๆมีโควตาในการขายทองคำไม่เกิน 400 ตัน ระหว่างปี 1999-2004 และข้อตกลงฉบับที่ 2 กำหนดไว้ที่ 500 ตันต่อปี ระหว่างปี 2004-2009

ราคา ทองคำลดลงต่ำสุดในช่วงปี 1999 จากการที่อังกฤษ โดยนายกรัฐมนตรี กอร์ดอน บราวน์ ตัดสินใจขายทองคำออกมามากกว่าครึ่งหนึ่งของทองคำสำรองที่มีในคลัง นัยว่า เลิกใช้ทองคำเป็นทุนสำรอง ยกเลิกบทบาททองคำในฐานะทุนสำรอง ว่างั้น ทำให้ราคาทองคำรูดลงอย่างรวดเร็วจาก 300 กว่าเหรียญ เหลือ 250 กว่าเหรียญ
หลาย ปีต่อมา จากการกระทำอย่างต่อเนื่อง ตามข้อตกลง CGBA ทำให้ราคาทองคำซึมอยู่หลายปี แต่ความพยายามดังกล่าว มันเป็นการฝืนความจริง ในที่สุด ทองคำก็กลับมาทวงสิทธิ์ของตัวเองคืน

The Manipulation Of The Gold Market

เหล่า ธนาคารกลางนำโดยสหรัฐ มีการจัดตั้งองค์กรที่ไม่ค่อยลับเท่าไหร่ เข้ามาดูแลราคาทองคำ ผ่านการซื้อขายทำธุรกรรมในตลาดทองคำ เหมือนอย่างพวกกองทุนเฮดฟันด์ทั้งหลายทำนั่นแหละ แต่วัตถุประสงค์ต่างจากเฮดฟันด์ คือไม่ได้เข้ามาหากำไร แต่เข้ามาควบคุมราคา ไม่ให้พุ่งเข้าหาราคาจริงตามเงินเฟ้อเร็วเกินไป ซึ่งเรียกว่า The Manipulation Of The Gold Market พวกนี้แหละที่เราต้องแหยงในการลงทุนทองคำ เพราะจะเข้ามาทำลายอารมณ์กระทิงในตลาดทองคำเป็นระยะ ตามแต่อารมณ์มัน 555
The Gold Anti-Trust Action Committee – GATA
ทาง ฝั่งผู้บริโภค ก็มีการตั้งองค์กรขึ้นมาในปี 1999 เช่นเดียวกันครับ เรียกว่า The Gold Anti-Trust Action Committee – GATA เพื่อสนับสนุนและรับหน้าที่ต่อต้านการกระทำที่ไม่ถูกต้องเพื่อการครอบงำตลาด ทองคำ ไม่ให้กำหนดราคาและทิศทางตลาดตามอำเภอใจ

ดีมานด์การใช้งานจริง
ใน แง่การลงทุนของพวกเรา จะหันกลับมาดูปัจจัยนี้ เมื่อราคามันหล่นลงมาหลังการปั่นขึ้นไปสูงๆแล้ว หรือเรียกว่า การปรับฐานใหญ่นั่นแหละ ปกติ ทุกปีจะมี 1 รอบ เรียกว่าเป็นวัฏจักรของราคาทองคำครับ โดยมีช่วงเวลาขาลงอยู่ในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนกันยายนโดยประมาณ ซึ่งเป็นช่วงฤดูร้อนของฝรั่ง รวมถึงดีมานด์จากขาใหญ่อย่างอินเดีย ซึ่งเป็นชาติที่คลั่งใคล้ทองคำมากที่สุด ลดลงในช่วงนี้ ขณะที่ช่วงเดือนที่ราคาทองคำเป็นขาขึ้น จะเป็นช่วงราวเดือนตุลาคมไปจนถึงราวปลายเดือนพฤษภาคมซึ่งเป็นช่วงที่ทั่วโลก ต่างก็ซื้อทองเพื่อใช้งานจริงทั้งนั้น
ช่วงการปรับฐานใหญ่ที่ว่านั้น ราคาจะหล่นลงมาจนกว่าผู้ซื้อทองคำเพื่อการใช้งานจริงๆจะพอใจและมีแรงซื้อ กลับเข้ามามาก พวกนักลงทุนจึงจะมั่นใจ และไล่ราคาขึ้นไปเล่นกันที่สูงๆต่อ เท่ากับว่า ดีมานด์การใช้งานจริงนี้ คือตัวกำหนดราคาฐานที่แข็งแกร่งนั่นเอง
5 ปีที่ผ่านมา ราคาก็ขยับสูงขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง เพราะความไม่สมดุลระหว่างซัพพลายและดีมานด์ครับ
- ผลผลิตจากเหมืองที่ลดลงเรื่อยๆ แหล่งผลิตเก่ากำลังการผลิตตก ขณะที่แหล่งผลิตใหม่ๆเกิดขึ้นน้อย
- ความต้องการทองคำจากประเทศจีน และอินเดียว ที่นับวันจะเพิ่มมากขึ้นจนซัพพลายไม่เพียงพอ 2 ประเทศนี้ ประชากรรวมกันหลายพันล้านคน หากคิดเหมือนกันว่าอยากได้อะไร คงไม่ต้องบอกนะครับ ว่าของที่ต้องการนั้น จะขาดแคลนไปในทันที
ความต้องการใช้งานจริง ไม่ใช่เป็นตัวแปรที่ทำให้ราคาผันผวน เพราะสามารถกะเกณฑ์ได้ครับ ไอ้ที่ทำให้ผันผวนคือปัจจัยต่อไป

ดีมานด์ความต้องการลงทุน
ใน ฐานะที่ทองคำ มีบทบาทเป็นเงินอีกสกุลที่มีเสถียรภาพมาก ความต้องการใช้งานจริง จะมีผลต่อราคาทองคำเป็นวัฏจักรครับ แต่ตัวขับเคลื่อนหลักในเวลานี้ ต้องบอกว่า คือ ความต้องการในการลงทุนมากกว่า ยิ่งราคาทองคำสูง ความต้องการใช้งานจริงมีแต่จะลดลง ขณะที่ความต้องการสำหรับเพื่อการลงทุนกลับเพิ่มขึ่นเรื่อยๆ กลุ่มที่เข้ามาเกี่ยวข้อง แบ่งได้ 3 กลุ่ม
NON COMMERICAL เป็นกลุ่มสถาบันการเงิน หรือ พวกนักเก็งกำไร หรือกองทุนขนาดใหญ่ พวกนี้เข้ามาตลาดเมื่อไหร่ จะเป็นตัวกำหนดราคาและสร้างความผันผวนในตลาดได้มากครับ เมื่อพวกนี้เข้ามาเมื่อไหร่ ปลาซิวปลาสร้อยอย่างพวกเรา ต้องรีบโดดเข้า และเตรียมโดดออกตามให้ทัน
COMMERCIAL เป็นกลุ่มผู้ผลิต ที่เข้ามาขายกันความเสี่ยงในตลาดล่วงหน้า ซึ่งจะเป็นผู้ขายออก หรืออยู่ตรงข้ามกับนักเก็งกำไรนั่นแหละ พวกนี้ เมื่อไหร่ที่เริ่มซื้อสัญญากลับหรือไม่ค่อยขายเข้ามา ก็เป็นสัญญาณว่า ราคากำลังจะขึ้นแล้ว
NON REPORTABLE พวกนี้คือปลาซิวปลาสร้อยอย่างพวกเรานี่แหละครับ

ปัจจัยความต้องการเพื่อการลงทุนนี้ จะอ่อนไหวกับทิศทางตลาดโดยรวมค่อนข้างมาก โดยในปัจจุบัน ทิศทางของ
ปัจจัย นี้ ถูกกำหนดโดยนโยบายของเฟด หรือ ธนาคารกลางสหรัฐ เป็นส่วนสำคัญมากที่สุด ทั้งในเทอมดอกเบี้ยและนโยบายที่มีต่อเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นทุกวัน มาตรการผ่อนคลายทางการเงินของสหรัฐ หรือพูดอีกทางคือ พฤติกรรมใช้จ่ายเกินตัวที่ไม่ละ กำลังค่อยๆโผล่ออกมา เหมือนบ้านที่ไม่เคยกวาดสิ่งสกปรกออกจากบ้าน เอาแต่กวาดซุกใต้พรมแล้วนั่งทับไว้ จนตอนนี้ พรมคงปูดเป็นภูเขาลูกใหญ่แล้วมั๊ง คนนั่งทับ ก็กำลังนั่งง่อนแง่นอยู่บนยอด ทำเป็นไม่สนใจสิ่งหมักหมนที่อยู่ใต้พรม

ความรุนแรงทางการเมืองโลก จากการที่สหรัฐวางตัวเป็นเจ้าโลกและคุกคามประเทศอื่นๆที่ไม่ยอมตนเอง เพื่อเข้าไปยึดครอบครองทรัพยากรของประเทศอื่น ระเบิดเวลาที่ทิ้งไว้หลายจุดทั่วโลก ทั้งอิสราเอล อัฟกานิสถาน อิรัก อิหร่าน และอีกหลายประเทศ อีกไม่นานคงได้ประทุรุนแรง

นวัตกรรมทางการ เงิน ตามแนวทางสหรัฐ เวลานี้กำลังย้อนกลับมาเล่นงานผู้คิดค้น ทั้งกรณีฉีกข้อตกลงเบรตัน วูดส์ พิมพ์แบงค์ใช้ไม่อั้น อนุพันธ์ทางการเงินเพื่อสร้างเม็ดเงินอย่างไร้ขีดจำกัดเช่นกรณีซัพไพร์ม การเปิดเสรีทางการเงินรวมทั้งบีบทั้งปลอบให้ประเทศอื่นเชื่อทำตาม การสร้างระบบเก็งกำไร เหล่านี้ล้วนช่วยสร้างเศรษฐกิจสหรัฐให้ขึ้นมาอยู่ชั้นแนวหน้าพร้อมๆกับการ เผชิญความเสี่ยงมหันต์ที่ตามเป็นเงามานาน และกำลังเริ่มแผลงฤทธิ์อีกครั้ง ราคาน้ำมันถีบตัวขึ้นสูง รวมถึงโภคภัณฑ์ต่างๆและทองคำ คือตัวแทนเงามืดที่ตามสหรัฐมานานนั่นเอง

ปูพื้นฐานปัจจัยพื้นฐานกัน แล้ว งวดต่อไปคงเริ่มเข้าเรื่องสิ่งที่พวกเรารอ คือปัจจัยเทคนิคเสียที ใครอ่านความเห็นผมมาตลอด อาจเคยเห็นผมเขียนไว้เสมอว่า

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/2-490/?/

บทที่ 6 เครื่องมือวัดพลังคลื่น

มีของอยู่ในมือแล้ว พวกเรามักมีปัญหาในการปล่อย หรือติดดอย เพราะไม่มีการเช็คสุขภาพ หรือพลังของคลื่น ว่าเหลือมากน้อยแค่ไหน สมควรจะเสี่ยงถือต่อไป หรือโยนให้คนอื่นถือต่อดี วันนี้มารู้จักกับเครื่องมือวัดพลังคลื่นทั้ง 3 ตัวที่ผมใช้ประจำครับ

Stochastic Oscillator เป็นตัววัดแนวโน้มที่ให้ทิศทางเร็วกว่าเพื่อน แต่ก็นั่นแหละครับ หลอกเก่งกว่าเพื่อนเหมือนกัน เหมาะกับการให้ทิศทางระยะสั้นหรือตลาด sideway มากกว่า

Stochastic Oscillator เป็นตัววัดแนวโน้มที่ให้ทิศทางเร็วกว่าเพื่อน แต่ก็นั่นแหละครับ หลอกเก่งกว่าเพื่อนเหมือนกัน เหมาะกับการให้ทิศทางระยะสั้นหรือตลาด sideway มากกว่า

RSI (Relative Strength Index) เป็นเครื่องมือวัดพลังของคลื่น ที่ผมให้น้ำหนักค่อนข้างมาก ผมใช้ยอดคลื่นของมันชี้ตำแหน่งคลื่น 3 และคลื่น b

MACD (Moving Average Convergence Divergence) เป็นเครื่องมืออีกชิ้นที่ช่วยในการตัดสินใจเรื่องการเปลี่ยนแนวโน้มของคลื่นได้ดีครับ

การใช้งานเครื่องมือทั้ง 3 ชนิด
อ่าน ตำราแล้วเหมือนจะใช้ต่างกัน แต่ผมมักจะมองภาพรวมทั้ง 3 ตัวด้วยกัน รวมถึงการนับขาตามทฤษฎีอีเลียตเวฟ เพื่อช่วยตัดสินใจเรื่องการเปลี่ยนแนวโน้ม หากใครอ่านตำรา ก็มักจะพุ่งเป้าไปที่สัญญาณ overbought/oversold เป็นหลัก แต่จริงๆแล้ว เรายังดูหลายอย่างที่ละเอียดลงไปได้อีก

สิ่งที่เราต้องมองหาในเครื่องมือโดยรวม
- Divergence/Convergence ตรงนี้อธิบายง่ายๆ คือความสัมพันธ์ระหว่างราคากับสัญญาณในเครื่องมือ มันต้องไปทางเดียวกัน เท่านั้นแหละ หากราคาขึ้นทำ high ใหม่ แล้วสัญญาณขึ้นตาม ก็ดีไป แต่หากไม่ตาม เราเรียกว่า เกิด divergence คือสัญญาณมันไม่เอาด้วย แบบนี้ ก็เตรียมถอยครับ ทางกลับกัน หากราคาลงทำ low ใหม่ และสัญญาณตามลงไป เราก็รอต่อไป แต่เมื่อไหร่ที่สัญญาณไม่ลงด้วย เราเรียกว่าเกิด convergence คือสัญญาณไม่เอาด้วย แต่เป็นเชิงบวกแทน แบบนี้ เตรียมกระโจนเข้าได้
- แนวต้านจากการลาก trend line เมื่อเกิดยอดคลื่น 2 ยอด เราสามารถลากเส้น trendline ให้เส้นสัญญาณได้ เช่นเดียวกับกราฟราคาครับ และหากสัญญาณขึ้นมาชน trendline ที่เราตีไว้ ก็มีแนวโน้มว่า จะติดเส้นนี้ได้ ทางกลับกัน หากหลุดเส้น trendline นี้ไปได้ ก็อาจพุ่งไปต่อได้เลยเช่นกันครับ
หากมองไม่เห็น สมมุติว่า เราดูใน chart รายวัน เราอาจขยับมาดูราย 4 ชั่วโมง หรือต่ำลงมาเป็นรายชั่วโมง เพื่อหาสิ่งที่เราต้องการดู

สัญญาณในกราฟ รายชั่วโมง ราย 4 ชั่วโมง รายวัน อันไหนสำคัญกว่ากัน?
บาง ครั้ง สัญญาณระดับต่างๆมันขัดแย้งกัน มือใหม่จะงง และตัดสินใจไม่ถูก ไม่รู้จะเชื่ออันไหนดี ผมอธิบายง่ายๆว่า รายวันก็เหมือนเราดูคลื่นหลัก ส่วนราย 4 ชั่วโมง หรือ รายชั่วโมง เราก็เท่ากับกำลังมองคลื่นย่อยในคลื่นหลัก คลื่นหลัก สัญญาณอาจบอกว่า กำลัง bull มาก อยู่ในคลื่น 3 แต่รายชั่วโมง สัญญาณอาจเป็น bear เพราะกำลังปรับฐานอยู่ในคลื่น 2 ย่อยของ 3 ก็เป็นได้

การใช้ MACD ดูการเปลี่ยนแนวโน้ม
MACD ถูกยกย่องให้เป็นราชาของเครื่องมือวัด เพราะมีความน่าเชื่อถือค่อนข้างสูง วิธีการดู MACD ก็ดูว่า
- เมื่อไหร่ที่ เส้นสัญญาณ (เส้นสีแดง) อยู่เหนือแถบ MACD จะ bearish หรือกลับเป็นขาลง
- เมื่อไหร่ที่ เส้นสัญญาณ (เส้นสีแดง) อยู่ใต้แถบ MACD จะ bullish หรือกลับเป็นขาขึ้น
นอก จากนั้น ก็เป็นการมองหา divergence/convergence และ การใช้ trendline วัดความสูงเพื่อหาแนวต้านแนวรับแล้ว อย่างที่บอกไป แต่ยังมีอีกจุดที่น่าสนใจมาก คือมันสามารถบอกพลังงานสะสมได้ครับ เมื่อใดที่เส้นสัญญาณ (เส้นสีแดง) กับ MACD ตีคู่กันใกล้ๆไปสักระยะ จะเกิดพลังงานสะสม และมักมีไม้เขียว หรือไม้แดงยาวๆตามมาให้เห็นบ่อยๆครับ ลองไปสังเกตดู MACD ที่เกิดขึ้นมาในอดีตดูครับ ให้สัญญาณก่อนเกิดไม้เขียวไม้แดงยาวๆตามมา ชนิดทำกำไรได้สบาย

ถึงบท นี้ ความฮึกเหิมคงเริ่มเกิดในตัวแล้วใช่มั๊ยละครับ แต่อยากจะบอกว่า พอไปดูคลื่นจริงๆ อาจจะยังคงเมากันอยู่ครับ คงต้องอาศัยประสบการณ์ที่ต้องค่อยๆสะสมแล้ว อันนี้ สอนกันยาก ได้แต่บอกว่า ค่อยๆดูไปครับ ทุกวันนี้ ผมก็ยังสะสมอยู่เหมือนกัน
บทต่อไป คงเป็นเรื่องของ เครื่องมือปลีกย่อย อย่าง Moving Average, Trendline, ฯลฯ แต่ผมว่า ศึกษาเองก็ไม่น่ายากแล้วนา

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/6-486/?/

Chart Pattern รูปแบบซ้อนทับ

Chart Pattern รูปแบบซ้อนทับ


Chart Pattern by Thaiforexschool
รูป แบบกราฟหรือ Pattern นั้น คือรูปแบบของราคาที่เคลื่อนที่อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งสามารถใช้ในการคาดการณ์ถึงภาวะราคาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ ทั้งนี้รูปแบบกราฟอาจมีรูปแบบที่ต่างๆขึ้นมาก่อนที่จะเป็นรูปแบบใหญ่ที่เรา วิเคราะห์ไว้ตั้งแต่ต้น ซึ่งจะเชื่อมต่อกันหรืออยู่ภายในรูปแบบใหญ่นั้นเอง รูปแบบกราฟเช่นนี้เรียกว่า “รูปแบบซ้อนทับ” รูปแบบซ้อนทับคือ การที่ราคากำลังจะทำ Pattern อย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ในขณะที่กำลังทำส่วนประกอบของ Pattern นั้นอยู่ ราคาได้มีการทำ Pattern ซ้อนขึ้นมา ซึ่งทำให้คาดการณ์ถึงภาวะตลาดที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ยากยิ่งขึ้น หรือจะเรียกอีกนัยคือ ราคากำลังทำPattern หลัก ในขณะที่กำลังทำนั้น ราคาได้มีการทำ Patternรอง ซึ่ง Patternรองนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ทุกส่วนของ Patternหลัก เกิดขึ้นมากกว่าหนึ่ง Patternที่เป็น Patternรอง และสามารถเกิดได้ทุกรูปแบบของ Chart Pattern   คือ
1. รูปแบบกลับตัว (Reversal Patterns)
2. รูปแบบต่อเนื่อง (Continuous Patterns)
3. รูปแบบที่เป็นไปได้ทั้งสองทาง (Bilateral Patterns)
จน หลายครั้งทำให้เราไม่แน่ใจถึง Pattern หลักว่าจะเป็นไปตามที่คาดการณ์หรือไม่เพราะPatternรองที่เกิดขึ้นนั้นอาจขัด แย้งกับPatternหลักที่กำลังจะเกิด ทำให้เราพลาดโอกาสในการทำกำไรได้
รูปแบบซ้อนทับนั้นแบ่งออกเป็น3 ลักษณะดังนี้
รูปแบบซ้อนทับขัดแย้ง
รูปแบบซ้อนทับทางเดียวกัน
รูปแบบซ้อนทับผิดทาง

รูปแบบขัดแย้ง เป็นรูปแบบที่ รูปแบบรองนั้นที่เกิดขึ้นนั้น มีการขัดแย้งกับรูปแบบหลัก ยกตัวอย่างเช่น
- รูปแบบหลักกำลังทำ Reversal Patterns แต่รูปแบบรองเป็น Continuous Patterns
- รูปแบบหลักกำลังทำ Continuous Patterns แต่รูปแบบรองเป็น Reversal Patterns
-รูปแบบหลักกำลังทำ Reversal Patterns แต่รูปแบบรองทำ Bilateral Patterns
ซึ่ง จากตัวอย่างจะให้ได้ว่า รูปแบบหลักและรูปแบบรองนั้นมี Chart Pattern ที่ขัดแย้งกัน ทำให้ เราอาจเกิดความไม่แน่ใจถึงแนวโน้มในรูปแบบหลักว่าจะไปตามที่คาดการณ์ไว้ได้ 









รูป แบบซ้อนทับทางเดียวกัน เป็นรูปแบบที่ส่งเสริมรูปแบบหลัก คือทั้งรูปแบบหลักและรูปแบบรองจะ Chart Pattern ที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันยกตัวอย่างเช่น  รูปแบบหลักกำลังทำ
-Reversal Patterns รูปแบบรองทำ Reversal Patterns
- รูปแบบหลักกำลังทำ Continuous Patterns รูปแบบรองทำ Continuous Patterns
***หมาย เหตุ รูปแบบซ้อนทับทางเดียวกัน จะไม่มี Chart Pattern  Bilateral Patterns***   เนื่องจาก Bilateral Patternsเป็น Patternที่ไปได้ทั้งสองทาง จึงไม่สามารถบอกได้ชัดแจ้งว่าจะมีพฤติกรรมของราคาที่ส่งเสริมกันหรือไม่ รูปแบบซ้อนทับทางเดียวกันจะยิ่งทำให้เรามั่นใจถึงพฤติกรรมราคาในรูปแบบหลัก มากยิ่งใหญ่






รูป แบบซ้อนทับผิดทางเป็นรูปแบบที่ หลอกตามักเกิดตอนที่ รูปแบบหลักใกล้จะสมบรูณ์ แต่เกิดการทะลุในทิศทางตรงข้ามกับเป้าหมายของรูปแบบหลักก่อนจากนั้นจึงเกิด รูปแบบรองที่ ในลักษณะที่ไปทางเดียวกันกับรูปแบบหลัก รูปแบบซ้อนทับผิดทางมักจะทำให้เราเสียโอกาสในการทำกำไรสูงเพราะ  ดูเหมือนราคาจะไม่สามารถทำรูปแบบหลักได้อีกแต่กลับมีรูปแบบรองเกิดขึ้นและทำ ให้ ราคากลับตัวไปตามทิศทางเป้าหมายของรูปแบบหลัก

การมองรูป แบบซ้อนทับให้ออกนั้น เราต้องอาศัยการมองรูปแบบกราฟเป็นภาพรวม รู้จักการแบ่งกลุ่มราคาที่ทำจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดแล้วแยกรูปแบบออกมาว่ารูป แบบราคาไหนเป็นรูปแบบหลัก รูปแบบรอง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วรูปแบบหลักจะเป็นรูปแบบที่ใหญ่กว่ารูปแบบรอง


วิธี การทำกำไรนั้น เมื่อเกิดรูปแบบซ้อนทับเราสามารถทำกำไรได้จากรูปแบบรอง โดยพิจารณาจุดเข้าและจุดออกตามแนวรับแนวต้านจากรูปแบบหลักเมื่อหมดรอบของรูป แบบรองแล้ว ก็มาดูแนวโน้มว่ารูแบบรองที่เกิดขึ้นเสร็จแล้วนั้น ทำให้ราคาจะเป็นไปตามรูปแบบหลักอยู่อีกหรือไม่  ซึ่งต้องอาศัยการดู พฤติกรรมของราคาหรือPrice Action ประกอบจะยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพในการเทรดในดียิ่งขึ้น


วิธี การทำกำไรนั้น เมื่อเกิดรูปแบบซ้อนทับเราสามารถทำกำไรได้จากรูปแบบรอง โดยพิจารณาจุดเข้าและจุดออกตามแนวรับแนวต้านจากรูปแบบหลักเมื่อหมดรอบของรูป แบบรองแล้ว ก็มาดูแนวโน้มว่ารูแบบรองที่เกิดขึ้นเสร็จแล้วนั้น ทำให้ราคาจะเป็นไปตามรูปแบบหลักอยู่อีกหรือไม่  ซึ่งต้องอาศัยการดู พฤติกรรมของราคาหรือPrice Action ประกอบจะยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพในการเทรดในดียิ่งขึ้น

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/chart-pattern/?/