RSS
Showing posts with label กลยุทธ์. Show all posts
Showing posts with label กลยุทธ์. Show all posts

สภาพแวดล้อมในตลาด

สภาพแวดล้อมในตลาด
เปรียบเทียบระหว่าง ชายคนสองคนที่ไปรบในสงคราม ชายที่โง่จะรีบเปิดศึกโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ ไม่มีการวางแผน เหมือนคนที่หิวโหยและรีบกินทุกอย่างที่ขวางหน้าในงานเลี้ยงบุฟเฟ่ต์ ส่วนคนฉลาดจะวิเคราะห์สถานการณ์ก่อน เพื่อให้รู้ถึงสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่ว่าเป็นอย่างไร เพื่อให้รู้ว่าตนเองควรจะสู้อย่างไร
ในการเทรดก็เหมือนการทำศึกในสงคราม เราควรจะรู้ว่าสภาวะในตลาดเป็นแบบไหนก่อนที่จะเริ่มวางแผนว่าจะเทรดอย่างไร ดี เทรดเดอร์บางคนหงุดหงิดและบอกว่า ระบบเทรดที่ใช้ไม่ดี ในความเป็นจริงระบบเทรดที่ใช้บางครั้งมันก็ใช้การไม่ได้ แต่ในบางครั้งมันก็ทำกำไรให้อย่างมากมาย ซึ่งนั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าเราได้ใช้ระบบเทรดที่เหมาะสมกับสภาพตลาดในขณะนั้นๆ
สำหรับ เทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์ช่ำชองแล้ว พวกเขาจะพยายามหากลยุทธ์ที่เหมาะสมเพื่อใช้ในการเทรดสำหรับสภาพแวดล้อมของ ตลาดในปัจจุบัน เช่น เวลานี้ควรจะใช้ Fibonacci เพื่อหาโซนปรับตัวของราคา (Retracement) หากราคาวิ่งเป็นเทรน หรือว่าราคาวิ่งอยู่ในกรอบราคา (Rang Holding) แล้วเราควรจะเล่นอย่างไรในสถานการณ์ตลาดที่แตกต่างกัน การที่เรารู้ว่าสภาวะตลาดเป็นเช่นไรทำให้เราสามารถเลือกกลยุทธ์ และระบบเทรดที่เหมาะสมกับสภาพตลาดในขณะนั้น
ดังนั้นเทรดเดอร์ควรจะมีระบบ เทรดของตัวเองมากกว่า 1 ระบบ เพื่อรองรับกับสภาวะตลาดที่แตกต่างกัน และไม่ต้องกลัวว่าคุณจะไม่ได้ใช้ระบบเทรดใดระบบหนึ่ง เพราะในตลาด Forex เราจะพบสภาวะตลาดที่ราคาวิ่งในกรอบราคา (Rang) และ วิ่งเป็นเทรน (trending) ในทุกรอบเวลา (Time Frame) และถ้าคุณใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมแล้วก็จะช่วยให้คุณสามารถเลือกใช้เครื่องมือ (Indicators) ที่มีมาใช้ได้อย่างง่ายดาย ยกตัวอย่างเช่น Fibos และ Trend line จะมีประโยชน์มากในตลาดที่เป็นเทรน ขณะที่ Pivot Point และเส้นแนวรับแนวต้านของ Pivot Point จะใช้งานได้ดีมากเมื่อราคาวิ่งอยู่ในกรอบ
สภาพแวดล้อมของตลาดแบ่งได้เป็น 3 แบบคือ

    ตลาดขาขึ้น (Trend Up)
    ตลาดขาลง (Trend Down)
    วิ่งในกรอบราคา ( Ranging หรือ Sideway)


ตลาดที่เป็นเทรน (Trending market)
ตลาด ที่เป็นเทรน คือ การที่ราคาวิ่งไปในทิศทางเดียวกัน และแน่นอนว่าอาจจะมีบางช่วงที่ราคาวิ่งสวนทางกับเทรน แต่ถ้าพิจารณาในกรอบราคาที่ใหญ่กว่า ก็จะเห็นว่าการวิ่งสวนทางเหล่านั้นเป็นการปรับตัวของราคา


Trending Market


ปรกติ เราจะสังเกตเทรนขาขึ้นได้จาก "จุดสูงสุดและจุดต่ำสุดใหม่ที่ยกตัวสูงขึ้น (Higher High , Higher Low)" และเทรนขาลงก็จะเป็น "จุดสูงสุดและต่ำสุดใหม่ที่ปรับตัวต่ำลง (Lower High, Lower Lows) "
กลยุทธ์ การซื้อขายสำหรับเวลาท่ตลาดเป็นเทรน เทรดเดอร์ส่วนใหญ่มักจะเลือกเทรดในสกุลเงินหลัก เพราะแนวโน้มของคู่เงินเหล่านี้จะมีสภาพคล่องสูง เพราะสภาพคล่องเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับกลยุทธ์การเทรดตามแนวโน้ม สภาพคล่องยิ่งมากก็ยิ่งทำให้มีการเคลื่อนที่ของราคามากขึ้นเท่านั้น

ADX ในตลาดที่เป็นเทรน
ADX คือ Average Directional Index indicator  ในบางโปรแกรมอาจเป็น Average Directional Movement Index indicator แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนหลักการใช้ก็จะเหมือนกัน ADX นี้ถูกพัฒนาโดย J. Welles Wilder  เป็น Oscillator พื้นฐานอีกตัวที่จะติดมากับโปรแกรมเทรด (MT4)  ตัวบ่งชี้มีระดับอยู่ระหว่าง 0-100 ใช้เพื่อตรวจสอบความแข็งแรงของแนวโน้ม ไม่เหมือนกับการทำงานของ Stochastic ที่จะบอกเราว่าเมื่อไหร่เทรนเป็นขาขึ้นหรือขาลง แต่ ADX จะบอกเราว่าแนวโน้มในขณะนี้แข็งแรงหรือว่าอ่อนแอ ในหลักการทำงานทั่วไปถ้า ADX อยู่ต่ำกว่าระดับ 20 หมายความว่าแนวโน้มหรือเทรนนั้นๆ กำลังอ่อนแอ แต่ถ้า ADX อยู่เหนือระดับ 50 นั่นหมายถึงแนวโน้มที่แข็งแกร่ง
ถ้า ADX อยู่เหนือระดับ 25 โดยปรกติแล้วมักจะแสดงให้เห็นว่าราคามีแนวโน้ม หรือราคาอยู่ในแนวโน้มที่แข็งแกร่งอยู่แล้วในขณะนี้ ยิ่งอยู่ในระดับที่สูงขึ้น ก็หมายถึงแนวโน้มที่แข็งแกร่งขึ้น แต่ ADX เป็นตัวชี้วัดที่ให้สัญญาณช้ากว่าอย่างอื่น ซึ่งหมายความว่ามันไม่จำเป็นในการใช้ทำนายอนาคต และมันยังเป็นตัวบ่งชี้ที่ไม่มีทิศทางซึ่งหมายความว่ามันจะรายงานออกมาเป็น ตัวเลขที่บอกถึงระดับความแข็งแกร่งของแนวโน้มเท่านั้น ลองดูตัวอย่างนี้ เห็นได้ชัดว่าราคามีแนวโน้มปรับตัวลดลงแม้ว่า ADX มากกว่า 25


 Moving Average ในตลาดที่เป็นเทรน
นอก จาก ADX แล้ว เรายังสามารถให้ Simple Moving Average ในการตรวจสอบแนวโน้มของราคาได้อีกด้วย ลองใส่ SMA 7,20 และ 65 เข้าไปในกราฟของคุณ แล้วรอให้เส้น SMA ทั้งสามเส้นวิ่งมารวมกันแล้วกระจายออกจากกัน ถ้า SMA ที่มีค่าน้อย กระจายออกมาอยู่เหนือเส้นที่มีค่ามาก คือ SMA7,20 และ 65 ไล่กันลงมาตามลำดับ นั่นหมายถึงแนวโน้มขาขึ้น


ใน ทางกลับกัน ถ้า SMA ที่มีค่าน้อยกลับลงมาอยู่ต่ำกว่าเส้นที่มีค่ามากกว่า คือ SMA 7,20 และ 65 เรียงตัวไล่กันขึ้นไปตามลำดับ นั่นแสดงถึงแนวโน้มขาลง


 Bollinger Band ในตลาดที่เป็นเทรน
แถบ ของ Bollinger Band ปรกตินั้นจะมีค่าเบี่ยงแบนมาตรฐานตามสูตรอยู่แล้ว แต่วิธีการที่จะใช้มันเพื่อหาแนวโน้มคือ ใส่ Billinger band มีมีค่ามาตรฐาน (Standard deviation 1) และใส่ Bollinger Band อีกอันโดยตั้งค่า Deviation เป็น 2
Sell Zone คือ บริเวณที่อยู่ระหว่าง Band ทั้งสองอัน (DS1 และ SD2) ที่อยู่ด้านล่าง จำไว้ว่า ราคาควรจะต้องปิดอยู่ในระหว่างพื้นที่ตรงนี้จึงจะพิจารณาในการ Sell
และ Buy Zone คือ พื้นที่ระหว่าง Band ทั้งสองอันเหมือนกับ Sell Zone แต่จะอยู่ด้านบน และราคาจะต้องปิดตัวในระหว่างพื้นที่ของทั้งสอง Band นี้ จึงจะพิจารณาว่าเป็น Buy Zone
และราคาในระหว่างพื้นที่ของ Band ที่เซทค่า SD1 นั้นเป็นช่วงที่ราคาเกาะตัวกันเป็น Sideway ราคาจะปิดตัวในระหว่างพื้นที่นี้ เป็นช่วงที่ไม่น่าเล่น


 ราคาที่วิ่งในกรอบราคา (Sideway หรือ Ranging Market)
Ranging Market คือ สภาวะที่ราคาวิ่งระหว่างกรอบราคาสูงสุด และต่ำสุด ตรงระดับราคาสูงสุดจะทำหน้าที่เป็นแนวต้าน และราคาต่ำสุดจะเป็นแนวรับ และราคาวิ่งอยู่ในกรอบราคานี้เป็น Sideway ไม่สามารถทะลุออกไปนอกกรอบได้ ในกรณีแบบนี้ เราอาจใช้เส้น Horizontal Line มาวางไว้เพื่อดูแนวรับแนวต้านของกรอบราคาได้ง่ายขึ้น


 ADX ใน Ranging Market
ก็ เหมือนกับที่เราได้กล่าวไปแล้วในข้างต้นว่า ถ้า ADX อยู่ต่ำกว่าระกับ 25 นั่นก็หมายความว่า แนวโน้มของราคามีความอ่อนแอ และนั่นก็คือ ตลาดที่เป็น Ranging Market หรือ ตลาด Sideway นั่นเอง แต่อย่าลืมว่า ยิ่ง ADX มีค่าน้อยลงเท่าไหร่ ก็หมายถึงตลาดแนวโน้มหรือเทรนยิ่งอ่อนแอมากเท่านั้น


 Bollinger Band ใน Ranging Market
Bollinger Band จะหุบแคบลงเมื่อมีความผันผวนในตลาดน้อย และจะขยายขึ้นเมื่อมีความผันผวนมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ Bollinger Band เป็นเครื่องมือที่ดีสำหรับกลยุทธ์แบบ Breakout
เมื่อ Bollinger Band หุบแคบลงนั่นหมายถึงตลาดมีความผันผวนต่ำ และราคาน่าที่จะเคลื่นไหวเพียงเล็กน้อยไปในทิศทางเดียวกัน อย่างไรก็ตาม เมื่อ Band เริ่มที่จะขยายกว้างขึ้น ก็หมายถึงความผันผวนที่มีมากขึ้นและราคาจะไม่วิ่งไปในทิศทางเดียวกัน



 โดย ทั่วไปช่วงราคาจะมีช่วงที่แคบเมื่อเทียบกับ เวลาที่ Band ขยายใหญ่ หรือการใช้เส้น Horizontal Line เป็นแนวรับแนวต้าน อย่างกรณีในภาพตัวอย่าง จะเห็นได้ว่ากรอบราคาแคบมาก
แนวคิดพื้นฐานในการเทรดในตลาดที่ราคาวิ่ง อยู่ในกรอบแบบนี้ คือ การซื้อต่ำที่ใกล้กับแนวรับ และปิดทำกำไรเมื่อราคาวิ่งมาที่แนวต้าน และขายในราคาที่สูงให้ระดับกับแนวต้าน และปิดทำกำไรที่ระดับแนวรับ และเครื่องมือที่เป็นที่นิยมมากที่สุดคือ เส้น Horizontal Line และ Bollinger Band
นอกจากนี้ การใช้ Oscillators อย่าง Stochastic และ RSI จะช่วยคุณหาและยืนยันจุดกลับตัวของราคาในกรอบราคาได้ง่ายขึ้น อย่างเช่นการใช้เงื่อนไข Over bought และ Oversold


 Bonus Tip: การเทรดโดยใช้กลยุทธ์แบบ Range-Bound (การกลับตัวในกรอบราคา) นี้ ไม่เหมาะที่จะใช้กับคู่เงินที่มีสกุลเงิน USD ร่วมอยู่ด้วย คู่เงินที่เป็นที่นิยมเทรดแบบนี้คือ EUR/CHF เพราะอัตราการเติบโตของสหภาพยุโรปและสวิสเซอรืแลนด์มีความใกล้เคียงกันมาก ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนของทั้งสองสกุลมีเสถียรภาพมาก จึงเหมาะกับการเทรดโดยใช้กลยุทธ์นี้เป็นอย่างมาก
ข้อสรุป ตลาดมีความหลากหลาย และไม่ว่าตลาดอยู่ในสภาวะไหน มีแนวโน้ม (Trending Market ) หรือว่าราคาวิ่งอยู่ในกรอบราคาแบบ Sideway (Ranging Market) ก็ตาม คุณก็ควรเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับตลาดในขณะนั้นๆมาใช้ให้เกิดประโยชน์ตาม จังหวะของตลาด

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/t674/?/

การทำ Backtest ความจริงก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นเพื่อแต่มันเป็นเหมือนกับการสร้างส


 บท ความนี้เป็นบทความแรกที่อ่าน ๆไปแล้วผมคิดว่าเจ้าของกระทู้เค้ากำลังตอบ 2 คำถามในกระทู้เดียวดังนั้นผมเลยตัดสินใจแบ่งออกเป็น 2 บทความจากกระทู้เดียวเพื่อไม่ให้สับสนต่อการอ่าน ในบทความนี้ จขกท. เข้าจะพูดถึงแนวคิดของเขารวมไปถึงวิธีการเทรดของเขาซึ่งผมจะแยกวิธีการเทรด ของเขาออกจากแนวคิดของเขานะครับ ซึ่งในบทความนี่ผมจะพูดถึงเรื่องที่เขาอยากจะเริ่มทดลองระบบของเขาก่อนแล้ว กันนะครับ
คุณ aarizahmad เจ้าของกระทู้ถามเล่าว่าเขาพึ่งเริ่มเทรดได้ประมาณ 2 เดือนและได้ทดลองระบบของเขาโดยการเช็คย้อนหลังซึ่งระบบของเขาจะใช้สัญญาณ เข้าจากรูปแบบกลืนกิน (Engulfing Bar) ของแท่งเทียนใน Daily Time Frame เป็นสัญญาณเข้า ความเสี่ยงของระบบผมอยู่ที่ 3:1 ซึ่งทดสอบดูแล้ววิธีการเทรดของผมถูก 20 ครั้งผิด 10 ครั้งเมื่อเอาจำนวณครั้งที่ถูกมาคิดเป็นเปอร์เซนต์แล้วพบว่าระบบผมสามารถทำ กำไรได้ถึง 60% เลยทีเดียวและเสียเพลง 10% เท่านั้น จากตัวเลขนี้ผมเลยคิดว่าระบบผมเป็นไปได้ที่จะนำมาเทรดจริง ๆ ผมเลยอยากจะถามเพื่อนร่วมบอร์ดว่า
ข้อที่ 1: ผลที่ได้นี้แม่นยำพอที่จะไปเริ่มเทรดเดโม่หรือเงินจริงหรือยังครับ?
ข้อที่ 2: ความเสี่ยงของเขาต่อการเทรด 1 ครั้งควรจะเป็นเท่าไหร่ดี? 2% หรือ 1% ของเงินทุน?
ข้อที่ 3: ถ้าระบบผมสามารถทำกำไรได้ตามที่ผมคิดแบบนี้ความฝันของผมที่จะได้ขับโรสรอยด์จะสามารถเป็นจริงใน 1 ปีไหม?


 คุณ claudia1 เข้ามาตอบว่า ถ้าคุณคิดว่าระบบของคุณสามารถเทรดแล้วมีกำไรได้แน่ ๆ ก็เอาเลย ความเสี่ยง 2% เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ แต่ถ้าไม่ก็อย่าเสี่ยงดีกว่า


คุณ card เข้ามาตอบว่า ตราบเท่าที่คุณยังมีวิธีการบริหารเงินทุนที่เยี่ยมยอดตราบนั้นคุณก็จะสามารถ ลดความสูญเสียลงได้ ส่วนตัวแล้วผมว่าการทดสอบย้อนหลังเชื่อถือไม่ค่อยได้ถ้าเป็นผมนะ ผมเทรดเงินจริงอย่างเดียวละ ถึงจะเป็นเงินในจำนวนที่น้อยแต่มันก็เป็นเงินจริงถ้าเจอระบบใหม่ผมก็จะเอา เงินจริงในจำนวนน้อย ๆ ไปลงระบบนั้นและทดสอบดู คุณไม่จำเป็นต้องเป็นเทพอะไรมากตราบเท่าที่คุณมีกลยุทธ์ที่ดี มีระบบการจัดการความเสี่ยงที่ดีก็ไม่มีทางที่ตลาดจะเอาเงินจากคุณไปได้ ดังนั้นผมจึงอยากจะแนะนำว่าให้คุณเริ่มทดลองระบบของคุณด้วยเงินจริงที่ความ เสี่ยง 1% ก่อนเมื่อคุณมีความมั่นใจมากขึ้นค่อยอัพขึ้นไปเป็น 1.5% หรือ 2% ก็ว่ากันไป เงินทุนที่ผมแนะนำคือ 1000$ ขึ้นไปเพื่อพิสูจน์ว่าระบบของคุณสามารถทำกำไรได้และเพิ่มความมั่นใจให้กับ ตัวคุณเองอีกด้วย หากคุณบอกว่ามีเงินไม่มากถึง 1000$ หรอกก็ลองไปหางานอื่นทำก่อนแล้วเก็บตังค์ให้ถึง 1000$ และที่สำคัญอย่าลืมว่าตลาดแห่งนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา อย่าโลภ อย่าเหลิง อย่าเทรดตามอารมณ์เด็ดขาด ถ้าคุณทำได้รถโรสรอยด์ของคุณก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม


คุณ ghous เข้ามาตอบว่า ส่วนตัวแล้วผมไม่เชื่อผลของการทดสอบ backtest เพราะการทดลอง backtest มันจะทำให้เราคิดขเข้างตัวเองและไม่ได้ผลที่เป็นความจริง ตอนที่เทรดจริง ๆ ผมแนะนำว่าต่อจากนี้คุณควรจะลองเทรดเงินจริงและทดสอบระบบคุณแบบจริง ๆ ดีกว่านะ


“รับ ทราบครับ ผมว่ากำลังจะเริ่มทดสอบระบบวันพรุ่งนี้แล้ว ความจริงแล้วตอนที่ผมทำ backtest ผมใช้วิธีค่อย ๆ กด page up ไปเรื่อย ๆ นะครับและก็กด F12 ค่อย ๆ เลื่อนกราฟด้วย” คุณเจ้าของกระทู้ตอบและตอบต่ออีกว่า ซึ่งการทำอย่างนี้มันทำให้ผมไม่สามารถเห็นกราฟล่วงหน้าก่อนและผมก็จดบันทึก การเทรดของผมลงใน notepad จากนั้นนำผลที่ได้มาตำนวณมาคำนวณเปอร์เซนต์ชนะในแต่ละครั้งและผมก็ซื่อสัตย์ กับตัวเองด้วยนะครับ ถึงแม้จะต้องจดหลายคู่เงินหน่อยแต่ผมว่ามันก็คุ้ม


คุณ M.A.C. Doug เข้ามาตอบในทำนองเดียวกันว่า การทดสอบย้อนหลังเดโม่ไม่สามารถวัดอะไรในการเทรดจริง ๆ ได้ ความจริงระบบคุณแนวคิดคุณก็เป็นวิธีที่ดีนะ ผมหวังว่าคุณจะทำมันได้ดีในการเทรดจริง ๆ ส่วนความฝันของคุณนะ ผมว่าคุณหวังสูงไปหน่อยรึเปล่า ผลจาก backtest มันไม่ได้การันตีความสำเร็จสูงขนาดนั้นหรอกนะครับ เดี๋ยวพอคุณเทรดเงินจริงคุณก็จะเข้าใจเอง


 การ ทำ Backtest ความจริงก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นเพื่อแต่มันเป็นเหมือนกับการสร้างสมมุติฐาน ขึ้นมาก่อน เหมือนเราหาข้อมูลเบื้องต้นมาก่อนแล้วหลังจากนั้นเราก็ต้องลงมือหาข้อมูล จริง ๆ มายืนยันสมมุติฐานของเรา การเทรดก็ไม่ต่างอะไรกับงานวิจัยเลยที่ผลที่ออกมาอาจจะไม่เป็นไปตาม สมมุติฐานก็ได้ ดังนั้นผู้เทรดไม่ควรไปคาดหวังอะไรกับสมมุติฐานมากนัก ไม่ใช่ว่าทำ Backtest แล้วขายทุกอย่างเพื่อเทรดเลยก็ไม่ใช่เรื่อง เพราะผมเคยหลงอยู่ในวังเวียนแห่ง Backtest มานานถึง 2 ปี เสียเวลาไปตั้ง 2 ปีเพื่อให้ได้รู้ว่ามันไม่ใช่ทุกอย่างในการเทรด สิ่งที่ผู้เทรดควรทำคือเมื่อหาสไตล์การเทรดที่ตัวเองชอบได้แล้ว ก็ลองต่อยอดพัฒนามันไปเรื่อย ๆ พัฒนามันให้ไปจนถึงที่สุดให้ได้ นั่นละครับถึงจะเรียกว่าเป็นการสร้างระบบหรือกลยุทธ์ที่มีไว้เพื่อคุณคน เดียวขึ้นมาอย่างแท้จริง

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/backtest/?/

Moving Average

Moving Average


Moving Average หรือ เส้นค่าเฉลี่ย เป็นเส้นที่คำนวณค่าเฉลี่ยของการวิ่งของราคาออกมาจากแท่งเทียน แท่งเทียนจะประกอบไปด้วย COLH
หรือ Close Open Low High เส้นค่าเฉลี่ยจะคำนวณออกมาจากแนวเหล่านี้โดยผู้เทรดสามารถเลือกได้ว่าอยากให้เส้นค่าเฉลี่ยคำนวนจากอะไร
อาจจะเป็น Close ของแท่งเทียนอย่างเดียวหรือเอาจาก High ของแท่งเทียนอย่างเดียว ซึ่งผู้เทรดสามารถเลือกปรับได้ตามรูปด้านล่างนี้ครับ


Close = จุดปิดของแท่งเทียน
Open = จุดเปิดของแท่งเทียน
High = จุดสูงสุดของแท่งเทียน
Low = จุดต่ำสุดของแท่งเทียน
Medium Price (HL/2) = เอาค่าระหว่าง High และ Low มาบวกกันแล้วหารด้วย 2
Typical Price (HLC/3) = เอาค่าระหว่าง High,Low และ Close มาบวกกันแล้วหารด้วย 3
Weighted Close (HLCC/4) = เอาค่าระหว่าง High, Low, Close, Close มาบวกกันแล้วหารด้วย 4


กลยุทธ์ การลงทุนนั้น จะกำหนดเส้นค่าเฉลี่ย ในจำนวนวันที่แตกต่าง กัน ขึ้นอยู่กับ ระยะเวลาการลงทุนของแต่ละบุคคล หรือรอบการเคลื่อนที่ของราคาตัวนั้น
ว่า การกำหนดด้วยเส้นค่าเฉลี่ยเท่าใด ที่น่าจะได้ผลตอบแทนสูงที่สุด ผู้เทรดสามารถตั้งค่าของเส้นค่าเฉลี่ยได้ในช่อง "Period" โดยเส้นค่าเฉลี่ยที่ใช้กันทั่วไปมีตั้งแต่
     5   วัน   (1 สัปดาห์)  ใช้สำหรับการลงทุนระยะสั้น
   10   วัน  (2 สัปดาห์)   ใช้สำหรับการลงทุนระยะสั้น
   25   วัน  (ประมาณ1 เดือน) ใช้สำหรับการลงทุนระยะค่อนข้างปานกลาง
   75   วัน  (ประมาณ1 ไตรมาส) ใช้สำหรับการลงทุนระยะกลาง
   200 วัน  (ประเมาณ 1 ปี)  ใช้สำหรับการลงทุนระยะยาว 

 
ชนิดของเส้น Moving Average

เส้นค่าเฉลี่ยที่เทรดเดอร์นิยมใช้กันมีอยู่ 2 ประเภทคือ

    Simple Moving Average (SMA)
    Exponential Moving Average (EMA)

Simple Moving Average หน้าที่ของมันคือหาค่าเฉลี่ยของราคา ในช่วงเวลาที่เรากำหนด ส่วน EMA ย่อมาจาก Exponential Moving Average
ซึ่ง การทำงานของมันคือ เป็นการหาค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก โดยการให้ความสำคัญกับค่าตัวหนึ่งที่ชื่อ SMOOTHING FACTOR สูตรมันก็มีว่า 2/(n+1)
ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาและถ่วงน้ำหนักให้ค่าสุดท้ายมีความสำคัญเพิ่มขึ้น   

แล้ว SMA กับ EMA ต่างกันอย่างไร?       
การ เคลื่อนที่ SMA จะช้ากว่า EMA โดยถ้าเราจะเล่นแบบตัดกันแล้วเข้า เราก็ใช้ EMA จะให้ความแม่นยำกว่า ส่วน SMA นั้นนะครับ มันจะเป็นแนวรับแนวต้านให้เราได้ดีกว่า
เพราะเป็นการคำนวนฐานต้นทุนของ นักลงทุนจริงๆแต่สำหรับราคาของคู่เงินบางตัวก็ใช้ EMA ดีกว่า SMA หรือ SMA ดีกว่า EMA มันก็ขึ้นอยู๋กับเราเลือกใช้เพื่อจุดประสงค์อะไร
( โดยส่วนตัวใช้ SMA เป็นแค่แนวรับแนวต้านธรรมดา )

ตัวอย่างการใช้ Moving Average
เส้น ค่าเฉลี่ยที่ผมใช้โดยส่วนใหญ่จะมี  EMA 5 10 สองเส้นนี้จะเอาไว้ดูการตัดกัน เพื่อเข้าออเดอร์ และ EMA 55 110 220 สามเส้นนี้จะเอาไว้เป็นแนวรับแนวต้าน
1. ถ้าราคาอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น แล้วมีการปรับตัวลงมา เส้นค่าเฉลี่ย 55 110 220 จะกลายเป็นแนวรับทันที ถ้าราคาไม่สามารถผ่านเส้นเหล่านี้ได้ ราคาก็จะกลับตัวขึ้นไปสู่แนวโน้มขา
ขึ้นเดิมอีกครั้งและถ้าราคาสามารถทะลุผ่านเส้นค่าเฉลี่ย 55 110 220 ลงมาได้ แนวโน้มก็จะเปลี่ยนเป็นแนวโน้มขาลงทันที
2.ถ้า แนวโน้มอยู่ในช่วงแนวโน้มขาลงแล้ว ราคามีการปรับตัวขึ้นไป (ปรับฐาน) เส้นค่าเฉลี่ย 55 110 220 จะกลายเป็นแนวต้านของราคาทันที หรือเราอาจจะเรียกมันว่า
เส้นแนวโน้มขาลง

ตัวอย่างจากแนสโน้มขาขึ้น


ตัวอย่างจากแนวโน้มขาลง

 
 
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่   http://www.thaibestforex.com/forex/moving-average-641/?/

กลยุทธ์การตั้ง Stop Loss (จุดขาดทุน)

"ทำไมราคาวิ่งมาชน Stop loss (SL) ของเราอีกแล้ว" นี่น่าจะเป็นคำถามที่เทรดเดอร์ถามตัวเองแบบเซ็งๆเป็นประจำเมื่อออเดอร์ของเราโดน SL
ที่ มันเป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ตลาดจะทำทุกอย่างที่มันอยากจะทำ เคลื่อนไหวไปในทางที่มันอยากจะไป เทรดเดอร์ต้องเจอกับความท้าทายใหม่ๆทุกวัน ส่วนมาก็จะเป็นในเรื่องของการเมืองทั่วโลก เหตุการณ์สำคัญทางเศรษฐกิจ หรือแม้แต่กระทั่งข่าวลือที่เกี่ยวกับธนาคารกลางที่สามารถทำให้ราคาวิ่งไปใน ทิศทางไหนก็ได้ในเวลาอันรวดเร็วโดยที่คุณไม่ทันได้ตั้งตัว นั่นก็หมายความว่า จะต้องมีเทรดเดอร์บางคนที่เปิดออเดอร์ในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับราคาตลาด และต้องเสียเงินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ว่าเราสามารถควบคุมได้ว่าเราจะทำอย่างไรเมื่อเราตกอยู่ในสถานการณ์อย่าง นั้น เราสามารถปิดออเดอร์เพื่อตัดการขาดทุนในตอนนั้นเลย หรือว่าคุณจะนั่งรอคอยความหวังว่าราคามันจะกลับมาในที่ที่คุณต้องการ และถ้ามันไม่กลับมาอย่างที่คุณหวังไว้แล้วคุณปล่อยไปอย่างนั้นเรื่อยๆโดยไม่ มีการตัดสินใจ พอร์ตของคุณก็อาจจะสะอาดได้ (ล้างพอร์ต)
คำพูดที่ว่า  "Live to trade another day!" น่าจะเป็นคำขวัญของเทรดเดอร์มือใหม่ทุกคน เพราะ ยิ่งคุณอยู่รอดได้นานเท่าไหร่ คุณก็สามารถเรียนรู้ได้มากขึ้นเท่านั้น และนั่นก็จะเพิ่มโอกาสที่จะประสบความสำเร็จของคุณด้วย
กลยุทธ์การเทรด อีกอย่างที่สำคัญคือการ  "stop losses" ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญที่เทรดเดอร์ควรจะรู้ไว้เพื่อเป็นอาวุธอย่างหนึ่งใน การเทรด การที่มีการตั้ง SL นี้ นอกจากจะช่วยตัดการขาดทุนของคุณเพื่อให้มีโอกาสในการกู้สถานการณ์แล้ว มันยังช่วยขจัดความวิตกกังวลที่เกิดจากการสูญเสียในการเทรดโดยไม่ต้องวางแผน ด้วย และความเครียดที่ลดลงมันก็เป็นผลดีในการเทรดของคุณด้วย
จุด SL ควรจะเป็นจุดที่ "ลบล้างความคิด" ในการเทรดสำหรับออเดอร์นั้นๆของคุณ ดังนั้นเมื่อราคามาถึงจุด SL มันก็น่าจะเป็นสัญญาณว่า "มันถึงเวลาที่ต้องออกจากออเดอร์นี้แล้ว"
การตั้งจะ SL นั้นมี 4 วิธี ที่เราสามารถเลือกใช้ได้ในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน หรือเลือกแล้วแต่ความถนัดของเรา
1. หยุดตามสัดส่วนความเสี่ยงของเงินทุน
2. หยุดตามรูปแบบของกราฟ
3. หยุดตามความผันผวน
4. หยุดตามเวลา


1. หยุดตามสัดส่วนความเสี่ยงของเงินทุน
การ ตั้ง SL แบบนี้เป็นการตั้ง SL แบบพื้นฐานที่สุด โดยใช้การกำหนดความเสี่ยงจากสัดส่วนของเงินทุนที่อยู่ในบัญชี อย่างเช่นว่า เราเต็มใจที่จะเสี่ยงขาดทุนได้ที่ 2% ต่อการเทรดในแต่ละครั้ง แต่ว่าเทรดเดอร์ทุกคนจะยอมรับความเสี่ยได้ไม่เท่ากัน บางคนอาจจะรับความเสี่ยงได้ถึง 10% ในขณะที่บางคนอาจจะยอมเสี่ยงได้เพียงแค่ 1% เท่านั้น
และในการตั้ง SL คุณควรจะตั้งตามสภาวะของตลาด หรือตามกฎของระบบเทรดของคุณ ไม่ใช่ว่าตั้งตามจำนวนเงินที่คุณจะยอมสูญเสียได้
สับสนมั้ยคะ :) งั้นเรามาดูตัวอย่างกัน
นาย แดง มีบัญชีมินิ ที่มีเงินอยู่ $500 และ ขนาด Lot size ที่เขาสามารถเทรดได้คือ 10k ( ในบัญชีมินิ 10k เท่ากับการเทรดที่ จุดละ $1) แดงต้องการที่จะเทรด GBP/USD และเขาเห็นว่าราคาวิ่งอยู่แถวๆแนวต้านที่ระดับ 1.5620 เขาจึงต้องการที่จะเซล และตามกฎการลงทุนของเขาคือ เขาจะไม่เสี่ยงเกิน 2% ของเงินทุนในการเทรดแต่ละครั้ง และสำหรับการเทรดที่ขนาด 10k ของ GBP/USD แต่ละจุดมีค่า $1 และ 2% ของเงินในบัญชีแดงเท่ากับ $10 ดังแดงก็จะตั้ง SL ได้มากที่สุดที่ 10 จุด ดังนั้นแดงจะต้องตั้งจุด SL ของเขาไว้ที่ 1.5630


แต่ ว่า GBP/USD มีการเคลื่อนไหวทีมากกว่า 100 จุดต่อวัน ราคาจึงอาจจะวิ่งมาชนจุด SL ของแดงได้อย่างง่ายดาย เพราะตำแหน่ง SL นั้นจำกัดด้วยการตั้งค่าความเสี่ยงจากเงินในบัญชีของเขา และเขาตัง SL ด้วยโดยยึดตามจำนวนเงินที่เขาสามารถสูญเสียได้ แทนที่จะกำหนดตามเงื่อนไขจากการเคลื่อนไหวของ GBP/USD


และ ในที่สุด ราคาก็วิ่งมาชน SL ของแดง เพราะว่าจุด SL ของเขาที่วางไว้น้อยเกินไป และนอกเหนือจากนั้นคือ เขาเสียโอกาสที่จะเก็บมากกว่า 100 จุดด้วย
จากตัวอย่างนี้คุณได้เห็นถึง อันตรายจากการตั้ง SL จากการใช้สัดส่วนความเสี่ยงของเงินทุน ที่บังคับให้เทรดเดอร์ต้องตั้งจุด SL ในระดับราคาที่ไม่เหมาะสมกับสภาวะของตลาดและอย่างในกรณีนี้ จุด SL ก็อยุ่ใกล้กับจุดเปิดออเดอร์มาก และเป็นการตั้ง SL ที่ไม่ได้ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคร่วมด้วยเลย (เห็นว่าใกล้แนวต้านก็ใส่เลย ไม่ได้วิเคราะห์อย่างอื่นร่วมเลย)
คุณรู้อยู่แล้วว่า คุณควรจะตั้ง SL ในระดับที่ราคาสามารถจะกลับตัวมาในทิศทางที่คุณคาดคิดไว้โดยไม่ชน SL ของคุณ แต่ในกรณีนี้ราคามันวิ่งไปชน SL เข้าแล้ว จึงหมดโอกาสที่จะทำกำไรได้ และ วิธีแก้ปัญหาสำหรับแดงก็คือ หาโบรคเกอร์ที่เหมาะสมกับสไตร์การเทรดและเงินทุนของเขา
ในกรณีของแดง เขาควรแก้ไขโดยการหาโบรคเกอร์ที่เขาสามารถกำหนดขนาดการซื้อขายที่เล็กลง หรือแม้แต่สามารถกำหนดขนาดเองได้ อย่างเช่น สามารถเทรดที่ขนาด 1k ในคู่เงิน GBP/USD ได้ ซึ่งแต่ละจุด จะมีค่าเท่ากับ $0.10 ซึ่งจะทำให้แดงสามารถตั้งจุด SL ได้ตามเงื่อนไขความเสี่ยงของเขาได้อย่างสบายๆ แดงจะสามารถตั้งจุด SL สำหรับการเทรด GBP/USD ได้ถึง 100 จุด ในความเสี่ยงที่ 2% ของเงินในบัญชีของเขา และตอนนี้เขาก็สามารถตั้ง SL ให้เหมาะสมกับสภาวะของตลาด รวมทั้งเป็นไปตามกฎของระบบการซื้อขาย ตามแนวรับแนวต้านแล้ว

2. หยุดตามรูปแบบของกราฟ
วิธี การหาจุด SL อีกวิธหนึ่งที่เหมาะสมมากกว่าวิธีแรกคือ ตั้งตามรูปแบบของกราฟ เป็นการตั้ง SL โดยยึดตามสิ่งที่ที่ตลาดบอกเราด้วยรูปแบบของตัวมันเอง
เรา สามารถสังเกตการเคลื่อนไหวของราคาได้ ในบางครั้งราคาก็ดูเหมือนไม่สามารถที่จะวิ่งทะลุผ่านแนวรับแนวต้านนั้นๆ และก็มีบ่อยครั้งที่ราคาวิ่งผ่านแนวรับแนวต้านไปได้ในที่สุดหลังจากวิ่งไป วิ่งมาอยู่ในกรอบแนวรับแนวต้านนั้นมาระยะหนึ่ง
การตั้งจุด SL ให้เหนือหรือต่ำกว่าระดับแนวรับแนวต้านนั้นก็เป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลในกรณี ที่ราคาไม่ Break ระดับแนวรับแนวต้าน แต่ถ้าราคาสามารถ break กรอบราคานั้น ก็จะทำให้เทรดเดอร์อื่นๆเห่เข้ามาเล่นด้วยเมื่อเห็นการทะลุของราคา (Breakout) และเทรดเดอร์เหล่านั้นอาจจะทำให้ราคาวิ่งไปในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับออเดอร์ ของคุณ(ที่เล่นอยู่ในกรอบราคา) ได้ และอย่างที่คุณทราวว่าเมื่อเวลาพักตัวอยู่ในกรอบราคานั่นหมายถึงการสะสมพลัง ซึ่งเมื่อราคาเกิดการ Breakout แล้วก็มีแนวโน้มมากที่ราคาอาจวิ่งพุ่งเป็นเทรนไปในทิศทางนั้นๆ  ต่อไปเรามาดูตัวอย่างการตั้ง SL อีกอย่างหนึ่งเมื่อเกิดการ Breakout ของราคา
จากตัวอย่างเป็นการตั้ง SL โดยยึดตามแนวรับแนวต้าน


ตาม ภาพตัวอย่างเราเห็นได้ว่าราคามีการซื้อขายกันอยู่เหนือเส้นแนวรับ (สีดำ) และเมื่อราคาวิ่งทะลุผ่านแนวต้านด้านบน (สีแดง) ไปได้คุณก็คิดว่ามันการ Breakout ที่สวยงาม และคุณตัดสินใจที่จะซื้อตามแนวโน้มนั้น แต่ก่อนอื่นคุณต้องตั้งคำถามก่อนว่า ตรงไหนที่คุณจะตั้ง SL ถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คุณคาดคิดไว้ และเงือนไขอะไรที่จะบอกคุณได้ว่า ความคิดของคุณในการเข้าซื้อครั้งนี้ไม่ถูกต้อง


ใน กรณีนี้ การตั้ง SL ที่สมเหตุสมผมมากที่สุดคือ ตั้ง SL ไว้ใต้แนวรับ (สำดำ) และเส้นเทรนไลน์ (สีแดง) และถ้าราคาวิ่งผ่านเส้นเทรนไลน์นี้ลงมาได้ ก็หมายความว่า มีแรงซื้อไม่พอและตอนนี้ผู้ขายเป็นฝ่ายควบคุมตลาด ดังนั้นความคิดของคุณในการเปิดออเดอร์ซื้อในครั้งนี้จึงเป็นความผิดพลาด และถึงเวลาที่คุณควรจะออกจากออเดอร์ของคุณและยอมรับการสูญเสีย คุณจะเห็นราคาวิ่งในลักษณะนี้ได้บ่อยมากในคู่เงิน EUR/USD

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/stop-loss-()/?/

การป้องกันความเสี่ยง

ก่อนที่จะลงลึกไปในรายละเอียดกว่านี้ เราบอกคุณได้อย่างไม่ปิดบังเรื่องที่ต้องคิดก่อนที่จะเทรด คือ:

1. นักเทรดทุกคน หมายถึง ทุกคนจริงๆ จะเสียเงินในการเทรด
90 เปอร์เซ็นของเทรดเดอร์ จะเสียเงิน เนื่องจากขาดการวางแผน การฝึก และไม่มีความรู้ ความเข้าใจ เรื่องการ จัดการ การเงิน ถ้าคุณไม่อยากเสียเงิน คุณจะต้องเผชิญกับความยากลำบากในการเทรด หรือการปรับตัว ในการ เทรด

2. การเทรดฟอร์เร็กซ์ ไม่เหมาะสำหรับคนที่ไม่ทำงาน ไม่เหมาะสำหรับคนที่มีรายได้น้อย และไม่สามารถ
ดูแลตัวเอง จ่ายค่าน้ำค่าไฟ ค่ากับข้าวให้ตัวเองได้
คุณ ควรจะมีเงินในการเทรด ในบัญชี mini เป็นอย่างน้อย นั่นหมายความว่าเป็นเงินที่คุณ สามารถเสียไปได้ ไม่ใช่ยืม คนอื่นมาเล่น อย่าคิดว่าจะสามารถเริ่มเทรดด้วยเงินเพียงไม่กี่ร้อยเหรียญแล้วจะกลายเป็น มหาเศรษฐี ในชั่วข้ามคืน

ตลาดฟอร์เร็กซ์เป็นตลาดที่ได้รับความนิยม มาก สำหรับนักเก็งกำไร เนื่องจากตลาดที่มีความคล่องตัวสูง ของการ เคลื่อนไหว ของทิศทางค่าเงิน เมื่อเกิดเทรนด์ขึ้น นักเทรดทั่วโลกส่วนใหญ่จะ เสียเงิน ขณะที่คนที่ประสบ ความ สำเร็จ กับฟอร์เร็กซ์ มีเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ของจำนวนเทรดเดอร์ ทั้งหมด

เทรดเดอร์ส่วน ใหญ่เข้ามาในตลาด พร้อมกับ ความหวังว่า พวกเขาจะทำเงินได้เป็นล้านเหรียญ แต่ว่าในความจริง พวกเขา ต้องมีวินัยในการเทรด ผู้คนส่วนมากจะขาดวินัยอยู่แล้วแม้กระทั่ง แค่พยายามจะลดน้ำหนัก ด้วยการ ไปที่ยิมสามครั้ง ต่อสัปดาห์ยังทำได้ยาก ถ้าแค่นั้นคุณยังทำ ไม่ได้คุณจะเทรดแล้วประสบความสำเร็จได้ยังไง การเล่นระยะสั้นนั้น ไม่เหมาะกับมือสมัครเล่น และมันเป็นหนทางที่เต็มไปด้วยขวากหนามในการ ทำให้ตัวเอง รวยขึ้น คุณไม่สามรถทำกำไร ได้มหาศาลโดยไม่เสี่ยงเลยได้หรอก กลยุทธ์การเทรดที่เสี่ยงสูง ย่อมหมายถึง โอกาสที่คุณ จะขาดทุนสูงเข้าไปด้วย เทรดเดอร์ที่ทำอย่างนั้น เรียกได้ว่าไม่มีแม้กระทั่งกลยุทธในการเทรด แม้ว่าคุณจะเรียกมันว่ากลยุทธการพนันก็ตาม


ฟอร์เร็กซ์ ไม่ใช่หนทางไปสู่ความร่ำรวยมั่งคั่ง !
- การเทรดฟอร์เร็กซ์เป็นทักษะ และต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ นักเทรดที่มีทักษะที่ดี สามารถทำเงินได้ จากการเทรด อย่างไรก็ตามก็เหมือนอาชีพอื่น ๆ ความสำเร็จไม่ได้มา เพียงชั่วข้ามคืน การเทรดฟอร์เร็กซ์ ไม่ใช่เรื่องกล้วย ๆ (เหมือนที่คนบางคนเชื่อ) ลองคิดดูว่า ถ้าทุกคนที่เทรดจะ ได้เป็นเศรษฐีกันหมด ทำไม ระดับมืออาชีพที่เทรดมาหลายปีก็ยังต้องขาดทุนอยู่บ้าง

- ท่องไว้ในหัวของคุณเสมอ : ไม่มีทางลัดในการเทรดฟอร์เร็กซ์ มันใช้เวลานาน และนาน และนาน ยิ่งกว่า อย่างอื่น ในการที่เราจะกลายเป็นมืออาชีพ ไม่มีตัวสำรองให้เปลี่ยน เมื่อเรารู้สึกเหนื่อย และคิดว่างานนั้นยาก ในการฝึกเทรดเดโม และการเล่นเงินปลอม แล้วคิดว่าเป็นเงินจริง

อย่าพึ่งเปิดบัญชีเงินจริง จนกว่าคุณจะเทรดแล้วได้กำไรในบัญชีเดโม

ถ้า คุณไม่สามารถรอให้คุณทำกำไรในบัญชีเดโมได้ อย่างน้อยคุณก็ต้องลองเทรดเดโมซักสองเดือน อย่างน้อย คุณก็จะไม่เสียเงินจริง ไปอย่างน้อยสองเดือน ถ้าแค่สอง เดือนคุณยังเทรดเดโมไม่ได้กกำไร ก็เลิกเล่นซะ

- จำไว้ว่า เล่นคู่หลัก ๆ ซักคู่หนึ่ง มันยากที่จะเทรดด้วยการเทรดหลายค่าเงิน เมื่อตอนที่คุณกำลังหัดเล่น เล่นแค่คู่หลัก ๆ คู่เดียวพอ เพราะค่า spread ก็จะถูกด้วย



คุณอาจจะเป็นผู้ชนะในการเทรดฟอร์เร็กซ์
แต่ว่า.. ในชีวิตของคุณ คุณต้องศึกษามันอย่างหนัก
ทำการบ้าน ทุ่มเท และต้องใช้โชคช่วยนิดหน่อย
ต้องใช้สามัญสำนึก และ การตัดสินใจที่ดี เป็นอย่างมาก
 
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/t637/?/

การวิเคราะห์ข่าว

การมองภาพกว้าง ภาพรวมของตลาดก่อนเทรด เพื่อวิเคราะห์ ทิศทางตลาด รวมไปถึงการกำหนดกลยุทธ์การเทรด กรณีที่เกิด event ต่างๆ  ระดับความสำคัญของตัวเลขเหล่านี้ จะนิยมเล่นเก็งกำไร ก่อนตัวเลขจะประกาศ บางสายเรียกว่า Event Trade ครับ มันจะสอดคล้องกับ เทรนด์ราคา ของค่าเงิน หรือดัชนีต่างประเทศ บ่งบอกคุณภาพของแนวโน้ม และการอยู่ตัวของแนวโน้ม ได้อีกด้วย

โดยผมขอแบ่งออกเป็นหัวข้อหลักๆดังต่อไปนี้

การแถลงตัวเลขเศรษฐกิจ
-PMI (กำลังการผลิตภาคอุตสาหกรรม, การขยายตัวของเศรษฐกิจ)
- GDP
- Non farm Payrolls  (เกี่ยวกับอัตราว่างงาน)
- Unemployment Rate (เกี่ยวกับอัตราว่างงาน)
- Retail sales Indicator(อสังหาริมทรัพย์)
- Housing stats(อสังหาริมทรัพย์)
- CPI ( Consumer Price index )
- อัตราเงินเฟ้อ

โดยตัวเลขต่างดูได้จาก www.investing.com


ปฏิทินเศรษฐกิจ
Event ต่างๆเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจในรอบสัปดาห์ พวกการประชุมของผู้นำชาติ ผู้นำธนาคารกลาง
www. forexfactory.com


ข่าว
-Reuters, The Wall Street Journal, Bloomberg, MarketWatch.com


Market Sentimental
อารมณ์ตลาด โลภ กลัว หมี กระทิง ดูกราฟ timeframe Day แล้วเทียบกับแนวโน้มใหญ่ EMA20 วัน , ดูกราฟ VIX
http://www.bloomberg.com/quote/VIX:IND

Fundflow
ปกติดูการไหลของเงินจากตลาดหนึ่งไปตลาดหนึ่ง เช่น ทองคำ ไปค่าเงินดอลลาร์ หรือไป ตลาดหุ้น เป็นตัว

ตัวอย่าง จากภาพ แสดง ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลก รอบสัปดาห์ หรือรอบวัน ก็สามารถกำหนดได้ พบว่าเงินไหล ไปภูมิภาคไหน ตลาดประเทศไหนมีการเปลี่ยนแปลง หรือมีการแกว่งของกระแสเงินมากน้อย


อีก ภาพ เป็นการเปลี่ยนแปลงของค่าเงิน เราเลือกสกุลได้ ในภาพผมวิเคราะห์ USD เป็นหลัก จากภาพ จะเห็นรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา Thai bath แข็ง +0.12 ขณะที่ EUR -2.02 % การมองภาพใหญ่ออก จะทำให้เราวางกลยุทธ์การเล่นได้ชัดมากขึ้นครับ

 
 
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/t618/?/

หลักนิยม Forex

หลักนิยม Forex (บทความเก่าแรกๆที่หายไปครับ)
------------------------------------------------------------------

การเทรดโฟเร็กจะขาดทุนก็ต่อเมื่อกดขายทั้งยังติดลบ

ต้องรู้ว่าโฟเร็กคืออะไรและต้องเข้าใจถึกำไรที่ได้มาจากอะไร

นักลงทุนที่ดีต้องไม่รีบร้อนและเอา แต่คิดจะได้

ถ้าการตามทุนที่เสียไปทำให้คุณขาดทุน นักเทรดกต้องรู้ว่าวันนี้หลงทาง

ปรับวิธีคิดใหม่เสียโฟเร็กไม่ใช่การพนัน

ถ้าคุณยังไม่รู้ว่าข่าวสำคัญอย่างไรนักลงทุนควรไปหัดเรียนภาษาสากล

ผู้เชี่ยวชาญการลงทุนกับ โฟเร็ก ต้องสร้างความมั่นใจให้กับตนเองก่อนเป็นอันดับแรก นั่นคือความรู้ ไม่ใช่ความกล้า

บางครั้งเราต้องใช้ความกล้าเพื่อที่จะตัดสินใจ และต้องยอมรับผลแห่งความล้มเหลวและชัยชนะไปด้วยเช่นกัน

ถ้าทุนยังไม่พร้อม เปรียบเสมือนคุณไร้โล่ที่ดี ถ้าไม่มีความรู้ก็เปรียบเสมือนคุณคือนักรบที่ไร้อาวุธที่ดี

กลยุธการเทรดไม่มีหลักการตายตัวคุณต้องพร้อมที่จะยืดหยุ่นอิสระ

อย่าเอากฎเกณมาผูกมัดการตัดสินใจของคุณและอย่าตัดสินใจโดยไร้กฎเกณ

นัก เทรดที่ดีต้องหมั่นเสพข่าวเสมอ ไม่ใช่ทุกชั่วโมง ทุกนาที แต่ต้องตลอดเวลาถ้าคุณยังหวังจะทำกำไร และสร้างความกระตือรือร้นให้กับตนเองเสมอ

อะไรคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของราคา ถ้าคุณไม่รู้ว่ามันคืออะไร คุณไม่มีคุณสมบัติพอที่จะลงทุน

อย่า มองกราฟให้เป็นกราฟ ให้มองกราฟเป็นความรู้สึกนักลงทุนทั่วโลก นักเทรดส่วนใหญ่มักจะคิดไม่ต่างกันกับคุณหรอก เพียงแค่คิดตามๆกันล้มกันเป็นโดมิโนไป จุดใดหัวใจคุณบอกให้ขายทำกำไรได้แล้ว เชื่อเถอะ มีอีกหลายล้านคนที่คิดเหมือนคุณและพร้อมจะทำให้กราฟเกิดการเปลี่ยนแปลงถ้า มันมากพอ

ความโลภเป็นจุดกำเนิดของความทะเยอทะยาน และความโลภก็เป็นจุดเกิดของความพินาศทางการเงินเช่นกัน

จะ มากน้อยเงินคือหัวใจหลักอันดับแรกที่คุณต้องมีพอก่อนการลงทุนและต้องคิดถึง ความผิดพลาดทางการเงินในการลงทุนในอนาคตว่ามันจะไม่ทำให้ชีวิตคุณเดือดร้อน

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/forex-540/?/

การทำ Hedging สำหรับผู้เริ่มต้น


Hedging strategy
hedging strategy หรือ กลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยง เป็นกลยุทธ์การเทรดเพื่อป้องกันความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน โดยที่จะเปิดออเดอร์ทั้งสองทาง ( Buy-Sell) ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเทรด EUR/USD คุณเปิดทั้งออเดอร์ Buy และ Sell ไว้อย่างละ 1 ออเดอร์ ออเดอร์ละ 1 lot ดังนั้น ไม่ว่าราคาจะวิ่งไปในทิศทางใด คุณก็จะไม่มีทางได้หรือเสีย ยอดรวมบัญชีของคุณจะความสมดุล หรืออาจกล่าวได้ว่า ความเสี่ยงในการเทรดของคุณเป็น 0
แล้วกลยุทธ์แบบนี้มันน่าสนใจตรงไหนล่ะ ?
ที่ น่าสนใจก็ตรงที่ กลยุทธ์การป้องกันความเสี่ยง หรือ Hedging นี้ถูกนำมาใช้เพื่อปกป้องผลกำไร และใช้ประโยชน์ได้เมื่อเวลาที่ราคามีการปรับตัว


การป้องกันเงินทุน

ถ้า ออเดอร์ที่คุณเปิดมีการป้องกันความเสี่ยง ก็เท่ากับว่าคุณไม่ได้เสี่ยงอะไรเลย แม้ว่าจะมีความผันผวนเกิดขึ้นกับคู่เงินที่คุณเทรด แต่ยอดเงินทุนของคุณก็จะไม่เปลี่ยนไปเลย การป้องกันความเสี่ยงจะถูกนำมาใช้เมื่อมีการเปิดออเดอร์ไปแล้วแล้วเกิดไม่ มั่นใจในทิศทางของราคาในอนาคตขึ้นมา ก็จะใช้การ Hedging เพื่อเป็นการป้องกันผลกำไรที่มีอยู่จากออเดอร์ที่เปิดไว้แล้ว


ตัวอย่างที่ 1

คุณ เปิดออเดอรN Buy ที่ตำแหน่ง 1.3950 หลังจากนั้นราคาได้ขึ้นไปและปิดที่ 1.4000 แต่คุณไม่แน่ใจว่า ราคาจะผ่านแนวต้านที่ระดับนี้ไปได้หรือไม่ (แนวต้านที่ 1.4000)  ดังนั้นคุณจึงป้องกันความเสี่ยง (Hedge) โดยการ Sell เพื่อให้คุณได้รอดูว่าราคาจะผ่านแนวต้านนี้โดยที่ออเดอร์ของคุณยังปลอดภัย นอกจากนี้แล้วยังเป็นการป้องกันผลกำไรของคุณที่มีอยู่ก่อนหน้าในตำแหน่ง Buy ด้วย
สถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้

ถ้าราคาวิ่งผ่านแนวต้านที่ 1.4000 ก็เท่ากับว่าได้เสียกำไรที่ควรจะได้จากการเปิดเออเดอร์ Buy ครั้งแรก เพราะตั้งแต่จุดที่ทำการ Hedge ด้วย ออเดอร์ Sell เราจะไม่ได้กำไรเพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ตอนนี้คุณได้รับข้อมูลเพิ่มขึ้น นั่นก็คือ ราคาได้ทุผ่าน 1.4000 ขึ้นมาได้แล้ว ทีนี้เราก็สามารถกำหนดวัตถุประสงค์ใหม่ในการเทรดสำหรับออเดอร์แรกที่ Buy ไว้ได้แล้ว ซึ่งคุณอาจจะปิดออเดอร์ที่คุณ Sell ไว้ แล้วปล่อยให้ออเดอร์ Buy ครั้งแรกของคุณทำกำไรต่อไป หรือแม้แต่เลือกที่จะเปิดออเดอร์ Buy เพิ่มนั่นก็แล้วแต่คุณ
อีกกรณีหนึ่งก็คือ ถ้าราคาไม่ทะลุผ่านแนวต้านที่ 1.4000 ขึ้นไป แต่ราคากลับลงไปที่ 1.3950 แต่คุณยังเชื่อว่าราคาจะต้องกลับชึ้นไปในทิศทางเดิม ก็สามารถที่จะปิดออเดอร์ที่ Short ลงมาจาก 1.4000 แล้วเก็บกำไรตรงส่วนนี้เอาไว้ก่อน และยังเก็บออเดอร์ Buy ของคุณเอาไว้ ผลกำไรที่คุณได้จากตรงนี้ก็เท่ากับว่าเป็นกำไรจากการ Buy ครั้งแรกไปจนถึงตำแหน่ง 1.4000 นั่นเอง เท่ากับว่าคุณได้ปกป้องกำไรในส่วนนั้นไว้ และตอนนี้คุณก็จะต้องเผชิญหน้ากับความผันผวนจากความเสี่ยงในออเดอร์ Buy ของคุณอีกครั้งหนึ่ง

ตัวอย่างที่ 2
คุณ Buy EUR/USD ตั้งแต่ 1.3950 และราคาในปัจจุบันคือ 1.4000 แต่กำลังจะมีการประกาศข่าวที่สำคัญของค่าเงิน USD และคุณคาดว่าจะมีความผันผวนที่อาจทำให้ราคาวิ่งไปชนจุด Stop Loss ของคุณได้ คุณจึงจะหาทางที่จะปกป้องผลกำไรของคุณโดยการ Hedge เพื่อป้องกันความเสี่ยงของออเดอร์ของคุณ ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถเอา Stop Loss ของคุณออกได้ชั่วคราวในช่วงที่มีความเสี่ยงจากภาวะราคาผัวผวนมากๆจากข่าว และที่นี้คุณก็สามารถืออเดอร์รอดูข่าวได้อย่างไม่ต้องมีความเสี่ยงใดๆ ถ้าข่าวที่ออกมาส่งผลดีกับออเดอร์แรกของคุณ (Buy) คุณก็สามารถปิดออเดอร์ Hedge (Sell) ของคุณได้เพื่อให้ ออเดอร์ Buy ของคุณวิ่งทำกำไรต่อไปในแนวโน้มขาขึ้น

ประโยชน์จากการ Hedge เมื่อราคาปรับตัว
คุณ สามารถใช้ประโยชน์จากการ Hedging ออเดอร์ของคุณ เมื่อราคามีการปรับตัวในราคาวิ่งไปตามแนวโน้ม ซึ่งจะทำให้ผลกำไรของคุณเพิ่มเป็น 2 เท่า คือ คุณจะได้กำไรจากทั้งการ Buy และ Sell และในการใช้กลยุทธ์นี้ในการเทรด คุณควรจะต้องรู้ก่อนว่าจุดกลับตัว หรือจุด Retracement นั้นอยู่ตรงไหน เพื่อที่จะเข้าออเดอร์ได้ถูกต้องแม่นยำมากขึ้น

ตัวอย่าง
คุณ คาดว่า EUR/USD จะวิ่งในทิศทางขาขึ้น คุณจึงเปิด Buy ที่ 1.3950 และเป้าหมาย Take profit ของคุณอยู่ที่ 1.4100 ราคาปัจจุบันอยู่ที่ 1.4000 และคุณคาดว่าราคาจะลงมาพักตัวที่ระดับ 1.3980 ดังนั้นคุณจึง Hedge ด้วยการ Sell ที่ 1.4000 และคุณ และเมื่อราคาลงมาถึงระดับ 1.3980 คุณก็ปิดออเดอร์ Sell ของคุณ คุณก็จะได้กำไรในส่วนนี้ไปก่อน แต่คุณยังเก็บออเดอร์ Buy ในครั้งแรกของคุณไว้และหวังว่าราคาจะวิ่งไปถึงเป้าหมายของคุณ (1.4100) แต่อย่างไรก็ตาม ที่แน่ๆคุณได้กำไรจากการ Hedge ออเดอร์ Sell ของคุณ กว่า 20 จุดไปเรียบร้อยแล้ว
อันที่จริงในกรณีนี้ แม้ว่าคุณจะไม่ได้เปิดออเดอร์ Hedge แต่ในการเปิดออเดอร์แรกของคุณก็ทำกำไรได้ 30 จุด อยู่แล้ว ( 1.3980-1.3950 = 30 จากการเปิด Buy ในครั้งแรก)
และเมื่อมีการ Hedge กำไรของคุณจะกลายเป็น 50 จุด (1.3980-1.3950 = 30 จากการเปิด Buy ในครั้งแรก และ 1.4000 -1.3980 = 20 ในการเปิด Sell เพื่อ Hedge)
สรุปก็ คือ ถ้ามีการปรับตัวของราคาเกิดขึ้น คุณก็สามารถใช้กลยุทธ์นี้เพื่อทำกำไรได้ แต่ถ้าราคาไม่มีการปรับตัว คุณก็อาจจะสูญเสียกำไรส่วนหนึ่งที่คุณควรจะได้รับไป
ตั้งข้อสังเกตว่า บางโบรคเกอร์ไม่อนุญาตให้คุณให้กลยุทธ์การ Hedging ดังนั้น คุณควรสอบถามกับทาง Broker ก่อนว่าเค้าอนุญาตรึเปล่า

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/hedging/?/

วงจร ชีวิตเม่า

 

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/t554/?/

11 สิ่งที่โรงเรียนไม่ได้สอนคุณ 11 Things You Don’t Get to Learn in School

11 Things You Don’t Get to Learn in School หรือ 11 สิ่งที่โรงเรียนไม่ได้สอนคุณ ซึ่งเป็นกฎที่ บิล เกตส์ เคยพูดเอาไว้ เมื่อมีคนถามว่า ทำอย่างไรเขาถึงได้ประสบความสำเร็จ และรวยมหาศาลเช่นทุกวันนี้ ที่สำคัญสิ่งเหล่านี้หาไม่เจอในโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษาที่เราตั้งหน้า ตั้งตาเรียนกันมากว่า 10 ปี

กฎข้อที่ 1 ชีวิตนี้ไม่ยุติธรรมนักหรอก ทำความเคยชินกับมันซะเถอะ

กฎข้อที่ 2 โลกไม่สนใจหรอกว่า คุณจะมั่นใจในตัวเองแค่ไหน แต่โลกนี้คาดหวัง ‘ความสำเร็จ’ ที่เกิดจากความมั่นใจของคุณต่างหาก

กฎข้อที่ 3 ไม่มีทางที่คุณจะทำเงินได้ปีละ 60,000 เหรียญ (เกือบ 2 ล้าน) ทันทีที่เพิ่งจบมัธยม และ
ก็อย่าหวังเลยว่าจะได้เป็นประธานบริษัทที่มีรถประจำตำแหน่งพร้อมโทรศัพท์ในรถส่วนตัวด้วย

กฎข้อที่ 4 ถ้าคุณคิดว่า อาจารย์กำลังสอนบทเรียนอันน่าเบื่อ ลองไปทำงาน แล้วเจอกับเจ้านายสิ

กฎข้อที่ 5 การคิดคำแสลงใหม่ ๆ ไม่ใช่เรื่องผิด เพราะปู่ย่าตายายของคุณก็เคยทำมาก่อน

กฎ ข้อที่ 6 ชีวิตที่ยุ่งเหยิงของคุณ ไม่ใช่ความผิดของพ่อแม่ เลิกคร่ำครวญเกี่ยวกับสิ่งที่พลาดไปแล้ว แต่จงเรียนรู้จากสิ่งที่ผิดพลาดแทน

กฎ ข้อที่ 7 ก่อน ที่คุณจะเกิด พ่อแม่ไม่ได้น่าเบื่อเหมือนที่คุณรู้สึกตอนนี้ พวกเขาต้องทำงานอย่างหนัก มาจ่ายบิลต่าง ๆ ต้องซักเสื้อผ้าให้กับคุณ พวกเขาต้องอดทนฟังคุณคุยอวดในเรื่องไม่เข้าท่า ดังนั้น ถ้าคุณคิดจะทำเรื่องใหญ่ ๆ อะไรก็ตาม เช่น ช่วยอนุรักษ์ป่าฝนรุ่นบรรพบุรุาจากการถูกปรสิต
ทำลาย จะดีซะกว่าถ้าคุณช่วยกำจัดเห็บเหาที่มันแพร่พันธุ์ในตู้เสื้อผ้ารก ๆ ของคุณซะก่อน

กฎข้อที่ 8 ชีวิตในโรงเรียนอาจตัดสินคุณว่าเป็นผู้ชนะหรือแพ้ แต่ชีวิตจริง ‘ไม่ใช่’ บาง โรงเรียนสอนการเป็นผู้แพ้ด้วยซ้ำไป
แถมยังให้โอกาศคุณมากมายในการทำสิ่งที่ถูกต้อง พูดง่าย ๆ ก็คือ ชีวิตในโรงเรียน ไม่เหมือนชีวิตจริงหรอก

กฎข้อที่ 9 ชีวิตไม่ได้แบ่งเป็นเทอม ๆ ไม่มีช่วงซัมเมอร์ให้คุณไปค้นหาตัวตน

กฎข้อที่ 10 สิ่ง ที่เกิดขึ้นในโทรทัศน์ ไม่ใช่ชีวิตจริง เพราะในชีวิตจริง
ผู้คนต้องรีบเช็คบิลจากร้านกาแฟ และตรงดิ่งไปทำงาน (เราจะเห็นว่าในละครส่วนใหญ่ คนมักออกจากที่ทำงานมาคุยกันที่ร้านกาแฟ)

กฎข้อ 11 เป็นมิตรกับความ ‘เนิร์ด’ แล้ว ชีวิตคุณจะไม่ต้องเป็นลูกจ้างใครอีกต่อไป

เคล็ดลับสำคัญวิธีการเรียนรู้ Forex Trading

ให้การศึกษาหลายคนที่ตัดสินใจที่จะป้อน forex trading ควรแก่ตัวเองครั้งแรก. จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องรู้พื้นฐานของการเทรดเข้าสำเร็จแม้, แต่นี่ไม่มีการรับรอง, โดยการยิงยาวไม่, คุณต้องการทราบเพิ่มเติมจากพื้นฐานถึงแม้แต่มีโอกาส fighting ของ succeeding. มีวิธีต่าง ๆ ในการเรียนรู้ forex trading. คุณสามารถเข้าร่วมบริการออนไลน์, การลงทะเบียนในการเทรดโรงเรียน, กลายเป็น การ apprentice ของวาณิชเป็น forex, หรือทำคนเดียว. อย่างไรก็ตาม, ทำคนเดียวเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงมากมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้เริ่ม ต้น.

สำหรับ traders ไม่มีประสบการณ์, ดีมากควรเลือกวิธีปลอดภัยกว่าเรียน forex trading. คุณจะได้รับประโยชน์จากผู้สอนมีประสบการณ์ที่กำลังทำการค้าแล้ว forex ในเวลาจริง. ในลักษณะนี้, คุณจะได้รู้จักมักจี่เงื่อนไขที่ตลาดจริง. คุณจะได้รับโอกาสเพื่อดูกระบวนการที่แท้จริงและการตัดสินใจซึ่งคุณสามารถ adopt ในภายหลัง. อย่างไรก็ตาม, มันเป็นกลยุทธ์ของคุณเองที่จะชนะคุณขึ้น.

มีขั้นตอนง่าย ๆ ที่หกที่ traders ไม่มีประสบการณ์สามารถปฏิบัติตามเพื่อให้บรรลุความสำเร็จในตลาด forex.
1. ทัศนคติด้านขวา. Traders ที่ประสบความสำเร็จในการซื้อขาย forex จะใช้ทัศนคติของการทำสิ่งที่จะใช้เพื่อให้บรรลุความสำเร็จ. Stresses นี้ประสบความสำเร็จนั้นอยู่ในบุคคลที่กำลังทำการค้า forex เอง. ไม่ใช่สิ่งสำคัญถ้าคุณอ่าน forex ค้าเคล็ดลับแผ่น หรือฟังเทรดกูรู. จะกลายเป็นไม่ถูกต้องถ้าคุณไม่มีท่าทีที่เหมาะสมสำหรับความสำเร็จ.

คุณ สามารถทำการทดลองด้วยตนเองสำหรับสองสัปดาห์ร่วมกับ traders อื่น ๆ ไม่มีประสบการณ์. พวกเขามักจะเรียกว่าเป็น turtles. เรียนรู้การซื้อขาย forex คือหลีกเลี่ยงกับดักของเชื่อว่า คุณจริง ๆ สามารถเข้าประสบความสำเร็จ โดยต่อบุคคลอื่น. เพิ่งได้รับความรู้ด้านขวา และพัฒนากลยุทธ์ของคุณเอง.

2. วิธีการด้านขวา. มันควรเกี่ยวข้องกับแนวโน้มระยะยาว. โปรดจำไว้ว่าแนวโน้มในสกุลใหญ่กินเวลาเดือน หรือแม้แต่ สำหรับปี. เป็นความรับผิดชอบของคุณเพื่อล็อกตัวเองเข้าไปในแนวโน้มเหล่านี้เพื่อทำให้ กำไรขนาดใหญ่. ดีที่สุดแนะนำให้ใช้วิธีการหยุดการจับแนวโน้มระยะยาว. วิธีการนี้ได้พิสูจน์ ด้วยการนำระบบซื้อขาย. ซอฟต์แวร์ดียังได้แนะนำให้ใช้. ซึ่งช่วยให้คนขายเพื่อทดสอบวิธีการค้าที่ถูกเลือก และในภายหลังค้าในเวลาจริง.

คุณจำเป็นต้องรู้ว่าการสร้างแผนภูมิที่ เหมาะสมและการแมป. มีพร้อมใช้งานซอฟต์แวร์ที่จะช่วยคุณเกี่ยวกับการย้ายตลาดอยู่แล้ว. มันจะช่วยให้คุณคำนวณเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการขาย หรือการซื้อเมื่อคุณได้อ่านแผนภูมิการตลาด forex.

3. วินัยด้านขวา. Traders ที่ควรวินัยตัวเอง โดยเคร่งครัดต่อในวิธีของพวกเขาพัฒนาแล้วแม้ว่าการสูญหายของรอบระยะเวลา strikes. มันไม่สามารถสอนได้เทคนิคใหม่ ๆ เกี่ยวกับวิธีการเอาตัวรอดในตลาด forex แม้เมื่อ downfalls ตี.

4. ความรู้ด้านขวา. Traders ที่สามารถเรียนรู้วิธีการเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว, อย่างไรก็ตาม, พวกเขาควรเอาชนะจิตนี่เกี่ยวข้องกับการซื้อขาย forex. ขอแนะนำให้อ่านหนังสือ motivational ที่มุ่งเน้นเรื่องนี้ส่วนใหญ่.

5. มีความเสี่ยง. ข้อผิดพลาดทั่วไปที่ดำเนินการ โดยส่วนใหญ่ forex traders พยายามที่จะจำกัดความเสี่ยง. ในสุด พวกเขาอาจประสบการขาดทุนอย่างมากเนื่องจากพวกเขาที่ถูกบล็อกออกในตลาด forex. ทิศทางของเจ้าคือขวาอย่างไรก็ตาม ทางการค้าไม่มีพื้นที่เพียงพอสำหรับ downsides. จำไว้เสมอว่า ใน forex ค้าความเสี่ยง lays เงินรางวัล. ไม่มีความแตกต่างระหว่างรีบในการรับความเสี่ยงซึ่งจะถูกคำนวณเรียบร้อยแล้ว. อนุญาตเฉพาะให้คุณรอโอกาสด้านขวา.

6. ค้าขายในการแยก. คนขายของที่ควรเรียนรู้นี้จะทำให้การโฟกัส. จำไว้ว่า ถ้าคุณจะเปิดไปยังมุมมองและความคิดเห็นของผู้อื่น, มันอาจสนับสนุนให้คุณถ้าคุณพบว่าแตกต่างกันมาก. ความหมายไม่จำเป็นว่า คุณได้ทำตามความคิดเห็นที่ตกลงกัน โดยมาก traders, เนื่องจากมัก, traders หลายรับขาดทุน.

Forex ตลาดถือเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก. เป็นปฏิบัติยี่สิบสี่ชั่วโมงต่อวัน, อาทิตย์ละ 5 วัน. กระบวนการของจะถูกดำเนินในเวลาจริงโดยไม่มีขอบเขต. ความสำเร็จของคนขายยังขึ้นกับการทำการตัดสินใจด้านขวา. เรียนรู้การซื้อขาย forex มีไม่มีอุปสรรคและจุดดังนั้นคุณจำเป็นต้องมีความเข้าใจดีขึ้นก่อน plunging ลงในธุรกิจ. แม้ว่าบางคนแนะนำที่เรียน forex ในขณะที่การค้าเป็นดีที่สุด, แต่เป็นการตัดสินใจเลือกวิธีการที่ดีที่สุดในการเรียนรู้ที่จะเหมาะสมกับ ความต้องการของคุณ.

 ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/forex-trading-594/?/

เส้นค่าเฉลี่ย หรือ Moving Average

นับเป็นเครื่องมือสำคัญ เครื่องมือหนึ่งในการวิเคราะห์ทางเทคนิค โดยมีส่วนช่วยในการมองเห็นถึงแนวโน้มการเคลื่อนที่ของราคาหุ้น รวมถึงจุดที่เปลี่ยนแนวโน้ม เพื่อเป็นสัญญาณซื้อขาย รวมถึงแนวรับแนวต้าน ของราคาหุ้นในช่วงเวลาต่างๆ

ซึ่งกลยุทธ์การลงทุนนั้น จะกำหนดเส้นค่าเฉลี่ย ในจำนวนวันที่แตกต่าง กัน ขึ้นอยู่กับ ระยะเวลาการลงทุนของแต่ละบุคคล หรือรอบการเคลื่อนที่ของหุ้นตัวนั้น ว่าการกำหนดด้วยเส้นค่าเฉลี่ยเท่าใด ที่น่าจะได้ผลตอบแทนสูงที่สุด

โดยเส้นค่าเฉลี่ยที่ใช้กันทั่วไปมีตั้งแต่
5     วัน   (1 สัปดาห์)  ใช้สำหรับการลงทุนระยะสั้น
10   วัน  (2 สัปดาห์)   ใช้สำหรับการลงทุนระยะสั้น
25   วัน  (ประมาณ1 เดือน) ใช้สำหรับการลงทุนระยะค่อนข้างปานกลาง
75   วัน  (ประมาณ1 ไตรมาส) ใช้สำหรับการลงทุนระยะกลาง
200 วัน  (ประเมาณ 1 ปี)  ใช้สำหรับการลงทุนระยะยาว

ซึ่ง จำนวนวันเหล่านี้จะเป็นตัวบอกถึงราคาต้นทุนเฉลี่ยของคนที่ถือหุ้นมาแล้วใน ช่วงระยะเวลา แตกต่างกันเช่น ปัจจุบันราคาหุ้นยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 25วัน ดังนั้นจึงบอกได้ว่า มีคนที่ถือหุ้นในช่วง 25วันที่ผ่านมา หรือนักลงทุนระยะกลางที่ยอมถือหุ้นนานกว่า 1 เดือน มีต้นทุนต่ำกว่า ราคาปัจจุบัน  ซึ่งนักลงทุนเหล่านี้ ยังมองว่าหุ้นเป็นแนวโน้มขาขึ้นตราบที่ราคาหุ้นยังยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 25วัน

ดังนั้นการหาสัญญาณ ซื้อหรือขายหุ้นจากเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่


สัญญาณซื้อ คือ
- เมื่อราคาเคลื่อนขึ้น และทะลุผ่านเส้นค่าเฉลี่ยตามช่วงระยะเวลาต่างๆ เช่น  5วัน, 10 วัน
- เส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้น ตัดขึ้นเหนือเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาว  เรียกว่า (Golden cross)

สัญญาณขายคือ
- เมื่อราคาเคลื่อนลงและทะลุผ่านเส้นค่าเฉลี่ยตามฤฤฉช่วงระยะเวลาต่างๆ เช่น  5วัน, 10 วัน
- เส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้น ตัดลงต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาว เรียกว่า (Dead cross)


ดัง ในภาพจะเห็นว่า ดัชนี SET index ปรับตัวเหนือเส้นค่าเฉลี่ย  5 วัน (สีเขียว) 10วัน(สีแดง) และ 25วันสีฟ้า นับแต่ต้นเดือนเมษายน หรือ (4/2 จากตารางกราฟ) ซึ่งจะเห็นว่าเกิดแรงขายจากนักลงทุนระยะสั้น บางครั้งเมื่อหุ้นต่ำกว่า เส้นค่าเฉลี่ย 5วัน แต่เมื่อราคาถึงเส้นค่าเฉลี่ย 10วัน หุ้นจะสามารถเด้ง กลับได้หาก นักลงทุนระยะ 10วันยังมองว่า หุ้นยังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นอยู่ ดังนั้นเมื่อถึงระดับดังกล่าว จะมีแรงซื้อ ซ้ำเพราะราคาหุ้นยังถูกอยู่กว่าราคาในอนาคต    ส่วน นักลงทุนระยะกลาง เช่น 25วัน จะยังคงถือหุ้น ตราบที่ SET index ไม่หลุด 730 จุด ดังที่เห็นในกราฟเป็นต้น

ซึ่งตัวอย่างนี้ แสดงให้เห็นว่าบางครั้ง การซื้อขายระยะสั้น ตามสัญญาณ 5 วัน และ 10วันอาจให้ผลตอบแทนน้อยกว่าการถือระยะยาวเป็นรอบ จากการดูเส้นค่าเฉลี่ยที่ยาวขึ้น แต่อย่างไร เส้นค่าเฉลี่ย ไม่มีกำหนดตายตัวว่า ค่าไหนดีที่สุด ขึ้นอยู่กับนิสัยหุ้นตัว นั้น สภาวะตลาดโดยรวม

ดังนั้นกลยุทธ์การเลือกใช้ขึ้นอยู่กับ ระยะเวลาการถือครองหุ้น ซึ่งจะเป็นตัวเลือกด้วยการใช้เส้นค่าเฉลี่ยจาก จำนวนวันที่ต่างๆกัน แต่ ความแม่นยำ นั้นอาจขึ้นจากนิสัยของหุ้นตัวนั้น หรือ ผู้ที่ลงทุนในหุ้นตัวนั้นส่วนมาก เขาใช้เส้นค่าเฉลี่ยเท่าไหร และแบบใด

ส่วน จุดอ่อนของการใช้เส้นค่าเฉลี่ย อาจเกิดขึ้นได้ หากหุ้นในช่วงนั้น เป็นลักษณะ Side way หรือแกว่งตัวในกรอบนานๆ อาจจะทำให้เส้นพันไป มา จึงเกิดทั้งสัญญาณหลอก ให้ ซื้อขาย ได้บ่อย  ก็ได้ ดังนั้น เส้นค่าเฉลี่ยนั้นจะเหมาะสำหรับการวิเคราะห์ในช่วงตลาดที่ มี Trend หรือแนวโน้ม

ประเภทของเส้นค่าเฉลี่ย
ประเภทของเส้นค่า เฉลี่ย มีด้วยกันหลายแบบ ซึ่ง ผู้ลงทุนอาจจะใช้ราคา เปิด หรือ ราคาปิด ราคาสูงสุด ราคาต่ำสุด หรือ ราคาเฉลี่ย มาเป็นตัวกำหนด สำหรับ การหาค่าเฉลี่ยก็ได้ ซึ่ง ส่วนใหญ่ที่ เราใช้อยู่ทั่วไป จะนำราคาปิดของหุ้นในแต่แท่งเทียน มาเป็นข้อมูลสำหรับการคำนวนค่าเฉลี่ย ดังเช่น

การหาเส้นค่าเฉลี่ย แบบธรรมดา (SMA, Simple Moving Average)
เส้นค่าเฉลี่ยแบบธรรมดา มาจากการหาค่าเฉลี่ยราคาหุ้น ในช่วงเวลาที่กำหนด เป็น N วัน
SMA คำนวณมาจาก
SMAt = 1/N(Pt+..........+Pt-N+1)
โดย P = ราคา
       T = วัน t
       N = จำนวนวันในค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่


ส่วนการหาเส้นค่าเฉลี่ย แบบ EMA (Exponential Moving Average)
นั้น เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการหาค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก โดยการให้ความสำคัญกับค่าตัวหนึ่งที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของราคา และถ่วงน้ำหนักให้ค่าสุดท้ายมีความสำคัญเพิ่มขึ้น

ซึ่งวิธีนี้เป็น การพยายามแก้ไขข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นจากวิธี SMA กล่าวคือ EMA นั้น จะถ่วงน้ำหนักโดยให้ความสำคัญกับวันสุดท้ายมากที่สุด และจะเอาค่าทุก ๆ ค่ามาหาค่าเฉลี่ย โดยจะไม่ทิ้งข้อมูลเก่าที่ผ่านมา ซึ่งจะทำให้ค่าทุกค่าสะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของราคา

หลักการคำนวนคือ
ขณะ ที่ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ตัวอื่น ๆ ให้ความสำคัญต่อคาบเวลา แต่ EMA จะให้ความสำคัญกับค่าตัวหนึ่งที่เรียกว่า SMOOTHING FACTOR (SF) หรือ SMOOTHING CONSTANT  โดยที่ SF = 2/(n+1) ซึ่งวิธีการสร้าง EMA มีสูตรการคำนวณคือ

EMA   =   EMAt-1 + SF(Pt - EMAt-1)
เมื่อ EMAt  คือ  ค่าของ Exponential Moving Average ณ เวลาปัจจุบัน
EMAt-1   คือ  ค่าของ Exponential Moving Average ณ คาบเวลาก่อนหน้า
SF  คือ  ค่าของ Smoothing Factor = 2/(n+1)
Pt  คือ  ราคาปัจจุบัน
n คือ  จำนวนวัน

*  หมายเหตุ : การคำนวณค่าเฉลี่ยของวันแรก จะใช้ราคาในวันแรกนั้นเป็น EMA

ซึ่ง ทั้ง EMA และ SMA นักลงทุนในตลาดส่วนใหญ่ต่างก็จะเลือกใช้แบบใด แบบหนึ่ง จากทั้งสองแบบนี้ เพียงแต่ อาจจะขึ้นอยู่กับวิธีการวิเคราะห์
• โดยการวิเคราะห์ แบบ SMA นั้นจะเห็นได้การเคลื่อนที่ของเส้นค่าเฉลี่ย มักจะช้ากว่า EMA ซึ่งการหาสัญญาณ ซื้อขายจากการตัดของเส้น EMA จะแม่นยำกว่า
• ส่วนการวิเคราะห์แนวรับแนวต้านจากเส้นค่าเฉลี่ยนั้น SMA จะดีกว่า เนื่องจากเป็นการคำนวน ฐานต้นทุนของนักลงทุนที่แท้จริง จึงทำให้บ่อยครั้ง เป็นแนวรับแนวต้านที่สำคัญ
• ส่วนหุ้นบางตัวนั้น อาจจะวิเคราะห์ด้วย EMA ดีกว่า SMA หรือ SMA ดีกว่า EMA นั้นขึ้นอยู่กับ ผู้เล่นหุ้นส่วนใหญ่ของตัวนั้น จะใช้ เส้นอะไร ดู เพราะจากมุมมองที่เหมือนกัน จึง ทำให้เกิดสัญญาณ ที่เหมือนกัน จนเป็น ความแม่นยำที่เกิดขึ้นก็เป็นได้
   

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/moving-average/?/  

ก่อนคิดใช้ทุกความรู้ในการเทรด

ตอนนี้คุณก็พร้อมที่จะครองโลกฟอร์เร็กซ์แล้ว คุณพร้อมที่จะเกษียณ อีกไม่กี่ปี แล้วไปเที่ยวรอบโลกไปกับเครื่องบินส่วนตัว ใช่ไหม? คิดอีกที ไม่ดีกว่า ! คุณฝันสลาย แต่อย่างน้อยก็ได้ฝัน ใกล้แล้ว เราบอกไว้ตั้งแต่เริ่มแล้วว่า มันไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าเพิ่งเทรดใหม่ คุณอาจจะเทรดได้น่ากลัว

ไม่ มีใครเป็นมืออาชีพตั้งแต่แรก ทุกคนต้องเรียนรู้ และต้องใช้เวลา คุณถึง จะรู้ถึงคุณค่าของมัน การเดินดุ่ม ๆ เข้าไปเทรดด้วยบัญชีจริงเลย เหมือนกับ ลงไปแข่งบาส NBA หลังจากที่ เพิ่งจะอ่านคู่มือ การเล่น บาสเกตบอล "Basketball for Dummies" คุณยังไม่ฉลาด ยังไม่แข็งแรง และยังควบคุม อะไรได้ไม่ดี คุณยังไม่ได้พัฒนาทักษะ หรือ จิตใจ ร่างกาย เพียงพอ ที่จะสู้ กับ มืออาชีพหรอก ? เหมือนกับที่ คุณกำลังเข้ามาในตลาด

โลกแห่งค่า เงินนั้น ไม่แน่นอนและซับซ้อน มีคนที่สุดโต่ง อยู่ในตลาด เต็มไปหมด บางคนจบด็อคเตอร์ บางคนจบ ปริญญาโท บางคนจบจาก โรงเรียนชั้นนำ ที่มีเงินเยอะ และบางคนมีเครื่องมือเทคโนโลยีชั้นสูงเมื่อคุณเข้ามาในโลกของฟอร์เร็กซ์ คุณต้องพร้อมที่จะดำผุดดำว่าย ปล้ำกับฉลามเหล่านี้ และพวกมันชอบกินเหยื่ออย่างเรา ๆ ซะด้วยสิ

คุณกลัวหรือเปล่า?
เรา อยากให้แน่ใจว่า คุณเข้าใจว่า ถึงแม้ว่าคุณจะสนุกกับฟอร์เร็กซ์ขนาดไหน การเทรดฟอร์เร็กซ์ ก็เป็นเรื่องเครียด เป็นธุรกิจ และคุณต้องใส่ใจกับมันด้วยด้วยเหตุนี้ ทุกคนต้องเอาใจใส่กับ ธุรกิจ เพื่อจะได้มีส่วนในผลประโยชน์เหล่านี้บ้าง
ใช่ คุณทำได้ แต่ว่า ก่อนที่คุณจะเริ่มเทรดฟอร์เร็กซ์ บทความในเว็บนี้ เป็นส่วนหนึ่งที่เราได้แบ่งปัน ให้คุณเริ่ม ในทางที่ถูกต้อง

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/t508/?/

ความผิดพลาดที่สำคัญ 9 ประการของนักลงทุน



1. ลงทุนด้วยจำนวนเงินที่มากเกินกว่าที่คุณจะสูญเสียได้
หนึ่ง ในอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ของการลงทุนให้ประสบความสำเร็จคือการลงทุนด้วยเงินก้อน ใหญ่ที่คุณไม่สามารถจะเสียไปได้  เช่น จำนวนเงินที่คุณจะต้องใช้ผ่อนค่างวด หรือค่าเทอมลูก ในกรณีเช่นนี้ เราเรียกว่า การลงทุนด้วยเงินร้อน (Trading with scared money) และในท้ายที่สุด สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ เมื่อในส่วนลึกของจิตใจ นักลงทุนเหล่านั้นรู้ว่าพวกเขากำลังเสี่ยงด้วยเงินที่เปรียบเสมือนเงินที่ ยืมมา พวกเขาจะลงทุนด้วยอารมณ์และความกลัว โดยปราศจากเหตุผล ถ้าคุณอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เราแนะนำให้คุณหยุดการลงทุน จนกระทั่งคุณสามารถลงทุนด้วยจำนวนเงินที่คุณสามารถจะเสียได้โดยไม่ก่อให้ เกิดความเดือดร้อนทางการเงิน คุณอาจจะเริ่มต้นด้วยจำนวนก้อนที่ไม่ใหญ่จนเกินไป เช่น 50,000 บาท และลงทุนในหุ้นที่มีราคาต่ำกว่า 10 บาท

2. ความต้องการความแน่นอน
เรา ทุกคนต้องมั่นใจว่าการลงทุนจะคุ้มค่า ดังนั้นเราจึงควรมองหาสัญญาณที่จะยืนยันจุดที่ควรเข้าลงทุน สัญญาณที่กล่าวถึงนี้มีหลายรูปแบบ เช่น การเปิดช่องยูบีซี หรือ อ่านหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับตลาดทุน เพื่อทราบถึงข่าวสารว่าหลักทรัพย์ใดอยู่ในช่วงที่น่าลงทุน หรือหลักทรัพย์ใดที่ควรรอจังหวะเข้าซื้อเมื่อแน่ใจว่าราคาจะพุ่งสูง ขึ้น  นักลงทุนบางคนอาจรับฟังข่าวสารจากเพื่อน ครอบครัว หรือเจ้าหน้าที่การตลาด (โบรกเกอร์) บางคนอาจรอจังหวะที่ดัชนีชี้นำทางเทคนิคทั้งหลายแสดงสัญญาณที่ดีจึงเข้าซื้อ สิ่งเหล่านี้สามารถเชื่อถือได้ในระดับหนึ่ง แต่ข้อผิดพลาดที่สำคัญและควรระวังมาก ก็คือ การใช้เวลามากเกินไปจนคุณปล่อยให้ราคาสูงขึ้นโดยที่คุณยังไม่ได้ซื้อ สิ่งที่ตามมาก็คือ ความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเมื่อราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนที่จะเข้าซื้อหุ้นนั้นมีน้อยลง ทำให้แรงซื้อน้อยลง ส่งผลให้ราคาปรับตัวลงจนกว่าจะมีแรงซื้อเข้ามาใหม่ ซึ่งก็เปรียบได้กับเกมเก้าอี้ดนตรี คนที่ช้าที่สุดก็จะไม่มีเก้าอี้เหลือให้นั่ง นักลงทุนที่รอแล้วรออีกเพื่อให้มั่นใจมากๆ จริงๆแล้วก็คือคนที่จะซื้อที่จุดสูงสุดก่อนที่ราคาหุ้นจะตกลง แล้วก็จะโทษว่าเป็นเพราะเลือกหุ้นผิดตัว ความจริงคือข้อผิดพลาดนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการเลือกหุ้น แต่เกี่ยวกับจังหวะของการลงทุน
สิ่งที่ควรจำใส่ใจคือไม่มีความแน่นอน 100 เปอร์เซ็นต์ ในการลงทุนครั้งใดๆก็ตาม สิ่งที่จะทำได้ก็คือศึกษาถึงความเสี่ยงประกอบกับความเชื่อมั่น

3. ใช้กำไรก่อนที่จะทำกำไรได้
ไม่ มีอะไรที่น่าตื่นเต้นไปกว่าการลงทุนที่ให้กำไรที่งดงาม แต่สิ่งนี้ก็เป็นปัญหาได้เช่นกัน เพราะมันให้คุณฝันหวานถึงกำไรก้อนใหญ่ คุณอาจจะบอกว่า “ว้าว! เงินลงทุนฉันเพิ่มขึ้น 15% ใน 2 วัน แล้วจะเพิ่มเป็น 50 % ใน 2 สัปดาห์และ อาจจะกลายเป็นเท่าตัวในพริบตา!”  สิ่งต่อไปที่จะเกิดขึ้นคือ คุณอาจคิดถึงรถใหม่คันหรูที่คุณคิดจะซื้อ หรืออาจจะบอกเจ้านายคุณว่าเขาก็ทำแบบเดียวกันได้ ถึงตอนนี้คุณคงนึกภาพออก ปัญหาที่แท้จริงจะเกิดขึ้นเมื่อคุณยึดติดกับความใฝ่ฝันนั้น และไม่ได้เตรียมพร้อมที่จะถอยออกมาเมื่อตลาดเข้าสู่ภาวะที่ไม่ดี และทำให้กำไรลดลง เพราะคุณถึงแต่ผลกำไรที่จะได้รับโดยไม่ยอมรับสถานการณ์จริง วิธีแก้ไขง่ายๆก็คือ ต้องรู้ว่าจะขายทำกำไรเมื่อไหร่และอย่างไร เมื่อลงทุน  และต้องจำไว้ว่าตลาดจะขึ้นสูงเท่าที่มันจะขึ้นได้  ไม่ใช่ว่าจะ ขึ้นสูงเท่าที่คุณคิดว่ามันจะขึ้นได้

4. การแสดงความคิดเห็น
เรา กำลังจะบอกคุณว่าตลาดไม่สนใจคุณหรอกว่าคุณจะคิดอย่างไร ถึงแม้ว่าคุณจะอ้างอิงถึงบทวิเคราะห์ที่เกิดจากความอุตสาหะ หรืออ้างอิงถึง ผู้เชี่ยวชาญตลาดหุ้นไทย  นั่นไม่สำคัญหรอก

5. คำ 3 คำที่จะฆ่าคุณได้ หวัง-ขอ-อธิษฐาน
ถ้า คุณพบว่าคุณทำ 1 อย่าง หรือมากกว่า ของคำที่กล่าวไว้ เมื่อคุณลงทุน คุณกำลังลำบากแล้วล่ะ! ดังเช่นที่กล่าวมาแล้ว ตลาดไม่สนใจคุณหรอก ดังนั้น ความหวัง คำขอ หรือคำอธิษฐาน ทั้งหลายไม่สามารถเปลี่ยนขาดทุนเป็นกำไร
เมื่อคุณคาดการณ์ผิด วิธีการง่ายๆที่จะแก้ไขสถานกาณ์ คือ ขาย!!

6. ไม่ทำตามแผนที่วางไว้
ปัญหา ใหญ่เกิดขึ้นได้เมื่อนักลงทุนเริ่มไม่ทำตามกลยุทธ์ที่วางไว้  อาจจะเป็นเวลา ซัก 1 อาทิตย์ที่พวกเค้าจะลงทุนตามกฎเกณฑ์ที่ตั้งไว้ แต่อีก1 อาทิตย์จะทำสิ่งที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง  การทำเช่นนี้ทำให้เจ็บตัวได้ง่าย เนื่องจากไม่มีใครสามารถบอกได้แน่ชัดว่ากลยุทธ์ใด จะได้ผลหรือไม่ ดังนั้นต้องจำไว้ว่าไม่ควรทำสิ่งที่ผิดไปจากแผนหรือวิธีการเมื่อคุณได้เริ่ม ต้นไปแล้ว  หากคุณพบว่ากลยุทธ์นั้นใช้ได้ผลเมื่อดูจากสถิติ ก็ไม่มีเหตุผลที่คุณจะเปลี่ยนกลยุทธ์  ทางที่จะทำกำไรคือ ซื้อขายซ้ำไปซ้ำมาจนกระทั่งถึงจุดที่กลยุทธ์นั้นจะใช้ไม่ได้ผล อีกด้านที่ต้องระวังก็คือ นักลงทุนมักจะขาดความมั่นคงและมีโอกาสที่จะเปลี่ยนแผนการลงทุนได้มากหลังจาก ขาดทุน 2-3 ครั้ง  ดังนั้น ในช่วงเวลาเช่นนี้ต้องระวังเป็นพิเศษ

7. ไม่รู้ว่าจะถอนตัวจากการลงทุนที่ขาดทุนได้อย่างไร
มี หลายครั้งที่นักลงทุนไม่มีเกณฑ์ที่แน่นอนในการนำตัวเองออกจากการลงทุนที่ไม่ คุ้มค่า  พวกเขามักจะคาดหวัง และคิดหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองในการที่จะไม่ถอนตัวและยอมขาดทุน ดังเช่นที่เราบอกซ้ำแล้วซ่ำเล่า ตลาดไม่สนใจว่าคุณจะคิดอะไร  มันเคลื่อนไปตามทางของมัน และเมื่อตลาดไม่เป็นไปตามที่คุณคิด นั่นคือคุณคิดผิด วิธีง่ายที่สุดที่จะทำให้สถานะการลงทุนไม่แย่ลงกว่าเดิม ก็คือต้องคิดก่อนที่จะลงทุนว่า เมื่อไรจะออกจากตลาด โดยอาจกำหนดเป็นจำนวนเงิน หรือ กำหนดจุดเป้าหมาย เช่น จุดที่เท่ากับจุดต่ำสุดในช่วงเวลา 15 นาทีก่อน ต้องมั่นใจว่าคุณจะไม่ปล่อยให้ราคาตกลงจนถึงจุดหยุดขาดทุนโดยที่ไม่สามารถทำ อะไรได้ ซึ่งอาจเนื่องมาจากความกลัวและความไม่เชื่อว่าคุณคิดผิด นั่นจะทำให้คุณเกิดปัญหาด้านการเงิน เว้นแต่ว่าคุณจะสามารถหยุดขาดทุนได้โดยเร็ว

8. มีความมั่นใจ
คน ที่เข้าลงทุนในตลาดนั่นมีหลายคนที่เป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงใน ธุรกิจด้านอื่นๆ เหตุนี้เองทำให้พวกเขามีความมั่นใจสูงและคิดว่าพวกเขาไม่มีทางที่จะล้ม เหลว  ความมั่นใจเช่นนี้กลายเป็นข้อเสียสำหรับการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ เพราะพวกเขาไม่เชื่อว่าลงทุนผิดพลาดและควรต้องหยุดการลงทุนที่ขาดทุน และเช่นกัน ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร มาจากไหน นั่นไม่เกี่ยวข้องกับตลาด รวมถึงปริญญา ประกาศนียบัตร ความสามารถในการจูงใจ หรือ ความรอบรู้เชิงธุรกิจ ไม่สามารถเปลี่ยนแนวโน้มตลาด เวลาที่คุณคาดการณ์ผิด

9. หลงใหลในหุ้นหรือการลงทุน
ห้ามหลงใหลในหุ้นเด็ดขาด เพราะนั่นจะให้บทเรียนที่สาหัสแก่คุณ

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/9-21/?/