RSS
Showing posts with label Trader. Show all posts
Showing posts with label Trader. Show all posts

Trader คืออะไร

Trader คือ....???

สวัสดีครับผมมีชื่อเล่นว่าบอลนะครับ ผมเชื่อว่าผู้อ่านหลายคนคงอยากรู้ว่าเทรดเดอร์คืออพไร
ซึ่งหลายคนจะมีความหมายแตกต่างกันออกไป
แต่ในภาษาทางการเงินนั้นเราจะเรียกคำว่า Trader กับบุลคลที่ซื้อสินทรัพย์ทางการเงิน
เช่น หุ้น ตารสารหนี้ สินค้าโภคภัณฑ์ เป็นต้น

*** สินค้าโภคภัณฑ์ เป็นกลุ่มสินทรัพย์ที่ใช้เพื่อการลงทุนซึ่งสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆได้

สินค้าโภคภัณฑ์ แบ่งออกเป็น 3 ประเภท
1. สินค้าทางการเกษตร เช่น ข้าวสาร กาแก ถั่วเหลือง เป็นต้น
2. สินค้าประเภทโลหะ เช่น เงิน ทองคำ ทองแดง อลูมิเนียม เป็นต้น
3. สินค้าประเภทพลังงาน เช่น น้ำมัน ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ เป็นต้น

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/trader/?/

สิ่งที่ควรปฏิบัติเมื่อขาดทุน

สิ่งที่ควรปฏิบัติเมื่อขาดทุน

สิ่งที่เราควรปฏิบัติเมื่อขาดทุน...อาจจะใช้คำว่า "ควร" อย่างเดียวก็ไม่ถูก ต้องใช้คำว่า "ต้อง!!"
เพราะมันคือสิ่งที่ Trader ทุกคน ย้ำนะครับว่า ทุกคน!! ต้องทำ

สิ่งที่เราต้องทำคือ Cut Loss แปลง่ายๆก็คือ หยุดขาดทุน
เมื่อทิศทางของกราฟไม่เป็นไปตามที่เราคาด เราควรจะตัดไฟตั้งแต่ต้นลม
ไม่งั้น อาจจะหมดตูดได้...

สิ่งที่นักลงทุนที่ไม่ประสบความสำเร็จทำก็ คือ ใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผลในการ
เมื่อเกิดการขาดทุน จะมีความรู้สึกว่า "ต้องเอาคืนมาให้ได้เลย"
เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณคิดแบบนั้นละ ก็ล้างพอร์ตกันแทบทุกราย เอาง่ายๆคือตายเรียยบ...

ควรตั้ง Cut Loss ไว้ไม่เกิน 30% ของทุนทั้งหมด

เมื่อทำการ Cut Loss เสร็จก็ควรใจเย็นๆ แล้วหาจังหวะเข้าใหม่โดยไร้อารมณ์ตอนที่ขาดทุนไป

"ชีวิคคนเรามีขึ้น ก็ต้องมีลง"

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/t548/?/

การอ่านข่าว Forex Factory

ข่าวนั้นก็ถือว่ามีความสำคัญทีเดียวเลยครับ สำหรับ Trader อย่างเรา
เพราะการเคลื่อนที่ของราคานั้นมันก็มาจากปัจจัยพื้นฐานครับ
ดังนั้นนะครับอย่าเพิ่งมองข้ามสิ่งนี้ไป...
สำหรับชาวเทรด forex อย่างเรานะครับ ก็มีเว็ป forexfactory เป็นเว็ปที่ให้ข่าวสำคัญทีเดียวเลยครับ
จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นมากทีเดียวเลยครับสำหรับการเทรด

Forex news : ข่าวที่มีผลต่อตลาดเงิน โดยส่วนมากจะเป็นข่าวเศรษฐกิจนะครับ โดยหลักๆจะมี
อัตราดอกเบี้ย (Interest Rate), อัตราจ้างงาน (Employment Change), การประกาศตัวเลข GDP เป็นต้นครับ

สมมุติ ว่าประเทศนั้น มีการจ้างงานเพิ่มมากขึ้น แสดงว่าคนในประเทศนั้นก็จะมีรายได้มากขึ้น การจับจ่ายใช้สอยสินค้าก็มากขึ้น ส่งผลให้ประเทศนั้นมีเศรษฐที่ดีขึ้น ค่าเงินของประเทศนั้นๆก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย

แต่ในทางกลับกันนะครับ ถ้าประเทศนั้นมีการจ้างแรงงานลดลง แสดงว่าคนในประเทศนั้นก็จะมีรายได้ที่ลดลง การจับจ่ายใช้สอยสินค้าก็ลดลง ส่งผลให้ประเทศนั้นมีเศรษฐที่ลดลง ค่าเงินของประเทศนั้นๆก็จะลดลงตามไปด้วย

ถ้าเรารู้แล้วว่าประเทศนั้นค่าเงินจะเพิ่มมากขึ้นหรือน้อยลง แล้วเราจะรู้ได้ไงว่าคู่งั้นจะลดลงหรือเพิ่มมากขึ้น??

ผมขอยกตัวอย่างคู่เงิน EUR/USD นะครับ ก็คือว่า ถ้าตัวหน้า (EUR) แข็งค่าขึ้น คู่เงินนี้ก็จะมีค่าเพิ่มขึ้น
,ถ้า ตัวหน้า (EUR) อ่อนค่าลง คู่เงินนี้ก็จะมีค่าลดลง,ถ้าตัวหลัง (USD) แข็งค่าขึ้น คู่เงินนี้ก็จะมีค่าลดลง ,ถ้าตัวหลัง (USD) อ่อนค่าลง คู่เงินนี้ก็จะมีค่ามากขึ้น

สรุปก็คือ ถ้าตัวหน้าแข็งค่าคู่เงินนั้นก็จะมีค่าเพิ่มขึ้น,  ถ้าตัวหลังแข็งค่าคู่เงินนั้นก็จะมีค่าลดลง

เรามาเริ่มทำการเรียนรู้เกี่ยวกับการดูข่าวที่ forexfactory กันเลยนะครับ

>> http://www.forexfactory.com << เมื่อเปิดเว็ปนี้เข้ามาแล้วนะครับ
ก่อนอื่นเลยเราต้องไปปรับเวลาตามประเทศไทยครับจะได้ไม่เกิดความสับสน
วีธีแก้ไขก็ง่านนิดเดียวครับ ทำตามนี้เลย


หลังากที่เราต้องเวลาไปเรียนร้อยแล้วนะครับ เราก็จะมาทำการเรียนรู้ว่าช่องต่างๆบอกอะไรเราบ้าง
ตามนี้เลยครับ
ถ้าค่า Actual ต่างกับค่า Previous มากเท่าไหร่ยิ่งส่งผลต่างค่าเงินมากเท่านั้นนะครับ
แล้ว ก็ขึ้นอยู่กับ Impact ด้วยนะครับว่ามีผลกระทบต่อค่าเงินมากไหม ถ้ามีผลกระทบต่อค่าเงินมากก็จะส่งผลให้ค่าเงินนั้นเคลื่อนแรงมากเช่นเดียว กันครับ

สำหรับเทรดเดอร์มือใหม่นะครับ
ช่วงเวลาที่ข่าวออกนั้นกราฟจะเคลื่อน ขึ้น-ลง แรงกว่าปกตินะครับให้เลือน Stop Loss ให้แคบลงนะครับ
หรือจะตั้ง Stop loss แบบไล่ตามราคาไปเลยก็ได้ครับ เพื่อความปลอดภัยของพอร์ตลงทุน

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/forex-factory/?/

Haji Warithu เทรดเดอร์ค่าเงินชาวบรูไน

Haji Warithu เทรดเดอร์ค่าเงินอิสระชาวบรูไน เขาตัดสินใจออกจากงานประจำเพื่อเป็นเทรดเดอร์มืออาชีพ ด้วยเหตุผลที่ไม่ต่างจากเทรดเดอร์อิสระหลายๆคน ที่ต้องการมีเวลาให้กับครอบครัว และต้องการใช้ชีวิตของตัวเองได้อย่างที่ใจต้องการมากขึ้น



ก่อน ที่ Haji จะมาเป็นเทรดเดอร์อิสระ เขาทำงานในบริษัทขนส่งก๊าซ LNG (liquified natural gas) แห่งหนึ่งในประเทศบรูไน งานของเขาจะต้องเดินทางอยู่ในทะเลตลอดเป็นเดือนๆ เขาไม่ค่อยมีเวลาให้กับครอบครัวเท่าไหร่นัก จนในกระทั่งวันหนึ่ง ระหว่างที่เขาเดินทางอยู่กลางทะเลจากบรูไนไปยังประเทศญี่ปุ่นเพื่อขนส่งก็าซ LNG เหมือนดังเคย เขาเริ่มมีอาการผิดปกติบางอย่าง สุดท้ายเขาพบว่าเขาเป็นมะเร็ง !!!!! และสิ่งนี้ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาไปอย่างสิ้นเชิง

Haji ตัดสินใจลาออกจากงาน และใช้เวลาอยู่ที่บ้านเพื่อเทรด forex แทน โดยเขาได้เรียนรู้การเทรด forex มาจาก Rob Booker เทรดเดอร์อิสระ ผู้เขียนหนังสือ The adventure of the currency trader โดยสำหรับเขาแล้ว Rob booker เป็นแรงบันดาลใจให้เขาก้าวเข้ามาสู่อาชีพเทรดเดอร์อิสระเป็นอย่างมาก

ตอน นี้ Haji มีรายได้จากการเทรด forex เพียงอย่างเดียว การเทรดได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและทุกๆอย่างในชีวิตของเขา เขารักงานนี้ มันเป็นอะไรที่สุดยอดมากเมื่อคุณได้ทำงานที่ตัวเองรักและมันให้ผลตอบแทนที่ ดีกับคุณไปพร้อมๆกัน

เทคนิคการเทรดของ Haji
เขา เปิดเผยว่าเขาจะเน้นการเทรดสั้นๆ เข้าในจังหวะที่มั่นใจ และมีการวาง Stop loss ทุกครั้ง โดยในช่วงเริ่มต้นการเทรด เขาพยายามฝึกเทรดในจำนวน lot น้อยๆ แล้วค่อยๆเพิ่ม lot ขึ้นไปเรื่อยๆ ในจุดนี้ เทรดเดอร์มือใหม่ต้องระวัง จำไว้ว่า ในช่วงที่เพิ่งเริ่มทำกำไรได้ คุณต้องรักษาวินัยและระบบเทรดของตัวเองเอาไว้ให้มีความสม่ำเสมอ อย่าพยายาม overtrade ในช่วงเริ่มต้น คุณต้องค่อยๆก้าว จำไว้ว่าความสำเร็จนั้นมีขั้นตอน คุณเข้ามาในตลาดแห่งนี้เพื่อจะทำกำไรจากมัน ไม่ได้จะมาเป็น super star ในวงการ เพราะฉะนั้น คุณไม่ต้องเร่งจังหวะของตัวเองเกินไป เพราะการเร่งจังหวะ และการเพิ่ม lot ในขณะที่จิตใจคุณยังไม่พร้อมกับเงินที่ใหญ่ขึ้น นั่นจะทำให้คุณหมดตัวในตลาดแห่งนี้แม้คุณจะเทรดถูกทางก็ตาม

สำหรับ ระบบการเทรดของเขานั้น Haji เผยว่ามันเป็นอะไรที่เรียบง่าย ไม่มีอะไรซับซ้อน โดยเขาจะใช้ indicator ไม่กี่ตัว ก็คือ Bollinger Band, CCI และ supply demand โดยการเข้า order ที่ปลอดภัยก็คือ คุณจะเข้าซื้อที่แนวรับแนวต้านเท่านั้น เขาให้เหตุผลที่ออกแบบระบบให้เรียบง่ายนั้นเพราะเขาเชื่อว่าจริงๆทุกระบบ สามารถทำกำไรได้ ดังนั้นคุณจะเลือกใช้ที่มันยากๆทำไม เพราะแท้จริงๆแล้ว คุณจะได้กำไรหรือไม่ ตัวระบบเทรดนั้นมีผลค่อนข้างน้อย สิ่งที่สำคัญคือระบบความคิดที่ถูกต้อง วินัย และ money management ต่างหากที่จะตัดสินว่าคุณจะอยู่ในอาชีพนี้ได้นานแค่ไหน

Time Frame ที่ใช้
เนื่อง จากสไตล์การเทรดของเขาเป็นแนว Scalper เน้นเก็บ PIP สั้นๆ ดังนั้น เขาจึงเลือกที่จะใช้ TF 15 นาทีในการเข้า order แต่เขาก็เผยว่าคุณจำเป็นต้องตรวจสอบสัญญาณที่ตรงกันใน TF ที่ใหญ่กว่าอย่าง 1 ชั่วโมง หรือ 1 วัน ด้วยในการเข้าเทรด เพื่อลดโอกาสความผิดพลาด การเทรดตามแนวโน้มเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยป้องกันคุณจากความเสียหายที่รุนแรง ได้

อย่างไรก็ตาม เขาเปิดเผยว่าทุกวันนี้ สไตล์การเทรดของเขาเปลี่ยนแปลงไปจากในช่วงแรกเล็กน้อย โดยเขาจะให้ความสำคัญกับ TF ที่ใหญ่กว่าเดิม และตั้ง target มากขึ้นพอสมควร โดยการเข้า order เขาชอบที่จะตั้ง pending order ไว้ที่แนวรับแนวต้านที่เขาวิเคราะห์ไว้ และก็ตั้ง Stop loss เผื่อไว้ รวมถึงวางแผนไว้ล่วงหน้าทั้งหมดว่าจะออกที่ตรงไหน

ข้อแนะนำสำหรับมือใหม่
คุณ ต้องหวังที่จะเก็บแค่วันละ 10 PIP ก็พอ ทำไมต้องเก็บ PIP น้อยๆ ก็เพราะว่าแท้จริงแล้วการที่คุณหวังที่จะเก็บ PIP น้อยๆ อย่าง 10 PIP นั้นมันเป็นอะไรที่ง่ายและมีความเป็นไปได้ในการเทรดของคุณ แต่คุณอาจจะรู้สึกว่า 10 PIP สำหรับคุณมันน้อยเกินไป คุณหวังว่าจะได้วันละ 50 PIP คำถามก็คือ ถ้าวันนี้คุณยังขาดทุนอยู่ ไอ้ 50 PIP ที่คุณหวังมันคงไม่มีความหมายอะไรหรอก คุณควรต้องเริ่มคิดใหม่แล้วล่ะว่าการได้ 10 PIP ต่อวันมันดีกว่าการขาดทุนเพราะหวังจะได้ 50 PIP จริงไหม ก็ในเมื่อการได้ 50 PIP มันยากกว่าการได้ 10 PIP แล้วทำไมในช่วงเริ่มต้น คุณถึงไม่เลือกทำในสิ่งที่ง่ายล่ะ??

อีกอย่างหนึ่ง ก็คือ คุณต้องวางแผนการเทรด เพราะนั่นเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้คุณไม่เทรดโดยใช้อารมณ์และความโลภ เชื่อเหอะว่ามันจำเป็นหากคุณอยากจะดำรงชีพด้วยการเป็น freedom trader

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/haji-warithu/?/

Mark Douglas ทัศนคติแห่งการเก็งกำไร

Mark Douglas เซียนหุ้นที่เป็นที่ยอมรับกันว่า เขามีความชำนาญ และแนวคิดที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับแง่มุมทางด้านจิตวิทยาการลงทุนเป็นอย่างสูง ในระดับต้นๆของโลก โดยเขาได้เคยเขียนหนังสือหุ้นไว้สองเล่มที่โด่งดังมาก และถือเป็น Must Read! เลยทีเดียวนั่นก็คือ The Discipline Trader และ Trading in The Zone


Douglas เริ่มต้นการเก็งกำไรในตลาด Future ในปี 1978 โดยขณะนั้น เขาทำงานเป็นผู้บริหารของบริษัทแห่งหนึ่ง จนเมื่อมีโบรกเกอร์โทรมาชักชวนให้เขาลงทุน เขาจึงเริ่มเข้าสู่เส้นทางการเก็งกำไรในทองคำ และหลังจากนั้นมา เขาก็หลงใหลในการเก็งกำไรเป็นอย่างมาก เขาตัดสินใจลาออกจากงานผู้บริหาร และสมัครเข้าทำงานใน Merrill Lynch ด้วยการเป็นโบรกเกอร์แทน!!!!

ภาย ใน 9 เดือน Douglas ก็หมดตัว!!! เขาสูญเสียเงินสะสมทั้งหมดที่มีไปกับการเก็งกำไร แต่นั่นกลับกลายเป็นพลังให้เขาลุกขึ้นต่อสู้ และก้าวเดินต่อไปในเส้นทางที่เขาเลือก เพราะอย่างน้อยเขาได้เรียนรู้อะไรบางอย่างจากการสูญเสียที่เกิดขึ้น ซึ่งก็คือ เขาเรียนรู้ว่าแท้จริงแล้วการเก็งกำไรนั้น มันคือการต่อสู้กับจิตใจของเราเอง โดยมุมมอง และทัศนคติของเขานั้น มีส่วนสำคัญมากกว่าสิ่งอื่นใดในการเก็งกำไร และนั่นทำให้เขาเชื่อว่าสิ่งที่เขาคิด คือสิ่งที่สำคัญมาก และนั่นทำให้หลังจากนั้น เขาเริ่มเขียนบันทึกประจำวันอย่างละเอียด

"ผม ได้เขียนถึงพฤติกรรมการเก็งกำไรของผม สภาวะจิตใจของผม และสภาวะจิตใจที่เกิดขึ้นกับของลูกค้าของผม โดยผมได้เขียนบันทึกเกี่ยวกับรูปแบบพฤติกรรมที่ผมสังเกตเห็น ไม่เพียงแต่เฉพาะจากตัวของผม แต่รวมถึงทุกๆคนที่อยู่ในออฟฟิต และจากนักเก็งกำไรในห้องค้า (Floor Trader) ซึ่งผมรู้จักอีกด้วยครับ"

หลัง จากเขาเทรดมาได้ 3 ปี เขายังไม่สามารถที่จะทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอ จนทั้งครอบครัว และเพื่อนฝูงของเขาต่างคิดว่าเขาบ้าที่ตัดสินใจออกมาจากงานบริหารที่ทำอยู่ แทบจะไม่มีใครที่ยอมรับเขาเลย และเขารู้สึกได้ถึงความกลัวที่ยังซ่อนอยู่ในใจ แต่นั่นก็ไม่ทำให้เขาหันหลังกลับ เขาใช้ความพยายามอย่างหนักที่จะทำตามความฝัน ในที่สุดจุดเปลี่ยนในชีวิตของเขาก็มาถึง

"เมื่อ ผมคิดได้ว่าผมจะต้องทำได้!! (ซึ่งผมจำไม่ได้ว่ามันใช้เวลานานแค่ไหน) และหลังจากที่ผมรู้สึกได้อย่างนั้น ความกลัวของผมก็หายไป ผมตระหนักถึงคุณค่าในตัวของผมมากกว่าที่เคยเป็น ผมรู้สึกว่าผมยังสามารถคิดได้ ผมยังสุขภาพดีอยู่ ผมมีพรสวรรค์ และเมื่อผมตระหนักถึงคุณค่าในตัวของผมได้ ความกลัวทุกอย่างก็หายไปในทันที ผมเห็นรูปแบบพฤติกรรมที่คอยปิดกั้นความสำเร็จของตัวผม และของนักเก็งกำไรคนอื่นๆ ซึ่งเป็นรูปแบบที่จะขัดขวางเราจากความสำเร็จ และมันทำให้ผมเห็นในสิ่งที่นักเก็งกำไรจำเป็นต้องทำเพื่อความสำเร็จของพวก เขา หลังจากนั้นในช่วงหน้าร้อนปี 1982 ผมจึงเริ่มต้นเขียนหนังสือ The Discipline Trader และก่อตั้งบริษัทที่ปรึกษาการลงทุนของผมขึ้นครับ"

Douglas อธิบายรูปแบบพฤติกรรมที่คอยขัดขวางนักเก็งกำไรจากความสำเร็จ ว่าความผิดพลาดต่างๆ เช่นการที่คุณมักจะเข้าซื้อเร็วเกินไป ก่อนที่ตลาดจะมีสัญญาณเกิดขึ้น หรือไม่ก็ช้าเกินไป หลังจากที่ตลาดเกิดสัญญาณขึ้นนานแล้ว หรือแม้กระทั่งการขาดทุนมากขึ้นกว่าเดิม จากการที่คุณเลื่อนจุดตัดขาดทุนของคุณออกไป ความผิดพลาดนี้มันเกิดมาจากความกลัวหลักๆ 4 ชนิด ที่นักเก็งกำไรชั้นยอดนั้นจะคอยจัดการกับมันอยู่เสมอ

ความกลัว 4 ชนิด นั่นก็คือ ความ กลัวที่จะผิดพลาด ความกลัวที่จะขาดทุน ความกลัวที่จะพลาดโอกาสไป และสุดท้ายคือความกลัวที่จะปล่อยให้กำไรหลุดลอยไป ซึ่งเขาพบว่า ความกลัวทั้ง 4 ชนิดนี้คือตัวการหลักๆที่ทำให้เราทำในสิ่งที่ผิดในการเก็งกำไรมากกว่า 90% ซึ่งความกลัวดังกล่าวมันถูกบ่มเพาะมาจากวัฒนธรรมและสังคมของพวกเราเอง มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่ใครสักคนจะเติบโตมาโดยไม่เคยเรียนรู้ที่จะต้องกลัว บางสิ่ง

สำหรับนักเก็งกำไรนั้น พวกเราตกอยู่ในสถานการณ์ที่อาจขาดทุนได้ตลอดเวลา แต่พวกเราไม่ต้องการที่จะยอมรับมัน เพราะหากเรายอมรับมัน มันจะทำให้เรารู้สึกถึงความเจ็บปวดที่เราต้องสูญเสียบางสิ่งไป พวกเขาจึงพยายามหนีความจริง และจากการที่เราพยายามหนีมัน นั่นทำให้ทุกๆอย่างยิ่งแย่ขึ้นไปอีก

Douglas แนะนำว่า คุณต้องเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนแปลงความเชื่อของคุณ โดยการเปลี่ยนมุมมองและให้ความหมายกับคำว่าขาดทุนเสียใหม่ว่าการขาดทุนจริงๆ แล้วมันหมายความว่าอะไร สิ่งที่สำคัญก็คือ คุณจะต้องเปลี่ยนแปลงความเชื่อของคุณหลายๆอย่างที่เป็นตัวการทำให้คุณตีความ หรือแปลความหมายกับสิ่งที่เกิดขึ้นจากตลาดในทางลบหรือด้วยความรู้สึกเจ็บปวด คุณจะต้องสร้างความเชื่อและทัศนคติชุดใหม่ขึ้นมา ที่จะทำให้คุณสามารถตีความหรือแปลความหมายกับสิ่งที่เกิดขึ้นจากตลาดได้ อย่างไม่รู้สึกเจ็บปวดหรือไร้ความกังวลต่างๆ รวมถึงความเชื่อชุดใหม่ที่จะทำให้คุณสามารถทำสิ่งต่างๆได้อย่างเต็มความ สามารถของคุณ

สิ่งที่แยกนักเก็งกำไรหรือ นักลงทุนชั้นยอดออกจากคนทั่วๆไป นั่นคือนักเก็งกำรชั้นยอดนั้นเข้าใจเป็นอย่างดีว่า การลงทุนซื้อ-ขาย แต่ละครั้งนั้น ผลลัพธ์ของมันไม่มีความเกี่ยวเนื่องกับการซื้อขายครั้งที่ผ่านๆมาเลย ซึ่งนั่นทำให้พวกเขาสามารถทำสิ่งต่างๆได้อย่างเหมาะสม มันก็เหมือนการโยนเหรียญหัวก้อย ผลของการโยนเหรียญครั้งนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับครั้งที่แล้วหรือครั้งไหนๆ

สิ่ง ที่ผู้คนส่วนใหญ่มักไม่ได้ให้ความสนใจ เมื่อพวกเขาเริ่มต้นเข้ามาเก็งกำไรหรือลงทุนนั่นก็คือ พวกเขาไม่ได้คิดว่ามันมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องของจิตใจมาก จริงๆแล้วตลาดนั้นไม่สามารถที่จะบังคับหรือไม่มีผลต่อคุณในการกำหนดมุมมอง การรับรู้ หรือแปลความหมายของสิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดของตัวคุณเองเลย แต่มันเกิดขึ้นมาจากกลไกทางจิตวิทยาในตัวคุณซึ่งจะคอยควบคุมการรับรู้และแปล ผลของสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในตัวของคุณเอง และในฐานะที่คุณเป็นนักเก็งกำไรหรือนักลงทุน ถ้าหากว่าคุณต้องการที่จะทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอแล้วล่ะก็ สิ่งที่คุณจะต้องทำเพื่อให้เกิดกำไรที่สม่ำเสมอขึ้นมาก็คือ การควบคุมกระบวนการในการรับรู้ และแปลความหมายของสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น ในทางที่คุณจะสามารถทำสิ่งต่างๆได้อย่างเหมาะสม และไร้ความวิตกกังวลนั่นเอง

ซึ่งสิ่งที่เป็นตัวการสำคัญอย่างหนึ่งก็คือ “ความกลัว” นั่นเอง เนื่อง จากจิตใจของเรานั้นถูกออกแบบมาให้หลีกเลี่ยงจากความเจ็บปวด จากกลไกทางจิตวิทยาที่อยู่ทั้งใต้จิตสำนึกของเราและจิตสำนักของเราเอง และนี่คือตัวการใหญ่ตัวหนึ่งที่พวกเรามักจะมองข้ามมันไป ผู้คนส่วน ใหญ่ไม่เข้าใจว่าความกลัวนั้น นอกจากจะทำให้จิตใจของเราอ่อนแอลงไป แต่มันทำให้มุมมองหรือวิสัยทัศน์ของเราย่ำแย่ลงไปด้วย ความกลัวนั้นจะทำให้มุมมองของเราแคบลงไปเพราะเรามัวแต่เพ่งอยู่กับสิ่งที่ เรากลัว ซึ่งจะมีผลต่อการรับรู้ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ที่เข้ามาในทุกๆช่วงขณะเวลานั่นเอง

ยิ่งในเรื่องของการเก็งกำไรหรือ การลงทุนแล้ว มันยิ่งเป็นเรื่องที่อยู่ภายในจิตใจของเราเองขึ้นอีก เนื่องจากจริงๆแล้วตลาดนั้นไม่ได้สร้างข้อมูลที่ทำให้เกิดความเจ็บปวดขึ้นมา ด้วยตัวของมันเองเลย สิ่งที่มันสร้างขึ้นมาคือข้อมูลดิบ ซึ่งสามารถทำให้เรารับรู้มันในแนวทางที่เจ็บปวดขึ้นมาหรือในแนวทางที่พึงพอ ใจขึ้นมาควบคู่กันไปอยู่ตลอดเวลา ยกตัวอย่างเช่น สมมุติว่าคุณได้เข้าไปซื้อหุ้นไว้ แต่ภาพของตลาดโดยรวมนั้นกลับกลายเป็นขาลง และโชคร้ายเหลือเกินที่การเด้งขึ้นมาในแต่ละครั้งมันทำให้ผมตัดสินใจถือมัน ต่อไป เพราะช่วงที่ตลาดเด้งสวนขึ้นมานั้น จะทำให้เกิดความหวังขึ้นมานั่นเอง และจุดนี้เองที่ความกลัวของคุณจะเข้ามามีผลทำให้คุณจดจ่อความสนใจไปที่การ เด้งขึ้นมาของตลาดเพียงอย่างเดียว เนื่องจากคุณได้ให้ความสำคัญกับการเด้งขึ้นมาของตลาดมากกว่าอย่างอื่น และทำให้คุณจะพยายามทำทุกสิ่งที่ทำได้เพื่อจะบอกกับตัวเองว่าคุณจะไม่เป็น อะไร คุณจะพยายามหาเบาะแสเพื่อให้คุณสบายใจว่ามันจะเด้งขึ้นมาอีก และถึงแม้ว่าตลาดยังจะเคลื่อนที่เป็นขาลงต่อไป คุณก็จะไม่อยากรับรู้มัน คุณจะพยายามมองและรับรู้ว่าการเด้งขึ้นมาในแต่ละครั้งของตลาดเป็นจุดกลับตัว ขึ้นของมัน แต่มันก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น คุณจะเริ่มยอมรับความจริงเมื่อราคามันตกไปจนแทบไม่เหลืออะไรแล้ว.....

ตลาด หุ้นมันไม่ใช่อะไรอื่น มันเป็นเพียงสิ่งสะท้อนอารมณ์ความโลภและความกลัวของนักลงทุน ซึ่งส่งผลต่อระดับราคา มันไม่มีเหตุผลและไม่ใช่ตรรกะ ในตลาดหุ้น 1+1 อาจไม่ได้เท่ากับ 2 ดังนั้น เลิกหาเหตุผลให้มัน แต่จงเข้าใจในสิ่งที่มันเป็น และเมื่อตลาดคือสิ่งที่สะท้อนอารมณ์และจิตใจของมนุษย์ เมื่อคุณอยากเข้าใจมัน ชนะมัน และทำเงินจากมัน คุณก็ต้องเข้าใจอารมณ์และจิตใจของมนุษย์ ซึ่งมันก็คือการเข้าใจจิตใจของตัวเอง ดังนั้นจงพัฒนาการรับรู้ บริหารจิตใจและอารมณ์ของตัวคุณให้ดี แล้วคุณจะพบว่าเคล็ดลับความสำเร็จในการลงทุนไม่ได้อยู่ที่ไหน มันอยู่แค่....ภายในใจของคุณเองนี่แหละ

 ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/mark-douglas/?/