1. การวางแผนการเทรดและเทรดตามแผนของคุณ(Plan your trade And Trade your plan)
ใน
การเทรด ไม่ควรตัดสินตามอารมณ์ ความรู้สึกของคุณ ว่าราคาน่าจะขึ้น
ราคาน่าจะลง แล้วเปิดคำสั่งเทรด
คุณจำเป็นจะต้องมีการวางแผนในการเทรดเพื่อนำไปสู่ึความประสบความสำเร็จ
แผนการเทรดที่ดี ควรประกอบด้วย
1.1 การกำหนด จุดเข้า หรือ สัญญาณในการเข้าเทรด
1.2 การกำหนดจุด ขาดทุน ( Stop Loss)
1.3 การกำหนดเป้าหมายกำไร ( Target)
1.4 การวางแผนทางการเงิน ( Money Management)
1.5 การบริหารความเสี่ยง ( Risk Management)
การ
จัดสรรค์การเรดให้เหมาะสม แผนการเทรดที่ดีจะช่วยให้คุณตัดอารมณ์
ออกจากการเทรด ช่วยให้คุณไม่ต้องมานั่งเครียด เวลาที่ติดลบ หรือ ใกล้จะ
Call Margin ( เงินใกล้จะหมด) ไม่ต้องถูกบังคับปิด เช่น มาจิ้นของคุณหมด
ตัวอย่างแผนการเทรดหรือระบบเทรด คุณสามารถ หาได้จากเ็ว็บนี้ หรือ จาก
google ลองหาแผนการเทรดที่เหมาะกับตัวของคุณ ลองทดสอบระบบ
และเทรดตามระบบด้วยเงินปลอม อาจจะปรับปรุงให้เหมาะสมกับตัวของคุณ
แล้วนำมาประยุกต์ใช้กับการเทรดของคุณ
ซึ่งไม่มีระบบไหนที่ได้ผลการเทรดของคุณออกมา 100% ระบบเทรดที่ดี
ควรมีประสิทธิ์ภาพมากกว่า 60 % ไม่ว่าคุณจะได้ระบบเทพ หรือ สุดยอดเทพ ยังไง
คุณก็ต้องติดลบก่อน ไม่มีใครไม่เคย ติดลบ
2. แนวโน้มของกราฟ คือเพื่อนของคุณ ( The Trend is Your Friend )
อย่า
คิดสวนเทรน ให้หาสัญญาณ Buy/ Long เมื่อ ตลาดอยู่ในสภาวะขาขึ้น ( Bullish
Market ตลาดแดนบวก) และหาจังหวะ Sell/Short เมื่อตลาดอยู่ในสภาวะขาลง
(Bearish Market ตลาดแดนลบ)
3. การรักษาเงินลงทุน ( Focus on capital preservation)
สิง
สำคัญอีกอย่างสำหรับการเทรด ต้องรักษาเงินในบัญชีของคุณให้ดีที่สุด
การเปิดคำสั่งเทรดแค่ละคำสั่ง ไม่ควรจะเกิน 10 % ของเงินในบัญชีเทรดของคุณ
เช่น เงินทุน 1000 $ คุณควจจะเทรดไม่เกิน 100$ ถ้าไม่มีการรักษาเงินทุนไว้
เงินทุนจะลดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อเทรดมาก ได้มาก ก็เสียมาก เช่นกัน
เมื่อเงินหมด คุณอาจจะท้อ หรือเลิกไปเลย เพราะฉะนั้น ควรจะเล่นน้อยๆ เรื่อย
ๆ แล้ว จะประสบผลสำเร็จในตลาดฟอเร็ก ฟอเ็ร็กไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่าย
4.ต้องรู้ว่าเมื่อไรควรจะตัดขาดทุน (Know when to cut loss)
ถ้า
ราคาวิ่งตรงข้ามกับที่คุณได้เทรดไว้ หรือคาดการณ์ไว้
สิิ่งแรกที่คุณต้องทำคือ ตัดเนื้อร้ายออกไป อย่าให้มันรุกราม
แล้วหาโอกาสหรือจังหวะดีๆ เพื่อเข้าใหม่ การถือติดลบไว้
เป็นการเสียโอกาสในการหาจังหวะเข้าใหม่ในสัญญาณดีๆ และต้องมานั่งเครียด
เพราะกลัวว่า มาจิ้น จะหมด คังคำที่พูดกันว่าเสียน้อยเสียยาก
เสียมากเสียง่าย และ ลบน้อยตัดยาก ลบมากตัดง่าย ถ้าเลวร้ายจริงๆ
คุณอาจจะโดนคำสั่งปิด Margin Call ดังนั้นเมื่อทำการเทรดทุกครั้ง ควรหาจุด
Stop Loss จุดที่คุณควรปิดทิ้ง เมื่อราคาวิ่งตรงข้าม จากทีคาดการณ์ไว้
โดนอาจจะกำหนดไว้เลย เช่น Exit stop Loss -20 จุด -30 จุด
หรือตั้งไว้ตามแนวรับแนวต้าน Support- Resistance
5. ปิดทำกำไรเมื่อได้โอกาส หรือด้วยความพอใจของเรา(take Profit when the trade is good)
ก่อน
ทำการเทรด ตั้งเป้าหมายไว้ ว่าต้องการกำไรเท่าไร เมื่อได้โอกาส
ก็ควรปิดทำกำไร เป้าหมาย (Target) อาจจะกำหนดตายตัว หรือ
ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของเรา เช่น ทำกำไร 20 จุด หรือ 30 จุด หรือกำหนด
ตามแนวรับแนวต้าน ( Support and Resistance) หรือกำหนด โดย Fibonaccy ก็ได้
6. ตัดอารมณ์ออกไป(Be Emotionless)
สอง
อารมณ์ ที่มีผลมากให้การเทรด คือ ความโลภ ( Greedy) และความกลัว(fear)
อย่าทำให่้สองสิ่งนี้ครอบงำจิตใจของคุณ เพราะมันจะทำให้คุณไม่สามารถเทรดได้
หมั่นฝึกฝนเทรดให้เป็นระบบ เทรดตามแผน หรือระบบเทรดที่คุณได้เตรียมไว้
จัดการ กับ การกำหนดจุดเข้า ( Entry Position) จุดออก ( Exit Position)
ระบบการเงินของคุณ(Money Management) เพียงแค่นี้
คุณก็จะประสบความสำเร็จกับฟอเร็กได้
7. อย่าเทรดตามคนอื่น ( Do not trade base on tips from other people)
ควรเทรดตามระบบ ตามสัญญาณ หรือตามแผนที่วางไว้ อย่าเทรดตามคนอื่นโดยเด็ดขาด วิเคราะห์ให้ดีทุกครั้งก่อนการเทรด
8. จดบันทึกการเทรด (Keep A trade journal)
เมื่อ
คุณเปิดคำสั่ง ซื้อ (Buy/Long) ให้จด เหตุผลว่าเข้าเพราะอะไร
และจดความรู็้สึกตอนนั้นไว้ เมื่อเปิดคำสั่ง ขาย ( sell/Short)
ก็ทำเช่นเดียวกัน แล้วนำมาวิเคราะห์ บันทึก ข้อผิดพลาด ในการเทรด
ขำข้อผิดพลาดของคุณที่เกิดขึ้น นำมาเป็นบทเรียน แล้วอย่าทำตามนั้นอีก
9.เมื่อไม่แน่ใจไม่ต้องเทรด( When in doubt, stay out)
เมื่อ
คุณไม่มั่นใจหรือกำลังสับสน กับสภาวะของตลาดไม่แน่ใจว่าราคาจะวิ่งไปทางไหน
ให้อยู่เฉยๆ ไม่ต้องเทรด ออกไปเดินเล่นหาอย่างอื่นทำ
แล้วก็รอตลาดในช่วงต่อไป คุณค่อยมาหาจังหวะการเทรดใหม่
10. อย่าเทรดมากเกินไป ( DO Not Over Trade)
ไม่
ควรเปิดเทรดมากเกินไป ในการเทรดแต่ละครั้งควรมีออเดอร์ที่เปิดทิ้งไว้
ไม่เกิน 3 ออเดอร์ ถ้ามีมากเกินไป คุณอาจจะควบคุมไม่ได้
หรือาจจะใช้อารมณ์ในการตัดสินใจเมื่อตลาดเกิดการเปลี่ยนแปลง
ดังนั้นอย่าเปิดเทรดจนมากเกินไป
สิ่งที่จะแนะนำเพิ่มเติมคือ
ก่อนที่จะเริ่มเทรดด้วยเงินจริงนั้น ควรจะลองเทรดด้วยเงินปลอม
เสียก่อนนะครับ อย่างน้อยๆ 1-3 เดือนเป็นอย่างต่ำ
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaibestforex.com/forex/10-forex-639/?/
Showing posts with label โอกาส. Show all posts
Showing posts with label โอกาส. Show all posts
กลยุทธ์การตั้ง Stop Loss (จุดขาดทุน)
Posted by
goodintequila
"ทำไมราคาวิ่งมาชน Stop loss (SL) ของเราอีกแล้ว" นี่น่าจะเป็นคำถามที่เทรดเดอร์ถามตัวเองแบบเซ็งๆเป็นประจำเมื่อออเดอร์ของเราโดน SL
ที่ มันเป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ตลาดจะทำทุกอย่างที่มันอยากจะทำ เคลื่อนไหวไปในทางที่มันอยากจะไป เทรดเดอร์ต้องเจอกับความท้าทายใหม่ๆทุกวัน ส่วนมาก็จะเป็นในเรื่องของการเมืองทั่วโลก เหตุการณ์สำคัญทางเศรษฐกิจ หรือแม้แต่กระทั่งข่าวลือที่เกี่ยวกับธนาคารกลางที่สามารถทำให้ราคาวิ่งไปใน ทิศทางไหนก็ได้ในเวลาอันรวดเร็วโดยที่คุณไม่ทันได้ตั้งตัว นั่นก็หมายความว่า จะต้องมีเทรดเดอร์บางคนที่เปิดออเดอร์ในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับราคาตลาด และต้องเสียเงินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ว่าเราสามารถควบคุมได้ว่าเราจะทำอย่างไรเมื่อเราตกอยู่ในสถานการณ์อย่าง นั้น เราสามารถปิดออเดอร์เพื่อตัดการขาดทุนในตอนนั้นเลย หรือว่าคุณจะนั่งรอคอยความหวังว่าราคามันจะกลับมาในที่ที่คุณต้องการ และถ้ามันไม่กลับมาอย่างที่คุณหวังไว้แล้วคุณปล่อยไปอย่างนั้นเรื่อยๆโดยไม่ มีการตัดสินใจ พอร์ตของคุณก็อาจจะสะอาดได้ (ล้างพอร์ต)
คำพูดที่ว่า "Live to trade another day!" น่าจะเป็นคำขวัญของเทรดเดอร์มือใหม่ทุกคน เพราะ ยิ่งคุณอยู่รอดได้นานเท่าไหร่ คุณก็สามารถเรียนรู้ได้มากขึ้นเท่านั้น และนั่นก็จะเพิ่มโอกาสที่จะประสบความสำเร็จของคุณด้วย
กลยุทธ์การเทรด อีกอย่างที่สำคัญคือการ "stop losses" ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญที่เทรดเดอร์ควรจะรู้ไว้เพื่อเป็นอาวุธอย่างหนึ่งใน การเทรด การที่มีการตั้ง SL นี้ นอกจากจะช่วยตัดการขาดทุนของคุณเพื่อให้มีโอกาสในการกู้สถานการณ์แล้ว มันยังช่วยขจัดความวิตกกังวลที่เกิดจากการสูญเสียในการเทรดโดยไม่ต้องวางแผน ด้วย และความเครียดที่ลดลงมันก็เป็นผลดีในการเทรดของคุณด้วย
จุด SL ควรจะเป็นจุดที่ "ลบล้างความคิด" ในการเทรดสำหรับออเดอร์นั้นๆของคุณ ดังนั้นเมื่อราคามาถึงจุด SL มันก็น่าจะเป็นสัญญาณว่า "มันถึงเวลาที่ต้องออกจากออเดอร์นี้แล้ว"
การตั้งจะ SL นั้นมี 4 วิธี ที่เราสามารถเลือกใช้ได้ในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน หรือเลือกแล้วแต่ความถนัดของเรา
1. หยุดตามสัดส่วนความเสี่ยงของเงินทุน
2. หยุดตามรูปแบบของกราฟ
3. หยุดตามความผันผวน
4. หยุดตามเวลา
1. หยุดตามสัดส่วนความเสี่ยงของเงินทุน
การ ตั้ง SL แบบนี้เป็นการตั้ง SL แบบพื้นฐานที่สุด โดยใช้การกำหนดความเสี่ยงจากสัดส่วนของเงินทุนที่อยู่ในบัญชี อย่างเช่นว่า เราเต็มใจที่จะเสี่ยงขาดทุนได้ที่ 2% ต่อการเทรดในแต่ละครั้ง แต่ว่าเทรดเดอร์ทุกคนจะยอมรับความเสี่ยได้ไม่เท่ากัน บางคนอาจจะรับความเสี่ยงได้ถึง 10% ในขณะที่บางคนอาจจะยอมเสี่ยงได้เพียงแค่ 1% เท่านั้น
และในการตั้ง SL คุณควรจะตั้งตามสภาวะของตลาด หรือตามกฎของระบบเทรดของคุณ ไม่ใช่ว่าตั้งตามจำนวนเงินที่คุณจะยอมสูญเสียได้
สับสนมั้ยคะ
งั้นเรามาดูตัวอย่างกัน
นาย แดง มีบัญชีมินิ ที่มีเงินอยู่ $500 และ ขนาด Lot size ที่เขาสามารถเทรดได้คือ 10k ( ในบัญชีมินิ 10k เท่ากับการเทรดที่ จุดละ $1) แดงต้องการที่จะเทรด GBP/USD และเขาเห็นว่าราคาวิ่งอยู่แถวๆแนวต้านที่ระดับ 1.5620 เขาจึงต้องการที่จะเซล และตามกฎการลงทุนของเขาคือ เขาจะไม่เสี่ยงเกิน 2% ของเงินทุนในการเทรดแต่ละครั้ง และสำหรับการเทรดที่ขนาด 10k ของ GBP/USD แต่ละจุดมีค่า $1 และ 2% ของเงินในบัญชีแดงเท่ากับ $10 ดังแดงก็จะตั้ง SL ได้มากที่สุดที่ 10 จุด ดังนั้นแดงจะต้องตั้งจุด SL ของเขาไว้ที่ 1.5630
แต่ ว่า GBP/USD มีการเคลื่อนไหวทีมากกว่า 100 จุดต่อวัน ราคาจึงอาจจะวิ่งมาชนจุด SL ของแดงได้อย่างง่ายดาย เพราะตำแหน่ง SL นั้นจำกัดด้วยการตั้งค่าความเสี่ยงจากเงินในบัญชีของเขา และเขาตัง SL ด้วยโดยยึดตามจำนวนเงินที่เขาสามารถสูญเสียได้ แทนที่จะกำหนดตามเงื่อนไขจากการเคลื่อนไหวของ GBP/USD
และ ในที่สุด ราคาก็วิ่งมาชน SL ของแดง เพราะว่าจุด SL ของเขาที่วางไว้น้อยเกินไป และนอกเหนือจากนั้นคือ เขาเสียโอกาสที่จะเก็บมากกว่า 100 จุดด้วย
จากตัวอย่างนี้คุณได้เห็นถึง อันตรายจากการตั้ง SL จากการใช้สัดส่วนความเสี่ยงของเงินทุน ที่บังคับให้เทรดเดอร์ต้องตั้งจุด SL ในระดับราคาที่ไม่เหมาะสมกับสภาวะของตลาดและอย่างในกรณีนี้ จุด SL ก็อยุ่ใกล้กับจุดเปิดออเดอร์มาก และเป็นการตั้ง SL ที่ไม่ได้ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคร่วมด้วยเลย (เห็นว่าใกล้แนวต้านก็ใส่เลย ไม่ได้วิเคราะห์อย่างอื่นร่วมเลย)
คุณรู้อยู่แล้วว่า คุณควรจะตั้ง SL ในระดับที่ราคาสามารถจะกลับตัวมาในทิศทางที่คุณคาดคิดไว้โดยไม่ชน SL ของคุณ แต่ในกรณีนี้ราคามันวิ่งไปชน SL เข้าแล้ว จึงหมดโอกาสที่จะทำกำไรได้ และ วิธีแก้ปัญหาสำหรับแดงก็คือ หาโบรคเกอร์ที่เหมาะสมกับสไตร์การเทรดและเงินทุนของเขา
ในกรณีของแดง เขาควรแก้ไขโดยการหาโบรคเกอร์ที่เขาสามารถกำหนดขนาดการซื้อขายที่เล็กลง หรือแม้แต่สามารถกำหนดขนาดเองได้ อย่างเช่น สามารถเทรดที่ขนาด 1k ในคู่เงิน GBP/USD ได้ ซึ่งแต่ละจุด จะมีค่าเท่ากับ $0.10 ซึ่งจะทำให้แดงสามารถตั้งจุด SL ได้ตามเงื่อนไขความเสี่ยงของเขาได้อย่างสบายๆ แดงจะสามารถตั้งจุด SL สำหรับการเทรด GBP/USD ได้ถึง 100 จุด ในความเสี่ยงที่ 2% ของเงินในบัญชีของเขา และตอนนี้เขาก็สามารถตั้ง SL ให้เหมาะสมกับสภาวะของตลาด รวมทั้งเป็นไปตามกฎของระบบการซื้อขาย ตามแนวรับแนวต้านแล้ว
2. หยุดตามรูปแบบของกราฟ
วิธี การหาจุด SL อีกวิธหนึ่งที่เหมาะสมมากกว่าวิธีแรกคือ ตั้งตามรูปแบบของกราฟ เป็นการตั้ง SL โดยยึดตามสิ่งที่ที่ตลาดบอกเราด้วยรูปแบบของตัวมันเอง
เรา สามารถสังเกตการเคลื่อนไหวของราคาได้ ในบางครั้งราคาก็ดูเหมือนไม่สามารถที่จะวิ่งทะลุผ่านแนวรับแนวต้านนั้นๆ และก็มีบ่อยครั้งที่ราคาวิ่งผ่านแนวรับแนวต้านไปได้ในที่สุดหลังจากวิ่งไป วิ่งมาอยู่ในกรอบแนวรับแนวต้านนั้นมาระยะหนึ่ง
การตั้งจุด SL ให้เหนือหรือต่ำกว่าระดับแนวรับแนวต้านนั้นก็เป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลในกรณี ที่ราคาไม่ Break ระดับแนวรับแนวต้าน แต่ถ้าราคาสามารถ break กรอบราคานั้น ก็จะทำให้เทรดเดอร์อื่นๆเห่เข้ามาเล่นด้วยเมื่อเห็นการทะลุของราคา (Breakout) และเทรดเดอร์เหล่านั้นอาจจะทำให้ราคาวิ่งไปในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับออเดอร์ ของคุณ(ที่เล่นอยู่ในกรอบราคา) ได้ และอย่างที่คุณทราวว่าเมื่อเวลาพักตัวอยู่ในกรอบราคานั่นหมายถึงการสะสมพลัง ซึ่งเมื่อราคาเกิดการ Breakout แล้วก็มีแนวโน้มมากที่ราคาอาจวิ่งพุ่งเป็นเทรนไปในทิศทางนั้นๆ ต่อไปเรามาดูตัวอย่างการตั้ง SL อีกอย่างหนึ่งเมื่อเกิดการ Breakout ของราคา
จากตัวอย่างเป็นการตั้ง SL โดยยึดตามแนวรับแนวต้าน
ตาม ภาพตัวอย่างเราเห็นได้ว่าราคามีการซื้อขายกันอยู่เหนือเส้นแนวรับ (สีดำ) และเมื่อราคาวิ่งทะลุผ่านแนวต้านด้านบน (สีแดง) ไปได้คุณก็คิดว่ามันการ Breakout ที่สวยงาม และคุณตัดสินใจที่จะซื้อตามแนวโน้มนั้น แต่ก่อนอื่นคุณต้องตั้งคำถามก่อนว่า ตรงไหนที่คุณจะตั้ง SL ถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คุณคาดคิดไว้ และเงือนไขอะไรที่จะบอกคุณได้ว่า ความคิดของคุณในการเข้าซื้อครั้งนี้ไม่ถูกต้อง
ใน กรณีนี้ การตั้ง SL ที่สมเหตุสมผมมากที่สุดคือ ตั้ง SL ไว้ใต้แนวรับ (สำดำ) และเส้นเทรนไลน์ (สีแดง) และถ้าราคาวิ่งผ่านเส้นเทรนไลน์นี้ลงมาได้ ก็หมายความว่า มีแรงซื้อไม่พอและตอนนี้ผู้ขายเป็นฝ่ายควบคุมตลาด ดังนั้นความคิดของคุณในการเปิดออเดอร์ซื้อในครั้งนี้จึงเป็นความผิดพลาด และถึงเวลาที่คุณควรจะออกจากออเดอร์ของคุณและยอมรับการสูญเสีย คุณจะเห็นราคาวิ่งในลักษณะนี้ได้บ่อยมากในคู่เงิน EUR/USD
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaibestforex.com/forex/stop-loss-()/?/
ที่ มันเป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ตลาดจะทำทุกอย่างที่มันอยากจะทำ เคลื่อนไหวไปในทางที่มันอยากจะไป เทรดเดอร์ต้องเจอกับความท้าทายใหม่ๆทุกวัน ส่วนมาก็จะเป็นในเรื่องของการเมืองทั่วโลก เหตุการณ์สำคัญทางเศรษฐกิจ หรือแม้แต่กระทั่งข่าวลือที่เกี่ยวกับธนาคารกลางที่สามารถทำให้ราคาวิ่งไปใน ทิศทางไหนก็ได้ในเวลาอันรวดเร็วโดยที่คุณไม่ทันได้ตั้งตัว นั่นก็หมายความว่า จะต้องมีเทรดเดอร์บางคนที่เปิดออเดอร์ในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับราคาตลาด และต้องเสียเงินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ว่าเราสามารถควบคุมได้ว่าเราจะทำอย่างไรเมื่อเราตกอยู่ในสถานการณ์อย่าง นั้น เราสามารถปิดออเดอร์เพื่อตัดการขาดทุนในตอนนั้นเลย หรือว่าคุณจะนั่งรอคอยความหวังว่าราคามันจะกลับมาในที่ที่คุณต้องการ และถ้ามันไม่กลับมาอย่างที่คุณหวังไว้แล้วคุณปล่อยไปอย่างนั้นเรื่อยๆโดยไม่ มีการตัดสินใจ พอร์ตของคุณก็อาจจะสะอาดได้ (ล้างพอร์ต)
คำพูดที่ว่า "Live to trade another day!" น่าจะเป็นคำขวัญของเทรดเดอร์มือใหม่ทุกคน เพราะ ยิ่งคุณอยู่รอดได้นานเท่าไหร่ คุณก็สามารถเรียนรู้ได้มากขึ้นเท่านั้น และนั่นก็จะเพิ่มโอกาสที่จะประสบความสำเร็จของคุณด้วย
กลยุทธ์การเทรด อีกอย่างที่สำคัญคือการ "stop losses" ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญที่เทรดเดอร์ควรจะรู้ไว้เพื่อเป็นอาวุธอย่างหนึ่งใน การเทรด การที่มีการตั้ง SL นี้ นอกจากจะช่วยตัดการขาดทุนของคุณเพื่อให้มีโอกาสในการกู้สถานการณ์แล้ว มันยังช่วยขจัดความวิตกกังวลที่เกิดจากการสูญเสียในการเทรดโดยไม่ต้องวางแผน ด้วย และความเครียดที่ลดลงมันก็เป็นผลดีในการเทรดของคุณด้วย
จุด SL ควรจะเป็นจุดที่ "ลบล้างความคิด" ในการเทรดสำหรับออเดอร์นั้นๆของคุณ ดังนั้นเมื่อราคามาถึงจุด SL มันก็น่าจะเป็นสัญญาณว่า "มันถึงเวลาที่ต้องออกจากออเดอร์นี้แล้ว"
การตั้งจะ SL นั้นมี 4 วิธี ที่เราสามารถเลือกใช้ได้ในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน หรือเลือกแล้วแต่ความถนัดของเรา
1. หยุดตามสัดส่วนความเสี่ยงของเงินทุน
2. หยุดตามรูปแบบของกราฟ
3. หยุดตามความผันผวน
4. หยุดตามเวลา
1. หยุดตามสัดส่วนความเสี่ยงของเงินทุน
การ ตั้ง SL แบบนี้เป็นการตั้ง SL แบบพื้นฐานที่สุด โดยใช้การกำหนดความเสี่ยงจากสัดส่วนของเงินทุนที่อยู่ในบัญชี อย่างเช่นว่า เราเต็มใจที่จะเสี่ยงขาดทุนได้ที่ 2% ต่อการเทรดในแต่ละครั้ง แต่ว่าเทรดเดอร์ทุกคนจะยอมรับความเสี่ยได้ไม่เท่ากัน บางคนอาจจะรับความเสี่ยงได้ถึง 10% ในขณะที่บางคนอาจจะยอมเสี่ยงได้เพียงแค่ 1% เท่านั้น
และในการตั้ง SL คุณควรจะตั้งตามสภาวะของตลาด หรือตามกฎของระบบเทรดของคุณ ไม่ใช่ว่าตั้งตามจำนวนเงินที่คุณจะยอมสูญเสียได้
สับสนมั้ยคะ

นาย แดง มีบัญชีมินิ ที่มีเงินอยู่ $500 และ ขนาด Lot size ที่เขาสามารถเทรดได้คือ 10k ( ในบัญชีมินิ 10k เท่ากับการเทรดที่ จุดละ $1) แดงต้องการที่จะเทรด GBP/USD และเขาเห็นว่าราคาวิ่งอยู่แถวๆแนวต้านที่ระดับ 1.5620 เขาจึงต้องการที่จะเซล และตามกฎการลงทุนของเขาคือ เขาจะไม่เสี่ยงเกิน 2% ของเงินทุนในการเทรดแต่ละครั้ง และสำหรับการเทรดที่ขนาด 10k ของ GBP/USD แต่ละจุดมีค่า $1 และ 2% ของเงินในบัญชีแดงเท่ากับ $10 ดังแดงก็จะตั้ง SL ได้มากที่สุดที่ 10 จุด ดังนั้นแดงจะต้องตั้งจุด SL ของเขาไว้ที่ 1.5630

แต่ ว่า GBP/USD มีการเคลื่อนไหวทีมากกว่า 100 จุดต่อวัน ราคาจึงอาจจะวิ่งมาชนจุด SL ของแดงได้อย่างง่ายดาย เพราะตำแหน่ง SL นั้นจำกัดด้วยการตั้งค่าความเสี่ยงจากเงินในบัญชีของเขา และเขาตัง SL ด้วยโดยยึดตามจำนวนเงินที่เขาสามารถสูญเสียได้ แทนที่จะกำหนดตามเงื่อนไขจากการเคลื่อนไหวของ GBP/USD

และ ในที่สุด ราคาก็วิ่งมาชน SL ของแดง เพราะว่าจุด SL ของเขาที่วางไว้น้อยเกินไป และนอกเหนือจากนั้นคือ เขาเสียโอกาสที่จะเก็บมากกว่า 100 จุดด้วย
จากตัวอย่างนี้คุณได้เห็นถึง อันตรายจากการตั้ง SL จากการใช้สัดส่วนความเสี่ยงของเงินทุน ที่บังคับให้เทรดเดอร์ต้องตั้งจุด SL ในระดับราคาที่ไม่เหมาะสมกับสภาวะของตลาดและอย่างในกรณีนี้ จุด SL ก็อยุ่ใกล้กับจุดเปิดออเดอร์มาก และเป็นการตั้ง SL ที่ไม่ได้ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคร่วมด้วยเลย (เห็นว่าใกล้แนวต้านก็ใส่เลย ไม่ได้วิเคราะห์อย่างอื่นร่วมเลย)
คุณรู้อยู่แล้วว่า คุณควรจะตั้ง SL ในระดับที่ราคาสามารถจะกลับตัวมาในทิศทางที่คุณคาดคิดไว้โดยไม่ชน SL ของคุณ แต่ในกรณีนี้ราคามันวิ่งไปชน SL เข้าแล้ว จึงหมดโอกาสที่จะทำกำไรได้ และ วิธีแก้ปัญหาสำหรับแดงก็คือ หาโบรคเกอร์ที่เหมาะสมกับสไตร์การเทรดและเงินทุนของเขา
ในกรณีของแดง เขาควรแก้ไขโดยการหาโบรคเกอร์ที่เขาสามารถกำหนดขนาดการซื้อขายที่เล็กลง หรือแม้แต่สามารถกำหนดขนาดเองได้ อย่างเช่น สามารถเทรดที่ขนาด 1k ในคู่เงิน GBP/USD ได้ ซึ่งแต่ละจุด จะมีค่าเท่ากับ $0.10 ซึ่งจะทำให้แดงสามารถตั้งจุด SL ได้ตามเงื่อนไขความเสี่ยงของเขาได้อย่างสบายๆ แดงจะสามารถตั้งจุด SL สำหรับการเทรด GBP/USD ได้ถึง 100 จุด ในความเสี่ยงที่ 2% ของเงินในบัญชีของเขา และตอนนี้เขาก็สามารถตั้ง SL ให้เหมาะสมกับสภาวะของตลาด รวมทั้งเป็นไปตามกฎของระบบการซื้อขาย ตามแนวรับแนวต้านแล้ว
2. หยุดตามรูปแบบของกราฟ
วิธี การหาจุด SL อีกวิธหนึ่งที่เหมาะสมมากกว่าวิธีแรกคือ ตั้งตามรูปแบบของกราฟ เป็นการตั้ง SL โดยยึดตามสิ่งที่ที่ตลาดบอกเราด้วยรูปแบบของตัวมันเอง
เรา สามารถสังเกตการเคลื่อนไหวของราคาได้ ในบางครั้งราคาก็ดูเหมือนไม่สามารถที่จะวิ่งทะลุผ่านแนวรับแนวต้านนั้นๆ และก็มีบ่อยครั้งที่ราคาวิ่งผ่านแนวรับแนวต้านไปได้ในที่สุดหลังจากวิ่งไป วิ่งมาอยู่ในกรอบแนวรับแนวต้านนั้นมาระยะหนึ่ง
การตั้งจุด SL ให้เหนือหรือต่ำกว่าระดับแนวรับแนวต้านนั้นก็เป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลในกรณี ที่ราคาไม่ Break ระดับแนวรับแนวต้าน แต่ถ้าราคาสามารถ break กรอบราคานั้น ก็จะทำให้เทรดเดอร์อื่นๆเห่เข้ามาเล่นด้วยเมื่อเห็นการทะลุของราคา (Breakout) และเทรดเดอร์เหล่านั้นอาจจะทำให้ราคาวิ่งไปในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับออเดอร์ ของคุณ(ที่เล่นอยู่ในกรอบราคา) ได้ และอย่างที่คุณทราวว่าเมื่อเวลาพักตัวอยู่ในกรอบราคานั่นหมายถึงการสะสมพลัง ซึ่งเมื่อราคาเกิดการ Breakout แล้วก็มีแนวโน้มมากที่ราคาอาจวิ่งพุ่งเป็นเทรนไปในทิศทางนั้นๆ ต่อไปเรามาดูตัวอย่างการตั้ง SL อีกอย่างหนึ่งเมื่อเกิดการ Breakout ของราคา
จากตัวอย่างเป็นการตั้ง SL โดยยึดตามแนวรับแนวต้าน

ตาม ภาพตัวอย่างเราเห็นได้ว่าราคามีการซื้อขายกันอยู่เหนือเส้นแนวรับ (สีดำ) และเมื่อราคาวิ่งทะลุผ่านแนวต้านด้านบน (สีแดง) ไปได้คุณก็คิดว่ามันการ Breakout ที่สวยงาม และคุณตัดสินใจที่จะซื้อตามแนวโน้มนั้น แต่ก่อนอื่นคุณต้องตั้งคำถามก่อนว่า ตรงไหนที่คุณจะตั้ง SL ถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คุณคาดคิดไว้ และเงือนไขอะไรที่จะบอกคุณได้ว่า ความคิดของคุณในการเข้าซื้อครั้งนี้ไม่ถูกต้อง

ใน กรณีนี้ การตั้ง SL ที่สมเหตุสมผมมากที่สุดคือ ตั้ง SL ไว้ใต้แนวรับ (สำดำ) และเส้นเทรนไลน์ (สีแดง) และถ้าราคาวิ่งผ่านเส้นเทรนไลน์นี้ลงมาได้ ก็หมายความว่า มีแรงซื้อไม่พอและตอนนี้ผู้ขายเป็นฝ่ายควบคุมตลาด ดังนั้นความคิดของคุณในการเปิดออเดอร์ซื้อในครั้งนี้จึงเป็นความผิดพลาด และถึงเวลาที่คุณควรจะออกจากออเดอร์ของคุณและยอมรับการสูญเสีย คุณจะเห็นราคาวิ่งในลักษณะนี้ได้บ่อยมากในคู่เงิน EUR/USD
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaibestforex.com/forex/stop-loss-()/?/
การป้องกันความเสี่ยง
Posted by
goodintequila
ก่อนที่จะลงลึกไปในรายละเอียดกว่านี้ เราบอกคุณได้อย่างไม่ปิดบังเรื่องที่ต้องคิดก่อนที่จะเทรด คือ:
1. นักเทรดทุกคน หมายถึง ทุกคนจริงๆ จะเสียเงินในการเทรด
90 เปอร์เซ็นของเทรดเดอร์ จะเสียเงิน เนื่องจากขาดการวางแผน การฝึก และไม่มีความรู้ ความเข้าใจ เรื่องการ จัดการ การเงิน ถ้าคุณไม่อยากเสียเงิน คุณจะต้องเผชิญกับความยากลำบากในการเทรด หรือการปรับตัว ในการ เทรด
2. การเทรดฟอร์เร็กซ์ ไม่เหมาะสำหรับคนที่ไม่ทำงาน ไม่เหมาะสำหรับคนที่มีรายได้น้อย และไม่สามารถ
ดูแลตัวเอง จ่ายค่าน้ำค่าไฟ ค่ากับข้าวให้ตัวเองได้
คุณ ควรจะมีเงินในการเทรด ในบัญชี mini เป็นอย่างน้อย นั่นหมายความว่าเป็นเงินที่คุณ สามารถเสียไปได้ ไม่ใช่ยืม คนอื่นมาเล่น อย่าคิดว่าจะสามารถเริ่มเทรดด้วยเงินเพียงไม่กี่ร้อยเหรียญแล้วจะกลายเป็น มหาเศรษฐี ในชั่วข้ามคืน
ตลาดฟอร์เร็กซ์เป็นตลาดที่ได้รับความนิยม มาก สำหรับนักเก็งกำไร เนื่องจากตลาดที่มีความคล่องตัวสูง ของการ เคลื่อนไหว ของทิศทางค่าเงิน เมื่อเกิดเทรนด์ขึ้น นักเทรดทั่วโลกส่วนใหญ่จะ เสียเงิน ขณะที่คนที่ประสบ ความ สำเร็จ กับฟอร์เร็กซ์ มีเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ของจำนวนเทรดเดอร์ ทั้งหมด
เทรดเดอร์ส่วน ใหญ่เข้ามาในตลาด พร้อมกับ ความหวังว่า พวกเขาจะทำเงินได้เป็นล้านเหรียญ แต่ว่าในความจริง พวกเขา ต้องมีวินัยในการเทรด ผู้คนส่วนมากจะขาดวินัยอยู่แล้วแม้กระทั่ง แค่พยายามจะลดน้ำหนัก ด้วยการ ไปที่ยิมสามครั้ง ต่อสัปดาห์ยังทำได้ยาก ถ้าแค่นั้นคุณยังทำ ไม่ได้คุณจะเทรดแล้วประสบความสำเร็จได้ยังไง การเล่นระยะสั้นนั้น ไม่เหมาะกับมือสมัครเล่น และมันเป็นหนทางที่เต็มไปด้วยขวากหนามในการ ทำให้ตัวเอง รวยขึ้น คุณไม่สามรถทำกำไร ได้มหาศาลโดยไม่เสี่ยงเลยได้หรอก กลยุทธ์การเทรดที่เสี่ยงสูง ย่อมหมายถึง โอกาสที่คุณ จะขาดทุนสูงเข้าไปด้วย เทรดเดอร์ที่ทำอย่างนั้น เรียกได้ว่าไม่มีแม้กระทั่งกลยุทธในการเทรด แม้ว่าคุณจะเรียกมันว่ากลยุทธการพนันก็ตาม
ฟอร์เร็กซ์ ไม่ใช่หนทางไปสู่ความร่ำรวยมั่งคั่ง !
- การเทรดฟอร์เร็กซ์เป็นทักษะ และต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ นักเทรดที่มีทักษะที่ดี สามารถทำเงินได้ จากการเทรด อย่างไรก็ตามก็เหมือนอาชีพอื่น ๆ ความสำเร็จไม่ได้มา เพียงชั่วข้ามคืน การเทรดฟอร์เร็กซ์ ไม่ใช่เรื่องกล้วย ๆ (เหมือนที่คนบางคนเชื่อ) ลองคิดดูว่า ถ้าทุกคนที่เทรดจะ ได้เป็นเศรษฐีกันหมด ทำไม ระดับมืออาชีพที่เทรดมาหลายปีก็ยังต้องขาดทุนอยู่บ้าง
- ท่องไว้ในหัวของคุณเสมอ : ไม่มีทางลัดในการเทรดฟอร์เร็กซ์ มันใช้เวลานาน และนาน และนาน ยิ่งกว่า อย่างอื่น ในการที่เราจะกลายเป็นมืออาชีพ ไม่มีตัวสำรองให้เปลี่ยน เมื่อเรารู้สึกเหนื่อย และคิดว่างานนั้นยาก ในการฝึกเทรดเดโม และการเล่นเงินปลอม แล้วคิดว่าเป็นเงินจริง
อย่าพึ่งเปิดบัญชีเงินจริง จนกว่าคุณจะเทรดแล้วได้กำไรในบัญชีเดโม
ถ้า คุณไม่สามารถรอให้คุณทำกำไรในบัญชีเดโมได้ อย่างน้อยคุณก็ต้องลองเทรดเดโมซักสองเดือน อย่างน้อย คุณก็จะไม่เสียเงินจริง ไปอย่างน้อยสองเดือน ถ้าแค่สอง เดือนคุณยังเทรดเดโมไม่ได้กกำไร ก็เลิกเล่นซะ
- จำไว้ว่า เล่นคู่หลัก ๆ ซักคู่หนึ่ง มันยากที่จะเทรดด้วยการเทรดหลายค่าเงิน เมื่อตอนที่คุณกำลังหัดเล่น เล่นแค่คู่หลัก ๆ คู่เดียวพอ เพราะค่า spread ก็จะถูกด้วย
1. นักเทรดทุกคน หมายถึง ทุกคนจริงๆ จะเสียเงินในการเทรด
90 เปอร์เซ็นของเทรดเดอร์ จะเสียเงิน เนื่องจากขาดการวางแผน การฝึก และไม่มีความรู้ ความเข้าใจ เรื่องการ จัดการ การเงิน ถ้าคุณไม่อยากเสียเงิน คุณจะต้องเผชิญกับความยากลำบากในการเทรด หรือการปรับตัว ในการ เทรด
2. การเทรดฟอร์เร็กซ์ ไม่เหมาะสำหรับคนที่ไม่ทำงาน ไม่เหมาะสำหรับคนที่มีรายได้น้อย และไม่สามารถ
ดูแลตัวเอง จ่ายค่าน้ำค่าไฟ ค่ากับข้าวให้ตัวเองได้
คุณ ควรจะมีเงินในการเทรด ในบัญชี mini เป็นอย่างน้อย นั่นหมายความว่าเป็นเงินที่คุณ สามารถเสียไปได้ ไม่ใช่ยืม คนอื่นมาเล่น อย่าคิดว่าจะสามารถเริ่มเทรดด้วยเงินเพียงไม่กี่ร้อยเหรียญแล้วจะกลายเป็น มหาเศรษฐี ในชั่วข้ามคืน
ตลาดฟอร์เร็กซ์เป็นตลาดที่ได้รับความนิยม มาก สำหรับนักเก็งกำไร เนื่องจากตลาดที่มีความคล่องตัวสูง ของการ เคลื่อนไหว ของทิศทางค่าเงิน เมื่อเกิดเทรนด์ขึ้น นักเทรดทั่วโลกส่วนใหญ่จะ เสียเงิน ขณะที่คนที่ประสบ ความ สำเร็จ กับฟอร์เร็กซ์ มีเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ของจำนวนเทรดเดอร์ ทั้งหมด
เทรดเดอร์ส่วน ใหญ่เข้ามาในตลาด พร้อมกับ ความหวังว่า พวกเขาจะทำเงินได้เป็นล้านเหรียญ แต่ว่าในความจริง พวกเขา ต้องมีวินัยในการเทรด ผู้คนส่วนมากจะขาดวินัยอยู่แล้วแม้กระทั่ง แค่พยายามจะลดน้ำหนัก ด้วยการ ไปที่ยิมสามครั้ง ต่อสัปดาห์ยังทำได้ยาก ถ้าแค่นั้นคุณยังทำ ไม่ได้คุณจะเทรดแล้วประสบความสำเร็จได้ยังไง การเล่นระยะสั้นนั้น ไม่เหมาะกับมือสมัครเล่น และมันเป็นหนทางที่เต็มไปด้วยขวากหนามในการ ทำให้ตัวเอง รวยขึ้น คุณไม่สามรถทำกำไร ได้มหาศาลโดยไม่เสี่ยงเลยได้หรอก กลยุทธ์การเทรดที่เสี่ยงสูง ย่อมหมายถึง โอกาสที่คุณ จะขาดทุนสูงเข้าไปด้วย เทรดเดอร์ที่ทำอย่างนั้น เรียกได้ว่าไม่มีแม้กระทั่งกลยุทธในการเทรด แม้ว่าคุณจะเรียกมันว่ากลยุทธการพนันก็ตาม
ฟอร์เร็กซ์ ไม่ใช่หนทางไปสู่ความร่ำรวยมั่งคั่ง !
- การเทรดฟอร์เร็กซ์เป็นทักษะ และต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ นักเทรดที่มีทักษะที่ดี สามารถทำเงินได้ จากการเทรด อย่างไรก็ตามก็เหมือนอาชีพอื่น ๆ ความสำเร็จไม่ได้มา เพียงชั่วข้ามคืน การเทรดฟอร์เร็กซ์ ไม่ใช่เรื่องกล้วย ๆ (เหมือนที่คนบางคนเชื่อ) ลองคิดดูว่า ถ้าทุกคนที่เทรดจะ ได้เป็นเศรษฐีกันหมด ทำไม ระดับมืออาชีพที่เทรดมาหลายปีก็ยังต้องขาดทุนอยู่บ้าง
- ท่องไว้ในหัวของคุณเสมอ : ไม่มีทางลัดในการเทรดฟอร์เร็กซ์ มันใช้เวลานาน และนาน และนาน ยิ่งกว่า อย่างอื่น ในการที่เราจะกลายเป็นมืออาชีพ ไม่มีตัวสำรองให้เปลี่ยน เมื่อเรารู้สึกเหนื่อย และคิดว่างานนั้นยาก ในการฝึกเทรดเดโม และการเล่นเงินปลอม แล้วคิดว่าเป็นเงินจริง
อย่าพึ่งเปิดบัญชีเงินจริง จนกว่าคุณจะเทรดแล้วได้กำไรในบัญชีเดโม
ถ้า คุณไม่สามารถรอให้คุณทำกำไรในบัญชีเดโมได้ อย่างน้อยคุณก็ต้องลองเทรดเดโมซักสองเดือน อย่างน้อย คุณก็จะไม่เสียเงินจริง ไปอย่างน้อยสองเดือน ถ้าแค่สอง เดือนคุณยังเทรดเดโมไม่ได้กกำไร ก็เลิกเล่นซะ
- จำไว้ว่า เล่นคู่หลัก ๆ ซักคู่หนึ่ง มันยากที่จะเทรดด้วยการเทรดหลายค่าเงิน เมื่อตอนที่คุณกำลังหัดเล่น เล่นแค่คู่หลัก ๆ คู่เดียวพอ เพราะค่า spread ก็จะถูกด้วย
คุณอาจจะเป็นผู้ชนะในการเทรดฟอร์เร็กซ์
แต่ว่า.. ในชีวิตของคุณ คุณต้องศึกษามันอย่างหนัก
ทำการบ้าน ทุ่มเท และต้องใช้โชคช่วยนิดหน่อย
ต้องใช้สามัญสำนึก และ การตัดสินใจที่ดี เป็นอย่างมาก
แต่ว่า.. ในชีวิตของคุณ คุณต้องศึกษามันอย่างหนัก
ทำการบ้าน ทุ่มเท และต้องใช้โชคช่วยนิดหน่อย
ต้องใช้สามัญสำนึก และ การตัดสินใจที่ดี เป็นอย่างมาก
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaibestforex.com/forex/t637/?/
แผนการลงทุนภายใน 1 ปี
Posted by
goodintequila
on Monday, July 20, 2015
Labels:
Pips,
การซื้อขาย,
การเทรด,
กำไร,
จังหวะ,
นักลงทุน,
แผนการลงทุน,
สติ,
โอกาส
/
แผนการลงทุนภายใน 1 ปี

จากตาราง เป็นแผนการทำกำไรภายในระยะเวลา 1 ปี แถวที่สองเป็นจำนวนจุดต่อเดือน
แถวที่สามคือ จำนวนจุดต่อวันและแถวที่สี่เป็นเปอร์เซนต์ของเงินลงทุนของเรา
ซึ่งถ้า % เงินลงทุนน้อย จำนวนจุดต่อวันก็จะมาก แต่ถ้า % ของเงินลงทุนเยอะ
จำนวนจุด ที่ต้องการต่อวันก็จะน้อยลง ซึ่งก็มีความเสี่ยงมากกว่าด้วยยกตัวอย่างนะครับ
เราจะเล่นที่ 5 % ของทุน คือ 0.25 เหรียญคงที่ตลอดระยะเวลา 1เดือนเราต้อง
ทำกำไรวันละ 100 จุด (pips) และต้องทำให้ได้ 2000 จุด ภายใน 1 เดือน
และทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ เมื่อครบกำหนด 1 ปี เราก็จะมีเงิน 20480 เหรียญ
แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากโดยที่เราจะต้องสามารถควบคุมอารมณ์และความโลภของเราให้ได้
และศึกษาการใช้เครื่องมือต่างๆ ในการเข้าเทรด เพียงแค่นี้เราก็สามารถทำเงินก้อนใหญ่ได้จากฟอเร็กซ์แล้ว
ข้อคิดเตือนใจนักลงทุน
"ความผิดพลาดส่วนใหญ่ เกิดจาก อารมณ์ ของเราทั้งนั้น"
"เมื่อมองตลาดยังไม่ชัดเจน ก็ควรลดน้ำหนักการลงทุนลง"
"เตรียมพร้อม วางแผนให้ดี รอบคอบ ระมัดะวัง อย่าคาดหวังมากเกินไป จนเกิดความเสี่ยง''
1. เลือกความเรียบง่ายมากกว่าความซับซ้อน
2. ฝึกความอดทน (รอจังหวะที่ดี อย่ารีบ)
3. มีสติและควบคุมอารมณ์ได้
4. คิดอย่างอิสระ
5. ไม่สนใจ ไม่วอกแวกจากภาพรวมภายนอก
6. ไม่ลงทุนด้วยสัญชาตญาณ (คิดเอง เดาเองหรือเสี่ยงเล่นดู )
7. ฝึกการอยู่นิ่งๆ ไม่ซื้อขายมากเกินไป
8. เป็นนักฉวยโอกาสเมื่อตลาดมีสภาวะสดใส ชัดเจน
9. อย่าตีบอลทุกลูกที่ขว้างมา (อย่าเข้าๆออกๆบ่อยเกินไป)
10. จงอยู่ในขอบเขตความรู้ของคุณ (มีความรู้แบบไหนก็ใช้วิธีเล่นแบบที่คุณรู้ )
11. จงตื่นกลัวเมื่อคนอื่นกำลังโลภและจงโลภเมื่อคนอื่นกำลังตื่นกลัว
12. อ่านและอ่านให้มากแล้วคิดให้ดี
13. อย่าทำพลาดแล้วเรียนรู้จากความผิดความของผู้อื่น
14. ก้าวสู้การเป็นนักลงทุนผู้รอบรู้และ ฝึกที่จะพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaibestforex.com/forex/1-628/?/
เล่นหุ้นออนไลน์ มือใหม่โปรดคลิ๊ก
Posted by
goodintequila
on Friday, July 10, 2015
Labels:
leverage,
market,
การซื้อขาย,
การลงทุน,
ตลาด forex,
โบรกเกอร์,
สกุลเงิน,
โอกาส
/
คุณพร้อมหรือยัง?
"การ สร้างรายได้จากโลกออนไลน์ในปัจจุบันนี้ มีมากมายหลายรูปแบบ ผ่านธุรกิจต่างๆรวมไปถึงการลงทุนในตลาด Forex หรือตลาดซื้อขายสกุลเงินระหว่างประเทศซึ่งเป็นทางเลือกหนึ่งที่สามารถสร้าง รายได้ให้คุณได้อย่างมหาศาล"
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากจะเล่นหุ้นแต่ มีทุนไม่เพียงพอหรือมีเงินทุนเพียงพอสำหรับการเล่นหุ้นอยู่แล้วก็ลองอ่านราย ละเอียดเกี่ยวกับการเทรด Forex ดูครับ เพราะเป็นการลงทุนที่น่าสนใจการเทรด Forex จะคล้าย ๆ กับการเล่นหุ้นแต่ Forex จะมีสะภาพคล่องสูงกว่ามาก กร๊าฟวิ่งขึ้น-ลงเร็วและยังสามารถเล่นได้ทั้งกร๊าฟขาขึ้นและขาลง จากสภาพคล่องสูงนี่เองที่ทำให้เทรดได้หรือเสียเร็ว เงินลงทุนก็เริ่มต้นเพียง $1 เท่านั้น
Forex คืออะไร?
Forex (FOReign Exchange market) คือ ตลาดทุนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก สิ่งที่ซื้อ-ขายกันในตลาดนี้คือเงินตราสกุลต่างๆ (การเก็งกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน) ในการซื้อ-ขายเงินตราเหล่านี้จะอยู่ในรูปแบบการจับคู่แลกเปลี่ยน ตัวอย่างเช่น EUR/USD, USD/JPY, GBP/USD, USD/CHF, USD/CAD, GBP/JPY เป็นต้น
(FOREIGN EXCHANGE MARKET)
ตลาด Forex คือ ตลาดกลางสำหรับซื้อขายแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่าง ๆ ทั่วโลก ที่รู้จักในชื่อของ FOREX , Forex , Retail Forex , FX , Spot FX หรือ Spot
ตลาด Forex นั้นเป็นตลาดการเงินที่มีขนาดใหญ่มากที่สุดในโลก และกระจายอยู่ทั่วโลก ได้แก่ นิวยอร์ค ลอนดอน ญี่ปุ่น ยุโรป และ ออสเตรเลีย การที่มีตลาดใหญ่กระจายอยู่ทั่วโลก โดยแต่ละพื้นที่มีเวลาเหลื่อมกัน ทำให้เสมือนว่าตลาด Forex นั้นเปิด และมีการซื้อขายอยู่ตลอดเวลา ซึ่งถ้าเทียบกับเวลาในประเทศไทยแล้ว ตลาด Forex เปิดทำการตั้งแต่ตี 4 ของเช้าวันจันทร์ จนถึง ตี 4 เช้าวันเสาร์ หรือก็คือ 24 ชม ยกเว้นวันหยุด เสาร์ อาทิตย์ นั้นเอง ปัจจุบันตลาด Forex นั้นมีมูลค่าการซื้อขายต่อวัน สูงถึง 4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งมากกว่าทุกตลาดทางการเงินในโลกนี้รวมกัน
ผลตอบแทนกับการลงทุนในตลาด FOREX
ผล ตอบแทนจากการลงทุนในตลาด Forex นั้นสูงมาก เมื่อเทียบกับการลงทุนในตลาดหุ้น หรือการลงทุนในกองทุน สำหรับผู้ติดตามการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงิน อาจสงสัยว่าการลงทุนในตลาด Forex ซึ่งซื้อขายเงินตราสกุลเงินต่าง ๆ จะให้ผลตอบแทนสูงได้อย่างไร ในเมื่อแต่ละวันอัตราการเปลี่ยนแปลงราคาของสกุลเงินต่าง ๆ นั้นเปลี่ยนแปลงน้อยมาก (ไม่ถึง 1%)
สิ่งที่ทำให้ตลาด Forex ให้ผลตอบแทนสูง นั่นคือ "ระบบ Leverage" ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้ลงทุน สามารถลงทุนและทำกำไรได้เหมือนมีทุนเป็นร้อยเท่าจากทุนจริงที่มีอยู่ และสามารถเลือกทำกำไรได้ทั้งขาขึ้น และขาลง ซึ่งทั้งหมดนี้เหมือนกับการลงทุนใน Gold Future, TFEX หรือ SET50 Future เพียงแต่ว่า สัดส่วน Leverage นั้นสูงกว่ามาก
หลายคนอาจสงสัย ว่า.. "ผลตอบแทนสูง นั้นสูงขนาดไหน ?" เปรียบเทียบให้เห็นภาพมากขึ้น การลงทุนซื้อหุ้นในตลาดทุนเพื่อเก็งกำไรระยะสั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเกิดได้บ่อย
แต่สำหรับตลาด Forex การทำกำไรนั้น เป็นเรื่องปกติ และธรรมดามาก จะเห็นได้ว่า ผลตอบแทนนั้นสูงมาก แต่ในทางกลับกันก็เป็นการลงทุนที่มีอัตราเสี่ยงสูงมาก (High Risk = High Return)
มี 100 ก็หมด 100 ได้ไม่ยาก ในเวลาอันสั้นเช่นกัน ดังนั้นผู้ที่สนใจ และอยากลองลงทุนในตลาด Forex ควรศึกษาให้ดีก่อนลงทุน
เพิ่มเติมรายละเอียด Forex คือ อะไร? คลิ๊ก
เพิ่มเติมรายละเอียด เกี่ยวกับ Forex คลิ๊ก
ความน่าสนใจของตลาด Forex
- เงินลงทุนต่ำเริ่มต้นเพียง $1
- ตลาด online ผ่านระบบอินเตอร์เน็ต 24 ชั่วโมง
- สามารถทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง
- ค่าดำเนินการต่ำโบรกเกอร์เก็บค่า spreed เริ่มต้นเพียง 2 pips ต่อเทรดเท่านั้น (คู่ EUR/USD)
- สามารถทดลองเทรดได้เสมือนจริงโดยใช้ virtual money (เงินปลอม) บนระบบจริง โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
- หากคุณศึกษาหาความรู้จนเกิดความชำนาญก็สามารถเทรด Forex เป็นอาชีพได้
- เป็นงานออนไลน์แห่งทุกปีและทุกยุคสมัยตลอดไป ใช้เวลาอยู่กับคอมพร้อมสนุกไปกับมัน
- ต่างจากงานออนไลน์ทั่วไป ไม่จำเป็นต้องโปรโมทสื่อ หรือชวนคนใดๆ เพราะนี้ไม่ใช่ธุรกิจ MLM เพราะเราเทรด Forex มันได้มากกว่าธุรกิจชวนคนที่ไ้ด้ค่าคอม วันๆหนึ่งเราเทรด 3 ชั่วโมงกำไร 100 ดอล(3พันบาท) มันเป็นอะไรที่ได้เงินง่ายมากๆ แค่ไม่กี่นาทีเราก็สร้างรายได้แล้ว เพราะตลาดนี้มันทำกำไรได้เร็วที่สุดในโลก
ลงทุนใน Forex ได้เงินจริงหรือเปล่า?
เล่น Forex แล้วได้เงินจริงหรือเปล่า ผมขอตอบว่า...ได้จริงและเสียจริงครับ อยู่ที่ว่าคุณทำได้หรือเปล่า คุณต้องขยันศึกษาหาความรู้ หาเทคนิคในการทำกำไร มีหลายคนฝึกฝนจนสามารถยึดการเทรด Forex เป็นอาชีพหลักได้ ความสำเร็จดังกล่าวอยู่ที่การฝึกฝนครับ ก็เหมือนกับอาชีพอื่นๆ การที่จะเก่งได้นั้นก็ต้องผ่านการเรียนรู้และฝึกฝน การเล่น Forex จะคล้ายๆ การเล่นหุ้น แต่เป็นการซื้อขายค่าเงินระหว่างคู่เงินแทน เป็นการเก็งกำไรจากค่าเงิน ตลาดเงินจะคล่องตัวกว่าตลาดหุ้นมาก ส่วนตลาดหุ้นเค้าจะเน้นกิจการดี ปันผลเยี่ยม แต่ยังไงๆก็สู้ตลาดเงินไม่ได้อยู่ดีเพราะวันๆหนึ่งเราสามารถสร้างผลกำไรได้ มากกว่า 10% - 100%++ ต่อวันได้เลย แต่หุ้นไม่สามารถทำได้ ถึงทำได้ก็น้อย ถ้าเล่นแบบปั่นผล ก็จะมีไตรมาสล่ะ 20% 3 เดือนจ่ายที ซึ่งเป็นไรที่ช้ามาก สมมุติคุณลงไป 1 แสน บาทในการเล่นหุ้นหรือถือหุ้นบริษัทหนึ้งที่ให้ปั่นผล 20%ต่อไตรมาส พอ 3 เดือนปุ๊ป คุณก็จะได้ 2 หมื่น เทียบกับการเล่นค่าเงิน วันหนึ้งคุณทำกำไรจาก 1 แสน เป็น 1แสน 2 หมื่นบาท นั้นหมายถึงคุณทำกำไร 20% ต่อวันแล้ว ถ้าคิดเป็น 3 เดือนล่ะจะซักเท่าไหร่?เดือนหนึ่งเทรดได้ 20 วัน ก็เอา 20 วัน*3 เดือน = 60 วัน คุณเทรดได้กำไร 20%ต่อวันลองคูณดูมันจะซักเท่าไหร่ 20,000 * 60 = 1,200,000 บาท ภายใน 3 เดือน ซึ้งเป็นอะไรที่คุ้มค่ามากๆกับการเล่น Forex โบรกเกอร์ที่ให้บริการเทรด Forex ส่วนใหญ่แล้วจะมีเงินปลอมให้ทดลองเทรด (Demo Account) จึงควรศึกษาให้เข้าใจก่อนแล้วค่อยเล่นด้วยเงินจริง การตั้งใจศึกษาและฝึกฝนจนเกิดความชำนาญจะทำให้คุณประสบความสำเร็จในการเทรด Forex ได้
เวลาทำการของตลาด
ตลาด Forex นั้นมีหลายแห่งในโลก มีเวลาการเปิดปิดที่คาบเกี่ยวกัน ทำให้สามารถเทรดได้ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน ตั้งแต่เช้าวันจันทร์เวลาตี 4 จนถึงเช้าวันเสาร์เวลาตี 4 (ตามเวลาประเทศไทย) ซึ่งตลาดต่างๆ มีเวลาเปิด-ปิดดังนี้
เริ่มต้น forex อย่างไร
ก่อนอื่นก็ต้องมีอุปกรณ์ที่ใช้ในการเทรดก่อนนะครับ
- คอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง จะเป็น PC หรือ Notebook ก็แล้วแต่สะดวกครับ
- อินเตอร์เน็ต ควรเป็นแบบไฮสปีดหรือหากต่อผ่านมือถือก็ได้เช่นกันครับ
เมื่ออุปกรณ์ในการเทรดพร้อมก็มาเตรียมตัวเพื่อเทรดกันครับ (ไม่มีคอมPCก็ร้านเน็ตครับ...จบเลย...ง่ายดี)
- ศึกษาและฝึกฝน ผมแนะนำให้เล่นด้วย Demo Account(คือบัญชีทดลองเล่น โดยมีเงินจำลอง 1 แสนดอลล่า) จนกว่าคุณจะสามารถทำกำไรได้มากกว่าเสีย จากนั้นค่อยเริ่มเล่นด้วยเงินจริง การเล่นด้วย Demo Account นี้ทุกอย่างคือของจริง ยกเว้นการเล่นได้หรือเสีย จะไม่ได้และไม่เสียจริง เพราะเป็นเงินที่ใช้ทดลองเล่น มือใหม่ควรศึกษาการเทรด ก่อนเทรดด้วยเงินจริง อย่างน้อยก็ควรมองเทรนของตลาดให้ออกก่อน
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaibestforex.com/forex/t612/?/

"การ สร้างรายได้จากโลกออนไลน์ในปัจจุบันนี้ มีมากมายหลายรูปแบบ ผ่านธุรกิจต่างๆรวมไปถึงการลงทุนในตลาด Forex หรือตลาดซื้อขายสกุลเงินระหว่างประเทศซึ่งเป็นทางเลือกหนึ่งที่สามารถสร้าง รายได้ให้คุณได้อย่างมหาศาล"
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากจะเล่นหุ้นแต่ มีทุนไม่เพียงพอหรือมีเงินทุนเพียงพอสำหรับการเล่นหุ้นอยู่แล้วก็ลองอ่านราย ละเอียดเกี่ยวกับการเทรด Forex ดูครับ เพราะเป็นการลงทุนที่น่าสนใจการเทรด Forex จะคล้าย ๆ กับการเล่นหุ้นแต่ Forex จะมีสะภาพคล่องสูงกว่ามาก กร๊าฟวิ่งขึ้น-ลงเร็วและยังสามารถเล่นได้ทั้งกร๊าฟขาขึ้นและขาลง จากสภาพคล่องสูงนี่เองที่ทำให้เทรดได้หรือเสียเร็ว เงินลงทุนก็เริ่มต้นเพียง $1 เท่านั้น
Forex คืออะไร?
Forex (FOReign Exchange market) คือ ตลาดทุนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก สิ่งที่ซื้อ-ขายกันในตลาดนี้คือเงินตราสกุลต่างๆ (การเก็งกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน) ในการซื้อ-ขายเงินตราเหล่านี้จะอยู่ในรูปแบบการจับคู่แลกเปลี่ยน ตัวอย่างเช่น EUR/USD, USD/JPY, GBP/USD, USD/CHF, USD/CAD, GBP/JPY เป็นต้น

ตลาด
Forex มีมูลค่าการซื้อขายต่อวันสูงถึง 1.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
ซึ่งมากกว่าทุกตลาดทางการเงินในโลกนี้รวมกัน
โดยก่อนที่จะมีอินเตอร์เน็ตแพร่หลายนั้น ตลาด Forex
จะมีผู้เล่นเพียงบางกลุ่มเท่านั้น เช่น ธนาคาร กองทุน ผู้นำเข้า และส่งออก
แต่เมื่อมีอินเตอร์เน็ตก็เริ่มมีการพัฒนาระบบเทรดบนอินเตอร์เน็ต
และเริ่มมีโบรกเกอร์ที่ให้บริการสำหรับนักลงทุนรายย่อยที่สนใจให้สามารถ
เริ่มต้นเทรดได้ด้วยทุนเพียง $1 เท่านั้น
จึงทำให้การลงทุนในตลาดแห่งนี้แพร่หลายไปทั่วโลก

(FOREIGN EXCHANGE MARKET)
ตลาด Forex คือ ตลาดกลางสำหรับซื้อขายแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่าง ๆ ทั่วโลก ที่รู้จักในชื่อของ FOREX , Forex , Retail Forex , FX , Spot FX หรือ Spot
ตลาด Forex นั้นเป็นตลาดการเงินที่มีขนาดใหญ่มากที่สุดในโลก และกระจายอยู่ทั่วโลก ได้แก่ นิวยอร์ค ลอนดอน ญี่ปุ่น ยุโรป และ ออสเตรเลีย การที่มีตลาดใหญ่กระจายอยู่ทั่วโลก โดยแต่ละพื้นที่มีเวลาเหลื่อมกัน ทำให้เสมือนว่าตลาด Forex นั้นเปิด และมีการซื้อขายอยู่ตลอดเวลา ซึ่งถ้าเทียบกับเวลาในประเทศไทยแล้ว ตลาด Forex เปิดทำการตั้งแต่ตี 4 ของเช้าวันจันทร์ จนถึง ตี 4 เช้าวันเสาร์ หรือก็คือ 24 ชม ยกเว้นวันหยุด เสาร์ อาทิตย์ นั้นเอง ปัจจุบันตลาด Forex นั้นมีมูลค่าการซื้อขายต่อวัน สูงถึง 4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งมากกว่าทุกตลาดทางการเงินในโลกนี้รวมกัน
ผลตอบแทนกับการลงทุนในตลาด FOREX
ผล ตอบแทนจากการลงทุนในตลาด Forex นั้นสูงมาก เมื่อเทียบกับการลงทุนในตลาดหุ้น หรือการลงทุนในกองทุน สำหรับผู้ติดตามการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงิน อาจสงสัยว่าการลงทุนในตลาด Forex ซึ่งซื้อขายเงินตราสกุลเงินต่าง ๆ จะให้ผลตอบแทนสูงได้อย่างไร ในเมื่อแต่ละวันอัตราการเปลี่ยนแปลงราคาของสกุลเงินต่าง ๆ นั้นเปลี่ยนแปลงน้อยมาก (ไม่ถึง 1%)
สิ่งที่ทำให้ตลาด Forex ให้ผลตอบแทนสูง นั่นคือ "ระบบ Leverage" ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้ลงทุน สามารถลงทุนและทำกำไรได้เหมือนมีทุนเป็นร้อยเท่าจากทุนจริงที่มีอยู่ และสามารถเลือกทำกำไรได้ทั้งขาขึ้น และขาลง ซึ่งทั้งหมดนี้เหมือนกับการลงทุนใน Gold Future, TFEX หรือ SET50 Future เพียงแต่ว่า สัดส่วน Leverage นั้นสูงกว่ามาก
หลายคนอาจสงสัย ว่า.. "ผลตอบแทนสูง นั้นสูงขนาดไหน ?" เปรียบเทียบให้เห็นภาพมากขึ้น การลงทุนซื้อหุ้นในตลาดทุนเพื่อเก็งกำไรระยะสั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเกิดได้บ่อย
แต่สำหรับตลาด Forex การทำกำไรนั้น เป็นเรื่องปกติ และธรรมดามาก จะเห็นได้ว่า ผลตอบแทนนั้นสูงมาก แต่ในทางกลับกันก็เป็นการลงทุนที่มีอัตราเสี่ยงสูงมาก (High Risk = High Return)
มี 100 ก็หมด 100 ได้ไม่ยาก ในเวลาอันสั้นเช่นกัน ดังนั้นผู้ที่สนใจ และอยากลองลงทุนในตลาด Forex ควรศึกษาให้ดีก่อนลงทุน
เพิ่มเติมรายละเอียด Forex คือ อะไร? คลิ๊ก
เพิ่มเติมรายละเอียด เกี่ยวกับ Forex คลิ๊ก
ความน่าสนใจของตลาด Forex
- เงินลงทุนต่ำเริ่มต้นเพียง $1
- ตลาด online ผ่านระบบอินเตอร์เน็ต 24 ชั่วโมง
- สามารถทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง
- ค่าดำเนินการต่ำโบรกเกอร์เก็บค่า spreed เริ่มต้นเพียง 2 pips ต่อเทรดเท่านั้น (คู่ EUR/USD)
- สามารถทดลองเทรดได้เสมือนจริงโดยใช้ virtual money (เงินปลอม) บนระบบจริง โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
- หากคุณศึกษาหาความรู้จนเกิดความชำนาญก็สามารถเทรด Forex เป็นอาชีพได้
- เป็นงานออนไลน์แห่งทุกปีและทุกยุคสมัยตลอดไป ใช้เวลาอยู่กับคอมพร้อมสนุกไปกับมัน
- ต่างจากงานออนไลน์ทั่วไป ไม่จำเป็นต้องโปรโมทสื่อ หรือชวนคนใดๆ เพราะนี้ไม่ใช่ธุรกิจ MLM เพราะเราเทรด Forex มันได้มากกว่าธุรกิจชวนคนที่ไ้ด้ค่าคอม วันๆหนึ่งเราเทรด 3 ชั่วโมงกำไร 100 ดอล(3พันบาท) มันเป็นอะไรที่ได้เงินง่ายมากๆ แค่ไม่กี่นาทีเราก็สร้างรายได้แล้ว เพราะตลาดนี้มันทำกำไรได้เร็วที่สุดในโลก
ลงทุนใน Forex ได้เงินจริงหรือเปล่า?
เล่น Forex แล้วได้เงินจริงหรือเปล่า ผมขอตอบว่า...ได้จริงและเสียจริงครับ อยู่ที่ว่าคุณทำได้หรือเปล่า คุณต้องขยันศึกษาหาความรู้ หาเทคนิคในการทำกำไร มีหลายคนฝึกฝนจนสามารถยึดการเทรด Forex เป็นอาชีพหลักได้ ความสำเร็จดังกล่าวอยู่ที่การฝึกฝนครับ ก็เหมือนกับอาชีพอื่นๆ การที่จะเก่งได้นั้นก็ต้องผ่านการเรียนรู้และฝึกฝน การเล่น Forex จะคล้ายๆ การเล่นหุ้น แต่เป็นการซื้อขายค่าเงินระหว่างคู่เงินแทน เป็นการเก็งกำไรจากค่าเงิน ตลาดเงินจะคล่องตัวกว่าตลาดหุ้นมาก ส่วนตลาดหุ้นเค้าจะเน้นกิจการดี ปันผลเยี่ยม แต่ยังไงๆก็สู้ตลาดเงินไม่ได้อยู่ดีเพราะวันๆหนึ่งเราสามารถสร้างผลกำไรได้ มากกว่า 10% - 100%++ ต่อวันได้เลย แต่หุ้นไม่สามารถทำได้ ถึงทำได้ก็น้อย ถ้าเล่นแบบปั่นผล ก็จะมีไตรมาสล่ะ 20% 3 เดือนจ่ายที ซึ่งเป็นไรที่ช้ามาก สมมุติคุณลงไป 1 แสน บาทในการเล่นหุ้นหรือถือหุ้นบริษัทหนึ้งที่ให้ปั่นผล 20%ต่อไตรมาส พอ 3 เดือนปุ๊ป คุณก็จะได้ 2 หมื่น เทียบกับการเล่นค่าเงิน วันหนึ้งคุณทำกำไรจาก 1 แสน เป็น 1แสน 2 หมื่นบาท นั้นหมายถึงคุณทำกำไร 20% ต่อวันแล้ว ถ้าคิดเป็น 3 เดือนล่ะจะซักเท่าไหร่?เดือนหนึ่งเทรดได้ 20 วัน ก็เอา 20 วัน*3 เดือน = 60 วัน คุณเทรดได้กำไร 20%ต่อวันลองคูณดูมันจะซักเท่าไหร่ 20,000 * 60 = 1,200,000 บาท ภายใน 3 เดือน ซึ้งเป็นอะไรที่คุ้มค่ามากๆกับการเล่น Forex โบรกเกอร์ที่ให้บริการเทรด Forex ส่วนใหญ่แล้วจะมีเงินปลอมให้ทดลองเทรด (Demo Account) จึงควรศึกษาให้เข้าใจก่อนแล้วค่อยเล่นด้วยเงินจริง การตั้งใจศึกษาและฝึกฝนจนเกิดความชำนาญจะทำให้คุณประสบความสำเร็จในการเทรด Forex ได้
เวลาทำการของตลาด
ตลาด Forex นั้นมีหลายแห่งในโลก มีเวลาการเปิดปิดที่คาบเกี่ยวกัน ทำให้สามารถเทรดได้ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน ตั้งแต่เช้าวันจันทร์เวลาตี 4 จนถึงเช้าวันเสาร์เวลาตี 4 (ตามเวลาประเทศไทย) ซึ่งตลาดต่างๆ มีเวลาเปิด-ปิดดังนี้
ตลาด ประเทศ เวลาทำการ ชื่อย่อ ชื่อเต็ม เวลาเปิด เวลาปิด AUD Australian Dollar Australia 5.00 13.00 JPY Japanese Yen Japan 7.00 14.00 CHF Swiss Franc Switzerland 13.00 21.00 EUR Euro European Monetary Unio 13.00 21.00 GBP British Pound Great Britain 14.00 22.00 USD US Dollar United States 19.00 3.00 |
เริ่มต้น forex อย่างไร
ก่อนอื่นก็ต้องมีอุปกรณ์ที่ใช้ในการเทรดก่อนนะครับ
- คอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง จะเป็น PC หรือ Notebook ก็แล้วแต่สะดวกครับ
- อินเตอร์เน็ต ควรเป็นแบบไฮสปีดหรือหากต่อผ่านมือถือก็ได้เช่นกันครับ
เมื่ออุปกรณ์ในการเทรดพร้อมก็มาเตรียมตัวเพื่อเทรดกันครับ (ไม่มีคอมPCก็ร้านเน็ตครับ...จบเลย...ง่ายดี)
- ศึกษาและฝึกฝน ผมแนะนำให้เล่นด้วย Demo Account(คือบัญชีทดลองเล่น โดยมีเงินจำลอง 1 แสนดอลล่า) จนกว่าคุณจะสามารถทำกำไรได้มากกว่าเสีย จากนั้นค่อยเริ่มเล่นด้วยเงินจริง การเล่นด้วย Demo Account นี้ทุกอย่างคือของจริง ยกเว้นการเล่นได้หรือเสีย จะไม่ได้และไม่เสียจริง เพราะเป็นเงินที่ใช้ทดลองเล่น มือใหม่ควรศึกษาการเทรด ก่อนเทรดด้วยเงินจริง อย่างน้อยก็ควรมองเทรนของตลาดให้ออกก่อน
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaibestforex.com/forex/t612/?/
เล่น Forex ในไทยผิดกฏหมายหรือไม่???
Posted by
goodintequila
on Thursday, July 9, 2015
หลายท่านอาจสงสัยว่าการเล่น Forex นั้นผิดกฎหมายหรือไม่ ถ้าไม่ผิดทำไมบ้านเราถึงยังไม่มี Broker ที่ไหนให้บริการ ในความเป็นจริงแล้วการลงทุนใน Forex นั้นรัฐบาลไทยอนุญาติให้กับสถาบันการเงินใหญ่ๆ เท่านั้น ด้วยเหตุผลที่ว่า Forex
เป็นแหล่งการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง และใช้เงินลงทุนจำนวนมาก
ประชาชนที่ไม่มีความรู้ที่เพียงพออาจเสียเงินทองจำนวนมากได้
และในอดีตมีข่าวทางด้านลบเกี่ยวกับบริษัทบางแห่ง
เปิดให้บริการลูกค้าลงทุนใน Forex ในวงเงินที่สูง
แต่กลับนำเงินไปรับความเสี่ยงเอง หรือทำตัวเป็นเจ้ามือเสียเอง
ไม่ได้กินค่านายหน้าอย่างเดียว จนเมื่อลูกค้าทำกำไรได้มากๆ
ก็ไม่สามารถจ่ายได้จนปิดบริษัทหนีไป ทำให้ Forex
กลายเป็นสิ่งที่ไม่น่าลงทุน ไม่น่าเชื่อถือ
ทำให้รัฐบาลออกกฎหมายเพื่อป้องกันสิ่งเหล่านี้ให้ห่างไกลจากประชาชน
ซึ่งทำให้ประชาชนตาดำๆ อย่างเราถูกตัดโอกาสในการลงทุน
ที่มหาเศรษฐีระดับโลกใช้เป็นเครื่องมือในการลงทุนชั้นเยี่ยมของเขา
ปัจจุบันการลงทุน Forex ของประชาชนทั่วไปยังถือว่าผิดกฎหมาย ทั้ง Broker ที่เปิดให้ลงทุนในประเทศไทย และผู้ลงทุนที่โอนเงินไปลงทุนกับ Broker ในต่างประเทศ โดยรัฐบาลกลัวว่าจะเป็นช่องทางที่จะนำเงินนอกระบบไปฟอกเงินนั่นเอง สำหรับท่านที่ลงทุนเล็กๆ น้อยๆ เพื่อเพิ่มทักษะทางการลงทุนคงไม่จำเป็นต้องใส่ใจในเรื่องนี้มาก หากแต่ท่านที่ลงทุนเงินเป็นจำนวนมาก คงต้องคิดถึงความเสี่ยงด้านนี้ด้วย เนื่องจากการนำเงินกลับเข้ามาในประเทศเป็นจำนวนมากทางธนาคาร อาจทำให้ ปปง. เพ่งเล็งท่านได้ ตอนนี้ทำอะไรก็ตามแต่ ต้องโปร่งใส และพิสูจน์ไม่ได้ครับ แล้วท่านจะห่างไกลจากการตรวจสอบของรัฐบาลไทย ที่ยังเกรงว่าประชาชนของพวกเขาจะโดนหลอก จึงปิดกั้น แทนที่จะให้ความรู้ (เพราะมันง่ายดี)
ปัจจุบันการลงทุน Forex ของประชาชนทั่วไปยังถือว่าผิดกฎหมาย ทั้ง Broker ที่เปิดให้ลงทุนในประเทศไทย และผู้ลงทุนที่โอนเงินไปลงทุนกับ Broker ในต่างประเทศ โดยรัฐบาลกลัวว่าจะเป็นช่องทางที่จะนำเงินนอกระบบไปฟอกเงินนั่นเอง สำหรับท่านที่ลงทุนเล็กๆ น้อยๆ เพื่อเพิ่มทักษะทางการลงทุนคงไม่จำเป็นต้องใส่ใจในเรื่องนี้มาก หากแต่ท่านที่ลงทุนเงินเป็นจำนวนมาก คงต้องคิดถึงความเสี่ยงด้านนี้ด้วย เนื่องจากการนำเงินกลับเข้ามาในประเทศเป็นจำนวนมากทางธนาคาร อาจทำให้ ปปง. เพ่งเล็งท่านได้ ตอนนี้ทำอะไรก็ตามแต่ ต้องโปร่งใส และพิสูจน์ไม่ได้ครับ แล้วท่านจะห่างไกลจากการตรวจสอบของรัฐบาลไทย ที่ยังเกรงว่าประชาชนของพวกเขาจะโดนหลอก จึงปิดกั้น แทนที่จะให้ความรู้ (เพราะมันง่ายดี)
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaibestforex.com/forex/forex-553/?/
ประสบการณ์การเทรด forex ของผม
ขอเล่าประสบการณ์การเทรด forex ของผม ให้เพื่อนได้อ่านกันครับ
อย่าคิดเป็นอย่างอื่นน่ะครับ เหตุเกิดเมื่อช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาครับ
หลังจากที่อาทิตย์ก่อนฟันกำไรไป $46 มาอาทิตย์หลัีง
คาดว่าจะต้องฟันกำไรอีกแน่ วันจันทร์มา มองแล้วน่าลง เลยจัดเซลไปซะดอกนึง
พอมันลงได้หน่อยนึง มันก็เด้งขึ้นมา ด้วยความคิดแรกที่ว่า ยังไงมันก็ลงแน่
ก็เ้ลยปล่อยมันไป พอมันขึ้นไปสักพัก มันก็ลงครับ แต่ลงไม่ถึง TP เรา
ก็ปล่อยมันก่อน แล้วมันก็เด้งขึ้น ตั้งแต่วันจันทร์ จนถึงวันพฤหัส
มันก็ยังขึ้นไม่หยุด ทำไงละทีนี้ รีบหาเงินโอนเข้า เพื่อเติมจิ้น
โอนเงินเข้าเพิ่มอีก $10 สักพักกราฟมันก็ลงมาได้นิดหนอ่ย แล้วมันก็ขึ้น
ทีนี้ คาดว่า มันคงไม่ลง เลยตัดตัวหนักออก
อย่างน้อยก็เหลือตัวไม่หนักที่จะพอถือไว้ได้ และจิ้นก็คงพอที่จะถือยาวได้
วันศุกร์มา กราฟก็ยังไม่ลง ยังขึ้นไม่หยุดไม่หย่อน เราก็ปลงแล้วล่ะ เอาว่ะ
หมดก็หมด มันจะไปทางไหนก็ไป เลยปิดคอมซะ เดินหนีไปดูเขาเตะบอลดีกว่า
พอตกตอนดึก ก็แวะมาเปิดคอมอีกที กราฟมันก็ยังนิ่ง ไม่ยอมลง
แล้วก็ไม่ยอมขึ้นไปไกลกว่านี้ ก็เลยจัดชอตอีกไม้นึง
แล้วก็เผลอหลับหน้าคอมนั่นเลย ตื่นมาอีกทีตี 4 อ้าวเฮ้ยยยย สวรรค์มีตาจริง ๆ
ด้วยตัวที่ชอตเมื่อตอนดึก ก็วิ่งถึง TP แถมเกินไปอีกเยอะ
แต่ยังเหลือตัวที่ชอตไปเมื่อวันจันทร์ อีกนิดเดียวมันก็จะถึง แต่อย่างน้อย ๆ
ก็ดีใจครับ ที่จากเหลือหน้าตักเพียง $21 กลับมาเก็บทุนได้ที่ $100 +
กำไรอีกนิดนึง แต่ยังเหลือที่ยังไม่ปิดอีก 2 ไม้
วันจันทร์มองว่ามันน่าจะปิดได้ จบแล้วครับ กับประสบการณ์เสียว
ที่ไม่ได้มีให้เสียวบ่อยนัก
เป็นครั้งแรกครับที่ยอมกัดฟันถือออร์เดอร์เป็นอาทิตย์ อย่างว่าแหล่ะครับ
ความโชคดีคงไม่ได้มีให้เห็นกันบ่อย ๆ นัก ซึ่งถ้าตอนนั้นมันวิ่งผิดทาง
แล้วผมยอมตัด cut loss แล้วหาจังหวะเข้าใหม่ ผมคงทำกำไรได้เยอะกว่านี้
เพราะคำว่าอีกนิดนึง เดี๋ยวมันก็ขึ้น เดี๋ยวมันก็ลง นี่แหล่ะครับ
เลยทำให้เสียโอกาสมากมายที่จะทำกำไร อยากฝากเพื่อน ๆ นักเทรด
โดยเฉพาะที่เป็นมือใหม่ อย่ามัวเสียดายครับ ถ้ามันผิดทาง ก็ตัดออกซะ
แล้วหาจังหวะเข้าใหม่ ใน 10 ครั้ง
ผมว่ามันจะไม่ถูกเลยสักครั้งเดียวเชียวหรือ สู้ ๆ ครับเพื่อน ๆ
ทุกท่าน.....
ท้ายนี้ขอบคุณเพื่อนนักเทรดทุกท่านที่อ่านกันจนจบ และหวังว่าอาจเป็นข้อเืตือนสติให้ใครหลาย ๆ คนได้ไม่มากก็น้อยน่ะครับ...โชคดีกับการเทรดครับ
ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://www.thaibestforex.com/forex/forex-545/?/
ท้ายนี้ขอบคุณเพื่อนนักเทรดทุกท่านที่อ่านกันจนจบ และหวังว่าอาจเป็นข้อเืตือนสติให้ใครหลาย ๆ คนได้ไม่มากก็น้อยน่ะครับ...โชคดีกับการเทรดครับ
ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://www.thaibestforex.com/forex/forex-545/?/
[Review บทความ cmFX] เรื่องที่ 4 : วิธีการออกที่ได้ผล
Posted by
goodintequila
on Monday, July 6, 2015
Labels:
บทความ,
ปิดออเดอร์,
โอกาส
/
[Review บทความ cmFX] เรื่องที่ 4 : วิธีการออกที่ได้ผล
บท ความแปลชุดนี้ เป็นบทความชุดแรกๆ ที่แปลจนจบ และมีผู้อ่านติดตามมากมาย (เมื่อ 1-2 ปีก่อน) แต่หลังจากจบบริบูรณ์ก็ไม่ได้มีการกล่าวถึงอีก วันนี้มีโอกาสจึงเอามาเผยแพร่อีกครั้ง ภายใต้ concept ว่า "การออก” เป็นสิ่งที่มีผลต่อความสำเร็จในการเทรด มากกว่า “การเข้า”, เนื้อหาหลักจะพูดถึงความสำคัญของการปิดออเดอร์ และวิธีทำ รวมถึงตัวอย่าง, นับว่าเป็นบทความที่มีคุณค่ามากทีเดียว, ถ้าสนใจเชิญอ่านได้ที่

บท ความแปลชุดนี้ เป็นบทความชุดแรกๆ ที่แปลจนจบ และมีผู้อ่านติดตามมากมาย (เมื่อ 1-2 ปีก่อน) แต่หลังจากจบบริบูรณ์ก็ไม่ได้มีการกล่าวถึงอีก วันนี้มีโอกาสจึงเอามาเผยแพร่อีกครั้ง ภายใต้ concept ว่า "การออก” เป็นสิ่งที่มีผลต่อความสำเร็จในการเทรด มากกว่า “การเข้า”, เนื้อหาหลักจะพูดถึงความสำคัญของการปิดออเดอร์ และวิธีทำ รวมถึงตัวอย่าง, นับว่าเป็นบทความที่มีคุณค่ามากทีเดียว, ถ้าสนใจเชิญอ่านได้ที่
บทที่ 4 Elliott wave คลื่นที่คุณต้องรู้จัก
Posted by
goodintequila
Labels:
Correction,
Elliott Wave,
Fibonacci,
Impulse,
sideway,
กำไร,
ตลาดหมี,
ทฤษฎี,
โอกาส
/
หากคุณไม่สนใจทำความรู้จักมัน คงเหมือนกับคุณนั่งริมทะเลชมคลื่นไปเรื่อยๆ
แต่หากคุณรู้ว่า เมื่อไหร่ที่อยู่ดีๆ ชายทะเลกลับหดถอยลงไปอย่างรวดเร็ว
แปลว่า กำลังจะเกิดสึนามิ คุณต้องรีบวิ่งหนีจากชายฝั่ง
เอาตัวรอดให้เร็วที่สุด แบบนี้ เท่ากับคุณรู้จักธรรมชาติของคลื่น
นับเป็นเรื่องดีใช่ไหมครับ อยากรู้จักมันหรือยัง?
คิดว่า น่าจะเป็นการเริ่มต้นที่ถูกนะครับ น่าจะเป็นสิ่งที่ควรรู้เป็นอันดับแรก แต่บางคน แค่เห็นก็เมาคลื่นซะแล้ว อย่าเพิ่งครับ นั่นเป็นเพราะคุณหาจุดเริ่มต้นมันไม่ถูก เมื่อคุณเริ่มไม่ถูก อาการเมาคลื่น ก็จะตามมา ผมแนะนำคร่าวๆว่า
Elliott Wave ประกอบด้วยลูกคลื่นในขาขึ้น 5 ลูก ( 1-2-3-4-5) และลูกคลื่นในขาลง 3 ลูก (a-b-c) ในช่วงขาขึ้นเราเรียกว่า Impulse ส่วนขาลงเราเรียกว่า Correction โดยหากเป็นช่วงตลาดหมี ขาลงก็จะกลับกัน คือลง 5 ลูก ขึ้น 3 ลูกแทน และในคลื่นนึง ก็จะประกอบด้วยคลื่นเล็กๆ เสมอ อย่างเช่น คลื่นขา 1 เป็นขาขึ้น จะคลื่นในตัวเป็นคลื่นย่อย 5 คลื่น ขณะที่คลื่น 2 จะเป็นคลื่นขาลง จะมีคลื่นย่อยในตัวเป็น 3 คลื่น
ไม่ลงรายละเอียดมาก นัก เพราะหนังสือที่ไหนก็มีให้อ่าน แต่จะบอกว่า สิ่งที่งงกันคือบางครั้ง มีการต่อคลื่น หรือเกิดคลื่นไม่ปกติขึ้นมา ทำให้นับกันไม่ถูก และอีกกรณีคือ ตราบเท่าที่คลื่นมันยังไม่จบ คุณไม่มีทางรู้ได้ว่า คุณนับถูกหรือไม่
อ้าว ไหงเป็นงั้น แล้วจะมีประโยชน์อะไร?
มี สิครับ อย่างน้อยที่สุด คุณจะตัดเส้นทางที่เป็นไปไม่ได้ออกไป เหลือทางที่มีโอกาสจะเป็นไปได้ และทางที่มีโอกาสเป็นไปได้มากที่สุด แค่นี้ ก็ดีกว่าไม่รู้แล้ว ใช่ไหม
นักลงทุนที่ไม่ต้องการเสี่ยง จะเลือกลงทุนเมื่อกราฟอยู่ที่คลื่น 3 เพราะกว่าจะมาถึงคลื่น 3 ราคามันจะยืนยันขา 1 หรือขา 2 มาก่อนแล้ว และนี่คือสาเหตุครับ ว่าทำไม คลื่น 3 ถึงได้พุ่งได้แรงสุด เพราะมันชัดที่สุดนั่นเอง
รู้จักทฤษฎีหลักๆที่กำหนดว่า คลื่นไหนเป็นคลื่นไหน
Fibonacci number
ขี้ เกียจพูดถึงที่มา เดี๋ยวยาว เอาเป็นว่าเป็นตัวเลขที่ช่วยในการวัดหรือกะระยะของคลื่นลูกต่อไปได้ ตัวเลขที่น่าสนใจ ได้แก่ 23.6% 38.2% 50% 61.8% 78.6% 100% 127.2% 161.8% 261.8% 423.6% โดยตัวเลขที่พบบ่อยๆว่ามีพลังหน่อย คือตัวเลขที่ผม ใช้สีแดงกำกับ
RSI คู่หูนับคลื่นแบบพลาดยาก
RSI เป็นสัญญาณยอดฮิต ที่แนะนำให้ศึกษาเลยครับ มันบอกถึงพละกำลังกระทิงหรือหมีได้เป็นอย่างดี สิ่งที่จะบอก ผมเอง ไม่เคยเจอในหนังสือเล่มไหนครับ ทฤษฎีนี้ ตั้งแต่รู้มา ทำให้ผมนับคลื่นได้มั่นใจขึ้นมาก ต้องขอบคุณ คุณลุงโฉลก แห่ง chaloke.com ผู้ถ่ายทอดเคล็ดวิชาสุดยอดแบบไม่มีหวงกัน ทฤษฎีไม่มีอะไรมาก หากมีความสับสน ให้ดูยอดคลื่นที่สูงที่สุดของ RSI เทียบกับยอดคลื่นราคาครับ ยอดคลื่น RSI ที่สูง จะตรงกับคลื่น 3 และคลื่น b เสมอ แค่นี้ ใครที่เคยนับคลื่นไม่ถูก ก็ลองใช้ช่วยนับใหม่ดูครับ ง่ายขึ้นเยอะ
ทฤษฎีอีเลียตเวฟมีหยุมหยิมค่อนข้างเยอะ ผมเอาหลักๆมาแนะนำเพื่อเป็น guide ก็พอนะครับ
คลื่นที่ 1 แค่เริ่มต้นก็ไม่ง่ายแล้ว
ไม่ มีใครกะได้ว่า จะจบตรงไหน เพราะเพิ่งเริ่มคลื่นใหม่ สิ่งที่เราทำได้ คือรอให้มันจบคลื่น 1 ก่อนครับ แต่อย่างน้อยที่สุด คลื่นย่อยในคลื่น 1 ควรจะประกอบด้วย 5 คลื่น ไม่ใช่ 3 คลื่น หากนับได้ 3 คลื่นเมื่อไหร่ ตีความได้ว่า
- การ correction ของคลื่นรอบที่ผ่านมา ยังไม่จบจริง คืออาจมีการ correction ต่อเป็น a-b-c-x-a-b-c หรือ a-b-c-d-e เป็นต้น
- คลื่นนั้นยังไม่จบ คือยังเหลือการขึ้นขา 5 อีกขา ก่อนลง correction ขา 2 อีกที
หาก คุณอ่านทฤษฎีในหนังสือ คงไม่ได้บอกคุณว่า ไอ้คลื่น 1 นี่อ่ะ มันก็ไม่ได้ระบุง่ายๆ เพราะมันเพิ่งต่อมาจากคลื่นปรับฐาน ทำให้ไม่รู้ว่า นี่มันคลื่น 1 หรือคลื่นปรับฐานต่อเนื่องกันแน่ เป็นเหตุให้ไม่ค่อยมีใครกล้าเข้าเล่นในคลื่น 1 นั่นเอง
คลื่น 2 จบเมื่อไหร่ ค่อยบอกคุณว่า ไอ้คลื่นลูกเมื่อกี๊น่ะ คลื่น 1 นะจ๊ะ
ถึง บอกว่า ไม่ค่อยมีใครเล่นคลื่น 1 เพราะมันมีโอกาสเป็นคลื่น correction ที่จะพาคุณชมดอยเต่าได้แบบไม่ต้องตีตั๋ว ตามทฤษฎีดูเหมือนง่าย มันบอกว่า คลื่น 2 จะไม่ต่ำกว่าคลื่น 1 หากคุณมั่นใจเข้าซื้อ เพราะคิดว่า นั่นคือคลื่น 2 ไม่มีทางหล่นต่ำกว่าคลื่น 1 หรอก ขอให้คิดใหม่ครับ เพราะเมื่อไหร่ที่ราคามันหลุดลงต่ำกว่าฐานคลื่น 1 มันก็เปลี่ยนสถานะตัวเองจากว่าที่คลื่น 2 เป็นคลื่น c ขาลงต่อเลย แสบมั๊ย
ปกติ เมื่อจบคลื่น 2 เราก็จะใช้ก้นคลื่น 2 ในการกะเป้าหมายคลื่น 3 ได้ต่อครับ ตามหลัก คลื่น 2 ของทองคำ มักจบแถว 61.8% หรือ 78.6% โดยหากเด้งขึ้นจากเส้นแถวนี้ได้แรงๆ ผ่านยอดคลื่น 1 มาได้ เราก็คาดได้ว่า นั่นน่าจะเป็นขา 2 และกำลังขึ้นคลื่น 3 ที่เราตั้งตารอกัน
คลื่น 3 คลื่นสุด hot
ใครๆ ก็รอขา 3 เพราะขา 3 มักจะยาวและทำกำไรได้มาก และความเสี่ยงต่ำที่สุด แต่กว่าจะรู้ว่าเป็นขา 3 บางทีมันก็เดินทางมาครึ่งทางแล้วครับ เพราะอะไร ก็ลองย้อนไปดูคลื่น 2 สิ
ตัวคลื่น 3 เอง ก็ประกอบด้วยคลื่นย่อยในตัว 5 คลื่น กว่าเราจะเห็นชัดๆว่า นี่คือคลื่น 3 ก็ต่อเมื่อเราจบคลื่น 2 ของ 3 และกำลังเข้าคลื่นย่อยขา 3 ของคลื่นหลักขา 3 แล้ว ถึงตรงนี้ ปกติผมจะไม่ลังเลในการบอกให้ซื้อครับ เพราะมันยังไปได้อีกอย่างน้อยก็ 60% ของขาล่างสุด เช่นขึ้นมาแล้ว 50 เหรียญ ก็เป็นไปได้ว่า มีโอกาสขึ้นอีกอย่างน้อย 30 เหรียญ ดีกว่าไม่ได้ ใช่ไหมครับ
ทฤษฎีมีว่า ขา 3 มีโอกาสขึ้นมาได้อย่างน้อย 161.8% เมื่อวัดจากยอดขา 1 ถึง ขา 2 และหากแรงๆ ก็จะไป 261.8% หรือกระทั่ง 423.6% ก็ได้ แถมตามด้วยคลื่น 5 ที่สามารถลุ้นเสี่ยงทำกำไรเพิ่มได้
คลื่น 4 คลื่นคืนกำไร
คลื่น 4 ลุงโฉลกให้นิยามว่า เป็นคลื่นคืนกำไร และไม่ค่อยแนะนำให้เล่น เพราะคาดการณ์ยากครับ ตามทฤษฎีบอกว่า ขา 4 จะลงไม่ถึงขา 1 แต่บางครั้งโดยเฉพาะในราคาทองคำตอนปลายๆทาง มันก็แล๊บลงมาต่ำกว่าขา 1 นิดหน่อยเหมือนกัน เรียกว่า เกิดความไม่ปกติขึ้น และจะเกิดเมื่อคลื่น 3 ไม่มีแรงขึ้น คือผิดปกติด้วย ว่างั้น และหากหลุดรูดลงมาเลย มันก็จะเปลี่ยนสถานะตัวเอง จากคลื่น 4 เป็นคลื่น a ครับ แล้วก็ต้องนับขากันใหม่ เพราะราคาไปไม่ถึงดวงดาวเสียแล้ว
มีความสัมพันธ์ ระหว่างขา 2 กับขา 4 ที่มีความเป็นไปได้อยู่อย่างนึงครับ คือหาก ขา 2 มีความซับซ้อน คือไม่ลง a-b-c แล้วจบเลย แต่อาจเล่น sideway ยาวออกมา ในขา 4 มักจะไม่เกิดความซับซ้อนเหมือนขา 2 ครับ และในทางกลับกันก็เช่นกัน เราใช้ความสัมพันธ์นี้ มาช่วยเดาคลื่นครับ ว่าขา 4 น่ะ จะจบขึ้นขา 5 เลยมั๊ย หรืออาจมีต่อ ประมาณนั้น
คลื่น 5 คลื่นสำหรับคนกล้า
เพราะ เป็นคลื่นที่ไม่มีความแน่นอน พร้อมที่จะล้มเหลวเมื่อไหร่ก็ได้ จึงเป็นคลื่นที่ไม่มีแรง คลื่นสำหรับคนตกขบวนคลื่น 3 ทดลองเข้ามาเสี่ยงทำกำไรอีกเล็กน้อย ก่อนการปรับฐาน
แต่มีข้อยกเว้นครับ ตามทฤษฎี ขา 3 ต้องไม่ใช่คลื่นที่สั้นที่สุด และควรจะยาวครับ หากไม่ยาว คือมีขนาดพอๆกับขา 1 คลื่น 5 มักจะเป็น extended wave 5 หรือมีการต่อคลื่น คือขึ้นคลื่นชุดย่อย(แต่ ใหญ่) ขยายความยาวคลื่น 5 ออกไปอีก
คลื่น a คลื่นปรับฐาน - สึนามิลูกแรก
เป็น คลื่นแรกของการปรับฐาน ที่อาจรุนแรงรวดเดียว หรือเพียงเบาะๆให้ตั้งตัวกันทันก็ได้ คลื่น a กับ คลื่น c เป็นคลื่นขาลงเหมือนกัน แต่ปกติหากมีคลื่นอันใดอันหนึ่งที่ยาว อีกอันก็จะสั้นๆครับ ในทองคำ การปรับฐานใหญ่ มักรุนแรงที่ขา a เรียกว่า เป็นสึนามิได้เลย ขณะที่ขา c อาจ sideway หรือสั้นๆมากกว่า
คลื่น b คลื่นถอนตัว VS คลื่นมวยประกอบรายการ
จบ คลื่น a ราคามักจะดีดกลับขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะบางคนก็เชื่อว่า การปรับฐานจบแล้ว บางคนก็เชื่อว่า ไอ้ที่ผ่านมา คงเป็นแค่คลื่น 3 ขอเล่นคลื่น 5 ต่อ และอีกพวก คือพวกชอบเล่นกับไฟ รู้ว่าเป็นคลื่น b แต่ก็เล่น เพราะจริงๆ ก็ยังสามารถทำกำไรได้
คุณสมบัติของคลื่น b ต้องดูสัญญาณประกอบครับ โดยเฉพาะ stoch กับ RSI มักขึ้นมาเร็วมาก ราคาอาจสูงกว่าหรือต่ำกว่าคลื่น 5 ก็ได้ ขอให้ดูสัญญาณเป็นสำคัญครับ และรีบถอนตัวเมื่อยอดสัญญาณเลยยอดสัญญาณของคลื่น 5
คลื่น c คลื่นปรับฐาน สึนามิลูกสุดท้าย
การ correction หรือการปรับฐาน จะจบด้วยขา c โดยขา c มักจบที่ 78.6% เมื่อวัดจากยอดคลื่น 5 ถึงฐานของคลื่น 1 หากลึกกว่านั้น แปลว่าตลาดอาจกลับสภาวะจากกระทิงเป็นหมีไปแล้วก็ได้ โดยด่านสุดท้าย ก็คือฐานคลื่น 1 นั่นแหละ
และวัฏจักรคลื่น ก็จะวนขึ้นขา 1 ใหม่อีกครั้ง เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ครับ
ครบ 5 คลื่นแล้ว หวังว่า คงยังไม่หมดแรงซะก่อนนะครับ บทต่อไปมาว่ากันต่อเรื่องวิธีดูเครื่องมือ หรือสัญญาณต่างๆ ที่ต้องใช้
ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://www.thaibestforex.com/forex/4-elliott-wave/?/
คิดว่า น่าจะเป็นการเริ่มต้นที่ถูกนะครับ น่าจะเป็นสิ่งที่ควรรู้เป็นอันดับแรก แต่บางคน แค่เห็นก็เมาคลื่นซะแล้ว อย่าเพิ่งครับ นั่นเป็นเพราะคุณหาจุดเริ่มต้นมันไม่ถูก เมื่อคุณเริ่มไม่ถูก อาการเมาคลื่น ก็จะตามมา ผมแนะนำคร่าวๆว่า
Elliott Wave ประกอบด้วยลูกคลื่นในขาขึ้น 5 ลูก ( 1-2-3-4-5) และลูกคลื่นในขาลง 3 ลูก (a-b-c) ในช่วงขาขึ้นเราเรียกว่า Impulse ส่วนขาลงเราเรียกว่า Correction โดยหากเป็นช่วงตลาดหมี ขาลงก็จะกลับกัน คือลง 5 ลูก ขึ้น 3 ลูกแทน และในคลื่นนึง ก็จะประกอบด้วยคลื่นเล็กๆ เสมอ อย่างเช่น คลื่นขา 1 เป็นขาขึ้น จะคลื่นในตัวเป็นคลื่นย่อย 5 คลื่น ขณะที่คลื่น 2 จะเป็นคลื่นขาลง จะมีคลื่นย่อยในตัวเป็น 3 คลื่น
ไม่ลงรายละเอียดมาก นัก เพราะหนังสือที่ไหนก็มีให้อ่าน แต่จะบอกว่า สิ่งที่งงกันคือบางครั้ง มีการต่อคลื่น หรือเกิดคลื่นไม่ปกติขึ้นมา ทำให้นับกันไม่ถูก และอีกกรณีคือ ตราบเท่าที่คลื่นมันยังไม่จบ คุณไม่มีทางรู้ได้ว่า คุณนับถูกหรือไม่
อ้าว ไหงเป็นงั้น แล้วจะมีประโยชน์อะไร?
มี สิครับ อย่างน้อยที่สุด คุณจะตัดเส้นทางที่เป็นไปไม่ได้ออกไป เหลือทางที่มีโอกาสจะเป็นไปได้ และทางที่มีโอกาสเป็นไปได้มากที่สุด แค่นี้ ก็ดีกว่าไม่รู้แล้ว ใช่ไหม
นักลงทุนที่ไม่ต้องการเสี่ยง จะเลือกลงทุนเมื่อกราฟอยู่ที่คลื่น 3 เพราะกว่าจะมาถึงคลื่น 3 ราคามันจะยืนยันขา 1 หรือขา 2 มาก่อนแล้ว และนี่คือสาเหตุครับ ว่าทำไม คลื่น 3 ถึงได้พุ่งได้แรงสุด เพราะมันชัดที่สุดนั่นเอง
รู้จักทฤษฎีหลักๆที่กำหนดว่า คลื่นไหนเป็นคลื่นไหน
Fibonacci number
ขี้ เกียจพูดถึงที่มา เดี๋ยวยาว เอาเป็นว่าเป็นตัวเลขที่ช่วยในการวัดหรือกะระยะของคลื่นลูกต่อไปได้ ตัวเลขที่น่าสนใจ ได้แก่ 23.6% 38.2% 50% 61.8% 78.6% 100% 127.2% 161.8% 261.8% 423.6% โดยตัวเลขที่พบบ่อยๆว่ามีพลังหน่อย คือตัวเลขที่ผม ใช้สีแดงกำกับ
RSI คู่หูนับคลื่นแบบพลาดยาก
RSI เป็นสัญญาณยอดฮิต ที่แนะนำให้ศึกษาเลยครับ มันบอกถึงพละกำลังกระทิงหรือหมีได้เป็นอย่างดี สิ่งที่จะบอก ผมเอง ไม่เคยเจอในหนังสือเล่มไหนครับ ทฤษฎีนี้ ตั้งแต่รู้มา ทำให้ผมนับคลื่นได้มั่นใจขึ้นมาก ต้องขอบคุณ คุณลุงโฉลก แห่ง chaloke.com ผู้ถ่ายทอดเคล็ดวิชาสุดยอดแบบไม่มีหวงกัน ทฤษฎีไม่มีอะไรมาก หากมีความสับสน ให้ดูยอดคลื่นที่สูงที่สุดของ RSI เทียบกับยอดคลื่นราคาครับ ยอดคลื่น RSI ที่สูง จะตรงกับคลื่น 3 และคลื่น b เสมอ แค่นี้ ใครที่เคยนับคลื่นไม่ถูก ก็ลองใช้ช่วยนับใหม่ดูครับ ง่ายขึ้นเยอะ
ทฤษฎีอีเลียตเวฟมีหยุมหยิมค่อนข้างเยอะ ผมเอาหลักๆมาแนะนำเพื่อเป็น guide ก็พอนะครับ
คลื่นที่ 1 แค่เริ่มต้นก็ไม่ง่ายแล้ว
ไม่ มีใครกะได้ว่า จะจบตรงไหน เพราะเพิ่งเริ่มคลื่นใหม่ สิ่งที่เราทำได้ คือรอให้มันจบคลื่น 1 ก่อนครับ แต่อย่างน้อยที่สุด คลื่นย่อยในคลื่น 1 ควรจะประกอบด้วย 5 คลื่น ไม่ใช่ 3 คลื่น หากนับได้ 3 คลื่นเมื่อไหร่ ตีความได้ว่า
- การ correction ของคลื่นรอบที่ผ่านมา ยังไม่จบจริง คืออาจมีการ correction ต่อเป็น a-b-c-x-a-b-c หรือ a-b-c-d-e เป็นต้น
- คลื่นนั้นยังไม่จบ คือยังเหลือการขึ้นขา 5 อีกขา ก่อนลง correction ขา 2 อีกที
หาก คุณอ่านทฤษฎีในหนังสือ คงไม่ได้บอกคุณว่า ไอ้คลื่น 1 นี่อ่ะ มันก็ไม่ได้ระบุง่ายๆ เพราะมันเพิ่งต่อมาจากคลื่นปรับฐาน ทำให้ไม่รู้ว่า นี่มันคลื่น 1 หรือคลื่นปรับฐานต่อเนื่องกันแน่ เป็นเหตุให้ไม่ค่อยมีใครกล้าเข้าเล่นในคลื่น 1 นั่นเอง
คลื่น 2 จบเมื่อไหร่ ค่อยบอกคุณว่า ไอ้คลื่นลูกเมื่อกี๊น่ะ คลื่น 1 นะจ๊ะ
ถึง บอกว่า ไม่ค่อยมีใครเล่นคลื่น 1 เพราะมันมีโอกาสเป็นคลื่น correction ที่จะพาคุณชมดอยเต่าได้แบบไม่ต้องตีตั๋ว ตามทฤษฎีดูเหมือนง่าย มันบอกว่า คลื่น 2 จะไม่ต่ำกว่าคลื่น 1 หากคุณมั่นใจเข้าซื้อ เพราะคิดว่า นั่นคือคลื่น 2 ไม่มีทางหล่นต่ำกว่าคลื่น 1 หรอก ขอให้คิดใหม่ครับ เพราะเมื่อไหร่ที่ราคามันหลุดลงต่ำกว่าฐานคลื่น 1 มันก็เปลี่ยนสถานะตัวเองจากว่าที่คลื่น 2 เป็นคลื่น c ขาลงต่อเลย แสบมั๊ย
ปกติ เมื่อจบคลื่น 2 เราก็จะใช้ก้นคลื่น 2 ในการกะเป้าหมายคลื่น 3 ได้ต่อครับ ตามหลัก คลื่น 2 ของทองคำ มักจบแถว 61.8% หรือ 78.6% โดยหากเด้งขึ้นจากเส้นแถวนี้ได้แรงๆ ผ่านยอดคลื่น 1 มาได้ เราก็คาดได้ว่า นั่นน่าจะเป็นขา 2 และกำลังขึ้นคลื่น 3 ที่เราตั้งตารอกัน
คลื่น 3 คลื่นสุด hot
ใครๆ ก็รอขา 3 เพราะขา 3 มักจะยาวและทำกำไรได้มาก และความเสี่ยงต่ำที่สุด แต่กว่าจะรู้ว่าเป็นขา 3 บางทีมันก็เดินทางมาครึ่งทางแล้วครับ เพราะอะไร ก็ลองย้อนไปดูคลื่น 2 สิ
ตัวคลื่น 3 เอง ก็ประกอบด้วยคลื่นย่อยในตัว 5 คลื่น กว่าเราจะเห็นชัดๆว่า นี่คือคลื่น 3 ก็ต่อเมื่อเราจบคลื่น 2 ของ 3 และกำลังเข้าคลื่นย่อยขา 3 ของคลื่นหลักขา 3 แล้ว ถึงตรงนี้ ปกติผมจะไม่ลังเลในการบอกให้ซื้อครับ เพราะมันยังไปได้อีกอย่างน้อยก็ 60% ของขาล่างสุด เช่นขึ้นมาแล้ว 50 เหรียญ ก็เป็นไปได้ว่า มีโอกาสขึ้นอีกอย่างน้อย 30 เหรียญ ดีกว่าไม่ได้ ใช่ไหมครับ
ทฤษฎีมีว่า ขา 3 มีโอกาสขึ้นมาได้อย่างน้อย 161.8% เมื่อวัดจากยอดขา 1 ถึง ขา 2 และหากแรงๆ ก็จะไป 261.8% หรือกระทั่ง 423.6% ก็ได้ แถมตามด้วยคลื่น 5 ที่สามารถลุ้นเสี่ยงทำกำไรเพิ่มได้
คลื่น 4 คลื่นคืนกำไร
คลื่น 4 ลุงโฉลกให้นิยามว่า เป็นคลื่นคืนกำไร และไม่ค่อยแนะนำให้เล่น เพราะคาดการณ์ยากครับ ตามทฤษฎีบอกว่า ขา 4 จะลงไม่ถึงขา 1 แต่บางครั้งโดยเฉพาะในราคาทองคำตอนปลายๆทาง มันก็แล๊บลงมาต่ำกว่าขา 1 นิดหน่อยเหมือนกัน เรียกว่า เกิดความไม่ปกติขึ้น และจะเกิดเมื่อคลื่น 3 ไม่มีแรงขึ้น คือผิดปกติด้วย ว่างั้น และหากหลุดรูดลงมาเลย มันก็จะเปลี่ยนสถานะตัวเอง จากคลื่น 4 เป็นคลื่น a ครับ แล้วก็ต้องนับขากันใหม่ เพราะราคาไปไม่ถึงดวงดาวเสียแล้ว
มีความสัมพันธ์ ระหว่างขา 2 กับขา 4 ที่มีความเป็นไปได้อยู่อย่างนึงครับ คือหาก ขา 2 มีความซับซ้อน คือไม่ลง a-b-c แล้วจบเลย แต่อาจเล่น sideway ยาวออกมา ในขา 4 มักจะไม่เกิดความซับซ้อนเหมือนขา 2 ครับ และในทางกลับกันก็เช่นกัน เราใช้ความสัมพันธ์นี้ มาช่วยเดาคลื่นครับ ว่าขา 4 น่ะ จะจบขึ้นขา 5 เลยมั๊ย หรืออาจมีต่อ ประมาณนั้น
คลื่น 5 คลื่นสำหรับคนกล้า
เพราะ เป็นคลื่นที่ไม่มีความแน่นอน พร้อมที่จะล้มเหลวเมื่อไหร่ก็ได้ จึงเป็นคลื่นที่ไม่มีแรง คลื่นสำหรับคนตกขบวนคลื่น 3 ทดลองเข้ามาเสี่ยงทำกำไรอีกเล็กน้อย ก่อนการปรับฐาน
แต่มีข้อยกเว้นครับ ตามทฤษฎี ขา 3 ต้องไม่ใช่คลื่นที่สั้นที่สุด และควรจะยาวครับ หากไม่ยาว คือมีขนาดพอๆกับขา 1 คลื่น 5 มักจะเป็น extended wave 5 หรือมีการต่อคลื่น คือขึ้นคลื่นชุดย่อย(แต่ ใหญ่) ขยายความยาวคลื่น 5 ออกไปอีก
คลื่น a คลื่นปรับฐาน - สึนามิลูกแรก
เป็น คลื่นแรกของการปรับฐาน ที่อาจรุนแรงรวดเดียว หรือเพียงเบาะๆให้ตั้งตัวกันทันก็ได้ คลื่น a กับ คลื่น c เป็นคลื่นขาลงเหมือนกัน แต่ปกติหากมีคลื่นอันใดอันหนึ่งที่ยาว อีกอันก็จะสั้นๆครับ ในทองคำ การปรับฐานใหญ่ มักรุนแรงที่ขา a เรียกว่า เป็นสึนามิได้เลย ขณะที่ขา c อาจ sideway หรือสั้นๆมากกว่า
คลื่น b คลื่นถอนตัว VS คลื่นมวยประกอบรายการ
จบ คลื่น a ราคามักจะดีดกลับขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะบางคนก็เชื่อว่า การปรับฐานจบแล้ว บางคนก็เชื่อว่า ไอ้ที่ผ่านมา คงเป็นแค่คลื่น 3 ขอเล่นคลื่น 5 ต่อ และอีกพวก คือพวกชอบเล่นกับไฟ รู้ว่าเป็นคลื่น b แต่ก็เล่น เพราะจริงๆ ก็ยังสามารถทำกำไรได้
คุณสมบัติของคลื่น b ต้องดูสัญญาณประกอบครับ โดยเฉพาะ stoch กับ RSI มักขึ้นมาเร็วมาก ราคาอาจสูงกว่าหรือต่ำกว่าคลื่น 5 ก็ได้ ขอให้ดูสัญญาณเป็นสำคัญครับ และรีบถอนตัวเมื่อยอดสัญญาณเลยยอดสัญญาณของคลื่น 5
คลื่น c คลื่นปรับฐาน สึนามิลูกสุดท้าย
การ correction หรือการปรับฐาน จะจบด้วยขา c โดยขา c มักจบที่ 78.6% เมื่อวัดจากยอดคลื่น 5 ถึงฐานของคลื่น 1 หากลึกกว่านั้น แปลว่าตลาดอาจกลับสภาวะจากกระทิงเป็นหมีไปแล้วก็ได้ โดยด่านสุดท้าย ก็คือฐานคลื่น 1 นั่นแหละ
และวัฏจักรคลื่น ก็จะวนขึ้นขา 1 ใหม่อีกครั้ง เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ครับ
ครบ 5 คลื่นแล้ว หวังว่า คงยังไม่หมดแรงซะก่อนนะครับ บทต่อไปมาว่ากันต่อเรื่องวิธีดูเครื่องมือ หรือสัญญาณต่างๆ ที่ต้องใช้
ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://www.thaibestforex.com/forex/4-elliott-wave/?/
Chart Pattern รูปแบบซ้อนทับ
Posted by
goodintequila
on Friday, July 3, 2015
Chart Pattern รูปแบบซ้อนทับ
Chart Pattern by Thaiforexschool
รูป แบบกราฟหรือ Pattern นั้น คือรูปแบบของราคาที่เคลื่อนที่อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งสามารถใช้ในการคาดการณ์ถึงภาวะราคาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ ทั้งนี้รูปแบบกราฟอาจมีรูปแบบที่ต่างๆขึ้นมาก่อนที่จะเป็นรูปแบบใหญ่ที่เรา วิเคราะห์ไว้ตั้งแต่ต้น ซึ่งจะเชื่อมต่อกันหรืออยู่ภายในรูปแบบใหญ่นั้นเอง รูปแบบกราฟเช่นนี้เรียกว่า “รูปแบบซ้อนทับ” รูปแบบซ้อนทับคือ การที่ราคากำลังจะทำ Pattern อย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ในขณะที่กำลังทำส่วนประกอบของ Pattern นั้นอยู่ ราคาได้มีการทำ Pattern ซ้อนขึ้นมา ซึ่งทำให้คาดการณ์ถึงภาวะตลาดที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ยากยิ่งขึ้น หรือจะเรียกอีกนัยคือ ราคากำลังทำPattern หลัก ในขณะที่กำลังทำนั้น ราคาได้มีการทำ Patternรอง ซึ่ง Patternรองนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ทุกส่วนของ Patternหลัก เกิดขึ้นมากกว่าหนึ่ง Patternที่เป็น Patternรอง และสามารถเกิดได้ทุกรูปแบบของ Chart Pattern คือ
1. รูปแบบกลับตัว (Reversal Patterns)
2. รูปแบบต่อเนื่อง (Continuous Patterns)
3. รูปแบบที่เป็นไปได้ทั้งสองทาง (Bilateral Patterns)
จน หลายครั้งทำให้เราไม่แน่ใจถึง Pattern หลักว่าจะเป็นไปตามที่คาดการณ์หรือไม่เพราะPatternรองที่เกิดขึ้นนั้นอาจขัด แย้งกับPatternหลักที่กำลังจะเกิด ทำให้เราพลาดโอกาสในการทำกำไรได้
รูปแบบซ้อนทับนั้นแบ่งออกเป็น3 ลักษณะดังนี้
รูปแบบซ้อนทับขัดแย้ง
รูปแบบซ้อนทับทางเดียวกัน
รูปแบบซ้อนทับผิดทาง
รูปแบบขัดแย้ง เป็นรูปแบบที่ รูปแบบรองนั้นที่เกิดขึ้นนั้น มีการขัดแย้งกับรูปแบบหลัก ยกตัวอย่างเช่น
- รูปแบบหลักกำลังทำ Reversal Patterns แต่รูปแบบรองเป็น Continuous Patterns
- รูปแบบหลักกำลังทำ Continuous Patterns แต่รูปแบบรองเป็น Reversal Patterns
-รูปแบบหลักกำลังทำ Reversal Patterns แต่รูปแบบรองทำ Bilateral Patterns
ซึ่ง จากตัวอย่างจะให้ได้ว่า รูปแบบหลักและรูปแบบรองนั้นมี Chart Pattern ที่ขัดแย้งกัน ทำให้ เราอาจเกิดความไม่แน่ใจถึงแนวโน้มในรูปแบบหลักว่าจะไปตามที่คาดการณ์ไว้ได้








รูป แบบซ้อนทับทางเดียวกัน เป็นรูปแบบที่ส่งเสริมรูปแบบหลัก คือทั้งรูปแบบหลักและรูปแบบรองจะ Chart Pattern ที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันยกตัวอย่างเช่น รูปแบบหลักกำลังทำ
-Reversal Patterns รูปแบบรองทำ Reversal Patterns
- รูปแบบหลักกำลังทำ Continuous Patterns รูปแบบรองทำ Continuous Patterns
***หมาย เหตุ รูปแบบซ้อนทับทางเดียวกัน จะไม่มี Chart Pattern Bilateral Patterns*** เนื่องจาก Bilateral Patternsเป็น Patternที่ไปได้ทั้งสองทาง จึงไม่สามารถบอกได้ชัดแจ้งว่าจะมีพฤติกรรมของราคาที่ส่งเสริมกันหรือไม่ รูปแบบซ้อนทับทางเดียวกันจะยิ่งทำให้เรามั่นใจถึงพฤติกรรมราคาในรูปแบบหลัก มากยิ่งใหญ่





รูป แบบซ้อนทับผิดทางเป็นรูปแบบที่ หลอกตามักเกิดตอนที่ รูปแบบหลักใกล้จะสมบรูณ์ แต่เกิดการทะลุในทิศทางตรงข้ามกับเป้าหมายของรูปแบบหลักก่อนจากนั้นจึงเกิด รูปแบบรองที่ ในลักษณะที่ไปทางเดียวกันกับรูปแบบหลัก รูปแบบซ้อนทับผิดทางมักจะทำให้เราเสียโอกาสในการทำกำไรสูงเพราะ ดูเหมือนราคาจะไม่สามารถทำรูปแบบหลักได้อีกแต่กลับมีรูปแบบรองเกิดขึ้นและทำ ให้ ราคากลับตัวไปตามทิศทางเป้าหมายของรูปแบบหลัก
การมองรูป แบบซ้อนทับให้ออกนั้น เราต้องอาศัยการมองรูปแบบกราฟเป็นภาพรวม รู้จักการแบ่งกลุ่มราคาที่ทำจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดแล้วแยกรูปแบบออกมาว่ารูป แบบราคาไหนเป็นรูปแบบหลัก รูปแบบรอง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วรูปแบบหลักจะเป็นรูปแบบที่ใหญ่กว่ารูปแบบรอง
วิธี การทำกำไรนั้น เมื่อเกิดรูปแบบซ้อนทับเราสามารถทำกำไรได้จากรูปแบบรอง โดยพิจารณาจุดเข้าและจุดออกตามแนวรับแนวต้านจากรูปแบบหลักเมื่อหมดรอบของรูป แบบรองแล้ว ก็มาดูแนวโน้มว่ารูแบบรองที่เกิดขึ้นเสร็จแล้วนั้น ทำให้ราคาจะเป็นไปตามรูปแบบหลักอยู่อีกหรือไม่ ซึ่งต้องอาศัยการดู พฤติกรรมของราคาหรือPrice Action ประกอบจะยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพในการเทรดในดียิ่งขึ้น
วิธี การทำกำไรนั้น เมื่อเกิดรูปแบบซ้อนทับเราสามารถทำกำไรได้จากรูปแบบรอง โดยพิจารณาจุดเข้าและจุดออกตามแนวรับแนวต้านจากรูปแบบหลักเมื่อหมดรอบของรูป แบบรองแล้ว ก็มาดูแนวโน้มว่ารูแบบรองที่เกิดขึ้นเสร็จแล้วนั้น ทำให้ราคาจะเป็นไปตามรูปแบบหลักอยู่อีกหรือไม่ ซึ่งต้องอาศัยการดู พฤติกรรมของราคาหรือPrice Action ประกอบจะยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพในการเทรดในดียิ่งขึ้น
ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://www.thaibestforex.com/forex/chart-pattern/?/

Chart Pattern by Thaiforexschool
รูป แบบกราฟหรือ Pattern นั้น คือรูปแบบของราคาที่เคลื่อนที่อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งสามารถใช้ในการคาดการณ์ถึงภาวะราคาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ ทั้งนี้รูปแบบกราฟอาจมีรูปแบบที่ต่างๆขึ้นมาก่อนที่จะเป็นรูปแบบใหญ่ที่เรา วิเคราะห์ไว้ตั้งแต่ต้น ซึ่งจะเชื่อมต่อกันหรืออยู่ภายในรูปแบบใหญ่นั้นเอง รูปแบบกราฟเช่นนี้เรียกว่า “รูปแบบซ้อนทับ” รูปแบบซ้อนทับคือ การที่ราคากำลังจะทำ Pattern อย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ในขณะที่กำลังทำส่วนประกอบของ Pattern นั้นอยู่ ราคาได้มีการทำ Pattern ซ้อนขึ้นมา ซึ่งทำให้คาดการณ์ถึงภาวะตลาดที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ยากยิ่งขึ้น หรือจะเรียกอีกนัยคือ ราคากำลังทำPattern หลัก ในขณะที่กำลังทำนั้น ราคาได้มีการทำ Patternรอง ซึ่ง Patternรองนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ทุกส่วนของ Patternหลัก เกิดขึ้นมากกว่าหนึ่ง Patternที่เป็น Patternรอง และสามารถเกิดได้ทุกรูปแบบของ Chart Pattern คือ
1. รูปแบบกลับตัว (Reversal Patterns)
2. รูปแบบต่อเนื่อง (Continuous Patterns)
3. รูปแบบที่เป็นไปได้ทั้งสองทาง (Bilateral Patterns)
จน หลายครั้งทำให้เราไม่แน่ใจถึง Pattern หลักว่าจะเป็นไปตามที่คาดการณ์หรือไม่เพราะPatternรองที่เกิดขึ้นนั้นอาจขัด แย้งกับPatternหลักที่กำลังจะเกิด ทำให้เราพลาดโอกาสในการทำกำไรได้
รูปแบบซ้อนทับนั้นแบ่งออกเป็น3 ลักษณะดังนี้
รูปแบบซ้อนทับขัดแย้ง
รูปแบบซ้อนทับทางเดียวกัน
รูปแบบซ้อนทับผิดทาง
รูปแบบขัดแย้ง เป็นรูปแบบที่ รูปแบบรองนั้นที่เกิดขึ้นนั้น มีการขัดแย้งกับรูปแบบหลัก ยกตัวอย่างเช่น
- รูปแบบหลักกำลังทำ Reversal Patterns แต่รูปแบบรองเป็น Continuous Patterns
- รูปแบบหลักกำลังทำ Continuous Patterns แต่รูปแบบรองเป็น Reversal Patterns
-รูปแบบหลักกำลังทำ Reversal Patterns แต่รูปแบบรองทำ Bilateral Patterns
ซึ่ง จากตัวอย่างจะให้ได้ว่า รูปแบบหลักและรูปแบบรองนั้นมี Chart Pattern ที่ขัดแย้งกัน ทำให้ เราอาจเกิดความไม่แน่ใจถึงแนวโน้มในรูปแบบหลักว่าจะไปตามที่คาดการณ์ไว้ได้









รูป แบบซ้อนทับทางเดียวกัน เป็นรูปแบบที่ส่งเสริมรูปแบบหลัก คือทั้งรูปแบบหลักและรูปแบบรองจะ Chart Pattern ที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันยกตัวอย่างเช่น รูปแบบหลักกำลังทำ
-Reversal Patterns รูปแบบรองทำ Reversal Patterns
- รูปแบบหลักกำลังทำ Continuous Patterns รูปแบบรองทำ Continuous Patterns
***หมาย เหตุ รูปแบบซ้อนทับทางเดียวกัน จะไม่มี Chart Pattern Bilateral Patterns*** เนื่องจาก Bilateral Patternsเป็น Patternที่ไปได้ทั้งสองทาง จึงไม่สามารถบอกได้ชัดแจ้งว่าจะมีพฤติกรรมของราคาที่ส่งเสริมกันหรือไม่ รูปแบบซ้อนทับทางเดียวกันจะยิ่งทำให้เรามั่นใจถึงพฤติกรรมราคาในรูปแบบหลัก มากยิ่งใหญ่






รูป แบบซ้อนทับผิดทางเป็นรูปแบบที่ หลอกตามักเกิดตอนที่ รูปแบบหลักใกล้จะสมบรูณ์ แต่เกิดการทะลุในทิศทางตรงข้ามกับเป้าหมายของรูปแบบหลักก่อนจากนั้นจึงเกิด รูปแบบรองที่ ในลักษณะที่ไปทางเดียวกันกับรูปแบบหลัก รูปแบบซ้อนทับผิดทางมักจะทำให้เราเสียโอกาสในการทำกำไรสูงเพราะ ดูเหมือนราคาจะไม่สามารถทำรูปแบบหลักได้อีกแต่กลับมีรูปแบบรองเกิดขึ้นและทำ ให้ ราคากลับตัวไปตามทิศทางเป้าหมายของรูปแบบหลัก
การมองรูป แบบซ้อนทับให้ออกนั้น เราต้องอาศัยการมองรูปแบบกราฟเป็นภาพรวม รู้จักการแบ่งกลุ่มราคาที่ทำจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดแล้วแยกรูปแบบออกมาว่ารูป แบบราคาไหนเป็นรูปแบบหลัก รูปแบบรอง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วรูปแบบหลักจะเป็นรูปแบบที่ใหญ่กว่ารูปแบบรอง

วิธี การทำกำไรนั้น เมื่อเกิดรูปแบบซ้อนทับเราสามารถทำกำไรได้จากรูปแบบรอง โดยพิจารณาจุดเข้าและจุดออกตามแนวรับแนวต้านจากรูปแบบหลักเมื่อหมดรอบของรูป แบบรองแล้ว ก็มาดูแนวโน้มว่ารูแบบรองที่เกิดขึ้นเสร็จแล้วนั้น ทำให้ราคาจะเป็นไปตามรูปแบบหลักอยู่อีกหรือไม่ ซึ่งต้องอาศัยการดู พฤติกรรมของราคาหรือPrice Action ประกอบจะยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพในการเทรดในดียิ่งขึ้น




วิธี การทำกำไรนั้น เมื่อเกิดรูปแบบซ้อนทับเราสามารถทำกำไรได้จากรูปแบบรอง โดยพิจารณาจุดเข้าและจุดออกตามแนวรับแนวต้านจากรูปแบบหลักเมื่อหมดรอบของรูป แบบรองแล้ว ก็มาดูแนวโน้มว่ารูแบบรองที่เกิดขึ้นเสร็จแล้วนั้น ทำให้ราคาจะเป็นไปตามรูปแบบหลักอยู่อีกหรือไม่ ซึ่งต้องอาศัยการดู พฤติกรรมของราคาหรือPrice Action ประกอบจะยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพในการเทรดในดียิ่งขึ้น
ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://www.thaibestforex.com/forex/chart-pattern/?/
การเทรด Forex Exness แบบยั่งยืน
Posted by
goodintequila
on Thursday, April 23, 2015
การรเทรด Forex ให้ได้กำไร มีองค์ประกอบ 3 อย่าง ที่จะทำให้มีกำไรในการเทรด Forex แบบยั่งยืน
1. Forex Trading System (ระบบเทรด) มีความสำคัญ 10%
เพื่อนๆ ควรหาระบบเทรด ที่เหมาะสมกับตัวเองให้เจอ ควรเป็นระบบที่ทน Drawdown ได้ ที่สำคัญเมื่อมีระบบแล้วก็ต้องทำตามให้ได้
2. Money Management (การบริหารเงิน) มีความสำคัญ 30%
เมื่อ มีระบบเทรดแล้ว Money Management ก็จะปรากฎให้เห็นเอง ว่าเราจะจัดการกับเงินทุนยังไง ให้เหมาะสมกับข้อมูลระบบเทรดที่มี เช่น เรามีข้อมูลว่าระบบของเรามีโอกาศเสียติดๆ กัน เราก็ต้องลงเงินในจำนวน % น้อยๆ มี Stop loss อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อจะทำให้ไม่ทำให้พอร์ตเสียหายมาก
3. Psychology (จิตวิทยา) มีความสำคัญ 60%
ในการเทรด Forex การ ควบคุมจิตใจ ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของการเทรดให้กำไรแบบยั่งยืนได้เลยที่เดียว ต่อให้เพื่อนๆ มีสองข้อแรกดีแค่ใหน ถ้าขาดการควบคุมจิตใจไปก็ไม่สามารถจะเทรดให้กำไรแบบยั่งยืนได้ ตัวที่เด่นๆ คือ ความโลภ กับความกลัว รองลงมาคือ ความมั่นใจเกินไป
ตัวอย่างเช่น เมื่อมีกำไรก็เกิดความโลภ เพิ่ม Positions มากขึ้น พอตลาดเปลี่ยนทิศก็ขาดทุนมาก พอขาดทุนก็เกิดความกลัว ลด Positions ลง พอตลาดถูกทิศก็กำไรน้อย (ไม่ทำตามกฎ Money Management ที่ได้วางไว้)
หรือ ราคาวิ่งเลยจุดเข้าไปไกลแล้ว แต่เกิดความโลภ เห็นราคาไหลจึงรีบเข้ากลางทาง พอตลาดเปลี่ยนทิศก็ขาดทุนมาก พอขาดทุนก็เกิดความกลัวพอระบบให้สัญญาณในครังต่อไปก็ไม่กล้าเปิดคำสั่งซื้อ ขาย พอตลาดถูกทิศก็ไม่มีกำไร (ไม่ทำตามระบบเทรด forex ที่ได้วางไว้)
หรือ เทรดได้ติดๆ กันหลายครั้งทำให้เกิดความมั่นใจเกินไป เพิ่ม Positions มากขึ้น โดยไม่ทำตามกฎ Money Management ที่ได้วางไว้ พอตลาดเปลี่ยนทิศก็คืนกำไรที่ได้มาไปจนหมดในครั้งเดียว
ดังนั้นเพื่อนๆ ที่ซื้อขายเอาไว้ตามระบบก็คอยออกตามระบบ ใครที่ตกรถก็นั่งดูไปก่อน อย่าเข้ามาในตลาดขณะที่ไม่ใช่เวลาซื้อขาย
เล่น forex แบบสบายๆ มีสัญญาณซื้อก็ซื้อ มีสัญญาณขายก็ขาย พยายามอย่าคิดมาก เล่นตามระบบที่วางไว้ แล้วทำกำไรตามระบบ ไปเรื่อยๆดีกว่า
ข้อสำคัญที่สุดคือมีวินัยในการ Stop loss เพราะถ้าหากคาดการผิด จะได้ไม่เสียหายมาก แต่ถ้าถูกทาง ก็ Let profit run
1. Forex Trading System (ระบบเทรด) มีความสำคัญ 10%
เพื่อนๆ ควรหาระบบเทรด ที่เหมาะสมกับตัวเองให้เจอ ควรเป็นระบบที่ทน Drawdown ได้ ที่สำคัญเมื่อมีระบบแล้วก็ต้องทำตามให้ได้
2. Money Management (การบริหารเงิน) มีความสำคัญ 30%
เมื่อ มีระบบเทรดแล้ว Money Management ก็จะปรากฎให้เห็นเอง ว่าเราจะจัดการกับเงินทุนยังไง ให้เหมาะสมกับข้อมูลระบบเทรดที่มี เช่น เรามีข้อมูลว่าระบบของเรามีโอกาศเสียติดๆ กัน เราก็ต้องลงเงินในจำนวน % น้อยๆ มี Stop loss อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อจะทำให้ไม่ทำให้พอร์ตเสียหายมาก
3. Psychology (จิตวิทยา) มีความสำคัญ 60%
ในการเทรด Forex การ ควบคุมจิตใจ ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของการเทรดให้กำไรแบบยั่งยืนได้เลยที่เดียว ต่อให้เพื่อนๆ มีสองข้อแรกดีแค่ใหน ถ้าขาดการควบคุมจิตใจไปก็ไม่สามารถจะเทรดให้กำไรแบบยั่งยืนได้ ตัวที่เด่นๆ คือ ความโลภ กับความกลัว รองลงมาคือ ความมั่นใจเกินไป
ตัวอย่างเช่น เมื่อมีกำไรก็เกิดความโลภ เพิ่ม Positions มากขึ้น พอตลาดเปลี่ยนทิศก็ขาดทุนมาก พอขาดทุนก็เกิดความกลัว ลด Positions ลง พอตลาดถูกทิศก็กำไรน้อย (ไม่ทำตามกฎ Money Management ที่ได้วางไว้)
หรือ ราคาวิ่งเลยจุดเข้าไปไกลแล้ว แต่เกิดความโลภ เห็นราคาไหลจึงรีบเข้ากลางทาง พอตลาดเปลี่ยนทิศก็ขาดทุนมาก พอขาดทุนก็เกิดความกลัวพอระบบให้สัญญาณในครังต่อไปก็ไม่กล้าเปิดคำสั่งซื้อ ขาย พอตลาดถูกทิศก็ไม่มีกำไร (ไม่ทำตามระบบเทรด forex ที่ได้วางไว้)
หรือ เทรดได้ติดๆ กันหลายครั้งทำให้เกิดความมั่นใจเกินไป เพิ่ม Positions มากขึ้น โดยไม่ทำตามกฎ Money Management ที่ได้วางไว้ พอตลาดเปลี่ยนทิศก็คืนกำไรที่ได้มาไปจนหมดในครั้งเดียว
ดังนั้นเพื่อนๆ ที่ซื้อขายเอาไว้ตามระบบก็คอยออกตามระบบ ใครที่ตกรถก็นั่งดูไปก่อน อย่าเข้ามาในตลาดขณะที่ไม่ใช่เวลาซื้อขาย
เล่น forex แบบสบายๆ มีสัญญาณซื้อก็ซื้อ มีสัญญาณขายก็ขาย พยายามอย่าคิดมาก เล่นตามระบบที่วางไว้ แล้วทำกำไรตามระบบ ไปเรื่อยๆดีกว่า
ข้อสำคัญที่สุดคือมีวินัยในการ Stop loss เพราะถ้าหากคาดการผิด จะได้ไม่เสียหายมาก แต่ถ้าถูกทาง ก็ Let profit run
"อยู่รอดให้ได้ก่อนแล้วค่อยทำกำไร"
ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://www.thaibestforex.com/forex/forex-exness/?/
ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://www.thaibestforex.com/forex/forex-exness/?/
แผนการเทรด 3 ปี Admin Thaiforexschool.com
Posted by
goodintequila
on Sunday, April 19, 2015
แผนการเทรด 3 ปี ทำให้ได้ครับ เทรดให้ได้วันละ 10
จุดนั้นไม่ยากหรอกครับ มันขึ้นอยู่กับว่า
คุณมีวินัยและความอดทนได้มากแค่ไหนครับ ต้นๆปี 2015 ถ้าสำเร็จ พวกเรา
มาร่วมฉลองความสำเร็จด้วยกันครับ โชคดีครับทุกท่าน
วิธีที่จะเทรดให้ได้กำไรไม่มีให้ครับ หาด้วยตัวเองครับแต่จะมีกฎและข้อบังคับในการเทรดให้ครับ
1. ถ้าเปิดออเดอร์แรก แล้วเข้าเป้า ให้เลิกทันที ( เป้าหมายไม่จำเป็นต้องวันละ 10 จุด อาจจะมากกว่านั้นก็ได้ )
2.ถ้าเปิดออเดอร์แรก แล้ว โดน Stop Loss ให้รอจังหวะและหาโอกาสเปิดออเดอร์ที่ 2
2.1 ถ้าออเดอร์ที่ 2 โดน Stop Loss ให้หยุดทันที
2.2 ถ้าออเดอร์ที่ 2 เข้าเป้าให้โอกาสตัวเองอีก 1 ครั้ง ในครั้งที่ 3
หมายเหตุ .. ถ้าออเดอร์ที่ 2 ได้กำไรมากกว่าที่เสียในออเดอร์แรก ก็ให้หยุดทันทีครับ
3. ไม่ว่าออเดอร์ที่ 3 จะเข้าเป้า หรือ โดน Stop Loss ก็ต้องหยุดทันทีครับ
อย่าลืมนะครับ ว่า Volume lot ที่ใช้เทรด ต้องเอา Balance/10000 นะครับ ผม เชื่อว่าถ้าพวกคุณและผมทำตามกฎนี้ไปเรื่อยๆ เราจะไม่ชนะตลาดนี้หรอกครับ แต่เราจะมีเงินจากตลาดแห่งนี้ที่คนส่วนใหญ่บอกว่าเป็นตลาดที่มีความเสี่ยง สูง
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaibestforex.com/forex/3-admin-thaiforexschool-com/?/

วิธีที่จะเทรดให้ได้กำไรไม่มีให้ครับ หาด้วยตัวเองครับแต่จะมีกฎและข้อบังคับในการเทรดให้ครับ
1. ถ้าเปิดออเดอร์แรก แล้วเข้าเป้า ให้เลิกทันที ( เป้าหมายไม่จำเป็นต้องวันละ 10 จุด อาจจะมากกว่านั้นก็ได้ )
2.ถ้าเปิดออเดอร์แรก แล้ว โดน Stop Loss ให้รอจังหวะและหาโอกาสเปิดออเดอร์ที่ 2
2.1 ถ้าออเดอร์ที่ 2 โดน Stop Loss ให้หยุดทันที
2.2 ถ้าออเดอร์ที่ 2 เข้าเป้าให้โอกาสตัวเองอีก 1 ครั้ง ในครั้งที่ 3
หมายเหตุ .. ถ้าออเดอร์ที่ 2 ได้กำไรมากกว่าที่เสียในออเดอร์แรก ก็ให้หยุดทันทีครับ
3. ไม่ว่าออเดอร์ที่ 3 จะเข้าเป้า หรือ โดน Stop Loss ก็ต้องหยุดทันทีครับ
อย่าลืมนะครับ ว่า Volume lot ที่ใช้เทรด ต้องเอา Balance/10000 นะครับ ผม เชื่อว่าถ้าพวกคุณและผมทำตามกฎนี้ไปเรื่อยๆ เราจะไม่ชนะตลาดนี้หรอกครับ แต่เราจะมีเงินจากตลาดแห่งนี้ที่คนส่วนใหญ่บอกว่าเป็นตลาดที่มีความเสี่ยง สูง
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaibestforex.com/forex/3-admin-thaiforexschool-com/?/
คุณต้องมีลูกน้อง
Posted by
goodintequila
on Thursday, April 9, 2015
fund ใหญ่ๆ มักมีระบบเทรดอัติโนมัติ เพราะเขาเป็นองค์กรแสวงผลกำไร
ดังนั้นเข้าจึงต้องทำทุกวิถีทางให้เกิดกำไร โดยมีทั้งเทรดเดอร์ประจำ fund
และ ระบบอัติโนมัติ ช่วยตลอดเวลา จะเห็นได้ว่าองค์กรใหญ่ๆ
ยังไม่ปฏิเสธสิ่งเหล่านี้
ดังนั้นเราจะนำมันมาประยุกต์ให้เข้ากับเราได้อย่างไร ?
1.คุณต้องเป็นเทรดเดอร์ที่มีระบบส่วนตัวที่สามารถทำกำไรได้
2.คุณต้องมีผู้ช่วยที่ซื่อสัตย์ คือ อีเอ (ที่คุณเข้าใจการทำงานของมันจริงๆ)
3.คุณต้อง MM โดยที่มั่นใจว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อบัญชีของ Fund ของคุณ
4.หากคุณต้องการเดิมพัน กับตลาด คุณต้องมั่นใจว่าคุณมีโอกาสถูกทางมากกว่า 90%
5.ลูกน้องคุณคือเงินของคุณ และผู้จัดการคุณคือ อีเอ ส่วนคุณคือ นักลงทุน
6.คุณ ต้องไว้ใจผู้จัดการของคุณ หน้าที่ของคุณคือคอยติดตามการทำงานของ ผู้จัดการของคุณ หากเมื่อไหร่ ผู้จัดการของคุณ บริหารผิดพลาดมากเกินแนวรับ (หลุดเทรนขาขึ้น) นั่นหมายความว่า ผู้จัดการของคุณ เริ่มมีปัญหาเสียแล้ว คุณควรจะพักงานเขา ให้เขาไปพักร้อนสักระยะ ก่อนจะกลับมาทำงานอีกครั้ง
7. คุณควรรู้ว่าผู้จัดการคนนี้ มีความสามารถในการทำกำไรให้แก่คุณในสภาวะตลาดแบบใด และการบริหารของเขา มีลักษณะแบบใด เช่น อึดถึก กล้าได้กล้าเสีย ตัดสินใจรวดเร็ว แต่มักจะได้ผลตอบแทนต่ำๆ
8. คุณสามารถมีผู้จักการกองทุนของคุณได้มากกว่า 1 แต่คุณต้องรู้ว่าการ นำผู้จัดการคุณหลายคนมารวมกัน มันอาจจะทำให้คุณต้องจ่ายค่าจ้างเพิ่มขึ้นเวลาเขาเหล่านั้นบริหารกองทุนของ คุณผิดพลาดพร้อมๆกัน
9.กองทุนที่ไม่มีคุณภาพ เพราะผู้บริหารใช้ทุนในการบริหารมากเกินไป แต่กำไรน้อย
10.กองทุนที่มีคุณภาพ มักใช้ทุนในการบริหารที่น้อย แต่มีผลกำไรสูง
วันนี้คุณมีกองทุนส่วนตัวกันหรือยังครับ ?
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaibestforex.com/forex/t585/?/
1.คุณต้องเป็นเทรดเดอร์ที่มีระบบส่วนตัวที่สามารถทำกำไรได้
2.คุณต้องมีผู้ช่วยที่ซื่อสัตย์ คือ อีเอ (ที่คุณเข้าใจการทำงานของมันจริงๆ)
3.คุณต้อง MM โดยที่มั่นใจว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อบัญชีของ Fund ของคุณ
4.หากคุณต้องการเดิมพัน กับตลาด คุณต้องมั่นใจว่าคุณมีโอกาสถูกทางมากกว่า 90%
5.ลูกน้องคุณคือเงินของคุณ และผู้จัดการคุณคือ อีเอ ส่วนคุณคือ นักลงทุน
6.คุณ ต้องไว้ใจผู้จัดการของคุณ หน้าที่ของคุณคือคอยติดตามการทำงานของ ผู้จัดการของคุณ หากเมื่อไหร่ ผู้จัดการของคุณ บริหารผิดพลาดมากเกินแนวรับ (หลุดเทรนขาขึ้น) นั่นหมายความว่า ผู้จัดการของคุณ เริ่มมีปัญหาเสียแล้ว คุณควรจะพักงานเขา ให้เขาไปพักร้อนสักระยะ ก่อนจะกลับมาทำงานอีกครั้ง
7. คุณควรรู้ว่าผู้จัดการคนนี้ มีความสามารถในการทำกำไรให้แก่คุณในสภาวะตลาดแบบใด และการบริหารของเขา มีลักษณะแบบใด เช่น อึดถึก กล้าได้กล้าเสีย ตัดสินใจรวดเร็ว แต่มักจะได้ผลตอบแทนต่ำๆ
8. คุณสามารถมีผู้จักการกองทุนของคุณได้มากกว่า 1 แต่คุณต้องรู้ว่าการ นำผู้จัดการคุณหลายคนมารวมกัน มันอาจจะทำให้คุณต้องจ่ายค่าจ้างเพิ่มขึ้นเวลาเขาเหล่านั้นบริหารกองทุนของ คุณผิดพลาดพร้อมๆกัน
9.กองทุนที่ไม่มีคุณภาพ เพราะผู้บริหารใช้ทุนในการบริหารมากเกินไป แต่กำไรน้อย
10.กองทุนที่มีคุณภาพ มักใช้ทุนในการบริหารที่น้อย แต่มีผลกำไรสูง
วันนี้คุณมีกองทุนส่วนตัวกันหรือยังครับ ?
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaibestforex.com/forex/t585/?/
การลงทุนในทองคำ
Posted by
goodintequila
on Friday, November 28, 2014
Labels:
Hedge Fund,
Supply,
การซื้อขาย,
การลงทุน,
ทองคำ,
นักลงทุน,
ปัจจัยพื้นฐาน,
ราคา,
โอกาส
/
Comments: (0)
การลงทุนในทองคำ
เป็นกระแสที่นักลงทุนส่วนใหญ่ให้ความนิยมเป็นอย่างมาก โดยนักลงทุนสามารถลงทุนได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ด้วยเหตุผลที่มีอย่างมากมายที่สามารถดึงดูดนักลงทุน เช่น การปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาทองคำตามสถิติตั้งแต่ปี 2001 ราคาทองคำได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 150% ความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นจากกำลังการผลิตที่ลดลง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยที่ทำให้ราคาทองปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องใน ช่วงที่ผ่านมา แม้ว่าขณะนี้ราคาทองจะปรับตัวลดลงก็ตาม ความนิยมในการลงทุนก็มิได้ลดน้อยลงเลย บทความนี้ก็อยากจะพูดทั้ง 2 มุมมองของการลงทุนในทองคำไม่ว่าทางตรงโดยการซื้อทองคำแท่งเอง และการลงทุนโดยอาศัยความชำนาญของผู้บริหารกองทุน
1. การลงทุนโดยตรง
นัก ลงทุนส่วนใหญ่แล้วจะนิยมซื้อทองคำแท่ง หรือทองรูปพรรณมาเก็บไว้ ช่วงที่ผ่านมาราคาขึ้นแรงๆ คนก็เอาไปขาย บางช่วงที่ราคาปรับลดลง คนก็ไปซื้อเก็บไว้เพื่อเก็งกำไร การที่นักลงทุนจะตัดสินใจซื้อหรือขายนั้น ผมอยากแนะนำให้ท่านได้ติดตามสถานการณ์และปัจจัยต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อราคาทองคำด้วย เช่น ในช่วงที่ผ่านมาราคาทองปรับตัวสูงขึ้นเพราะอะไร เราก็ต้องไปดูและศึกษาว่า Demand และ Supply นั้นสะท้อนให้เห็นถึงมูลค่าหรือราคาจริงของทองคำไหม หรือเป็นเพราะเกิดจากการเก็งกำไรของ Hedge Fund อย่างที่ผ่านมาไม่กี่เดือน ตัวอย่างที่ผ่านมาสำหรับสถานการณ์การซื้อขายทองคำในช่วงสงกรานต์ จะเห็นได้ว่าความต้องการซื้อทองคำปรับตัวลดลง ซึ่งเป็นผลมาจากราคาทองคำที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคปรับตัวเพิ่มขึ้น ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น และอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นตามด้วอย่างไรก็ดี การลงทุนในทองคำก็ถือเป็นการลงทุนที่ใช้ในการลดผลกระทบจากเงินเฟ้อได้ เนื่องจากถ้าเรามองราคาทองคำระยะยาวแล้ว ทองคำก็ยังคงมีมูลค่าสูงอยู่ดี แม้ปรับลดด้วยอัตราเงินเฟ้อแล้วก็ตาม
2. การลงทุนผ่านกองทุนรวม
ซึ่ง ถือเป็นการอาศัยความเชี่ยวชาญของ บลจ. ต่างๆ ซึ่งเท่าที่มีอยู่ในตอนนี้ เช่น TMB Gold Fund, ING Golden Star link, BT FIF Golden link เป็นต้น อย่างที่เราทราบกันดี การลงทุนในกองทุนรวมมีขั้นตอนในการตัดสินใจพิจารณาหามูลค่าของการลงทุนนั้นๆ ก่อนตัดสินใจซื้อหรือขาย โดยกลยุทธ์การซื้อขายของกองทุนเท่าที่ผมเข้าใจ จะใช้การบริหารเชิงรับ (Passive Investment Strategy) โดยเป็นการลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนต่างประเทศอีกที ฉะนั้นการลงทุนประเภทนี้ก็ถือเป็นกองทุน FIF อย่างหนึ่ง ถ้าถามว่าปัจจัยใดที่มีผลกระทบต่อเงินลงทุนของกองทุนประเภทนี้ คำตอบคือความผันผวนของราคาทองคำ รวมถึงอัตราแลกเปลี่ยน โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 ความเสี่ยงด้วยกัน
1) ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงราคาทองคำ (Price Risk)
หมาย ถึง โอกาสที่ราคาทองในตลาดโลกจะเพิ่มสูงขึ้นหรือลดต่ำลงในช่วงระยะเวลาสั้นๆ หรือระยะยาวในบางครั้ง เช่น ในช่วงที่ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ขายเงินทุนสำรองที่เก็บในทองคำออกมาในตลาด จนทำให้ราคาทองในตลาดโลกลดต่ำลง ทั้งนี้ หากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นจะส่งผลกระทบต่อกองทุน เนื่องจากมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุนมีการเปลี่ยนแปลงตามราคาทองในตลาด โลก ดังนั้นหากราคาทองในตลาดโลกลดลงจะส่งผลทำให้มูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุน ลดลงได้อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงของราคาทองคำมีความเป็นอิสระจากการเปลี่ยนแปลงจากการลงทุนการ ลงทุนในตราสารทุนหรือตราสารหนี้ ทั้งนี้ จากข้อมูลทางสถิติย้อนหลังที่ทำการศึกษาทั้งในและต่างประเทศแสดงให้เห็นว่า ผลตอบแทนของทองคำมีค่าความสัมพันธ์กับผลตอบแทนจากการลงทุนในสภาวะที่คาดว่า ผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารทุนหรือตราสารหนี้มีแนวโน้มลดลง
2) ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน (Currency Risk)
ความ เสี่ยงที่เกิดจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนของเงินบาทเมื่อเทียบกับเงิน สกุลต่างประเทศอื่น กล่าวคือ หากค่าเงินบาทมีค่าแข็งขึ้นจากวันที่กองทุนเข้าลงทุนเมื่อเทียบกับสกุลเงิน ดอลลาร์ที่เข้าลงทุนนั้น (เช่น จาก 33 บาท ต่อ1ดอลลาร์สหรัฐ เป็น 31 บาท) จะทำให้กองทุนได้รับดอกเบี้ยตามงวดและ/หรือเงินต้นเมื่อครบกำหนดของตราสาร เป็นเงินบาทในจำนวนที่น้อยลง ซึ่งจะทำให้ผลตอบแทนของการลงทุนต่ำกว่าที่คาดไว้ ในทางกลับกัน หากค่าเงินบาทมีค่าอ่อนลง (เช่น จาก 33 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ เป็น 35 บาท) จะทำให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนเมื่อคำนวณเป็นสกุลเงินบาทมากขึ้น
3. การลงทุนแบบ Gold Future
คือ สัญญาซื้อขายราคาทองคำล่วงหน้าในตลาดภายในประเทศไทย เป็นเครื่องมือที่ผู้ลงทุนสามารถใช้ เป็นทางเลือกหนึ่ง สำหรับลงทุนได้ ตามความคาดการณ์ที่มีต่อราคาทองคำได้ทั้งในภาวะราคาทองขาขึ้น และราคาทองขาลง ด้วยคุณลักษณะเด่นที่สามารถ ขายก่อนซื้อได้ หรือซื้อก่อนขายได้ และใช้เงินลงทุนน้อยกว่าการซื้อทองแท่งจริง Gold Futures จึงเป็นทางเลือกที่ น่าสนใจในการทำกำไรและกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนการเล่นตลาด Gold Future ทำการซื้อขายในตลาดอนุพันธ์ บ้านเราก็คือ TFEX นี่เอง TFEX จะเป็นคนกำหนดกฏเกณฑ์การซื้อขาย คอยจัดการดูแลให้ผู้เกี่ยวข้องในตลาด ปฏิบัติตามสัญญา ตลาดนี้มีลักษณะอีกอย่างที่เรียกว่า zero sum games นะครับ มีคนได้มีคนเสียเท่าๆกันเสมอซื้อ Gold Futures ต่างอะไรกับทองคำจริงๆบ้าง ทองคำจริง อยากซื้อเท่าไหร่ก็ซื้อได้ ซื้อแล้วเอามานอนกอดได้ ขาดทุนยิ่งต้องกอดมันไว้นานๆ แต่ซื้อทองคำ Futures จะมีคนมาสะกิดคุณทุกวันว่า วันนี้ กำไรหรือขาดทุน ยิ่งขาดทุน ยิ่งเครียด เพราะจะถูกสะกิดให้เติมเงินเข้าไปในบัญชี หากยังอยากถือไว้Gold Futures มีข้อกำหนดหลักๆ คือมันเป็นสัญญาจะซื้อ/จะขายทองคำ โดย 1 สัญญาจะเท่ากับ 50 บาท โดยการซื้อ ใช้แค่เงิน 10% เสียเงินค่าคอมมิชชั่นขั้นต้น 450 บาท + Vat 7% หรือ 481.50 บาท ตีมั่วๆง่ายๆ ก็ 500 บาทซะ ไปกลับประมาณ 1000 เท่ากับ 1 บาท คุณมีต้นทุนแล้ว 20 บาท ซึ่งยังถูกกว่าส่วนต่างของราคาสมาคม 5 เท่า (สมาคม 100 บาท) แปลว่า คุณมีโอกาสในการใช้เงินที่เคยซื้อทองคำได้แค่ 5 บาท มาซื้อทองคำ Gold Futures ได้ถึง 50 บาท และมีโอกาสทำกำไรได้มากกว่าเดิม 10 เท่า พร้อมๆกับส่วนต่างที่น้อยลงไปอีกบาทละ 80 บาทข้อดีที่ชัดๆของ Gold Futures ที่ผมเห็น คือโอกาสในการขายก่อน หรือเล่นในตลาดช่วงขาลง กรณีไม่มีของอยู่ในมือ ซึ่งทองคำของจริง หรือ KGOLD หรือ TMBGOLD ไม่สามารถทำได้ ได้แต่รออย่างเดีย แต่อย่าเพิ่งนอนใจนะครับ นั่นเป็นด้านดีที่ทำให้คนเข้าสู่ตลาดจนลืมด้านไม่ดี คือมันสามารถพาคุณขาดทุนได้เพิ่มขึ้นอีก 10 เท่าด้วยเหมือนกัน
4. การลงทุนแบบ Gold spot (แนะนำ)
Gold Spot คือ สัญญาซื้อขายราคาทองคำในตลาดโลก ที่สามารถซื้อ-ขายได้ทันที โดยผู้ลงทุนไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินทั้งจำนวน แค่วางเงินส่วนหนึ่งไว้กับโบรกเกอร์ก่อนส่งคำสั่งซื้อขายเพื่อเป็นเงินมัดจำ หรือเรียกว่า เงินหลักประกันขั้นต้น (Initial Margin)โดยที่เราจะเน้นทำกำไร จากส่วนต่างของการซื้อขายราคาทองในตลาดโลก โดยราคาทองจะมีหน่วยเป็นเงินดอลล่าร์ (USD) ต่อน้ำหนัก 1 ออนซ์ (Ounce) โดยที่ราคาทองจะวิ่งขึ้นลงตลอดทั้งวัน 24 ชั่วโมง ตั้งแต่วันจันทร์ ถึง วันศุกร์ โดยมีแรงซื้อขายจากตลาดทั่วโลก ซึ่งสามารถทำการซื้อขายทองคำด้วยพอร์ทลงทุนของผู้เล่นเอง และสามารถทำกำไรได้ทั้งที่ภาวะราคาทองขาขึ้นและราคาทองขาลง ด้วยคุณลักษณะเด่นที่สามารถซื้อก่อนขายหรือขายก่อนซื้อก็ได้ และใช้เงินลงทุนน้อยการเล่น Gold spot สามารถทำการเล่นโดยผ่านโปรเกอร์ (Broker) หรือบริษัทตัวแทนการซื้อขาย ของท่างต่างประเทศ ซึ่งสำหรับนักลงทุนทองคำชาวไทย ก็สามารถสมัครเปิดบัญชีเพื่อเทรด Gold spot กับทางบริษัทตัวแทนได้ บริษัทตัวแทนการซื้อขายที่เราแนะนำในที่นี้คือ
Exness เป็นโบรกเกอร์ Forex(อัตราแลกเปลี่ยน) ที่สามารถลงทุนซื้อ-ขายทองคำโดยอ้างอิงราคาทองคำจากตลาดโลก เล่นได้ 2 ขา ขาขึ้นและขาลงเนื่องจากมีค่า spread(คอมมิชชั่น) ที่ค่อนข้างต่ำ การฝากเงินไม่ยุ่งยาก สามารถใช้ Internet Ibanking มี กรุงเทพ กรุงไทย ไทยพาณิชย์ กรุงศรีและกสิกรไทย หรือฝากผ่าน 7 -11 ได้และการถอนเงินก็สามารถถอนเข้าธนาคารไทยได้ทุกธนาคาร
โดยส่วนตัว แล้วผมคิดว่าถ้าเราจะลงทุนทองคำควรเลือกที่ได้ 2 ขา จะดีกว่า ไม่ว่าตลาดจะอยู่ในสภาพไหน? ขาขึ้น หรือ ขาลง เราก็ทำกำไรได้อยู่ดี!! รู้แบบนี้แล้ว จะไม่ลองสมัครเปิดบัญชีหรือครับ? หากท่านยังไม่พร้อมเปิดบัญชี ก็ลองเปิดบัญชีทดลองซื้อ-ขายได้มีเงินปลอมให้เล่น 1 แสนดอลล่า รูปแบบการซื้อ-ขายเหมือนบัญชีจริงๆแต่ต่างกันแค่เงินเป็นเงินปลอมเท่าั้นั้น เอง รูบแบบการซื้อ-ขายจะเป็นโปรแกรมเทรด MT4 ดาวโหลดไโปรแกรมได้หลังสมัครเปิดบัญชีจริงหรือบัญชีทดลอง ซื้อ - ขาย ทองคำ คู่เงิน หุ้น สามารถส่งคำสั่งซื้อ - ขาย ได้ 24 ชั่วโมง จันทร์ - ศุกร์
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaibestforex.com/forex/t660/?/
เป็นกระแสที่นักลงทุนส่วนใหญ่ให้ความนิยมเป็นอย่างมาก โดยนักลงทุนสามารถลงทุนได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ด้วยเหตุผลที่มีอย่างมากมายที่สามารถดึงดูดนักลงทุน เช่น การปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาทองคำตามสถิติตั้งแต่ปี 2001 ราคาทองคำได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 150% ความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นจากกำลังการผลิตที่ลดลง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยที่ทำให้ราคาทองปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องใน ช่วงที่ผ่านมา แม้ว่าขณะนี้ราคาทองจะปรับตัวลดลงก็ตาม ความนิยมในการลงทุนก็มิได้ลดน้อยลงเลย บทความนี้ก็อยากจะพูดทั้ง 2 มุมมองของการลงทุนในทองคำไม่ว่าทางตรงโดยการซื้อทองคำแท่งเอง และการลงทุนโดยอาศัยความชำนาญของผู้บริหารกองทุน
1. การลงทุนโดยตรง
นัก ลงทุนส่วนใหญ่แล้วจะนิยมซื้อทองคำแท่ง หรือทองรูปพรรณมาเก็บไว้ ช่วงที่ผ่านมาราคาขึ้นแรงๆ คนก็เอาไปขาย บางช่วงที่ราคาปรับลดลง คนก็ไปซื้อเก็บไว้เพื่อเก็งกำไร การที่นักลงทุนจะตัดสินใจซื้อหรือขายนั้น ผมอยากแนะนำให้ท่านได้ติดตามสถานการณ์และปัจจัยต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อราคาทองคำด้วย เช่น ในช่วงที่ผ่านมาราคาทองปรับตัวสูงขึ้นเพราะอะไร เราก็ต้องไปดูและศึกษาว่า Demand และ Supply นั้นสะท้อนให้เห็นถึงมูลค่าหรือราคาจริงของทองคำไหม หรือเป็นเพราะเกิดจากการเก็งกำไรของ Hedge Fund อย่างที่ผ่านมาไม่กี่เดือน ตัวอย่างที่ผ่านมาสำหรับสถานการณ์การซื้อขายทองคำในช่วงสงกรานต์ จะเห็นได้ว่าความต้องการซื้อทองคำปรับตัวลดลง ซึ่งเป็นผลมาจากราคาทองคำที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคปรับตัวเพิ่มขึ้น ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น และอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นตามด้วอย่างไรก็ดี การลงทุนในทองคำก็ถือเป็นการลงทุนที่ใช้ในการลดผลกระทบจากเงินเฟ้อได้ เนื่องจากถ้าเรามองราคาทองคำระยะยาวแล้ว ทองคำก็ยังคงมีมูลค่าสูงอยู่ดี แม้ปรับลดด้วยอัตราเงินเฟ้อแล้วก็ตาม
2. การลงทุนผ่านกองทุนรวม
ซึ่ง ถือเป็นการอาศัยความเชี่ยวชาญของ บลจ. ต่างๆ ซึ่งเท่าที่มีอยู่ในตอนนี้ เช่น TMB Gold Fund, ING Golden Star link, BT FIF Golden link เป็นต้น อย่างที่เราทราบกันดี การลงทุนในกองทุนรวมมีขั้นตอนในการตัดสินใจพิจารณาหามูลค่าของการลงทุนนั้นๆ ก่อนตัดสินใจซื้อหรือขาย โดยกลยุทธ์การซื้อขายของกองทุนเท่าที่ผมเข้าใจ จะใช้การบริหารเชิงรับ (Passive Investment Strategy) โดยเป็นการลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนต่างประเทศอีกที ฉะนั้นการลงทุนประเภทนี้ก็ถือเป็นกองทุน FIF อย่างหนึ่ง ถ้าถามว่าปัจจัยใดที่มีผลกระทบต่อเงินลงทุนของกองทุนประเภทนี้ คำตอบคือความผันผวนของราคาทองคำ รวมถึงอัตราแลกเปลี่ยน โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 ความเสี่ยงด้วยกัน
1) ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงราคาทองคำ (Price Risk)
หมาย ถึง โอกาสที่ราคาทองในตลาดโลกจะเพิ่มสูงขึ้นหรือลดต่ำลงในช่วงระยะเวลาสั้นๆ หรือระยะยาวในบางครั้ง เช่น ในช่วงที่ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ขายเงินทุนสำรองที่เก็บในทองคำออกมาในตลาด จนทำให้ราคาทองในตลาดโลกลดต่ำลง ทั้งนี้ หากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นจะส่งผลกระทบต่อกองทุน เนื่องจากมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุนมีการเปลี่ยนแปลงตามราคาทองในตลาด โลก ดังนั้นหากราคาทองในตลาดโลกลดลงจะส่งผลทำให้มูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุน ลดลงได้อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงของราคาทองคำมีความเป็นอิสระจากการเปลี่ยนแปลงจากการลงทุนการ ลงทุนในตราสารทุนหรือตราสารหนี้ ทั้งนี้ จากข้อมูลทางสถิติย้อนหลังที่ทำการศึกษาทั้งในและต่างประเทศแสดงให้เห็นว่า ผลตอบแทนของทองคำมีค่าความสัมพันธ์กับผลตอบแทนจากการลงทุนในสภาวะที่คาดว่า ผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารทุนหรือตราสารหนี้มีแนวโน้มลดลง
2) ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน (Currency Risk)
ความ เสี่ยงที่เกิดจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนของเงินบาทเมื่อเทียบกับเงิน สกุลต่างประเทศอื่น กล่าวคือ หากค่าเงินบาทมีค่าแข็งขึ้นจากวันที่กองทุนเข้าลงทุนเมื่อเทียบกับสกุลเงิน ดอลลาร์ที่เข้าลงทุนนั้น (เช่น จาก 33 บาท ต่อ1ดอลลาร์สหรัฐ เป็น 31 บาท) จะทำให้กองทุนได้รับดอกเบี้ยตามงวดและ/หรือเงินต้นเมื่อครบกำหนดของตราสาร เป็นเงินบาทในจำนวนที่น้อยลง ซึ่งจะทำให้ผลตอบแทนของการลงทุนต่ำกว่าที่คาดไว้ ในทางกลับกัน หากค่าเงินบาทมีค่าอ่อนลง (เช่น จาก 33 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ เป็น 35 บาท) จะทำให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนเมื่อคำนวณเป็นสกุลเงินบาทมากขึ้น
3. การลงทุนแบบ Gold Future
คือ สัญญาซื้อขายราคาทองคำล่วงหน้าในตลาดภายในประเทศไทย เป็นเครื่องมือที่ผู้ลงทุนสามารถใช้ เป็นทางเลือกหนึ่ง สำหรับลงทุนได้ ตามความคาดการณ์ที่มีต่อราคาทองคำได้ทั้งในภาวะราคาทองขาขึ้น และราคาทองขาลง ด้วยคุณลักษณะเด่นที่สามารถ ขายก่อนซื้อได้ หรือซื้อก่อนขายได้ และใช้เงินลงทุนน้อยกว่าการซื้อทองแท่งจริง Gold Futures จึงเป็นทางเลือกที่ น่าสนใจในการทำกำไรและกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนการเล่นตลาด Gold Future ทำการซื้อขายในตลาดอนุพันธ์ บ้านเราก็คือ TFEX นี่เอง TFEX จะเป็นคนกำหนดกฏเกณฑ์การซื้อขาย คอยจัดการดูแลให้ผู้เกี่ยวข้องในตลาด ปฏิบัติตามสัญญา ตลาดนี้มีลักษณะอีกอย่างที่เรียกว่า zero sum games นะครับ มีคนได้มีคนเสียเท่าๆกันเสมอซื้อ Gold Futures ต่างอะไรกับทองคำจริงๆบ้าง ทองคำจริง อยากซื้อเท่าไหร่ก็ซื้อได้ ซื้อแล้วเอามานอนกอดได้ ขาดทุนยิ่งต้องกอดมันไว้นานๆ แต่ซื้อทองคำ Futures จะมีคนมาสะกิดคุณทุกวันว่า วันนี้ กำไรหรือขาดทุน ยิ่งขาดทุน ยิ่งเครียด เพราะจะถูกสะกิดให้เติมเงินเข้าไปในบัญชี หากยังอยากถือไว้Gold Futures มีข้อกำหนดหลักๆ คือมันเป็นสัญญาจะซื้อ/จะขายทองคำ โดย 1 สัญญาจะเท่ากับ 50 บาท โดยการซื้อ ใช้แค่เงิน 10% เสียเงินค่าคอมมิชชั่นขั้นต้น 450 บาท + Vat 7% หรือ 481.50 บาท ตีมั่วๆง่ายๆ ก็ 500 บาทซะ ไปกลับประมาณ 1000 เท่ากับ 1 บาท คุณมีต้นทุนแล้ว 20 บาท ซึ่งยังถูกกว่าส่วนต่างของราคาสมาคม 5 เท่า (สมาคม 100 บาท) แปลว่า คุณมีโอกาสในการใช้เงินที่เคยซื้อทองคำได้แค่ 5 บาท มาซื้อทองคำ Gold Futures ได้ถึง 50 บาท และมีโอกาสทำกำไรได้มากกว่าเดิม 10 เท่า พร้อมๆกับส่วนต่างที่น้อยลงไปอีกบาทละ 80 บาทข้อดีที่ชัดๆของ Gold Futures ที่ผมเห็น คือโอกาสในการขายก่อน หรือเล่นในตลาดช่วงขาลง กรณีไม่มีของอยู่ในมือ ซึ่งทองคำของจริง หรือ KGOLD หรือ TMBGOLD ไม่สามารถทำได้ ได้แต่รออย่างเดีย แต่อย่าเพิ่งนอนใจนะครับ นั่นเป็นด้านดีที่ทำให้คนเข้าสู่ตลาดจนลืมด้านไม่ดี คือมันสามารถพาคุณขาดทุนได้เพิ่มขึ้นอีก 10 เท่าด้วยเหมือนกัน
4. การลงทุนแบบ Gold spot (แนะนำ)
Gold Spot คือ สัญญาซื้อขายราคาทองคำในตลาดโลก ที่สามารถซื้อ-ขายได้ทันที โดยผู้ลงทุนไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินทั้งจำนวน แค่วางเงินส่วนหนึ่งไว้กับโบรกเกอร์ก่อนส่งคำสั่งซื้อขายเพื่อเป็นเงินมัดจำ หรือเรียกว่า เงินหลักประกันขั้นต้น (Initial Margin)โดยที่เราจะเน้นทำกำไร จากส่วนต่างของการซื้อขายราคาทองในตลาดโลก โดยราคาทองจะมีหน่วยเป็นเงินดอลล่าร์ (USD) ต่อน้ำหนัก 1 ออนซ์ (Ounce) โดยที่ราคาทองจะวิ่งขึ้นลงตลอดทั้งวัน 24 ชั่วโมง ตั้งแต่วันจันทร์ ถึง วันศุกร์ โดยมีแรงซื้อขายจากตลาดทั่วโลก ซึ่งสามารถทำการซื้อขายทองคำด้วยพอร์ทลงทุนของผู้เล่นเอง และสามารถทำกำไรได้ทั้งที่ภาวะราคาทองขาขึ้นและราคาทองขาลง ด้วยคุณลักษณะเด่นที่สามารถซื้อก่อนขายหรือขายก่อนซื้อก็ได้ และใช้เงินลงทุนน้อยการเล่น Gold spot สามารถทำการเล่นโดยผ่านโปรเกอร์ (Broker) หรือบริษัทตัวแทนการซื้อขาย ของท่างต่างประเทศ ซึ่งสำหรับนักลงทุนทองคำชาวไทย ก็สามารถสมัครเปิดบัญชีเพื่อเทรด Gold spot กับทางบริษัทตัวแทนได้ บริษัทตัวแทนการซื้อขายที่เราแนะนำในที่นี้คือ
Exness เป็นโบรกเกอร์ Forex(อัตราแลกเปลี่ยน) ที่สามารถลงทุนซื้อ-ขายทองคำโดยอ้างอิงราคาทองคำจากตลาดโลก เล่นได้ 2 ขา ขาขึ้นและขาลงเนื่องจากมีค่า spread(คอมมิชชั่น) ที่ค่อนข้างต่ำ การฝากเงินไม่ยุ่งยาก สามารถใช้ Internet Ibanking มี กรุงเทพ กรุงไทย ไทยพาณิชย์ กรุงศรีและกสิกรไทย หรือฝากผ่าน 7 -11 ได้และการถอนเงินก็สามารถถอนเข้าธนาคารไทยได้ทุกธนาคาร
โดยส่วนตัว แล้วผมคิดว่าถ้าเราจะลงทุนทองคำควรเลือกที่ได้ 2 ขา จะดีกว่า ไม่ว่าตลาดจะอยู่ในสภาพไหน? ขาขึ้น หรือ ขาลง เราก็ทำกำไรได้อยู่ดี!! รู้แบบนี้แล้ว จะไม่ลองสมัครเปิดบัญชีหรือครับ? หากท่านยังไม่พร้อมเปิดบัญชี ก็ลองเปิดบัญชีทดลองซื้อ-ขายได้มีเงินปลอมให้เล่น 1 แสนดอลล่า รูปแบบการซื้อ-ขายเหมือนบัญชีจริงๆแต่ต่างกันแค่เงินเป็นเงินปลอมเท่าั้นั้น เอง รูบแบบการซื้อ-ขายจะเป็นโปรแกรมเทรด MT4 ดาวโหลดไโปรแกรมได้หลังสมัครเปิดบัญชีจริงหรือบัญชีทดลอง ซื้อ - ขาย ทองคำ คู่เงิน หุ้น สามารถส่งคำสั่งซื้อ - ขาย ได้ 24 ชั่วโมง จันทร์ - ศุกร์
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaibestforex.com/forex/t660/?/
การลงทุนในตลาด Forex
Posted by
goodintequila
on Thursday, October 2, 2014
Labels:
forex,
leverage,
การลงทุน,
กำไร,
ซื้อหุ้น,
ตลาดหลักทรัพย์,
สกุลเงินต่าง ๆ,
โอกาส
/
การลงทุนในตลาด Forex นั้น คล้ายกับการเก็งกำไร
ลงทุนซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ในบ้านเรา นั้นคือ ซื้อมา แล้วก็ขายไป
กำไรที่ได้มาจากผลต่างของราคาซื้อ และราคาขาย แค่เปลี่ยนจากการซื้อหุ้น
เป็นการซื้อเงินตราสกุลต่าง ๆ นั้นเอง
ผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาด Forex นั้นสูงมาก เมื่อเทียบกับการลงทุนในตลาดหุ้น หรือการลงทุนในกองทุน สำหรับผู้ที่พอรู้ หรือติดตามการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงิน อาจสงสัยว่าการลงทุนในตลาด Forex ซึ่งซื้อขายเงินตราสกุลเงินต่าง ๆ จะให้ผลตอบแทนสูงได้อย่างไร ในเมื่อแต่ละวันอัตราการเปลี่ยนแปลงราคาของสกุลเงินต่าง ๆ นั้นเปลี่ยนแปลงน้อยมาก (ไม่ถึง 1%) คำตอบอยู่ตรงนี้ครับ สิ่งที่ทำให้ตลาด Forex ให้ผลตอบแทนสูงนั้นคือ ระบบ Leverage ซึ่งเปิดโอกาสผู้ลงทุน สามารถลงทุนและทำกำไรได้เหมือนมีทุน เป็นร้อยเท่าจากทุนจริงที่มีอยู่ และสามารถเลือกทำกำไรได้ทั้งขาขึ้น และขาลง ซึ่งทั้งหมดนี้เหมือนกับการลงทุนใน Gold Future, TFEX หรือ SET50 Future ในบ้านเรานั้นเอง เพียงแต่ว่า สัดส่วน Leverage นั้นสูงกว่ามาก
หลาย คนอาจจะสงสัยกับคำว่าผลตอบแทนสูงนั้น สูงขนาดไหน?? เปรียบเทียบให้เห็นภาพมากขึ้น การลงทุนซื้อหุ้นในตลาดทุนเพื่อเกงกำไรระยะสั้น โอกาสที่จะได้กำไร 10-20% ใน 1 วันนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเกิดได้บ่อย แต่สำหรับตลาด Forex กำไร 10-20% ต่อ 1 วันนั้นเป็นเรื่องปกติ และธรรมดามาก (บางจังหวะ เพียงแค่ 5-10 นาที ก็สามารถทำกำไร 10-20% ก็เป็นไปได้) จะเห็นได้ว่า ผลตอบแทนนั้นสูงมาก และยั่วยวนกิเลสดีจริง ๆ แต่ ในทางกลับกันก็เป็นการลงทุนที่มีอัตราเสี่ยงสูงมาก (มี 100 ก็หมด 100 ได้ไม่ยาก ในเวลาอันสั้นเช่นกัน) ดังนั้นผู้ที่สนใจ และอยากลองลงทุนในตลาด Forex ก่อนลงทุนควรศึกษาให้ดีก่อนนะครับ
ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://www.thaibestforex.com/forex/forex-25/?/
ผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาด Forex นั้นสูงมาก เมื่อเทียบกับการลงทุนในตลาดหุ้น หรือการลงทุนในกองทุน สำหรับผู้ที่พอรู้ หรือติดตามการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงิน อาจสงสัยว่าการลงทุนในตลาด Forex ซึ่งซื้อขายเงินตราสกุลเงินต่าง ๆ จะให้ผลตอบแทนสูงได้อย่างไร ในเมื่อแต่ละวันอัตราการเปลี่ยนแปลงราคาของสกุลเงินต่าง ๆ นั้นเปลี่ยนแปลงน้อยมาก (ไม่ถึง 1%) คำตอบอยู่ตรงนี้ครับ สิ่งที่ทำให้ตลาด Forex ให้ผลตอบแทนสูงนั้นคือ ระบบ Leverage ซึ่งเปิดโอกาสผู้ลงทุน สามารถลงทุนและทำกำไรได้เหมือนมีทุน เป็นร้อยเท่าจากทุนจริงที่มีอยู่ และสามารถเลือกทำกำไรได้ทั้งขาขึ้น และขาลง ซึ่งทั้งหมดนี้เหมือนกับการลงทุนใน Gold Future, TFEX หรือ SET50 Future ในบ้านเรานั้นเอง เพียงแต่ว่า สัดส่วน Leverage นั้นสูงกว่ามาก
หลาย คนอาจจะสงสัยกับคำว่าผลตอบแทนสูงนั้น สูงขนาดไหน?? เปรียบเทียบให้เห็นภาพมากขึ้น การลงทุนซื้อหุ้นในตลาดทุนเพื่อเกงกำไรระยะสั้น โอกาสที่จะได้กำไร 10-20% ใน 1 วันนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเกิดได้บ่อย แต่สำหรับตลาด Forex กำไร 10-20% ต่อ 1 วันนั้นเป็นเรื่องปกติ และธรรมดามาก (บางจังหวะ เพียงแค่ 5-10 นาที ก็สามารถทำกำไร 10-20% ก็เป็นไปได้) จะเห็นได้ว่า ผลตอบแทนนั้นสูงมาก และยั่วยวนกิเลสดีจริง ๆ แต่ ในทางกลับกันก็เป็นการลงทุนที่มีอัตราเสี่ยงสูงมาก (มี 100 ก็หมด 100 ได้ไม่ยาก ในเวลาอันสั้นเช่นกัน) ดังนั้นผู้ที่สนใจ และอยากลองลงทุนในตลาด Forex ก่อนลงทุนควรศึกษาให้ดีก่อนนะครับ
ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://www.thaibestforex.com/forex/forex-25/?/
จิตวิทยาในการเล่นหุ้น
Posted by
goodintequila
on Wednesday, September 3, 2014
จิตวิทยาในการเล่นหุ้น
ทำไม หลายคนซื้อหุ้นตัวไหนตัวนั้นจะลง แต่พอขายแล้วหุ้นกลับขึ้น หลายคนที่เล่นหุ้นในปัจจุบันจะรู้สึกเหมือนโชคไม่เข้าข้าง จริงๆแล้วมันเป็นเรื่องของดวงหรืออะไรกันแน่ ทฤษฎีการลงทุนต่างๆ ควรจะใช้ได้ดี เพราะหลักการลงทุนผู้ลงทุนควรจะเลือกลงทุนสิ่่งที่ดีและอยากได้กำไรไม่อยาก ขาดทุน แต่จริงๆกลยุทธิ์ต่างๆกลับใช้ไม่ได้ผลเพราะนักลงทุนแต่ละคนเองมี"อคติ"ยอม ขาดทุน หากคิดว่าหุ้นจะลงต่อ หรือยอมซื้อของที่แพงมากหากคิดว่ามันจะขึ้นไปต่อ สิ่งที่นักลงทุนทุกคนใช้ จริงๆจึงเป็นการ"คาดคะเน" ใช้ "สมอง"ประมวลสิ่งต่างๆจากข่าวสารและปัจจัยโดยรอบแต่หารู้ไม่ว่า สมองมีกระบวนการตัดสินใจลึกๆภายในที่ขึ้นอยู่กับ"อารมณ์"มากกว่า "เหตผล"ยกตัวอย่างการเลือกคู่ครองที่ใช้อารมณ์มากกว่าเหตผลแม้คนที่เรียน เก่ง มีสมองดีที่สุดก็มักใช้อารมณ์เป็นตัวตัดสินเรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิต มากกว่าเหตผล
นายเวอร์นอน สมิธ นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลปี 2002 ผู้ที่ศึกษาการเงินเชิงพฤติกรรมเคยกล่าวไว้ว่า "นักลงทุนทุกคนมีกล่องดำที่เป็นส่วนประมวลผลการตัดสินใจอยู่ในสมองโดยไม่มี ใครรู้ว่ากล่องดำอันนี้มีวิธีในการตัดสินใจอย่างไร แต่กระบวนการตัดสินใจนี้ไม่มีเหตผล เปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะของจิตใจเป็นหลัก" เมื่อคนแต่ละคนไม่ได้ใช้ความมีเหตุ มีผลในการคิดแล้วการลงทุนที่เป็นสิ่งสะท้อนความคิดของนักลงทุนแต่ละคน ย่อมไม่มีเหตุผล ตลาดหุ้นเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้เลย มีคนเคยตั้งคำถามว่า ทำไมคนที่เรียนด้านการลงทุน เก่งที่ 1-10 อันดับของระดับมหาวิทยาลัย Wharton กับไม่เคยมีชื่อเสียงในวงการลงทุนเลย ทำไมคนที่ IQ สูงขนาดนั้นถึงได้ไม่ประสบผลสำเร็จในตลาดหุ้นกัน
ย้อนกลับมาที่ ตลาดหุ้นไทยจะเห็นว่า คนที่ยิ่งฉลาด ยิ่งขาดทุนมากในตลาดหุ้น แต่คนที่ฉลาดปานกลางแต่หากมี EQ สูงแล้ว กลับสามารถประสบความสำเร็จได้มากกว่าเหตผลทั้งหมดจะค่อยๆถูกเฉลยในบทต่อๆไป ลองดูเหตการเหล่านี้
Ex1. คุณคิดว่าบริษัท A ผลประกอบการณ์ออกมาดีแน่ เลยซื้อหุ้นที่ราคาสิบบาท ตั้งใจจะขายในระยะสั้นๆที่่ 12 บาท เมื่อผลประกอบการณ์ออก แต่พอผลประกอบการณ์ออกมาดีดังคาดไว้ แต่ราคาหุ้นตกลงไป 8 บาท คุณทำใจขายทิ้งไม่ได้ (Avoid Regret) และคิดว่าหากราคาหุ้นกลับมาแค่เพียง10 บาท เท่าทุนก็จะขายไป ( Referance Point)
EX2. คุณซื้อหุ้นที่บริษัท B ที่ราคา 10 บาทจำนวน หมื่น หุ้น พอราคาหุ้นวิ่งไป 12 บาท คุณขายทำกำไรไป 20000 บาท พอราคาหุ้นวิ่งขึ้นไป 15 บาท คุณรู้สึกเสียดายอย่างมาก(เจ็บใจที่ขายเร็ว ขายหมู) พอราคาหุ้นเริ่มปรับตัวลงมาที่ 13 บาท คุณซื้อหุ้นกลับมาแต่คราวนี้ซื้อไป 20000 หุ้นเลย เพื่อเอากำไรเยอะๆ (โลภ เพราะพึ่งได้กำไรมา) ซื้อแล้วหุ้นวิ่งกลับไป 10 บาท เหมือนเดิม ปรากฏว่าเบ็ดเสร็จแล้วคุณขาดทุน 40000 บาท (งง?)
แม้ว่าสิ่งเหล่านี้ท่านเคยประสบมาหรือเคยได้รับ คำเตือนครั้งแล้วครั้งเล่า ว่าโปรดอย่าตามหลัง "มวลชน" แบบหลับหูหลับตา อันที่จริงคำว่า"มวลชน"นั้นไม่ใช่อื่นใด หากแต่เป็น"เรา "และ "ท่าน" นั้นเอง พฤติกรรมของ "มวลชน" ก็คือพฤติกรรมของคนทั่วไปหากมวลชนตัดสินใจผิดพลาดหรือเกิดปฏิกริยาทางอารมณ์ อย่างรุนแรงเพราะความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง เราและท่าน ก็ตกออยู่ในสภาพเช่นนั้นด้วยเช่นกัน
ดังนั้นลำพังการคิดว่าเรา ต้องปฏิบัติให้แตกต่างจากคนอื่นไม่เกิดประโยชน์ อะไร เพราะเรื่องเหล่านี้คนส่วนใหญ่ต่างทราบดีว่าควรทำอะไร ยกตัวอย่าง การสูบบุหรี่ ทุกคนทราบดีกว่า การเลิกบุหรี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องแต่หากไม่"ปฏิบัติ"ก็ไม่มีทางก้าวพ้นจาก อุปสรรคทางความคิดและอารมณ์ที่ส่งผลให้เราไม่ประสบผลสำเร็จในตลาดหุ้นได้
ใน"วิกฤติ มีโอกาส" แต่จะมีซักกี่คน ที่มองข้ามผ่านเมฆหมอกแห่งความกังวลเห็นถึงวันข้างหน้าที่สดใสได้ ในเมื่อบรรยากาศทั้งหมด มันไม่เป็นเช่นนั้น ทุกอย่างดูจะแย่ลง แย่ลง คนเรามองเห็นสิ่งที่ใจรู้สึกหากบรรยากาศรอบตัวร้อนเราก็จะเห็นแค่ความร้อน เราจะนึกถึงเวลาอากาศเย็นไม่ถูกเลย สิ่งเหล่านี้เป็นวิทยาสาสตร์ที่พิสูจน์แล้วว่า คนเราใช้ความรู้สึก ณ ขณะนี้เป็นส่วนประกอบสำคัญในการตัดสินใจเรื่องใดๆ เช่น เวลาคนหิวจะชอปปิ้งมากกว่าเวลาอิ่มเป็นต้น
อารมณ์มีผลต่อการตัดสินใจ
คุณ อาจคิดว่าอารมณ์ดีหรืออารมณ์เสีย ไม่มีผลต่อการตัดสินใจ แต่จริงๆไม่ใช่แม้คนที่มีเหตผลที่สุดหากขาดซึ่งอารมณ์ ก็จะไม่สามารถตัดสินใจใดๆได้ โดยเคยมีการศึกษาเรื่องนี้โดยนักประสาทวิทยา ชื่อ แอนโทนิโอ ดามาชิโอ ได้รายงานว่ามีคนไข้ที่สมองส่วน Ventromedical Frontal Crotices ถูกทำลายซึ่้งเป็นสมองส่วนที่ทำให้เกิดอารมณ์ แต่สมองส่วนความจำความฉลาดและความสามารถในการใช้เหตผลยังเป็นปกติอยู่ แต่จากการทดลองหลายครั้งพบว่า การปราศจากอารมณ์ในกระบวนการตัดสินใจได้ทำลายความสามารถในการตัดสินใจอย่าง สมเหตสมผล หมดไปด้วย
ดังนั้นหากสถานการณ์ไม่ดี ทิศทางที่สมองที่คิดได้ จากข่าวสารและความรู้สึกคือ สิ่งที่ดำเนินต่อไป ของความไม่ดี จะให้สมองสั่งการว่า "ดี" จะเป็นการยากสมองจะสั่งการขัดแย้งออกมาทันทีว่า "ดีจริงหรือ" ใช้เหตผลอะไรที่คิดว่ามันจะดี ? ดังนั้นการซื้อหุ้นตอนที่บรรยากาศร้ายสุด แม้แต่คุณเองยังกลัว คงทำได้ยาก เพราะสมองจะคิดขัดแย้งออกมาว่า "จริงหรือ คราวนี้อาจลงยาวนะ"
เครื่องมือเทคนิคกับอารมณ์
บาง คนบอกว่าหากเราไม่ใช้อารมณ์เข้ามาในการลงทุนหุ้นแต่เชื่อเฉพาะเครื่องมือ ทางเทคนิคซึ่งเป็นเครื่องมือที่ไม่ได้อ้างอิงใดๆเกี่ยวกับอารมณ์ของตลาดล่ะ จะได้ผลหรือไม่? คำตอบแรก ก็ต้องบอกว่าท่านที่คิดแบบนี้ ยังไม่เข้าใจเครื่องเทคนิคที่ดีพอ เพราะจริงๆแล้วเครื่องมือทางเทคนิคคือการใช้หลักสถิติศาสตร์ถอดแบบสภาพความ เป็นจริงในตลาดหุ้นแล้วนำมาพยากรณ์ความเป็นไปได้ต่อไป ซึ่งความเป็นจริงในตลาดหุ้นที่ถูกนำมาถอดแบบนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์"ความกลัว" และ "ความโลภ" ดังนั้นการใช้เครื่องมือก็ยังอิงกับอารมณ์ของตลาดอยู่ดี
คำ ตอบที่สอง ขออ้างถึงคุณ J. Wells wilder เจ้าของเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคยอดนิยม เช่น RSI (Relative Strength Index) PAR(Parabolic Sar) MOM ( Momentum) Volatility( แรงกระเพื่อมของระดับราคา) ซึ่งเครื่องมือทางเทคนิคเหล่านี้ สร้างชื่อเสียงให้กับ Wilder เป็นอย่างมาก แต่ในภายหลัง เขาได้ออกบทความใหม่ ที่ชื่อว่า Adam's Theory เป็นการปฏิเสธเครื่องมือทางเทคนิคของเขาที่คิดค้นมาก่อนหน้า โดยเขาบอกว่า ทฤษฎีใหม่นี้เป็นการตกผลึกในความคิด ความเข้าใจ ในเรื่องการลงทุน หลายสิบปีที่เขามี
ทฤษฎี Adam ตั้งอยู่บนข้อสรุปที่ว่า"ไม่มีเครื่องมือวิเคราะห์อันไหนที่สมบูรณ์ในตัว ที่สามารถชี้นำการตัดสินใจ ลงทุนได้อย่างแม่นยำและถูกต้อง 100% แต่เครื่องมือแต่ละชิ้นที่มีอยู่ในวงการ ต่างมีข้อบกพร่องในตัวเองไม่อาจ"จับตลาด"จนอยู่หมัดได้ ด้วยเหตุว่าตลาดว่า ตลาดนั้นไม่เคยหยุดนิ่ง ไม่มีลักษณะตายตัว แต่เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นอื่นได้ตลอดเวลา
เขาตั้งคำถามว่า "หากเครื่องมือเหล่านั้นแม่นยำจริง ทำไมนักลงทุน ที่ใช้เครื่องมือเหล่านั้น จึงยังประสบความขาดทุนอยู่ เครื่องมือเหล่านั้นจะวิเคราะห์เฉพาะจุด ไม่ผิดกับตาดบอด คลำช้าง ไม่เห็นภาพรวมของตลาดหรือของตัวหุ้นนั้นๆ มันไม่สมบูรณ์ ไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์ที่ผันแปรอยู่เสมอของตลาดหุ้นได้ "
ดังนั้นแม้เครื่องมือต่างอาจจะไม่มีความสมบูรณ์ในตัวมัน แต่หากเราเข้าใขอารมณ์ตลาด มาผสมผสานการ การวางแผน การลงทุนที่เข้าใจหลักจิตวิทยามวลชน การเล่นหุ้นจะทำได้ดียิ่งขึ้น โดยวิธีแก้ไขปัญหาเรื่องอารมณ์นั้น
ทำไม หลายคนซื้อหุ้นตัวไหนตัวนั้นจะลง แต่พอขายแล้วหุ้นกลับขึ้น หลายคนที่เล่นหุ้นในปัจจุบันจะรู้สึกเหมือนโชคไม่เข้าข้าง จริงๆแล้วมันเป็นเรื่องของดวงหรืออะไรกันแน่ ทฤษฎีการลงทุนต่างๆ ควรจะใช้ได้ดี เพราะหลักการลงทุนผู้ลงทุนควรจะเลือกลงทุนสิ่่งที่ดีและอยากได้กำไรไม่อยาก ขาดทุน แต่จริงๆกลยุทธิ์ต่างๆกลับใช้ไม่ได้ผลเพราะนักลงทุนแต่ละคนเองมี"อคติ"ยอม ขาดทุน หากคิดว่าหุ้นจะลงต่อ หรือยอมซื้อของที่แพงมากหากคิดว่ามันจะขึ้นไปต่อ สิ่งที่นักลงทุนทุกคนใช้ จริงๆจึงเป็นการ"คาดคะเน" ใช้ "สมอง"ประมวลสิ่งต่างๆจากข่าวสารและปัจจัยโดยรอบแต่หารู้ไม่ว่า สมองมีกระบวนการตัดสินใจลึกๆภายในที่ขึ้นอยู่กับ"อารมณ์"มากกว่า "เหตผล"ยกตัวอย่างการเลือกคู่ครองที่ใช้อารมณ์มากกว่าเหตผลแม้คนที่เรียน เก่ง มีสมองดีที่สุดก็มักใช้อารมณ์เป็นตัวตัดสินเรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิต มากกว่าเหตผล
นายเวอร์นอน สมิธ นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลปี 2002 ผู้ที่ศึกษาการเงินเชิงพฤติกรรมเคยกล่าวไว้ว่า "นักลงทุนทุกคนมีกล่องดำที่เป็นส่วนประมวลผลการตัดสินใจอยู่ในสมองโดยไม่มี ใครรู้ว่ากล่องดำอันนี้มีวิธีในการตัดสินใจอย่างไร แต่กระบวนการตัดสินใจนี้ไม่มีเหตผล เปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะของจิตใจเป็นหลัก" เมื่อคนแต่ละคนไม่ได้ใช้ความมีเหตุ มีผลในการคิดแล้วการลงทุนที่เป็นสิ่งสะท้อนความคิดของนักลงทุนแต่ละคน ย่อมไม่มีเหตุผล ตลาดหุ้นเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้เลย มีคนเคยตั้งคำถามว่า ทำไมคนที่เรียนด้านการลงทุน เก่งที่ 1-10 อันดับของระดับมหาวิทยาลัย Wharton กับไม่เคยมีชื่อเสียงในวงการลงทุนเลย ทำไมคนที่ IQ สูงขนาดนั้นถึงได้ไม่ประสบผลสำเร็จในตลาดหุ้นกัน
ย้อนกลับมาที่ ตลาดหุ้นไทยจะเห็นว่า คนที่ยิ่งฉลาด ยิ่งขาดทุนมากในตลาดหุ้น แต่คนที่ฉลาดปานกลางแต่หากมี EQ สูงแล้ว กลับสามารถประสบความสำเร็จได้มากกว่าเหตผลทั้งหมดจะค่อยๆถูกเฉลยในบทต่อๆไป ลองดูเหตการเหล่านี้
Ex1. คุณคิดว่าบริษัท A ผลประกอบการณ์ออกมาดีแน่ เลยซื้อหุ้นที่ราคาสิบบาท ตั้งใจจะขายในระยะสั้นๆที่่ 12 บาท เมื่อผลประกอบการณ์ออก แต่พอผลประกอบการณ์ออกมาดีดังคาดไว้ แต่ราคาหุ้นตกลงไป 8 บาท คุณทำใจขายทิ้งไม่ได้ (Avoid Regret) และคิดว่าหากราคาหุ้นกลับมาแค่เพียง10 บาท เท่าทุนก็จะขายไป ( Referance Point)
EX2. คุณซื้อหุ้นที่บริษัท B ที่ราคา 10 บาทจำนวน หมื่น หุ้น พอราคาหุ้นวิ่งไป 12 บาท คุณขายทำกำไรไป 20000 บาท พอราคาหุ้นวิ่งขึ้นไป 15 บาท คุณรู้สึกเสียดายอย่างมาก(เจ็บใจที่ขายเร็ว ขายหมู) พอราคาหุ้นเริ่มปรับตัวลงมาที่ 13 บาท คุณซื้อหุ้นกลับมาแต่คราวนี้ซื้อไป 20000 หุ้นเลย เพื่อเอากำไรเยอะๆ (โลภ เพราะพึ่งได้กำไรมา) ซื้อแล้วหุ้นวิ่งกลับไป 10 บาท เหมือนเดิม ปรากฏว่าเบ็ดเสร็จแล้วคุณขาดทุน 40000 บาท (งง?)
แม้ว่าสิ่งเหล่านี้ท่านเคยประสบมาหรือเคยได้รับ คำเตือนครั้งแล้วครั้งเล่า ว่าโปรดอย่าตามหลัง "มวลชน" แบบหลับหูหลับตา อันที่จริงคำว่า"มวลชน"นั้นไม่ใช่อื่นใด หากแต่เป็น"เรา "และ "ท่าน" นั้นเอง พฤติกรรมของ "มวลชน" ก็คือพฤติกรรมของคนทั่วไปหากมวลชนตัดสินใจผิดพลาดหรือเกิดปฏิกริยาทางอารมณ์ อย่างรุนแรงเพราะความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง เราและท่าน ก็ตกออยู่ในสภาพเช่นนั้นด้วยเช่นกัน
ดังนั้นลำพังการคิดว่าเรา ต้องปฏิบัติให้แตกต่างจากคนอื่นไม่เกิดประโยชน์ อะไร เพราะเรื่องเหล่านี้คนส่วนใหญ่ต่างทราบดีว่าควรทำอะไร ยกตัวอย่าง การสูบบุหรี่ ทุกคนทราบดีกว่า การเลิกบุหรี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องแต่หากไม่"ปฏิบัติ"ก็ไม่มีทางก้าวพ้นจาก อุปสรรคทางความคิดและอารมณ์ที่ส่งผลให้เราไม่ประสบผลสำเร็จในตลาดหุ้นได้
ใน"วิกฤติ มีโอกาส" แต่จะมีซักกี่คน ที่มองข้ามผ่านเมฆหมอกแห่งความกังวลเห็นถึงวันข้างหน้าที่สดใสได้ ในเมื่อบรรยากาศทั้งหมด มันไม่เป็นเช่นนั้น ทุกอย่างดูจะแย่ลง แย่ลง คนเรามองเห็นสิ่งที่ใจรู้สึกหากบรรยากาศรอบตัวร้อนเราก็จะเห็นแค่ความร้อน เราจะนึกถึงเวลาอากาศเย็นไม่ถูกเลย สิ่งเหล่านี้เป็นวิทยาสาสตร์ที่พิสูจน์แล้วว่า คนเราใช้ความรู้สึก ณ ขณะนี้เป็นส่วนประกอบสำคัญในการตัดสินใจเรื่องใดๆ เช่น เวลาคนหิวจะชอปปิ้งมากกว่าเวลาอิ่มเป็นต้น
อารมณ์มีผลต่อการตัดสินใจ
คุณ อาจคิดว่าอารมณ์ดีหรืออารมณ์เสีย ไม่มีผลต่อการตัดสินใจ แต่จริงๆไม่ใช่แม้คนที่มีเหตผลที่สุดหากขาดซึ่งอารมณ์ ก็จะไม่สามารถตัดสินใจใดๆได้ โดยเคยมีการศึกษาเรื่องนี้โดยนักประสาทวิทยา ชื่อ แอนโทนิโอ ดามาชิโอ ได้รายงานว่ามีคนไข้ที่สมองส่วน Ventromedical Frontal Crotices ถูกทำลายซึ่้งเป็นสมองส่วนที่ทำให้เกิดอารมณ์ แต่สมองส่วนความจำความฉลาดและความสามารถในการใช้เหตผลยังเป็นปกติอยู่ แต่จากการทดลองหลายครั้งพบว่า การปราศจากอารมณ์ในกระบวนการตัดสินใจได้ทำลายความสามารถในการตัดสินใจอย่าง สมเหตสมผล หมดไปด้วย
ดังนั้นหากสถานการณ์ไม่ดี ทิศทางที่สมองที่คิดได้ จากข่าวสารและความรู้สึกคือ สิ่งที่ดำเนินต่อไป ของความไม่ดี จะให้สมองสั่งการว่า "ดี" จะเป็นการยากสมองจะสั่งการขัดแย้งออกมาทันทีว่า "ดีจริงหรือ" ใช้เหตผลอะไรที่คิดว่ามันจะดี ? ดังนั้นการซื้อหุ้นตอนที่บรรยากาศร้ายสุด แม้แต่คุณเองยังกลัว คงทำได้ยาก เพราะสมองจะคิดขัดแย้งออกมาว่า "จริงหรือ คราวนี้อาจลงยาวนะ"
เครื่องมือเทคนิคกับอารมณ์
บาง คนบอกว่าหากเราไม่ใช้อารมณ์เข้ามาในการลงทุนหุ้นแต่เชื่อเฉพาะเครื่องมือ ทางเทคนิคซึ่งเป็นเครื่องมือที่ไม่ได้อ้างอิงใดๆเกี่ยวกับอารมณ์ของตลาดล่ะ จะได้ผลหรือไม่? คำตอบแรก ก็ต้องบอกว่าท่านที่คิดแบบนี้ ยังไม่เข้าใจเครื่องเทคนิคที่ดีพอ เพราะจริงๆแล้วเครื่องมือทางเทคนิคคือการใช้หลักสถิติศาสตร์ถอดแบบสภาพความ เป็นจริงในตลาดหุ้นแล้วนำมาพยากรณ์ความเป็นไปได้ต่อไป ซึ่งความเป็นจริงในตลาดหุ้นที่ถูกนำมาถอดแบบนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์"ความกลัว" และ "ความโลภ" ดังนั้นการใช้เครื่องมือก็ยังอิงกับอารมณ์ของตลาดอยู่ดี
คำ ตอบที่สอง ขออ้างถึงคุณ J. Wells wilder เจ้าของเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคยอดนิยม เช่น RSI (Relative Strength Index) PAR(Parabolic Sar) MOM ( Momentum) Volatility( แรงกระเพื่อมของระดับราคา) ซึ่งเครื่องมือทางเทคนิคเหล่านี้ สร้างชื่อเสียงให้กับ Wilder เป็นอย่างมาก แต่ในภายหลัง เขาได้ออกบทความใหม่ ที่ชื่อว่า Adam's Theory เป็นการปฏิเสธเครื่องมือทางเทคนิคของเขาที่คิดค้นมาก่อนหน้า โดยเขาบอกว่า ทฤษฎีใหม่นี้เป็นการตกผลึกในความคิด ความเข้าใจ ในเรื่องการลงทุน หลายสิบปีที่เขามี
ทฤษฎี Adam ตั้งอยู่บนข้อสรุปที่ว่า"ไม่มีเครื่องมือวิเคราะห์อันไหนที่สมบูรณ์ในตัว ที่สามารถชี้นำการตัดสินใจ ลงทุนได้อย่างแม่นยำและถูกต้อง 100% แต่เครื่องมือแต่ละชิ้นที่มีอยู่ในวงการ ต่างมีข้อบกพร่องในตัวเองไม่อาจ"จับตลาด"จนอยู่หมัดได้ ด้วยเหตุว่าตลาดว่า ตลาดนั้นไม่เคยหยุดนิ่ง ไม่มีลักษณะตายตัว แต่เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นอื่นได้ตลอดเวลา
เขาตั้งคำถามว่า "หากเครื่องมือเหล่านั้นแม่นยำจริง ทำไมนักลงทุน ที่ใช้เครื่องมือเหล่านั้น จึงยังประสบความขาดทุนอยู่ เครื่องมือเหล่านั้นจะวิเคราะห์เฉพาะจุด ไม่ผิดกับตาดบอด คลำช้าง ไม่เห็นภาพรวมของตลาดหรือของตัวหุ้นนั้นๆ มันไม่สมบูรณ์ ไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์ที่ผันแปรอยู่เสมอของตลาดหุ้นได้ "
ดังนั้นแม้เครื่องมือต่างอาจจะไม่มีความสมบูรณ์ในตัวมัน แต่หากเราเข้าใขอารมณ์ตลาด มาผสมผสานการ การวางแผน การลงทุนที่เข้าใจหลักจิตวิทยามวลชน การเล่นหุ้นจะทำได้ดียิ่งขึ้น โดยวิธีแก้ไขปัญหาเรื่องอารมณ์นั้น