RSS
Showing posts with label Trading. Show all posts
Showing posts with label Trading. Show all posts

ชนิดของ order

order หมายถึง การที่คุณจะทำการตัดสินใจส่งหรือออก position ในตลาด เราจะพูดถึงความ แตกต่าง ของออร์เดอร์แต่ละชนิด ที่สามารถ ส่งในตลาดค่าเงินนี้ได้ ออร์เดอร์ประเภทไหนที่โบรคเกอร์ สามารถ ยอมรับคำสั่งนั้นได้ ความแตกต่างของโบรคเกอร์ จะรับออร์เดอร์ที่แตกต่างกันไป


ประเภทของออร์เดอร์พื้นฐาน
– มีออร์เดอร์พื้นฐานที่ทุก ๆ โบรกเกอร์มีให้ใช้ และบางออร์เดอร์ที่อาจจะฟังดูแปลก ๆ แต่ที่เป็นพื้นฐานจริง ๆ คือ:

Market order
Market order เป็นออร์เดอร์ที่ใช้ในการสั่ง Buy หรือ Sell ที่ราคาตลาด ณ ปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น EUR/USD ราคา ปัจจุบัน อยู่ที่ 1.2140 ถ้าต้องการ Buy ที่ราคานี้ ต้องคลิ๊ก Buy และโปรแกรมเทรด จะทำการส่งออร์เดอร์ที่ราคานั้น (ถ้าคุณเคยซื้อของใน Amazon.com เหมือนกับการใช้ 1-Click ออร์เดอร์ อย่างนั้น) ถ้าอยากได้ราคาปัจจุบัน ตอนนั้น ก็คลิ๊กหนึ่งครั้ง แล้วมันก็จะกลายเป็นของคุณ แต่สิ่งที่แตกต่างจาการซื้อหรือขายธรรมดา ในตลาดค่าเงิน คือ คุณจะได้ อีกค่าเงินหนึ่งมา (แทนที่คุณจะได้ CD ถ้าคุณซื้อ CD ของ บริทนีย์ สเปียร์)


Limit order
Limit order คือออร์เดอร์ที่ส่งเพื่อ Buy หรือ Sell ในราคาใดราคาหนึ่งที่กำหนดไว้ จะงมีสองตัวแปร คือ เวลา กับ ราคา ตัวอย่างเช่น EUR/USD ปัจจุบันเทรดอยู่ที่ราคา 1.2050 ต้องการที่จะส่งคำสั่ง Buy ถ้าราคามันถึง 1.2070 คุณสามารถ นั่งเฝ้าหน้าจอและรอให้มันถึงราคา 1.2070 (คือจุดที่คุณอยากส่งคำสั่ง buy แบบ Market order) หรือ ส่งคำสั่ง Buy limit order ที่ 1.2070 (ไม่ต้องนั่งเฝ้า คอมพิวเตอร์จะจัดการให้เสร็จสรรพ ถ้าราคามันมาถึงจุดนั้น) ถ้าราคามันขึ้นไปถึง 1.2070 โปรแกรมเทรด จะทำการส่งคำสั่ง Buy อัตโนมัติ ตามราคาที่ได้กำหนดไว้ สามารถ กำหนดราคาว่าจะ Buy หรือ Sell ในค่าเงินนั้น ๆ หรือแม้แต่ กำหนดว่า อยากให้ Limit Order นี้ อยู่ได้นานเท่าไร หลังจากส่งคำสั่ง (GTC หรือ GFD)


Stop-loss ( S-L)
order stop - loss order เป็น limit order ที่ใส่เข้าไปหลังจากที่เราเปิดออร์เดอร์เทรดแล้ว จุดประสงค์เพื่อที่จะ ป้องกัน การขาดทุน ถ้าราคาเคลื่อนไหวไปในทิศทางตรงกันข้าม Stop loss order จะมีผลจนกระทั่งออร์เดอร์นั้น ถูกปิดไปแล้ว หรือ ผู้ส่งคำสั่งยกเลิกออร์เดอร์ Stop loss ตัวอย่างเช่น ต้องการ Buy EUR/USD ที่ราคา 1.2230 เพื่อไม่ให้เกิดการ ขาดทุนมากเกินไป จึงตั้ง Stoploss ที่ราคา 1.2200 โปรแกรมเทรดของคุณ จะทำการปิด ออร์เดอร์นั้น ที่ราคา 1.2200 อัตโนมัติ พร้อมกับผลขาดทุน 30 จุด(อูยยยย) Stop loss มีประโยชน์อย่างยิ่ง ถ้าไม่อยากนั่งเฝ้าหน้าจอตลอดทั้งวัน แล้วกลัวว่าขาดทุน แค่ตั้ง Stop loss order ขึ้นมาใน position ที่เปิด คุณจะมีเวลาไปทำอย่างอื่นได้

ออร์เดอร์ชื่่อ แปลกๆ

GTC (Good 'til canceled)
A GTC order จะมีผลในตลาดจนกระทั่งคุณยกเลิกด้วยตัวเอง โบรกเกอร์จะไม่สามารถยกเลิกมันได้ ดังนั้น ต้อง ระลึก เสมอว่าคุณมีออร์เดอร์อยู่ในมือรึเปล่า


GFD (Good for the day)
A GFD order จะมีผลในตลาดจนกว่าจบวันที่ทำการเทรด เพราะ ตลาดฟอร์เร็กซ์เปิดตลอด 24 ชั่วโมง ปกติจะใช้ เวลา 5 โมงเย็นของสหรัฐฯ เป็นตัววัด(ตี 4 ของเมืองไทย) แนะนำให้เช็คกับโบรกเกอร์ให้ละเอียดอีกที เรื่องเวลา


OCO (Order cancels other)
An OCO order เป็นออร์เดอร์ที่รวม limit and / or stop-loss order ไว้ด้วยกัน คือตัวแปรทางราคา และ เวลา จะถูกส่งเข้าไป ที่ราคาสูงกว่า หรือ ราคาที่ต่ำกว่า ราคาปัจจุบันทั้งสองอัน เมื่อออร์เดอร์หนึ่งถูกส่งไปแล้ว อีก ออร์เดอร์ จะถูกยกเลิก ตัวอย่างเช่น ราคาของ EUR/USD อยู่ที่ 1.2040 เมื่อคุณต้องการซื้อที่ 1.2095 เหนือ แนวต้านขึ้นไป ซึ่งอาจจะไปทำ new high และถ้าร่วงลงมาจนเกิน 1.1985 คุณจะเข้า sell order นั่นคือ ถ้ามัน ไปถึงราคา 1.2095 คุณจะส่งออร์เดอร์ buy ออร์เดอร์ sell ที่คุณตั้งจะส่งไว้ที่ 1.1985 จะถูกยกเลิก

จำไว้ว่า ควรตรวจสอบกับโบรกเกอร์ ให้ละเอียดอีกครั้ง บางทีอาจจะมีค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เพิ่มเติมถ้าถือ position ข้ามคืน พยายามทำกฏในการเทรดให้ง่ายเข้าไว้ สิ่งที่ธรรมดาที่สุดย่อมทำให้เข้าใจง่ายที่สุด

คำสั่งพื้นฐาน (market, stop loss, และ limit) ซึ่งเป็นออร์เดอร์ที่เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ต้องใช้ แม้ว่า จะเป็นนักเทรด ที่เก่งกาจ (ใช่ แน่นอน) อย่าพึ่งไปสนใจกับระบเทรด Trading System ที่ดูซับซ้อน หรือมีเครื่องมือสวยงาม คุณ ไม่จำเป็นต้องทำกำไรได้ก้อนใหญ่ในตลาดทุกครั้งไป ให้คุณมุ่งออกแบบระบบที่ง่าย ๆ ธรรมดาของตัวเองก่อน

ต้องแน่ใจแล้ว ว่า คุณมีความรู้เกี่ยวระบบการเทรด หรือวิธีการส่งคำสั่งของโบรคเกอร์ให้ดีก่อนที่จะเทรด อย่ารีบ เทรดเงินจริง จนกว่าจะเข้าใจหน้าตา หรือคำสั่งของโปรแกรมที่ต้องใช้ในการส่งคำสั่งเทรด


ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/order-633/?/

[Review บทความ cmFX] เรื่องที่ 2 : Trading Psychology

[Review บทความ cmFX] เรื่องที่ 2 : Trading Psychology


บท ความชุดนี้เป็นบทความแปลเกี่ยวกับ "จิตวิทยาการลงทุน” ซึ่งเป็นสิ่งที่หาอ่านยากมากในไทย, จึงเป็นอีกหนึ่งชุดของบทความที่เป็น "The must see" ของ cmFX เลยทีเดียวครับ, เชิญติดตามอ่านได้เลยครับที่

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/(review-cmfx)-2-trading-psychology/?/

ความผิดพลาดที่สำคัญ 9 ประการของนักลงทุน



1. ลงทุนด้วยจำนวนเงินที่มากเกินกว่าที่คุณจะสูญเสียได้
หนึ่ง ในอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ของการลงทุนให้ประสบความสำเร็จคือการลงทุนด้วยเงินก้อน ใหญ่ที่คุณไม่สามารถจะเสียไปได้  เช่น จำนวนเงินที่คุณจะต้องใช้ผ่อนค่างวด หรือค่าเทอมลูก ในกรณีเช่นนี้ เราเรียกว่า การลงทุนด้วยเงินร้อน (Trading with scared money) และในท้ายที่สุด สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ เมื่อในส่วนลึกของจิตใจ นักลงทุนเหล่านั้นรู้ว่าพวกเขากำลังเสี่ยงด้วยเงินที่เปรียบเสมือนเงินที่ ยืมมา พวกเขาจะลงทุนด้วยอารมณ์และความกลัว โดยปราศจากเหตุผล ถ้าคุณอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เราแนะนำให้คุณหยุดการลงทุน จนกระทั่งคุณสามารถลงทุนด้วยจำนวนเงินที่คุณสามารถจะเสียได้โดยไม่ก่อให้ เกิดความเดือดร้อนทางการเงิน คุณอาจจะเริ่มต้นด้วยจำนวนก้อนที่ไม่ใหญ่จนเกินไป เช่น 50,000 บาท และลงทุนในหุ้นที่มีราคาต่ำกว่า 10 บาท

2. ความต้องการความแน่นอน
เรา ทุกคนต้องมั่นใจว่าการลงทุนจะคุ้มค่า ดังนั้นเราจึงควรมองหาสัญญาณที่จะยืนยันจุดที่ควรเข้าลงทุน สัญญาณที่กล่าวถึงนี้มีหลายรูปแบบ เช่น การเปิดช่องยูบีซี หรือ อ่านหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับตลาดทุน เพื่อทราบถึงข่าวสารว่าหลักทรัพย์ใดอยู่ในช่วงที่น่าลงทุน หรือหลักทรัพย์ใดที่ควรรอจังหวะเข้าซื้อเมื่อแน่ใจว่าราคาจะพุ่งสูง ขึ้น  นักลงทุนบางคนอาจรับฟังข่าวสารจากเพื่อน ครอบครัว หรือเจ้าหน้าที่การตลาด (โบรกเกอร์) บางคนอาจรอจังหวะที่ดัชนีชี้นำทางเทคนิคทั้งหลายแสดงสัญญาณที่ดีจึงเข้าซื้อ สิ่งเหล่านี้สามารถเชื่อถือได้ในระดับหนึ่ง แต่ข้อผิดพลาดที่สำคัญและควรระวังมาก ก็คือ การใช้เวลามากเกินไปจนคุณปล่อยให้ราคาสูงขึ้นโดยที่คุณยังไม่ได้ซื้อ สิ่งที่ตามมาก็คือ ความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเมื่อราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนที่จะเข้าซื้อหุ้นนั้นมีน้อยลง ทำให้แรงซื้อน้อยลง ส่งผลให้ราคาปรับตัวลงจนกว่าจะมีแรงซื้อเข้ามาใหม่ ซึ่งก็เปรียบได้กับเกมเก้าอี้ดนตรี คนที่ช้าที่สุดก็จะไม่มีเก้าอี้เหลือให้นั่ง นักลงทุนที่รอแล้วรออีกเพื่อให้มั่นใจมากๆ จริงๆแล้วก็คือคนที่จะซื้อที่จุดสูงสุดก่อนที่ราคาหุ้นจะตกลง แล้วก็จะโทษว่าเป็นเพราะเลือกหุ้นผิดตัว ความจริงคือข้อผิดพลาดนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการเลือกหุ้น แต่เกี่ยวกับจังหวะของการลงทุน
สิ่งที่ควรจำใส่ใจคือไม่มีความแน่นอน 100 เปอร์เซ็นต์ ในการลงทุนครั้งใดๆก็ตาม สิ่งที่จะทำได้ก็คือศึกษาถึงความเสี่ยงประกอบกับความเชื่อมั่น

3. ใช้กำไรก่อนที่จะทำกำไรได้
ไม่ มีอะไรที่น่าตื่นเต้นไปกว่าการลงทุนที่ให้กำไรที่งดงาม แต่สิ่งนี้ก็เป็นปัญหาได้เช่นกัน เพราะมันให้คุณฝันหวานถึงกำไรก้อนใหญ่ คุณอาจจะบอกว่า “ว้าว! เงินลงทุนฉันเพิ่มขึ้น 15% ใน 2 วัน แล้วจะเพิ่มเป็น 50 % ใน 2 สัปดาห์และ อาจจะกลายเป็นเท่าตัวในพริบตา!”  สิ่งต่อไปที่จะเกิดขึ้นคือ คุณอาจคิดถึงรถใหม่คันหรูที่คุณคิดจะซื้อ หรืออาจจะบอกเจ้านายคุณว่าเขาก็ทำแบบเดียวกันได้ ถึงตอนนี้คุณคงนึกภาพออก ปัญหาที่แท้จริงจะเกิดขึ้นเมื่อคุณยึดติดกับความใฝ่ฝันนั้น และไม่ได้เตรียมพร้อมที่จะถอยออกมาเมื่อตลาดเข้าสู่ภาวะที่ไม่ดี และทำให้กำไรลดลง เพราะคุณถึงแต่ผลกำไรที่จะได้รับโดยไม่ยอมรับสถานการณ์จริง วิธีแก้ไขง่ายๆก็คือ ต้องรู้ว่าจะขายทำกำไรเมื่อไหร่และอย่างไร เมื่อลงทุน  และต้องจำไว้ว่าตลาดจะขึ้นสูงเท่าที่มันจะขึ้นได้  ไม่ใช่ว่าจะ ขึ้นสูงเท่าที่คุณคิดว่ามันจะขึ้นได้

4. การแสดงความคิดเห็น
เรา กำลังจะบอกคุณว่าตลาดไม่สนใจคุณหรอกว่าคุณจะคิดอย่างไร ถึงแม้ว่าคุณจะอ้างอิงถึงบทวิเคราะห์ที่เกิดจากความอุตสาหะ หรืออ้างอิงถึง ผู้เชี่ยวชาญตลาดหุ้นไทย  นั่นไม่สำคัญหรอก

5. คำ 3 คำที่จะฆ่าคุณได้ หวัง-ขอ-อธิษฐาน
ถ้า คุณพบว่าคุณทำ 1 อย่าง หรือมากกว่า ของคำที่กล่าวไว้ เมื่อคุณลงทุน คุณกำลังลำบากแล้วล่ะ! ดังเช่นที่กล่าวมาแล้ว ตลาดไม่สนใจคุณหรอก ดังนั้น ความหวัง คำขอ หรือคำอธิษฐาน ทั้งหลายไม่สามารถเปลี่ยนขาดทุนเป็นกำไร
เมื่อคุณคาดการณ์ผิด วิธีการง่ายๆที่จะแก้ไขสถานกาณ์ คือ ขาย!!

6. ไม่ทำตามแผนที่วางไว้
ปัญหา ใหญ่เกิดขึ้นได้เมื่อนักลงทุนเริ่มไม่ทำตามกลยุทธ์ที่วางไว้  อาจจะเป็นเวลา ซัก 1 อาทิตย์ที่พวกเค้าจะลงทุนตามกฎเกณฑ์ที่ตั้งไว้ แต่อีก1 อาทิตย์จะทำสิ่งที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง  การทำเช่นนี้ทำให้เจ็บตัวได้ง่าย เนื่องจากไม่มีใครสามารถบอกได้แน่ชัดว่ากลยุทธ์ใด จะได้ผลหรือไม่ ดังนั้นต้องจำไว้ว่าไม่ควรทำสิ่งที่ผิดไปจากแผนหรือวิธีการเมื่อคุณได้เริ่ม ต้นไปแล้ว  หากคุณพบว่ากลยุทธ์นั้นใช้ได้ผลเมื่อดูจากสถิติ ก็ไม่มีเหตุผลที่คุณจะเปลี่ยนกลยุทธ์  ทางที่จะทำกำไรคือ ซื้อขายซ้ำไปซ้ำมาจนกระทั่งถึงจุดที่กลยุทธ์นั้นจะใช้ไม่ได้ผล อีกด้านที่ต้องระวังก็คือ นักลงทุนมักจะขาดความมั่นคงและมีโอกาสที่จะเปลี่ยนแผนการลงทุนได้มากหลังจาก ขาดทุน 2-3 ครั้ง  ดังนั้น ในช่วงเวลาเช่นนี้ต้องระวังเป็นพิเศษ

7. ไม่รู้ว่าจะถอนตัวจากการลงทุนที่ขาดทุนได้อย่างไร
มี หลายครั้งที่นักลงทุนไม่มีเกณฑ์ที่แน่นอนในการนำตัวเองออกจากการลงทุนที่ไม่ คุ้มค่า  พวกเขามักจะคาดหวัง และคิดหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองในการที่จะไม่ถอนตัวและยอมขาดทุน ดังเช่นที่เราบอกซ้ำแล้วซ่ำเล่า ตลาดไม่สนใจว่าคุณจะคิดอะไร  มันเคลื่อนไปตามทางของมัน และเมื่อตลาดไม่เป็นไปตามที่คุณคิด นั่นคือคุณคิดผิด วิธีง่ายที่สุดที่จะทำให้สถานะการลงทุนไม่แย่ลงกว่าเดิม ก็คือต้องคิดก่อนที่จะลงทุนว่า เมื่อไรจะออกจากตลาด โดยอาจกำหนดเป็นจำนวนเงิน หรือ กำหนดจุดเป้าหมาย เช่น จุดที่เท่ากับจุดต่ำสุดในช่วงเวลา 15 นาทีก่อน ต้องมั่นใจว่าคุณจะไม่ปล่อยให้ราคาตกลงจนถึงจุดหยุดขาดทุนโดยที่ไม่สามารถทำ อะไรได้ ซึ่งอาจเนื่องมาจากความกลัวและความไม่เชื่อว่าคุณคิดผิด นั่นจะทำให้คุณเกิดปัญหาด้านการเงิน เว้นแต่ว่าคุณจะสามารถหยุดขาดทุนได้โดยเร็ว

8. มีความมั่นใจ
คน ที่เข้าลงทุนในตลาดนั่นมีหลายคนที่เป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงใน ธุรกิจด้านอื่นๆ เหตุนี้เองทำให้พวกเขามีความมั่นใจสูงและคิดว่าพวกเขาไม่มีทางที่จะล้ม เหลว  ความมั่นใจเช่นนี้กลายเป็นข้อเสียสำหรับการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ เพราะพวกเขาไม่เชื่อว่าลงทุนผิดพลาดและควรต้องหยุดการลงทุนที่ขาดทุน และเช่นกัน ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร มาจากไหน นั่นไม่เกี่ยวข้องกับตลาด รวมถึงปริญญา ประกาศนียบัตร ความสามารถในการจูงใจ หรือ ความรอบรู้เชิงธุรกิจ ไม่สามารถเปลี่ยนแนวโน้มตลาด เวลาที่คุณคาดการณ์ผิด

9. หลงใหลในหุ้นหรือการลงทุน
ห้ามหลงใหลในหุ้นเด็ดขาด เพราะนั่นจะให้บทเรียนที่สาหัสแก่คุณ

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/9-21/?/