RSS
Showing posts with label RSI. Show all posts
Showing posts with label RSI. Show all posts

RSI VS Stochastic


ที่ Babypips นาย Proximus มาตั้งกระทู้ถามเรื่อง RSI กับ Stochastic เขาบอกว่าเขาได้ทดลองใช้ Stochastic มาระยะหนึ่งแล้วสำหรับเขาแล้วมันได้ผลมาก ๆ เลยผมเทรดได้ตั้ง 7 ใน 10 ครั้งแนะ แต่ผมก็ได้ยินมาว่ามีอินดิเคเตอร์อีกตัวหนึ่งที่คล้าย ๆ กันนั่นคือ RSI แต่ผมก็ยังไม่เคยได้ลองใช้มันสักที นอกจากนี้ผมยังเห็นว่ากรอบ over ของ RSI มันต่างจาก Stochastic แค่ 10 เอง Stochastic ใช้ 80 20 แต่ RSI ใช้ 70 30 ผมไม่แน่ใจว่ามันจะช่วยทำให้ RSI มันวิ่งสมูธขึ้นหรือทำให้สัญญาณกลับตัวมันช้าลงกันแน่ ผมเลยมาตั้งกระทู้นี้เพราะอยากได้ข้อมูลหรือความคิดเห็นเกี่ยวกับอินดิเค เตอร์ 2 ตัวนี้ว่าอันไหนดีกว่ากันอันไหนแม่นกว่ากันเพราะมันทั้งคู่ใกล้เคียงกันมาก ระหว่างให้สัญญาณที่เร็วแต่มีโฮกาสหลอกบ่อย กับ วิ่งช้าลงสักหน่อยแต่มั่นใจมากขึ้น อันไหนดีกว่ากันครับ


คุณ TheDayTrader เข้ามาตอบว่า ทั้ง Stochastic และ RSI เป็น Indicator ประเภทเดียวกันคือใช้วัดการแกว่งของราคาเหมือนกันถึงแม้ว่ามันจะต่างกัน เพียงนิดเดียวก็ตามแต่มันก็ทำหน้าที่คล้าย ๆ กันอยู่ผมแนะนำให้เลือกใช้เพียงตัวเดียวพอ แต่ถ้าคุณยังไม่แน่ใจก็ลองใช้ทั้งคู่ไปก่อนก็ได้แล้วดูว่าตัวไหนเหมาะกับ วิธีเทรดของคุณมากที่สุด พยายามปรับมันให้เข้ากับสไตล์การเทรดของคุณแต่อย่าลืมว่าการตั้งค่าของอิน ดิเคเตอร์พวกนี้มันจะเปลี่ยนไปตามการเลือก Time Frame ที่เทรดด้วยหากเปลี่ยน Time Frame ที่ดูกราฟก็อาจจะต้องปรับค่ามันใหม่ด้วยเช่นกัน ส่วนตัวแล้วผมชอบใช้ Stochastic ตั้งค่าไว้ที่ 8 3 3 ที่สุดแต่ถ้าคถณอยากได้ Stochastic กับ RSI รวมกันแล้วละก็ผมแนะนำ อินดิเคเตอร์ที่ชื่อ DT Oscillator นะ


คุณ GRIX FX ตอบว่า ส่วนตัวแล้วผมชอบ Stochastic มากกว่านะเพราะมันเห็นภาพเวลาที่อินดิเคเตอร์ขึ้นไปชนเส้นได้ดีกว่า RSI ทำให้ผมสามารถกะ divergence ได้ดีกว่า


คุณ จขกท. หลังจากหายไปสักพักก็เข้ามาตอบว่า ดูเหมือนว่าคนใส่วนใหญ่ในกระทู้จะชอบ Stochastic มากกว่านะแล้วถ้าผมตั้งค่าเป็น 15 3 3 ละ มันจะทำให้ Stochastic สมูธขึ้นไหมและช่วยลดการ false breakout ได้มากขึ้นรึเปล่า


คุณ TheDayTrader เจ้าเก่าก็เข้ามาตอบว่า คำตอบของคำถามข้อนี้ของคุณมันก็ขึ้นอยู่กับวิธีการเทรดที่คุณใช้และ Time Frame ที่คุณเทรด ลองใช้วิธีนี้ดูสิครับ เอา Horizontal Line มาร์คจุด swing high, low ไว้หลังจากนั้นก็ลองปรับค่าของ สโต ของคุณให้มันใกล้เคียงกับจุดสวิงเหล่านั้นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพราะ จุดสวิงเหล่านี้มันจะหลายเป็นเหมือน Overbought/Oversold ไปอัตโนมัติเลยเมื่อเส้นใน สโต มันตัดกันตรง Overbought/Oversold มันก็จะหลายเป็นสัญญาณกลับตัวที่น่าเชื่อถือไปโดยอัตโนมัติ


จขกท. ก็กลับมาตอบว่า ผมเห็นด้วยครับแต่ใน Time Frame เล็ก ๆ อาจจะต้องใช้ค่า 8 3 3 เพราะยิ่ง Time Frame เล็กเท่าไหร่ ความมั่วขงอินดิเคเตอร์ก็จะเพิ่มมากขึ้น ดูเหมือนว่าผมคงจะต้องตั้งค่า สโต ใน 1 ชั่วโมงและดูใน 15 นาทีไปด้วยหากเป็นไปตามที่คิด 15 นาทีน่าจะช่วยบอกสัญญาณกลับตัวให้กับ 1 ชั่วโมงได้ดังนั้นมันจึงจำเป้นมากที่จะต้องมองกราฟมากกว่า 1 Time Frame ขึ้นไป


นาย TheDayTrader ตอบว่า ใช่ครับการเทรดของผมก็อาศัยการดู Time Frame หลาย ๆ ตัวดูพร้อมกันเหมือนกันเช่นผมดู daily 4H 1H 15M ทุกการวิเคราะห์จะต้องตรงกันและจะเข้าเทรดใน TF 15 นาที


นาย wizard56 เข้ามาตอบว่า ความเห็นส่วนตัวนะครับผมว่า Stochastic จะวิ่งเร็วกว่า RSI เวลาที่ราคาเริ่มมีการเคลื่อนตัวแต่นั่นก็ทำให้ สโต มีข้อเสียคือมักจะให้สัญญาณหลอกบ่อย ๆ แต่ RSI ถึงจะช้าไปหน่อยแต่จะให้สัญญาณที่น่าเชื่อถือกว่าดังนั้นผมเลยชอบ stochastic มากกว่าครับ


เป็น เรื่องที่ถกถึยงกันมานานเหมือนกันเรื่องหนึ่งระหว่าง Stochastic กับ RSI ว่าอะไรดีกว่ากัน เมื่อก่อนผมเคยคิดว่า RSI ดีกว่าแต่พักหลัง ๆ มานี่ผมว่าแล้วแต่สไตล์การเทรดและกลยุทธ์การเทรดของแต่ละคนมากกว่า ใครที่ชอบ scalp ผมก็แนะนำว่า Stochastic จะเป็นคำตอบที่ดีกว่าแต่ใครที่ชอบเทรดเป็นวัน ๆไปหรือเก็บเป็นสวิงไปการใช้ RSI ก็น่าจะเหมาะกว่าสำหรับเทรดเดอร์คนนั้นการเอาอินดิเคเตอร์ประเภท Oscillator หรือวัดการแกว่งไปปรับค่าในมันสมูธขึ้นเพื่อลดสัญญาณหลอกของมันไม่ได้ช่วย อะไรนอกจากจะทำให้การอ่านค่าที่ปกติก็ช้ากว่าราคาอยู่แล้วมันช้าลงไปอีก และ การเอามันไปปรับให้เร็วขึ้นเพื่อหาสัญญาณเข้าที่ทันกราฟละก็ไม่มีทางเป็นไป ได้ครับเพราะอินดิเคเตอร์คำนวณออกมาจากกราฟดังนั้นกราฟต้องวิ่งก่อนมันถึงจะ คำนวณได้ครับ สรุปคือค่ามาตรฐานที่เค้าให้มาตั้งแต่แรกนั้นดีที่สุดแล้วครับ ส่วนตัวแล้วผมว่า Stochastic จะเหมาะกับ TF 1 นาที – 15 นาที เท่านั้นมันไม่เหมาะที่จะนำไปวิเคราะห์เทรนที่เป็นภาพใหญ่ ๆ วิ่งช้า ๆ อันนั้นเนี่ยถ้าใช้เป็น RSI หรือ MACD ไปเลยจะให้ผลที่ดีกว่าเพราะ Day Trader อย่างเรา ๆ คงจะไม่หาจังหวะเข้าจาก Time Frame ใหญ่ ๆ อย่าง Daily ใช่ไหมครับ


ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/rsi-vs-stochastic/?/

Divergence and Convergence

Divergence and Convergence (ไดเวอร์เจนซ์ และ คอนเวอร์เจนซ์)

Divergence and Convergence Trading
สวัสดี ครับเพื่อนๆทุกคน วันนี้ขอนำเสนอ วิธีการเทรดโดยการดู Divergence วิธีนี้เทรดเดอร์มือใหม่ควรจะเรียนรู้เอาไว้นะครับ เพราะสามารถใช้ทำกำไรได้ดีทีเดียว เทรดเดอร์บางคนเทรดมาหลายปีแล้วยังไม่รู้เลยครับ ว่า

Divergence และ Convergence คืออะไร วันนี้ผมจะเขียนบทความให้อ่านนะครับ
Divergence เป็นการวิเคราะห์ทางเทคนิคอีกแบบหนึ่งที่นิยมใช้กันมากในการวิเคราะห์ ในตลาดฟอเร็กซ์หรือแม้แต่ตลาดหุ้น  เพราะ Divergence เป็นวิธีการเทรดที่ง่ายและเข้าใจง่าย


    Divergence คือ การแยกออกจากกัน ความขัดแย้งกันของราคาและตัวชี้วัด(Indicator) หมายความว่า ทิศทางของราคาและทิศทางของตัวชี้วัด Indicator จะตรงกันข้ามกัน


    Convergence คือ การลู่เข้ามาหากัน ลู่เข้ามาบรรจบกัน ในการวิเคราะห์เราจะหมายความว่า ทิศทางของราคา และทิศทางของตัวชี้วัด Indicator จะไปในทิศทางเดียวกัน

ตัวชี้วัด Indicators ที่ใช้ในการดู Divergence และ Convergence ที่ใช้กันทั่วไป ส่วนมากจะเป็น Oscillators Indicator คือ Indicators ที่วัดการแกว่งของราคา ได้แก่ Relative Strength Index (RSI) , Moving Average Convergence Divergence (Macd) , Stochastic Slow (Sto) , Commodity Channel Index และ William's Percent Range (W%R)
ตัวชี้วัดเหล่านี้ ผมได้ทดลองใช้แล้วพบว่าดีที่สุดสำหรับการดู Divergence

     Divergence มี 2 ประเภท คือ Divergence Bullish คือ ราคาทำจุดต่ำสุดใหม่(New Low) เมื่อเทียบกับจุดต่ำสุดเก่า (Low)  แต่ตัวชี้วัด(indicator) ทำจุดต่ำสุดใหม่(New Low) สูงกว่าจุดต่ำสุดเก่า(Low)  ดูรูปด้านล่างครับ


Bullish Divergence

จากรูปจะเห็นว่าความชันของ Indivator จะเป็นบวก

EX. Bullish Divergence Chart เป็นกราฟ ของ GBP/USD


- ทริคในการดู Bullish Divergence ให้ได้ผลออกมาดีที่สุด คือ เราต้องรอให้ราคาที่มาทำ New Low มีการดีดตัวกลับก่อน ตรงตำแหน่ง New Low ต้องเกิด Bullish Candle คือมีการดีดตัวกลับ แล้วเราจึงมาดู Indicator ว่า New Low มันสูงกว่า Low เดิมมั้ย ถ้ามันสูงกว่า นี่คือสัญญาณ Bullish Divergence เราสามารถเปิดออเดอร์ Buy(Long) ได้เลยครับ

   Divergence Bearish คือ ราคาทำจุดสูงสุดใหม่ (New High) สูงกว่าจุดสูงสุดเก่า (Low) แต่ตัวชี้วัด (Indicator) ทำจุดสูงสุดใหม่ (New High) ต่ำกว่าจุดสูงสุดเก่า (High) ดูที่รูปด้านล่างครับ


จากรูปเราจะเห็นว่า ความชันของอินดิเคอร์เตอร์ จะเป็นลบ

Ex. ตัวอย่างกราฟ Divergence Bearish เป็นกราฟ EUR/USD 4 H
 จาก รูปเราจะเห็นว่า ราคาขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ที่สูงกว่า แต่อินดี้ของเรากลับทำจุดสูงสุดใหม่ต่ำกว่าเก่า แบบนี้เราเรียกว่า Divergence Bearish ครับ


ทริ คในการสังเกตไดเวอร์เจนประเภทนี้ คือเราต้องรอให้ราคาหยุดนิ่งก่อน อย่าไปสวนขณะที่มันกำลังพุ่งขึ้นเด็ดขาด ต้องรอให้มีการกลับตัวเล็กน้อย โดยดูจากแท่งเทียน ถ้ามีแท่งเทียนกลับตัว Bearish Candle , Reverse Candle และมาดูที่ Indicator ถ้ามันต่ำกว่า High เก่า เราก็สามารถ Sell (Short)
ได้เลย
ความรู้เพิ่มเติม
- Trend Followers
 
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/divergence-and-convergence/?/

บทที่ 5 Fibonacci number ช่วยให้คุณรู้จักคลื่น Elliott wave ดีขึ้น

ผมพยายามลำดับความสำคัญว่า อะไรที่ควรจะเรียนรู้ก่อนในกลุ่มเครื่องมือจำนวนมากที่สามารถพาพวกเราเวียน หัวกันได้ ผมว่าน่าจะเอาสิ่งที่เป็นพื้นฐานที่สุด ที่เข้าใจตรงกันมากที่สุด ก็คือ Fibonacci number นี่แหละ มาให้เราทำความเข้าใจกันก่อน ผมว่าเหมือนกับการป้อนข้อมูลใส่ให้พวกเราเข้าใจว่า สาวๆ หน้ากลมๆ สัดส่วน 30-24-36 ถึงจะสวยนะ ถ้าไม่ใช่ ก็สัก 32-26-36 ก็ยังดี (หุหุ เกี่ยวป่าว?)

fibonacci เป็นชื่อเรียกเลขอนุกรมมหัศจรรย์ ที่ตั้งขึ้นตามผู้คิดค้นคือ LEONARDS FIBONACCI ซึ่งสังเกตเห็นว่า ธรรมชาติมีสัดส่วนสัมพันธ์กับตัวเลขนี้ ต่อมาได้มีการประยุกต์นำมาใช้ในการวิเคราะห์ราคาหุ้น เพื่อที่จะใช้ค้นหาแนวโน้ม แนวต้าน แนวรับ สัญญาณซื้อและขาย โดยมีรูปแบบอยู่ 3 ลักษณะ คือ
- Fibonacci retracement หาแนวรับแนวต้านราคาในแนวระนาบ
- Fibonacci fan หาแนวรับในแนวเฉียง
- Fibonacci fan หาแนวรับในแนวดิ่ง หรือระยะเวลา
ส่วน ใหญ่ที่เห็นใช้กัน ก็เป็นอันแรกครับ ส่วนที่มาของตัวเลข ไม่ขอพูดมากครับ ตำราเยอะแยะ เอาเป็นว่า ผมแนะนำสิ่งที่นำไปใช้งานเลยละกัน ตัวเลขสัดส่วนที่นำมาใช้ ถูกคำนวณมาเป็น % หรือเทียบกับ 1.0 เป็นเลขดังนี้
23.6% 38.2% 50% 61.8% 78.6% 100% 127.2% 161.8% 261.8% 423.6%
โดยตัวเลขสีแดง คือตัวเลขที่ผมให้ความสำคัญเป็นพิเศษครับ
การ ใช้ Fibonacci สามารถใช้วัดได้ทั้งคลื่นย่อย และคลื่นหลักตามสะดวก และโดยมากเราวัดในคลื่นย่อย มักจะตรงกับคลื่นหลักอย่างน่าแปลกใจในบางครั้ง ซึ่งหากตรงกัน ผมมักให้ความสำคัญเพิ่มตรงจุดนั้นด้วย

การใช้ Fibonacci ใช้ตอนไหน และตรงไหนดี?
คง เป็นคำถามสำหรับมือใหม่ ที่บางคนลากแบบไม่รู้จะเริ่มตรงไหนดี ต้องย้อนกลับไปอ่านอีกทีข้างบน ที่บอกว่า ใช้หาแนวต้าน แนวรับ แนวต้าน ไงครับ แนวรับจะเกิด เราต้องหาหัวหาท้ายคลื่นให้ได้ก่อน ใช่มั๊ย? เราสนใจคลื่นชุดใหญ่หรือชุดย่อยล่ะ ถ้ายังไม่รู้ ต้องเริ่มจากคลื่นใหญ่ก่อนครับ

- แนะนำให้เริ่มจาก กราฟรายวัน เพราะจะเห็นคลื่นหลักชัดๆ

เมื่อ คลื่นเริ่มต้นขึ้น จนเริ่มตก เราก็จะได้จุดเริ่มต้นและปลายทางของคลื่นเป้าหมายครับ สิ่งที่เราจะวัดหา คือแนวรับเป็นอันดับแรก โดยมีจุดที่ผมให้ข้อคิดไว้ ตามประสบการณ์อันน้อยนิดของผมคือ

- หากคลื่นที่วัด ความแรงไม่มาก เช่นคลื่น 1 แนวรับจะอยู่ที่แถว 50% 61.8% และ 78.6% รวมถึง 100%
- หากหลุดต่ำกว่า 100% ก็จะเป็นการ correction หรือปรับฐานเลย (คลื่น a-b-c) เป้าหมายแรกอยู่ที่ 127.2% และ 161.8% หรือกว่านั้น
- หากเป็นคลื่น 3 บางที ลงไม่ถึง 50% ด้วยซ้ำ

หาก แนวรับ รับได้อยู่แถว 61.8% และดีดกลับได้อย่างแข็งแกร่ง สิ่งที่เราจะมองหาคือแนวต้านแทน เราก็สามารถคาดได้ครับว่า คลื่นอาจจะย้อนสูงขึ้นกว่ายอดเดิม ไปที่ 127.2% 161.8% หรือ 261.8% หรือมากกว่านั้นได้ เราสามารถเอาความเข้าใจเรื่องอีเลียตเวฟมาประยุกต์คาดการณ์ร่วมกับการคะเน แนวต้านได้ครับ เช่น
- หากเป็นคลื่น 3 อาจแรงไปถึง 261.8 หรือ 423.6% ได้
- ขณะที่คลื่น 5 อาจไม่ผ่าน 100% หรือแค่ 127.2% ก็เป็นได้ หากสัญญาณไม่แรงพอ


สั้นๆ ได้ใจความ ไม่เยิ้นเย้อนะครับ ที่เหลือ ลองไปหัดวัดดูคลื่นเก่าๆที่เคยผ่านไปแล้วดู ผมสรุปสั้นๆว่า
- มองภาพคลื่นใหญ่ หาจุดเริ่มต้นให้เจอ
- พิจารณาธรรมชาติของคลื่นลูกนั้น ว่าเป็นคลื่นไหน 1-2-3-4-5 หรือ a-b-c เพื่อคะเนว่า ตัวเลขแนวต้าน-แนวรับตรงไหน น่าจะสำคัญ สำหรับคลื่นลูกนั้น
- คลื่นใหญ่มองภาพไม่เห็นว่าจะจบแถวไหน ก็วัดคลื่นย่อยช่วย เช่น วัดคลื่น 3 หลักที่เห็นได้ชัดในรายวัน ในรายชั่วโมง เราก็มาวัดคลื่นย่อยของ 3 หลัก หากอยู่ในคลื่นย่อย 5 แล้ว เราก็คาดได้ว่า ราคาจะพุ่งไปเส้นต่อไปไม่ไหวก็เป็นได้ เป็นต้น

การดูว่าคลื่นไหนเป็น คลื่นไหน เราสามารถใช้ความรู้เรื่อง RSI มาช่วยกำกับได้ อย่างที่กล่าวไปในบทที่แล้วนะครับ เช่น หากคลื่นราคาใหม่ สูงขึ้น แต่ RSI ต่ำกว่าเดิม ก็มีโอกาสจะเป็นยอดคลื่น 5 ได้ เพราะ RSI จะ peak ในคลื่น 3 กับ b เป็นหลัก

Fibonacci fan กับ timezone คงไม่พูดถึงนะ ก็คล้ายกัน แต่ผมว่า ใช้วัดคลื่นหลักก็พอ โดยเฉพาะ fibo fan ผมใช้บ่อยตอนหาแนวรับ ใช้ร่วมกับ Fibonacci retracement ช่วยบอกแนวรับได้ดีมากๆ

บทต่อไปน่าจะเป็นการดู RSI, MACD นะ แต่ใครอ่านบทวิเคราะห์ของผมบ่อยๆคงได้เรียนรู้ไปเยอะแล้ว เพราะผมพูดถึงบ่อยมาก

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/5-fibonacci-number-elliott-wave/?/