RSS
Showing posts with label ทฤษฎี. Show all posts
Showing posts with label ทฤษฎี. Show all posts

Convergence Bearish

Convergence Bearish

สัญญาณคล้อยตามกัน หรือมีทิศทางเดียวกัน ระหว่างราคาและตัวชี้วัด
วันนี้เห็นกราฟอียู 30 นาที แสดงลักษณะของ Convergence (อ่านว่า คอนเวอร์เจนซ์)
ราคา .. ราคาได้แสดงจุดสูงสุดใหม่ที่เกิดขึ้นต่ำกว่าจุดสูงสุดเก่าที่ราคาเคยทำ จากรูปที่ผมได้วงไว้ จะเห็นว่า H2 ต่ำกว่า H1 และ H3 ต่ำกว่า H2 ลักษณะเช่นนี้ คือ ลักษณะของการเกิดแนวโน้มขาลง (Down Trend)

Indicator : มาพิจารณาที่ตัวชี้วัดกันบ้างนะครับ เราจะเห็นว่าจุดสูงสุดใหม่ของ Indicator ก็จะต่ำกว่าจุดสูงสุดเก่าที่มันเคยทำไว้ และเมื่อเราลากเส้นเปรียบเทียบกันเราก็จะพบว่า Slop หรือความชันลาดลง นี่แสดงให้เห็นว่า Indicator กำลังบ่งบอกเราว่าจะเกิดแนวโน้มขาลงในไม่ช้า

เปรียบเทียบระหว่าง ราคาและ Indicator
- เมื่อราคาทำจุดสูงสุดใหม่ต่ำกว่าสุดสูงสุดเก่า และ Indicator ก็ทำจุดสูงสุดใหม่ ต่ำกว่าสุดสูงสุดเก่า ลักษณะแบบนี้เราเรียกว่า Convergence
Bearish

    คอนเวอเจ้น(Convergence)คือสัญญาณคล้อยตามกันหรือมีทิศทางเดียวกันระหว่างราคาและ Indicator
    การดูสัญญาณ Convergence จะช่วยให้เราวิเคราะห์กราฟได้ง่ายขึ้น
    นอกจากจะดูสัญญาณ Convergence แล้ว เราต้องดู สัญญาณ Divergence ด้วย
    Divergence คือ สัญญาณขัดแย้งกัน หรือมีทิศทางที่ตรงกันข้ามกัน ระหว่าง ราคากับ Indicator
    สัญญาณ Convergence จะบ่งบอกการกลับตัวได้ดีกว่า สัญญาณ Divergence
    สัญญาณ Divergence ไม่ได้บ่งบอกว่า ราคาจะกลับตัว แต่จะบ่งบอกว่า สภาวะตลาด ณ ช่วงเวลานั้นเริ่มอ่อนแรงแล้ว และจะเกิดการพักตัว

- สิ่งที่ผมเขียนทั้งหมดนี้ อาจจะไม่ตรงกับทฤษฎีที่ได้กำหนดไว้ แต่สิ่งที่ผมเขียนคือพฤติกรรมของกราฟ ณ ปัจจุบัน ลักษณะแบบนี้พบบ่อยมากในกราฟฟอเร็ก

- เราไม่จำเป็นต้องตามทฤษฎีเป๊ะ ๆ แต่เราเอาวิธีการนั้นนำมาประยุกต์ใช้กับนิสัยการเทรดของเรา เพียงเท่านี้ เราก็จะสามารถประสบความสำเร็จจากตลาดฟอเร็กได้ครับ



ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/convergence-bearish/?/

บทที่ 4 Elliott wave คลื่นที่คุณต้องรู้จัก

หากคุณไม่สนใจทำความรู้จักมัน คงเหมือนกับคุณนั่งริมทะเลชมคลื่นไปเรื่อยๆ แต่หากคุณรู้ว่า เมื่อไหร่ที่อยู่ดีๆ ชายทะเลกลับหดถอยลงไปอย่างรวดเร็ว แปลว่า กำลังจะเกิดสึนามิ คุณต้องรีบวิ่งหนีจากชายฝั่ง เอาตัวรอดให้เร็วที่สุด แบบนี้ เท่ากับคุณรู้จักธรรมชาติของคลื่น นับเป็นเรื่องดีใช่ไหมครับ อยากรู้จักมันหรือยัง?
คิดว่า น่าจะเป็นการเริ่มต้นที่ถูกนะครับ น่าจะเป็นสิ่งที่ควรรู้เป็นอันดับแรก แต่บางคน แค่เห็นก็เมาคลื่นซะแล้ว อย่าเพิ่งครับ นั่นเป็นเพราะคุณหาจุดเริ่มต้นมันไม่ถูก เมื่อคุณเริ่มไม่ถูก อาการเมาคลื่น ก็จะตามมา ผมแนะนำคร่าวๆว่า
Elliott Wave ประกอบด้วยลูกคลื่นในขาขึ้น 5 ลูก ( 1-2-3-4-5) และลูกคลื่นในขาลง 3 ลูก (a-b-c) ในช่วงขาขึ้นเราเรียกว่า Impulse ส่วนขาลงเราเรียกว่า Correction โดยหากเป็นช่วงตลาดหมี ขาลงก็จะกลับกัน คือลง 5 ลูก ขึ้น 3 ลูกแทน และในคลื่นนึง ก็จะประกอบด้วยคลื่นเล็กๆ เสมอ อย่างเช่น คลื่นขา 1 เป็นขาขึ้น จะคลื่นในตัวเป็นคลื่นย่อย 5 คลื่น ขณะที่คลื่น 2 จะเป็นคลื่นขาลง จะมีคลื่นย่อยในตัวเป็น 3 คลื่น

ไม่ลงรายละเอียดมาก นัก เพราะหนังสือที่ไหนก็มีให้อ่าน แต่จะบอกว่า สิ่งที่งงกันคือบางครั้ง มีการต่อคลื่น หรือเกิดคลื่นไม่ปกติขึ้นมา ทำให้นับกันไม่ถูก และอีกกรณีคือ ตราบเท่าที่คลื่นมันยังไม่จบ คุณไม่มีทางรู้ได้ว่า คุณนับถูกหรือไม่

อ้าว ไหงเป็นงั้น แล้วจะมีประโยชน์อะไร?
มี สิครับ อย่างน้อยที่สุด คุณจะตัดเส้นทางที่เป็นไปไม่ได้ออกไป เหลือทางที่มีโอกาสจะเป็นไปได้ และทางที่มีโอกาสเป็นไปได้มากที่สุด แค่นี้ ก็ดีกว่าไม่รู้แล้ว ใช่ไหม
นักลงทุนที่ไม่ต้องการเสี่ยง จะเลือกลงทุนเมื่อกราฟอยู่ที่คลื่น 3 เพราะกว่าจะมาถึงคลื่น 3 ราคามันจะยืนยันขา 1 หรือขา 2 มาก่อนแล้ว และนี่คือสาเหตุครับ ว่าทำไม คลื่น 3 ถึงได้พุ่งได้แรงสุด เพราะมันชัดที่สุดนั่นเอง

รู้จักทฤษฎีหลักๆที่กำหนดว่า คลื่นไหนเป็นคลื่นไหน

Fibonacci number
ขี้ เกียจพูดถึงที่มา เดี๋ยวยาว เอาเป็นว่าเป็นตัวเลขที่ช่วยในการวัดหรือกะระยะของคลื่นลูกต่อไปได้ ตัวเลขที่น่าสนใจ ได้แก่ 23.6% 38.2% 50% 61.8% 78.6% 100% 127.2% 161.8% 261.8% 423.6% โดยตัวเลขที่พบบ่อยๆว่ามีพลังหน่อย คือตัวเลขที่ผม ใช้สีแดงกำกับ

RSI คู่หูนับคลื่นแบบพลาดยาก
RSI เป็นสัญญาณยอดฮิต ที่แนะนำให้ศึกษาเลยครับ มันบอกถึงพละกำลังกระทิงหรือหมีได้เป็นอย่างดี สิ่งที่จะบอก ผมเอง ไม่เคยเจอในหนังสือเล่มไหนครับ ทฤษฎีนี้ ตั้งแต่รู้มา ทำให้ผมนับคลื่นได้มั่นใจขึ้นมาก ต้องขอบคุณ คุณลุงโฉลก แห่ง chaloke.com ผู้ถ่ายทอดเคล็ดวิชาสุดยอดแบบไม่มีหวงกัน ทฤษฎีไม่มีอะไรมาก หากมีความสับสน ให้ดูยอดคลื่นที่สูงที่สุดของ RSI เทียบกับยอดคลื่นราคาครับ ยอดคลื่น RSI ที่สูง จะตรงกับคลื่น 3 และคลื่น b เสมอ แค่นี้ ใครที่เคยนับคลื่นไม่ถูก ก็ลองใช้ช่วยนับใหม่ดูครับ ง่ายขึ้นเยอะ

ทฤษฎีอีเลียตเวฟมีหยุมหยิมค่อนข้างเยอะ ผมเอาหลักๆมาแนะนำเพื่อเป็น guide ก็พอนะครับ

คลื่นที่ 1 แค่เริ่มต้นก็ไม่ง่ายแล้ว
ไม่ มีใครกะได้ว่า จะจบตรงไหน เพราะเพิ่งเริ่มคลื่นใหม่ สิ่งที่เราทำได้ คือรอให้มันจบคลื่น 1 ก่อนครับ แต่อย่างน้อยที่สุด คลื่นย่อยในคลื่น 1 ควรจะประกอบด้วย 5 คลื่น ไม่ใช่ 3 คลื่น หากนับได้ 3 คลื่นเมื่อไหร่ ตีความได้ว่า
- การ correction ของคลื่นรอบที่ผ่านมา ยังไม่จบจริง คืออาจมีการ correction ต่อเป็น a-b-c-x-a-b-c หรือ a-b-c-d-e เป็นต้น
- คลื่นนั้นยังไม่จบ คือยังเหลือการขึ้นขา 5 อีกขา ก่อนลง correction ขา 2 อีกที
หาก คุณอ่านทฤษฎีในหนังสือ คงไม่ได้บอกคุณว่า ไอ้คลื่น 1 นี่อ่ะ มันก็ไม่ได้ระบุง่ายๆ เพราะมันเพิ่งต่อมาจากคลื่นปรับฐาน ทำให้ไม่รู้ว่า นี่มันคลื่น 1 หรือคลื่นปรับฐานต่อเนื่องกันแน่ เป็นเหตุให้ไม่ค่อยมีใครกล้าเข้าเล่นในคลื่น 1 นั่นเอง

คลื่น 2 จบเมื่อไหร่ ค่อยบอกคุณว่า ไอ้คลื่นลูกเมื่อกี๊น่ะ คลื่น 1 นะจ๊ะ
ถึง บอกว่า ไม่ค่อยมีใครเล่นคลื่น 1 เพราะมันมีโอกาสเป็นคลื่น correction ที่จะพาคุณชมดอยเต่าได้แบบไม่ต้องตีตั๋ว ตามทฤษฎีดูเหมือนง่าย มันบอกว่า คลื่น 2 จะไม่ต่ำกว่าคลื่น 1 หากคุณมั่นใจเข้าซื้อ เพราะคิดว่า นั่นคือคลื่น 2 ไม่มีทางหล่นต่ำกว่าคลื่น 1 หรอก ขอให้คิดใหม่ครับ เพราะเมื่อไหร่ที่ราคามันหลุดลงต่ำกว่าฐานคลื่น 1 มันก็เปลี่ยนสถานะตัวเองจากว่าที่คลื่น 2 เป็นคลื่น c ขาลงต่อเลย แสบมั๊ย
ปกติ เมื่อจบคลื่น 2 เราก็จะใช้ก้นคลื่น 2 ในการกะเป้าหมายคลื่น 3 ได้ต่อครับ ตามหลัก คลื่น 2 ของทองคำ มักจบแถว 61.8% หรือ 78.6% โดยหากเด้งขึ้นจากเส้นแถวนี้ได้แรงๆ ผ่านยอดคลื่น 1 มาได้ เราก็คาดได้ว่า นั่นน่าจะเป็นขา 2 และกำลังขึ้นคลื่น 3 ที่เราตั้งตารอกัน

คลื่น 3 คลื่นสุด hot

ใครๆ ก็รอขา 3 เพราะขา 3 มักจะยาวและทำกำไรได้มาก และความเสี่ยงต่ำที่สุด แต่กว่าจะรู้ว่าเป็นขา 3 บางทีมันก็เดินทางมาครึ่งทางแล้วครับ เพราะอะไร ก็ลองย้อนไปดูคลื่น 2 สิ
ตัวคลื่น 3 เอง ก็ประกอบด้วยคลื่นย่อยในตัว 5 คลื่น กว่าเราจะเห็นชัดๆว่า นี่คือคลื่น 3 ก็ต่อเมื่อเราจบคลื่น 2 ของ 3 และกำลังเข้าคลื่นย่อยขา 3 ของคลื่นหลักขา 3 แล้ว ถึงตรงนี้ ปกติผมจะไม่ลังเลในการบอกให้ซื้อครับ เพราะมันยังไปได้อีกอย่างน้อยก็ 60% ของขาล่างสุด เช่นขึ้นมาแล้ว 50 เหรียญ ก็เป็นไปได้ว่า มีโอกาสขึ้นอีกอย่างน้อย 30 เหรียญ ดีกว่าไม่ได้ ใช่ไหมครับ
ทฤษฎีมีว่า ขา 3 มีโอกาสขึ้นมาได้อย่างน้อย 161.8% เมื่อวัดจากยอดขา 1 ถึง ขา 2 และหากแรงๆ ก็จะไป 261.8% หรือกระทั่ง 423.6% ก็ได้ แถมตามด้วยคลื่น 5 ที่สามารถลุ้นเสี่ยงทำกำไรเพิ่มได้

คลื่น 4 คลื่นคืนกำไร
คลื่น 4 ลุงโฉลกให้นิยามว่า เป็นคลื่นคืนกำไร และไม่ค่อยแนะนำให้เล่น เพราะคาดการณ์ยากครับ ตามทฤษฎีบอกว่า ขา 4 จะลงไม่ถึงขา 1 แต่บางครั้งโดยเฉพาะในราคาทองคำตอนปลายๆทาง มันก็แล๊บลงมาต่ำกว่าขา 1 นิดหน่อยเหมือนกัน เรียกว่า เกิดความไม่ปกติขึ้น และจะเกิดเมื่อคลื่น 3 ไม่มีแรงขึ้น คือผิดปกติด้วย ว่างั้น และหากหลุดรูดลงมาเลย มันก็จะเปลี่ยนสถานะตัวเอง จากคลื่น 4 เป็นคลื่น a ครับ แล้วก็ต้องนับขากันใหม่ เพราะราคาไปไม่ถึงดวงดาวเสียแล้ว
มีความสัมพันธ์ ระหว่างขา 2 กับขา 4 ที่มีความเป็นไปได้อยู่อย่างนึงครับ คือหาก ขา 2 มีความซับซ้อน คือไม่ลง a-b-c แล้วจบเลย แต่อาจเล่น sideway ยาวออกมา ในขา 4 มักจะไม่เกิดความซับซ้อนเหมือนขา 2 ครับ และในทางกลับกันก็เช่นกัน เราใช้ความสัมพันธ์นี้ มาช่วยเดาคลื่นครับ ว่าขา 4 น่ะ จะจบขึ้นขา 5 เลยมั๊ย หรืออาจมีต่อ ประมาณนั้น

คลื่น 5 คลื่นสำหรับคนกล้า

เพราะ เป็นคลื่นที่ไม่มีความแน่นอน พร้อมที่จะล้มเหลวเมื่อไหร่ก็ได้ จึงเป็นคลื่นที่ไม่มีแรง คลื่นสำหรับคนตกขบวนคลื่น 3 ทดลองเข้ามาเสี่ยงทำกำไรอีกเล็กน้อย ก่อนการปรับฐาน
แต่มีข้อยกเว้นครับ ตามทฤษฎี ขา 3 ต้องไม่ใช่คลื่นที่สั้นที่สุด และควรจะยาวครับ หากไม่ยาว คือมีขนาดพอๆกับขา 1 คลื่น 5 มักจะเป็น extended wave 5 หรือมีการต่อคลื่น คือขึ้นคลื่นชุดย่อย(แต่ ใหญ่) ขยายความยาวคลื่น 5 ออกไปอีก

คลื่น a คลื่นปรับฐาน - สึนามิลูกแรก
เป็น คลื่นแรกของการปรับฐาน ที่อาจรุนแรงรวดเดียว หรือเพียงเบาะๆให้ตั้งตัวกันทันก็ได้ คลื่น a กับ คลื่น c เป็นคลื่นขาลงเหมือนกัน แต่ปกติหากมีคลื่นอันใดอันหนึ่งที่ยาว อีกอันก็จะสั้นๆครับ ในทองคำ การปรับฐานใหญ่ มักรุนแรงที่ขา a เรียกว่า เป็นสึนามิได้เลย ขณะที่ขา c อาจ sideway หรือสั้นๆมากกว่า

คลื่น b คลื่นถอนตัว VS คลื่นมวยประกอบรายการ

จบ คลื่น a ราคามักจะดีดกลับขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะบางคนก็เชื่อว่า การปรับฐานจบแล้ว บางคนก็เชื่อว่า ไอ้ที่ผ่านมา คงเป็นแค่คลื่น 3 ขอเล่นคลื่น 5 ต่อ และอีกพวก คือพวกชอบเล่นกับไฟ รู้ว่าเป็นคลื่น b แต่ก็เล่น เพราะจริงๆ ก็ยังสามารถทำกำไรได้
คุณสมบัติของคลื่น b ต้องดูสัญญาณประกอบครับ โดยเฉพาะ stoch กับ RSI มักขึ้นมาเร็วมาก ราคาอาจสูงกว่าหรือต่ำกว่าคลื่น 5 ก็ได้ ขอให้ดูสัญญาณเป็นสำคัญครับ และรีบถอนตัวเมื่อยอดสัญญาณเลยยอดสัญญาณของคลื่น 5

คลื่น c คลื่นปรับฐาน สึนามิลูกสุดท้าย
การ correction หรือการปรับฐาน จะจบด้วยขา c โดยขา c มักจบที่ 78.6% เมื่อวัดจากยอดคลื่น 5 ถึงฐานของคลื่น 1 หากลึกกว่านั้น แปลว่าตลาดอาจกลับสภาวะจากกระทิงเป็นหมีไปแล้วก็ได้ โดยด่านสุดท้าย ก็คือฐานคลื่น 1 นั่นแหละ

และวัฏจักรคลื่น ก็จะวนขึ้นขา 1 ใหม่อีกครั้ง เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ครับ

ครบ 5 คลื่นแล้ว หวังว่า คงยังไม่หมดแรงซะก่อนนะครับ บทต่อไปมาว่ากันต่อเรื่องวิธีดูเครื่องมือ หรือสัญญาณต่างๆ ที่ต้องใช้

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/4-elliott-wave/?/

ทฤษฎี Elliott Wave


ย้อนกลับไปในปี 1920-30s มีอัจฉริยะด้านการบัญชีคนหนึ่งชื่อ
Ralph Nelson Elliott (ราฟ เนลสัน เอลเลียต)
ได้ ทำการวิเคราะห์วิจัยตลาดหุ้นอย่างใกล้ชิด กับข้อมูลบน 75 ปี ของ ตลาดหุ้น เขาพบว่า ตลาดหุ้นนั้น มีพฤติกรรมที่การเคลื่อนไหวของราคาที่ไร้รูปแบบ
ซึ่งปกติไม่ได้เป็นแบบนั้น

เมื่ออายุ 66 ปี เขาได้หลักฐานสุดท้ายที่ทำให้มั่นใจในการค้นพบของเขา เข้าตีพิมพ์ทฤษฎีลงหนังสือ
ชื่อThe Wave Principle.
เขา บอกว่า ตลาดนั้นมีการเทรดเป็นลักษณะวงจรที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ กัน ซึ่งสาเหตุนั้นมาจาก อารมณ์ของนักลงทุน ที่ส่งผลมาจากปัจจัยต่าง ๆ กัน เช่น (ข่าวใน CNBC Bloomberg, ESPN) หรือ ข่าวที่มีผลต่อจิตวิทยา ของนักลงทุน เวลานั้น ๆ
อธิบายว่า การสวิงขึ้นลงของทิศทางราคา สาเหตุนั้นเกิดจากพฤติกรรมทางจิตวิทยา ซึ่งแสดงออกมาในรูปแบบเดิม ๆ ซ้ำ ๆ เสมอ ๆ
เขาเรียกการสวิงขึ้นลงของราคาในลักษณะนี้ว่า คลื่น หรือ Waves
เขา เชื่อว่า ถ้าเราสามารถวิเคราะห์ได้อย่างถูกต้องเกี่ยวกับพฤติกรรมราคาที่เกิดซ้ำ ๆ ได้ ก็จะสามารถทำนาย ทิศทางราคาได้ ว่ามันจะไปทางไหน (หรือว่าไม่เคลื่อนไหว) ต่อไป

สิ่งนี้ทำให้ Elliott waves นั้นเป็นที่นิยมในหมู่นักเทรด มันทำให้พวกเขาสามารถวิเคราะห์ราคา ว่าจะไป ทิศทางไหน หรือ กลับตัวที่จุดไหน หรือถ้าจะให้พูดอีกอย่าง

Elliot Wave ทำให้นักเทรดสามารถจับรูปแบบการเกิด Top จุดสูงสุด กับ Bottom จุดต่าสุดได้
ดังนั้น ท่ามกลางความวุ่นวายของทิศทางราคา Elliott สามารถค้นพบการจัดเรียงตัวของมัน

เหมือนอัจฉริยะคนอื่น ๆ เขาต้องเป็นเจ้าของการค้นพบนี้
ดังนั้น จึงมีชื่อทฤษฎีของเขาว่า The Elliott Wave Theory.

ก่อนที่เราจะเจาะลึกตัว Elliott waves ต้องเข้าใจเป็นอันดับแรกก่อนว่า มันคือ Fractals
โดย ทั่วไปแล้ว Fractal เป็นโครงสร้างแบบหนึ่งที่สามารถแบ่งออกเป็นส่วน ๆ ได้ ซึ่งส่วนต่าง ๆ เหล่านั้น ที่ถูกแยกออกมา จะมีลักษณะความคล้ายคลึงกัน นักคณิตศาสตร์จะเรียกปรากฏการณ์ นี้ว่า "ความเหมือนในตัวมันเอง" หรือ Self similarity คุณไม่ต้องไปหาตัวอย่างของเรื่อง Fractal นี้ที่ไหนไกล เพราะตัวอย่างของมัน เราสามารถหาได้ตามธรรมชาติมากมาย อยู่แล้ว


 เปลือกหอยทะเล ก็เป็นตัวอย่างของ Fractal แบบหนึ่ง เกล็ดหิมะก็เป็น Fractal และรวมทั้งเมฆ และสายฟ้าก็เป็น Fractal ด้วยเช่นกัน

Fractal สาคัญ อย่างไร?
สิ่ง สาคัญอย่างหนึ่งของลักษณะของ Elliot Wave คือมันเป็น Fractal ซึ่งมีลักษณะเดียวกันกับ เปลือกหอยทะเล และเกล็ดหิมะ Elliot Wave จะแบ่งย่อย ๆ ได้เป็นกลุ่มคลื่นเล็ก ๆ ได้อีกมากมาย

Mr. Elliott กล่าวว่า ตลาดและการเคลื่อนไหวของทิศทางราคาในตลาดนั้น เคลื่อนไหวในรูปแบบที่เขาเรียกว่า 5 -3
รูปแบบคลื่น 5 คลื่นแรก เรียกว่า Impulse waves
รูปแบบคลื่น 3 คลื่น เรียกว่า Corrective waves
เวฟรูปแบบนี้ เวฟที่ 1 3 5 เป็นรูปแบบ Motive หมายถึง จะไปในทิศทางเดียวกับเทรนด์หลัก ขณะที่เวฟ 2 4 เป็น Corrective

อย่าสับสนกับเวฟ 2 และ 4 มาปนกับรูปแบบ Corrective ABC (อยู่ในเรื่องต่อไป)

รูปแบบ 5 คลื่นแบบ Impulse

หรือ

 กำหนดสีให้ เพื่อมีการนับคลื่นง่ายขึ้น ทำความเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นในแต่ละเวฟ

จะ ใช้หุ้นเป็นตัวอย่าง เพราะ หุ้นเป็นกรณีศึกษาของ Elliott แต่ไม่สาคัญ เพราะมันใช้ได้ทั้ง ค่าเงิน อนุพันธ์ ทอง สิ่งสำคัญคือ ทฤษฎี Elliot Wave สามารถประยุกต์ในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราได้

คลื่นที่ 1
ราคาหุ้น พุ่งขึ้น เป็นเพราะ มีคนกลุ่มเล็ก ๆ ในตลาด (ด้วยหลาย ๆ เหตุผล ทั้งจินตนาการ หรือการคิดแบบมีเหตุผล ของพวกเขา) พวกเขาคิดว่าราคาหุ้นนั้นถูก และเป็นเวลาเหมาะที่จะซื้อ ทำให้ราคาขึ้น

คลื่นที่ 2
จุด นี้ เป็นจุดที่ผู้คนส่วนหนึ่งที่ถือหุ้นมาก่อน แล้วคิดว่าหุ้นได้แพงเกินมูลค่าของมันแล้ว พวกเขาจึงขายทำกำไร ออกมา ทำให้ราคาหุ้นลง อย่างไรก็ตาม ราคาจะไม่ต่ากว่าราคา Low เดิม (ราคาต่ำสุดครั้งก่อนหน้า) ก่อนที่จะมี การเคลื่อนไหวในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง ต่อไป

คลื่นที่ 3
เป็นคลื่นที่แรงที่สุด ในบรรดาคลื่นเหล่านี้ หุ้นขึ้นมาจาก คนส่วนใหญ่ที่เข้ามาร่วมกันซื้อ ผู้คนสนใจหุ้นตัวนี้มากขึ้น และอยากจะซื้อมัน ทำให้ราคาพุ่งสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ซึ่งจะทะลุราคาสูงสุดของคลื่นที่ 1 ก่อนหน้านี้ไป

คลื่นที่ 4
เท รดเดอร์เริ่มขายทำกำไร เพราะพวกเขาคิดว่าราคาหุ้นแพงไปแล้ว แต่ว่าคลื่นนี้ก็ไม่ค่อยมีแรงขายมากเท่าไร เพราะยังมีคนเข้ามาในตลาดเพิ่มขึ้น และยังคิดว่าหุ้นตัวนี้ยังอยู่ในขาขึ้น และอยากจะซื้อในราคาที่มันปรับฐานลงมา

คลื่นที่ 5
เป็นจุดที่คน ส่วนใหญ่เข้าสู่ตลาด หุ้นซึ่งมาจากอารมณ์ของพวกเขาล้วน ๆ เพราะคุณเห็น CEO ของบริษัทออกมาพูด ในหน้าต่าง ๆ ของนิตยสารดัง ๆ ในฐานะบุคคลแห่งปี เทรดเดอร์และนักลงทุนเริ่มหาเหตุผล มาซื้อหุ้นตัวนี้ และ พยายามทำให้คุณตกใจกับราคาที่พุ่งไป ถ้าคุณคิดว่าหุ้นตัวนี้แพงมากแล้ว
ซึ่ง เหตุการเหล่านี้เกิดขึ้นเมื่อ ราคาหุ้นเริ่มที่จะมีมูลค่าสูงเกินจริง ซึ่งพวกที่เล่น Short ก็จะเริ่มเข้ามา Sell ในตลาด เมื่อหุ้นเริ่มเข้าสู่ภาวะ ABC

คลื่นขยาย Impulse Waves
สิ่ง หนึ่งที่ต้องรู้ เกี่ยวกับทฤษฎี Elliot Wave คือ คลื่นแบบ Impulse 3 คลื่น (1 3 5) ซึ่งจะมีคลื่นตัวใดตัวหนึ่ง ยาวกว่าอีกสองคลื่นเสมอ

เริ่มจาก คลื่นที่ 1 แล้วคลื่นที่ 3 จะยาวกว่าคลื่นที่หนึ่ง และคลื่นที่ 5 ตามระดับความยาวของแรงคลื่น

ตาม ที่ Elliott กล่าวไว้คลื่นที่ 5 จะเป็นคลื่นขยายเข้ามาตอนท้าย แต่เมื่อเวลาผ่านไป ก่อนคลื่นที่ 5 เปลี่ยนไป เพราะว่าทุกคนเริ่มใช้คลื่นที่สาม มาเป็นคลื่นขยายเข้ามา

*คลื่นขยาย หมายถึง ตัวคลื่นที่มีความยาวกว่าคลื่นปกติ หรือได้ถูกขยายออกไป*
เท รนด์ของคลื่นทั้ง 5 จะถูกยืนยันจากการเกิดรูปแบบกลับตัว จากคลื่นสามคลื่น ที่ตรงข้ามกับเทรนด์ ตัวอักษรจะถูกใช้แทนการใช้ตัวเลขในการนับเทรนด์
ดูตัวอย่างของการนับคลื่นแบบ Corrective 3-wave pattern

ตลาดในภาวะกระทิง


ตลาดในภาวะหมี


ตาม ที่ Elliott กล่าวไว้ มีรูปแบบ Corrective Wave ABC อยู่ 21 รูปแบบ จากรูปแบบง่าย ๆ ไปจนถึง รูปแบบที่มี ความซับว้อน ไม่จำเป็นต้องจดจำรูปแบบทั้ง 21 ชนิดทั้งหมด เพราะสร้างขึ้นมาจากรูปแบบสามรูปแบบ ที่สามารถเข้าใจได้ง่าย

ดูรูปแบบสามรูปแบบ รูปแบบข้างล่าง ใช้กับเทรนด์ขาขึ้น แต่สามารถปรับใช้กับเทรนด์ขาลงได้เช่นเดียวกัน

รูปแบบ Zig-Zag


รูป แบบ Zig-zag เป็นรูปแบบกราฟทิศทางราคาที่มีความชันมาก ซึ่งไปในทิศทางตรงกันข้ามกับเทรนด์ คลื่น B ปกติ จะสั้น เมื่อเปรียบเทียบกับคลื่น A และคลื่น C ซึ่งรูปแบบ zig zag สามารถเกิดสองหรือสามครั้งใน Elliott wave Correction (มี zig zag สองถึงสามอันต่อกัน) และเหมือนคลื่นอื่น ๆ คลื่นแต่ละชนิดใน Zig Zag สามารถแตกย่อย เป็น 5 คลื่นได้อีกเหมือนกัน

รูปแบบราบ


รูป แบบราบ เป็นรูปแบบ Side way corrective wave ความราบของความยาวของคลื่นจะมีเท่า ๆ กัน ซึ่ง คลื่น B เป็นการกลับตัวของคลื่น A และ คลื่น C เป็นรูปแบบการกลับตัวของคลื่อน B อีกที เป็นไปได้ว่า คลื่น B อาจจะเลย จากจุดกำเนิดของคลื่น A ได้บ้างเล็กน้อย

รูปแบบสามเหลี่ยม


รูป แบบสามเหลี่ยม เป็นรูปแบบที่ราคาเป็นคลื่นเด้งขึ้นลง อยู่ในแนวเส้นรูปสามเหลี่ยม สามเหลี่ยมจะมี 5 คลื่น ที่อยู่ในรูปสามเหลี่ยม อาจจะเป็นแบบสามเหลี่ยมหดตัวลง หรือ กว้างขึ้น

คลื่น Elliott เป็น Fractal ซึ่งคลื่นแต่ละคลื่นจะมีคลื่นเล็ก ๆ แทรกอยู่


 คลื่น ที่ 1, 3, และ 5 จะมีคลื่นเล็ก ๆ แทรกอยู่ในคลื่นเหล่านี้ และคลื่นที่ 2 และคลื่นที่ 4 ก็มี 3 คลื่นเล็กๆ แทรกอยู่ในนั้น ด้วยเหมือนกัน
ต้องจำไว้เสมอว่า คลื่นแต่ละคลื่นจะประกอบด้วยคลื่นเล็ก ๆ อีก ซึ่งรูปแบบนี้จะมีความคล้ายตัวของมันเอง จนไม่มีที่สิ้นสุด!

 ให้ เราเข้าใจเรื่องนี้ง่าย สามารถบอกได้ว่า ทฤษฎี Elliott Wave เป็นการจัดลำดับจากคลื่นที่ใหญ่สุด ไปหาคลื่น ที่เล็กที่สุด ประกอบด้วย:

- Grand Supercycle
- Supercycle
- Cycle
- Primary
- Intermediate
- Minor
- Minutte
- Minuette
- Sub-Minuette

Grand Supercycle ได้มาจากคลื่น Supercycle ที่มาจากคลื่นแบบ Cycle ที่มาจากคลื่นแบบ Primary ที่มาจากคลื่นแบบ Intermediate ที่มาจากคลื่นแบบ Minor ที่มาจากคลื่นแบบ Minuette ที่็มาจากคลื่นแบบ Sub-Minuette

ทำให้ทฤษฎีที่ได้อธิบายให้ง่าย ดูว่าเราจะใช้ Elliott Wave ในกราฟจริง ได้อย่างไร


 อย่าง ที่เห็นคลื่นไม่ได้มีรูปร่าง แบบที่เราอธิบายไป ในกราฟจริง จะพบว่ามันยากที่จะกำหนดคลื่นด้วย แต่ว่า ยิ่งคุณ ฝึกมากเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งเข้าใจมัน ได้มากขึ้นเท่านั้น  อีกประการในที่นี้เราจะให้เคล็ดลับ และเพื่อให้ง่ายในการวิเคราะห์ลักษณะของคลื่น จะทำให้คุณเทรดโดยใช้คลื่น Elliotte ได้ดี มาโต้คลื่นกัน!


 คุณ คงจะคิดว่า การใช้ Elliot Wave ในการเทรด ขึ้นอยู่กับความสามารถที่จะวิเคราะห์ตัวคลื่นได้ ในการพัฒนาการมองคลื่นของเราว่า ตอนนี้ ตลาดอยู่ในคลื่นที่เท่าไหร่

คุณจะสามารถบอกได้ว่าคุณควรจะเทรดด้านไหน Buy หรือ Sell

 มี กฏสำคัญ 3 ข้อ ที่ห้ามแหกกฏ เพื่อการวิเคราะห์คลื่น ดังนั้นก่อนที่คุณจะเข้าเทรดแบบทฤษฎี Elliotte Wave คุณต้องจดบันทึกกฏต่อไปนี้ไว้

การวิเคราะห์คลื่นผิดจะทาให้เงินในบัญชีของเราหายไปอย่างมาก

กฏ 3 ข้อ ของทฤษฎี Elliott Wave Theory

- กฏข้อที่ 1 : คลื่นที่ 3 จะไม่มีทางสั้นกว่า คลื่นที่ 1 และ คลื่นที่ 5
- กฏข้อที่ 2 : คลื่นที่ 2 จะไม่ลงไปต่ากว่า จุดเริ่มต้น ของคลื่นที่ 1
- กฏข้อที่ 3 : คลื่นที่ 4 จะไม่สามารถลงไป จนถึงพื้นที่ของ คลื่นที่ 1 ได้

มีแนวทางที่จะช่วยให้คุณระบุลักษณะของคลื่น ได้อย่างถูกต้อง ซึ่งจะไม่เหมือนกับกฏทั้ง 3 ข้อ คือ

แนวทางสามารถยืดหยุ่นได้ ดังนี้ :

- ในทางกลับกัน บางครั้ง คลื่นที่ 5 จะไม่ลงไปต่ากว่าจุดสิ้นสุด ของคลื่นที่ 3 ซึ่งเรียกว่า การแบ่งเป็นส่วน ๆ
- คลื่นที่ 5 จะไม่ทะลุเส้นเทรนด์ไลน์ ที่ลากเฉียงมาจากจุดเริ่มต้นของคลื่นที่ 3 และจุดเริ่มต้นของคลื่นที่ 5
- คลื่นที่ 3 จะยาว คม และ ขยายออกไป
- คลื่นที่ 2 และ 4 จะหลุดออกจาก แนวเส้น Fibonacci


สิ่งที่รออยู่ คือ การใช้ทฤษฎีคลื่น Elliott ในการเทรด เราจะมาดูการประยุกต์ใช้ในการหา จุดเข้า จุดหยุดขาดทุน และจุดทำกำไร

เหตุการณ์ที่ 1 ในบางสถานการณ์ การไม่ต้องมีเหตุผลอาจจะดีกว่าก็เป็นได้ :
เช่น คุณต้องการเริ่มนับคลื่น จะเห็นว่าราคาเริ่มจะมีจุดต่ำสุด และเริ่มจะมีการเคลื่อนไหวขึ้น ใช้ความรู้ของคุณเรื่อง Elliot Wave คุณเริ่มนับตรงนี้ว่า เป็นคลื่นที่ 1 และจุดแนวรับเป็นคลื่นที่สอง


 ในการหาจุดเข้าที่ดี ต้องกลับไปดูกฏทั้ง 3 ข้อ และ แนวทางในการใช้ Elliott Wave มาประยุกต์ใช้ สิ่งที่จะต้องเจอคือ:

- กฏข้อที่ 2 คลื่นที่ 2 จะไม่ลงไปต่ากว่า จุดเริ่มต้น ของคลื่นที่ 1
- คลื่นที่ 2 และ คลื่นที่ 4 จะเคลื่อนไหวออกจากแนวเส้น Fibonacci

ดัง นั้น เราควรใช้ทักษะของ Elliot Wave ในการเทรด ถ้าคุณลองใส่ Fibonnacci ลงไปในกราฟของคุณ ถ้าราคา อยู่ที่แนว Fibonnacci และราคากำลังเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบ ๆ ระหว่างเส้น Fibonacci 50% ซึ่งหมายความว่า นี่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้น ของคลื่นที่ 3 เป็นสัญญาณซื้อที่แรงมาก สัญญาณหนึ่ง


ตั้งแต่ คุณได้เรียนรู้อะไรไปเยอะ จะเห็นว่าสิ่งหนึ่งที่สำคัญ คือ คุณจะต้องใส่ จุดหยุดขาดทุน เข้าไปด้วย ตามกฏ ข้อที่ 2 ที่บอกว่า คลื่นที่ 2 จะไม่ไปต่ำกว่า จุดเริ่มต้นของคลื่นลูกที่ 1 ดังนั้นคุณอาจจะตั้ง จุดหยุดขาดทุน (Stop loss) ไว้ให้ต่ำกว่าจุดต่ำสุดครั้งก่อนหน้า หรือ จุดเริ่มต้นของคลื่นที่ 1 อยู่นิดหน่อย ถ้าราคาลงไปเยอะกว่า 100 % ของคลื่นลูกที่ 1 นั่นหมายความว่า คุณนับคลื่นผิด มาดูว่าเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ ...


 การวิ เคราะห์ Elliott Wave ของคุณได้ผลเป็นอย่างดี และสามารถเข้าเทรนด์ใหญ่ ๆ ได้ ไม่ต้องห่วง เพราะเรา มีวิธีทำกำไร ที่คุณสามารถทำเงินได้อีกครั้ง

เหตุการณ์ที่ 2 ตอนนี้ จะให้คุณใช้ความรู้ที่คุณมี ในการวิเคราะห์ Elliot Wave แบบ corrective waves ในการหาจุดเข้า-ออก


คุณ ต้องเริ่มนับคลื่นตอนขาลง และสังเกตุว่า รูปแบบ ABC corrective กำลังเคลื่อนไหวเป็น Side way ซึ่งนี่เป็น รูปแบบราบ (Flat formation) หมายความว่า ราคาพึ่งจะเริ่มเป็นตัว Elliott Wave อีกครั้งเมือ ตัวคลื่น C จบลง


เชื่อ ในทักษะ ให้คุณส่งออร์เดอร์ Sell และจะได้ขี่เทรนด์ไปด้วยกัน ส่งออร์เดอร์หยุดขาดทุน ให้เหนือกว่า จุดเริ่มต้น ของคลื่นที่ 4 นิดหน่อย เผื่อว่าคุณจะนับคลื่นผิด


 เพราะ เราชอบตอนจบแบบ แฮปปี้ เอนดิ้ง การเทรดของคุณประสบความสำเร็จไปได้ด้วยดี และทำกำไรให้คุณได้หลายพันจุด ซึ่งเกิดขึ้นได้ไม่บ่อยนัก

คุณยังได้บทเรียนตอนนี้อีกว่า อย่าไปเล่นการพนัน แล้วใช้กำไรที่ได้ เพิ่มทุนเข้าไปให้บัญชีจะดีกว่า

- Elliott Waves เป็น fractals คลื่นแต่ละคลื่นสามารถแยกเป็นคลื่นย่อย ๆ ได้ ซึ่งเมื่อแบ่งออกมาแล้ว จะมีลักษณะ ความคล้ายกันของตัวมันเองอยู่ทุกคลื่น นักคณิตศาสตร์มักจะเรียกปรากฏการนี้ว่า ความคล้ายตัวของมันเอง หรือ "self-similarity"

- ตลาดที่เกิดเทรนด์ จะเคลื่อนไหวเป็นรูปแบบ คลื่น 5 - 3
- คลื่น 5 คลื่นแรก เรียกว่า Impulse wave.
- คลื่นใดคลื่นหนึ่ง ใน 3 คลื่นแบบ impulse (1, 3, หรือ 5) จะเป็นคลื่นขยาย ซึ่งปกติจะเป็นคลื่นที่ 3
- คลื่น 3 คลื่นหลัง เรียกว่า คลื่น corrective จะใช้ตัวอักษรแทนการเรียกเป็นเลข
- คลื่นที่ 1, 3 และ 5, จะมีคลื่นเล็ก ๆ แบบ impulse อยู่ในนั้น 5 คลื่น ขณะที่คลื่น 2 – 4 จะมีคลื่นเล็ก ๆ แบบ corrective อยู่ 3 คลื่นแทรกอยู่ในนั้น
- มีคลื่นแบบ corrective อยุ่ 21 ชนิด แต่ว่ามันมีพื้นฐานมาจากพื้นฐานของ 3 ชนิด ง่ายที่จะทำความเข้าใจ
- รูปแบบพื้นฐานของ Corrective เหล่านั้นคือ ซิกแซก (zig-zags), แบบราบ (flats), และ แบบสามเหลี่ยม (triangles)
- มีกฏสามข้อในการระบุคลื่น:
-- กฏข้อที่ 1 คลื่นที่ 3 จะไม่สั้นกว่า คลื่นที่ 1 และคลื่นที่ 5
-- กฏข้อที่ 2 คลื่นที่ 2 จะไม่ลงไปต่ำกว่าจุดเริ่มเกิด คลื่นที่ 1
-- กฏข้อที่ 3 คลื่นที่ 4 จะไม่ลงไปต่ำจนถึงพื้นที่ของ คลื่นที่ 1
-- ถ้าคุณมองดูให้ดี ๆ ตลาดนั้นเคลื่อนไหวเป็นแบบคลื่นจริง ๆ
-- เพราะว่าตลาดไม่ได้เคลื่อนไหวง่าย ๆ ตามที่เราได้อธิบาย แต่ว่ามันจะใช้เวลานานมากในการวิเคราะห์คลื่น ก่อนที่คุณจะเริ่มรู้สึกว่า คุณจะหาคลื่น Elliott ได้ง่าย ขอให้คุณขยันเข้าไว้และอย่ายอมแพ้!

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/elliott-wave/?/

รูปแบบราคา Harmonic

คุณ มีรูปแบบกราฟพื้นฐาน ในกล่องเครื่องมือ มาก พอสมควร ตอนนึ้ถึงเวลาที่จะเดินก้าวต่อไป และ หาเครื่องมือที่รุดหน้ากว่า เพื่อใช้ในการเทรด
ในบทนี้ จะเน้นไปที่รูปแบบพฤติกรรมราคาแบบฮาร์โมนิค ซึ่งอาจจะยากในการทำความเข้าใจ แต่เมื่อจับแนวทางถูก มันก็จะทำให้ คุณได้กำไร อย่างง่ายดาย ได้เหมือนกัน !
ประเด็นของการเล่นแบบนี้ ก็คือ ช่วยให้ระบุระดับต่าง ๆ ของเทรนด์ปัจจุบันได้ ซึ่งจริง ๆ แล้ว เราจะใช้เครื่องมือ อื่น ๆ ทีเรารู้มาด้วย ในบทนี้ เช่น แนวเส้นต่าง ๆ ของ Fibonacci และ Fibonacci extension! ถ้าเราเอามา ประยุกต์กับเครื่องมือเหล่านี้ ในการบอกรูปแบบราคา แบบ Harmonic ก็จะสามารถบอกได้ว่า บริเวณไหน ที่จะเป็นจุดที่เทรนด์จะหยุด หรือจะไปต่อ

ในบทเรียนนี้ เราจะพูดถึงเรื่อง รูปแบบราคาแบบฮาร์โมนิค ดังนี้ :
- รูปแบบ ABCD
- รูปแบบ Three-Drive
- รูปแบบ Gartley
- รูปแบบ Crab (ปู)
- รูปแบบ Bat (ค้างคาว)
- รูปแบบ Butterfly (ผีเสื้อ)

เมื่อ คุณเข้าใจแนวทางของมันแล้ว จะง่ายกว่าที่คิด เหมือนกับเลข 1-2-3 เราจะเริ่มจาก รูปแบบพื้น ๆ แบบ ABCD และรูปแบบ three-drive ก่อนที่เราจะไปที่รูปแบบ Gartley และ รูปแบบสัตว์ต่าง ๆ หลังจากที่ได้เรียนรู้ และเข้าใจ แล้ว เราจะศึกษาไปยังสิ่งที่คุณจะต้องใช้ กับรูปแบบเหล่านี้ ในการเทรด อย่างประสบ ความสำเร็จ สำหรับรูปแบบ ฮาร์โมนิคเหล่านี้ ประเด็นก็คือ ให้รอจนกว่าจะมีรูปแบบเกิดขึ้นก่อนที่คุณจะเทรด ไม่ว่าจะเป็นออร์เดอร์ Buy หรือ Sell แล้วคุณก็จะเข้าใจเอง ในสิ่งที่เรากำลังจะอธิบายให้คุณรู้ต่อไปนี้

รูปแบบ ABCD และ รูปแบบ Three-Drive.


เริ่ม บทนี้ด้วยรูปแบบราคา ฮาร์โมนิค ที่ง่ายที่สุดก่อน รูปแบบกราฟแบบ ABCD ในการจะกำหนดรูปแบบกราฟแบบนี้ ในโปรแกรม คุณจะต้องใช้สายตา และเครื่องมือ Fibonacci ทั้งกราฟรูปแบบกระทิง และรูปแบบหมี ในเวอร์ชั่นของ ABCD เส้น AB และเส้น CD จะถูกเรียกว่าขา ในขณะที่ เส้น BC จะเป็น Correction หรือ เส้นแนวรับ ถ้าคุณใช้ Fibonacci ที่ขาของเส้น AB เส้น BC ก็จะอยู่ที่ระดับ 0.618 และเส้น CD ก็จะอยู่ที่ระดับ 1.272 ใน Fibonacci extension ของเส้น BC
สิ่งที่ต้องทำคือ รอให้รูปแบบเหล่านี้เกิดขึ้นเสร็จแล้ว (ให้ถึงจุด D) ก่อนที่จะส่งออร์เดอร์ Buy หรือ Sell


 คุณต้องการความแม่นยำกับมัน มีกฏให้ใช้กับรูปแบบ ABCD
- ความยาวของเส้น AB ควรจะเท่ากับ ความยาวของเส้น CD
- เวลาที่ทำให้ราคา เคลื่อนไปจากจุด A ถึงจุด B ควรจะเท่ากับเวลาที่มันเคลื่อนจากจุด C ถึงจุด D


รูป แบบ Three-drive เหมือนกับรูปแบบ ABCD ยกเว้นมันมีสามขา (ซึ่งเราเรียกว่า Drive) และมีเส้น Correction หรือ แนวรับ จริง ๆ แล้ว รูปแบบ Three drive เป็นต้นกาเนิดของ Elliott Wave คุณจำเป็นต้องมีสายตา แหลมคม เครื่องมือ Fibonacci เป็นกุญแจในการถอดรหัสรูปแบบนี้


 ตาม ที่เห็นจากกราฟข้างบน จุด A ควรจะเป็นระดับ Fibonacci ที่ 61.8% ของ Drive 1 และ จุด B ควรจะเป็น ระดับ 0.618 ของ drive 2. และ Drive 2 ควรจะอยู่ที่ระดับ 1.272 ของ Correction A และ Drive 3 ควรจะอยู่ที่ระดับ 1.272 extension Fibonnacci ของ correction B

โดยทั่วไปแล้ว เมื่อรูปแบบ Three-drive เกิดขึ้นแล้ว คุณสามารถส่งออร์เดอร์ของคุณได้ทั้งออร์เดอร์ Buy และ ออร์เดอร์ Sell ซึ่งเมื่อราคาถึงจุด B คุณสามารถส่งออร์เดอร์ Buy หรือ Sell ที่ระดับ 1.272 extension ซึ่งคุณไม่ควรจะพลาด!

แต่ก่อนอื่น เราควรตรวจดูว่า ตรงตามกฏเหล่านี้หรือไม่:
- เวลาที่ไปจนถึงจุดสิ้นสุด ของ Drive 2 ควรจะเท่ากับ เวลาที่จบ Drive 3
- เวลาที่ไปถึงจุดสิ้นสุดของเส้นแนวรับ A ควรจะเท่ากับ จุดแนวรับ B

หมายเหตุ : คนที่ไม่เข้าใจว่า Extension คืออะไร ให้ไปดูเรื่อง Fibonnacci extension

รูปแบบ Gartley และ รูปแบบสัตว์ต่าง ๆ
มี นักเทรดอัจฉริยะคนหนึ่ง ชื่อว่า Harold McKinley Gartley เขาเป็นผู้บริการให้คำปรึกษาในการลงทุน ในตลาด หลักทรัพย์ ในช่วงกลางของยุค 1930 และมีลูกค้ามากมาย ซึ่งบริการของเขาเป็นการรวมเอาวิทยาศาสตร์ และ วิธีการทางสถิติ ในการวิเคราะห์พฤติกรรมของราคาตลาดหุ้น

ในที่สุด Gartley ก็สามารถแก้ปัญหาใหญ่ ๆ สองอย่างของนักเทรดได้ คือ ควรจะซื้ออะไร และเมื่อไหร่ ในไม่ช้า นักเทรดก็เข้าใจว่า รูปแบบนี้ก็สามารถประยุกต์ใช้กับตลาดอื่น ๆ ได้เช่นกัน ซึ่งหนังสือ โปรแกรมเทรด หรือ รูปแบบ การเทรดต่าง ๆ ก็อ้างทฤษฎี จากทฤษฎีของเขา

รูป แบบ Gartley "222" เป็นชื่อของเลขหน้า ที่พบในหนังสือของ Gartley ชื่อ Profits in the Stock Market. รูปแบบ Gartleys เป็นรูปแบบซึ่งรวมไปด้วยรูปแบบพื้นฐาน อย่าง ABCD ที่เราพูดไปก่อนหน้านี้แล้ว และ ให้ความสำคัญ ของจุดสูงสุด และจุดต่ำสุดของราคา


รูป แบบนี้จะเกิดขึ้นเมื่อเกิดรูปแบบ Correction ของเทรนด์ ซึ่งจะมีรูปร่างคล้าย ตัว M หรือตัว W ในภาวะตลาดหมี รูปแบบนี้ช่วยให้นักเทรด หาจุดเข้าที่ดี ในการเข้าเทรดในเทรนด์ต่าง ๆ ได้ดี
รูป แบบ Gartley จะเกิดขึ้นเมื่อพฤติกรรมราคา ในเทรนด์ขาขึ้น หรือขาลง แต่ ต้องมีรูปแบบสัญญาณ Correction ก่อน แล้วสิ่งที่ทำให้รูปแบบ Gartley ทำให้มันทำงานได้ดี เมื่อในการหาจุดเหล่านี้คือ Fibonacci และ Fibonacci extension จุดนี้ให้สัญญาณชัดเจนว่า ทิศทางราคา อาจจะเกิดการกลับตัว


รูป แบบนี้อาจจะยากซักหน่อย เพราะมันทำให้คุณสับสันเมื่อคุณใส่ เครื่องมือ Fibonacci ลงไป กุญแจสำคัญ ในการหลีกเลี่ยงไม่ให้มีความสับสน คือให้ทำทีละอย่าง แล้วค่อย ๆ วิเคราะห์ทีละขั้น

แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ ตาม รูปแบบต่อไปนี้จะเกิดขึ้นทั้งรูปแบบ ABCD ในภาวะตลาดหมี และตลาดกระทิงได้ทั้งคู่ แต่ว่าต้องมีจุด (x) มาก่อนจุด D ถึงจะสามารถวิเคราะห์รูปแบบ Gartley ได้

 โดยจะมีลักษณะดังนี้ :
1. เส้น AB ควรจะอยู่ที่ระดับ .618 ของเส้น XA.
2. เส้น BC ควรจะอยู่ที่ระดับ .382 หรือ .886 ที่ใดที่หนึ่งของเส้น AB.
3. ถ้าเส้น BC อยู่ที่ระดับ .382 ของเส้น AB ดังนั้นเส้น CD ควรจะอยู่ที่ระดับ 1.272 ของเส้น BC และถ้าเส้น BC อยู่ที่ระดับ .886 ของเส้น AB เส้น CD ก็ควรจะเลื่อนไปอยู่ที่ระดับ 1.618 ของเส้น BC ตามลาดับ
4. เส้น CD ควรจะอยู่ที่ .786 ของเส้น XA

รูปแบบ สัตว์ต่าง ๆ

เมื่อ เวลาผ่านไป รูปแบบ Gartley ได้รับความนิยมมากขึ้น และมาพร้อมกับรูปแบบของปัญหา หรือตัวแปร ที่แตกต่างกัน ด้วยเหตุผลบางอย่าง ผู้ค้นพบตัวแปรเหล่านี้ ได้ตั้งชื่อ เป็นชื่อของสัตว์แต่ละชนิด มีดังนี้ ...


 ใน ปี 2000, Scott Carney, คนที่เชื่อในรูปแบบราคาแบบ harmonic ค้นพบรูปแบบ "Crab" (ปู) เขาบอกว่า รูปแบบนี้เป็นรูปแบบที่แม่นยำที่สุด ในหมู่ของรูปแบบ Harmonic เพราะว่า เป็นจุดที่อาจจะเกิดจุดกลับเทรนด์ได้ (บางครั้งเรียกว่าเป็น จุดที่คุณจะหมดตัวได้)
รูปแบบนี้เป็นรูปแบบที่ High reward-to-risk (อัตรากำไรสูงกว่าขาดทุน) เพราะคุณสามารถตั้ง Stop loss ได้ไม่ต้องมากนัก


รูปแบบปูจะต้องมีลักษณะอย่างนี้ :
1. เส้น AB ควรจะอยู่ที่ระดับ .328 หรือ .618 ของเส้น XA
2. เส้น BC ควรจะอยู่ที่ .328 หรือไม่ก็ .886 ของเส้น AB
3. ถ้าเส้น BC ระดับ Fibonacci เท่ากับ .328 ของเส้น AB ดังนั้น เส้น CD ควรจะเท่ากับ 2.24 ของเส้น BC และ ถ้าเส้น BC อยู่ที่ระดับ .886 ของเส้น AB เส้น CD ก็ควรจะอยู่ที่ระดับ 3.618 extension ของเส้น BC
4. เส้น CD ควรจะอยู่ที่ระดับ 1.618 extension ของเส้น XA


 ใน ปี 2001 Scott Carney พบรูปแบบ Harmonic ขึ้นมาอีก เขาจึงเรียกมันว่า Bat หรือ ค้างคาว รูปแบบ Bat นี้จะอยู่ที่ระดับ .886 ของเส้น XA ซึ่งจะเป็นจุดที่คาดว่าจะเป็นจุดกลับตัวของทิศทางราคา

โดยรูปแบบ Bat จะมีลักษณะดังต่อไปนี้ :
1. เส้น AB ควรจะอยู่ที่ระดับ .382 หรือ .500 ของเส้น XA
2. เส้น BC ควรจะอยูที่ระดับ .382 หรือ .886 ของเส้น AB
3. ถ้าเส้น BC อยูที่ระดับ .382 ของ AB และเส้น CD อยู่ที่ 1.618 ของ extension ของเส้น BC และ BC อยู่ที่ .886 ของเส้น AB เส้น CD ควรจะอยู่ที่ 2.168 ของ Extension BC ตามลาดับ
4. เส้น CD ควรจะอยู่ที่ระดับ .886 ของเส้น XA



 รูป แบบ Butterfly (ผีเสื้อ) เปรียบรูปแบบนี้เหมือนกับ โมฮัมหมัด อาลี ถ้าคุณเห็นรูปแบบนี้ คุณก็อาจจะมีโอกาสน็อคคู่ต่อสู้ และได้รางวัลเป็น pip มากมาย!

รูปแบบนี้ค้นพบโดย Bryce Gilmore รูปแบบ Butterfly ที่สมบูรณ์แบบ คือ เส้น AB อยู่ทีระดับ .768 ของเส้น XA และ เส้น Butterfly จะมีลักษณะดังนี้:

1. เส้น AB ควรจะอยู่ที่ระดับ .786 ของเส้น XA
2. เส้น BC ควรจะอยู่ที่ระดับ .382 หรือ .886 ของเส้น AB
3. ถ้าเส้น BC อยู่ที่ระดับ .382 ของเส้น AB ดังนั้น เส้น CD ควรจะอยู่ที่ระดับ 1.618 ของ เส้น BC extension และถ้า เส้น BC อยู่ที่ .886 ของเส้น AB ดังนั้นเส้น CD ควรจะอยู่ที่ระดับ 2.168 ของเส้น BC extension
4. เส้น CD ควรจะอยู่ที่ระดับ 1.27 หรือ 1.618 ของเส้น XA extension

3 ขั้นตอนในการเทรดโดยใช้รูปแบบราคาแบบ Harmonic
สิ่ง ที่คุณได้รู้ จากบทความนี้ เราจะทำกำไรได้จากการเทรดแบบ ฮาร์โมนิค ได้ก็ต่อเมื่อ เราสามารถระบุ การเกิดรูปแบบอย่างสมบูรณ์แบบ และส่งออร์เดอร์เมื่อมันเกิดรูปแบบที่สมบูรณ์แล้ว

มีขั้นตอนพื้นฐาน 3 ขั้นตอน ในการระบุการเกิดของรูปแบบทิศทางราคาแบบ Harmonic
- ขั้นที่ 1 ระบุการเกิดรูปแบบ Harmonic
- ขั้นที่ 2 ประเมินรูปแบบ Harmonic ว่าอยู่ในระดับใด(Fibonacci)
- ขั้นที่ 3 ส่งออร์เดอร์ Buy หรือ sell หลังจากที่รูปแบบ Harmonic เกิดขึ้นโดยสมบูรณ์แล้ว

ตามขั้นตอนดังกล่าว คุณสามารถระบุการเกิดรูปแบบ Harmonic ที่มีความน่าจะเป็นสูง ในการทำกำไรได้

ขั้นที่ 1: ระบุการเกิดรูปแบบ Harmonic

 ดู เหมือนรูปแบบ Harmonic ขึ้นมาบ้างรึไม่ และ ณ จุดนี้ เราไม่แน่ใจว่ามันเป็นรูปแบบอะไร มันเหมือนรูปแบบ three drive แต่ว่าอาจจะเป็นรูปแบบ Bat หรือ Crab อีกก็เป็นได้ หรือ อาจจะเป็นกวางมูส ก็ได้

เรามาหาจุดกลับตัว

ขั้นที่ 2: ประเมินรูปแบบ Harmonic ว่าอยู่ในระดับใด (Fibonacci) ใช้เครื่องมือ Fibonacci

1. เส้น BC อยู่ที่ระดับ .618 ของเส้น AB
2. เส้น CD อยู่ที่ระดับ 1.272 extension ของเส้น BC
3. ความยาวของเส้น AB จะมีความยาวใกล้เคียงกับความยาวของเส้น CD

รูปแบบนี้ จะทำให้เกิดรูปแบบ ตลาดกระทิง ABCD ซึ่งเป็นสัญญาณให้เราซื้อ

ขั้นที่ 3: ส่งออร์เดอร์ Buy หรือ sell หลังจากที่รูปแบบ Harmonic เกิดขึ้นโดยสมบูรณ์แล้ว


 หลังจากที่ เกิดรูปแบบราคาแล้ว สิ่งที่จะต้องทำ คือ ส่งออร์เดอร์ให้ถูกทาง ไม่ว่าจะเป็น Buy หรือ Sell
ใน กรณีนี้ ควรจะซื้อที่จุด D ซึ่งอยู่ที่ 1.272 ของเส้น Fibonacci extension ของเส้น CB และใส่ stop loss ให้ต่ำกว่าราคาที่ส่งออร์เดอร์เล็กน้อย

ง่ายไปหน่อยไหม ? ไม่อย่างนั้นเสมอไป

ปัญหา ของรูปแบบ Harmonic คือ ยากที่จะระบุจุดที่มันเกิดได้ ยากที่จะระบุประเภทของมันได้ นอกจากคุณ จะเข้าใจขั้นตอนในการวิเคราะห์ต่าง ๆ และ ต้องมีสายตาเฉียบคม ในการระบุการเกิดรูปแบบฮาร์โมนิค และต้องอดทน เพื่อไม่ให้ตัวเองเขาไปในช่วงที่รูปแบบ Harmonic จะเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์แล้ว

ทิศทางราคารูปแบบ Harmonic ทำให้เราบอกได้ว่า จุดไหนที่เทรนด์จะไปต่อ หรือจะเกิดจุดกลับตัว

รูปแบบทิศทางราคาแบบ Harmonic มี 6 แบบ :
- รูปแบบ ABCD
- รูปแบบ Three-Drive
- รูปแบบ Gartley
- รูปแบบ Crab (ปู)
- รูปแบบ Bat (ค้างคาว)
- รูปแบบ Butterfly (ผีเสื้อ)

ขั้นตอนพื้นฐาน ในการระบุการเกิดรูปแบบทิศทางราคาแบบ Harmonic มีดังนี้
- ขั้นที่ 1: ระบุการเกิดรูปแบบ Harmonic
- ขั้นที่ 2: ประเมินรูปแบบ Harmonic ว่าอยู่ในระดับใด(Fibonacci)
- ขั้นที่ 3: ส่งออร์เดอร์ Buy หรือ sell หลังจากที่รูปแบบ Harmonic เกิดขึ้นโดยสมบูรณ์แล้ว

รูป แบบ Harmonic จะมีความสมบูรณ์แบบเพียงใด มันยากในการระบุ สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าขั้นตอนพื้นฐานเหล่านี้ คือ คุณต้องมีสายตาที่เฉียบคม ในการระบุการเกิดรูปแบบ Harmonic และมีความอดทน ในการที่จะไม่เข้าตลาด ก่อนที่รูปแบบHarmonic จะเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์แล้ว

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/harmonic/?/

Introduction of Technical Analysis article

Introduction of Technical Analysis
การวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็น หลักการวิเคราะห์ที่ใช้เหตุและผลผ่านตัวเลขทางคณิตศาสตร์ สถิติ  การวิเคราห์เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ จนเป็นความน่าจะเป็นหรือทฤษฎีแนวโน้ม ดังนั้นผู้ที่จะเรียนรู้การวิเคราะห์ทางเทคนิคนั้น ต้องเป็นคนที่ช่างสังเกต และจดจำปรากฎการณ์ต่างๆ จนเป็นรูปแบบซ้ำๆ หรือที่เรียกว่า “Pattern” ซึ่งอาจจะต้องเรียนรู้จิตวิทยาของคน ว่าคนส่วนใหญ่คิดอย่างไร และคนส่วนน้อยคิดอย่างไร โดยหากสามารถคาดการณ์ว่า กลุ่มคนที่มีอิทธิพลต่อตลาดนั้นคิดอย่างไร เราก็สามารถเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเกมแห่งการเก็งกำไรได้  นอกจากนี้รูปแบบ การวิเคราะห์ทางเทคนิคส่วนหนึ่งอาจจะต้องใช้เครื่องมือคำนวนทางคณิตศาสตร์ ที่สามารถแปรข้อมูลในอดีตเพื่อบ่งบอกข้อมูลในอนาคต หรือที่เรียกว่า “Indicator” โดยการคำนวนจากการเปลี่ยนแปลงของราคา และปริมาณในการซื้อขาย ในระยะคาบเวลาที่แตกต่างกัน ซึ่งเมื่อใช้สูตรคำนวนแล้วจะสามารถบอกได้ถึง ความต้องการของอุปสงค์ และอุปทาน (Demand & Supply) ว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร  มีมากหรือน้อยเกินไปเท่าใด ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจถึงปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ซื้อมากเกินไป (Over Bought) หรือขายมากเกินไป (Over Sold)  ทั้งนี้เพื่อให้เข้าใจถึงจังหวะหรือช่วงเวลาที่ควรเข้าไปทำการซื้อ หรือขายเพื่อทำกำไร หรือหยุดขาดทุน

What’s type of investor who’s can do technical chart
นัก ลงทุนหลายท่าน อาจจะสับสนกับตัวเองว่าการวิเคราะห์แบบใด น่าจะดีที่สุด บางท่านก็เชื่อในการวิเคราะห์ทางพื้นฐาน และบางท่านก็เชื่อในการวิเคราะห์ทางเทคนิค ซึ่งคำตอบของแต่ละอันก็ล้วนมีเหตุผลที่น่าเชือถือด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อเรื่องมูลค่าที่แท้จริง (Intrinsic Value) ว่าสิ่งใดก็ตามหากสิ่งนั้นมีค่าแล้วแต่ยังไม่มีคนเห็น แต่เมื่อเราซื้อได้ก่อนที่ราคาถูกกว่าหรือในราคาที่เหมาะสม แล้ววันหนึ่งหุ้นหรือสินค้าตัวนั้นจะกลับมาสู่มูลค่าที่แท้จริงเสมอ แต่หลักการนี้ มิได้บอกว่าเมือ่ไหร่ ดังนั้นการวิเคราะห์ทางเทคนิค จะมองเรื่องของความต้องการ ของสินค้านั้นในช่วงเวลาต่างๆ เพื่อที่จะส่ามารถคาดการณ์ว่า ณ ช่วงเวลาใด ควรที่จะซื้อหรือขายสินค้านั้น เพื่อได้ประโยชน์สูงสุด บนข่วงเวลาที่นักลงทุนนั้นๆ กำหนดไม่ว่าจะเป็นระยะสั้น หรือระยะยาวนานเพียงใด

ดังนั้นไม่ว่าจะหา คำตอบอย่างไร ก็คงมีเหตุผลที่ดีทั้งสองฝ่าย ด้วยเหตุนี้ต้วท่านต่างหากที่จะเป็นคนหาคำตอบ โดยท่านควรที่จะรู้ว่าตัวเองเป็นนักลงทุนประเภทใด ซึ่งหากเปรียบเทียบการลงทุน นั้นเปรียบเสมือนการทำธุรกิจอย่างหนี่งที่ท่านจะต้องลงทุน ท่านจะต้องทำความเข้าใจถึงธุรกิจนั้นๆก่อน ว่าเป็นธุรกิจประเภทใด ซึ่งท่านมีความถนัด ความรู้ ความเข้าใจ ความชอบ และรักธุรกิจนั้นมากน้อยขนาดใด ซึ่งอยู่บนฐานของเงินลงทุน และระยะเวลาที่ท่านต้องการคืนทุน หรือสภาพคล่องในระหว่างดำเนินการ
ซึงหากจะเปรียบเป็นการแบ่งประเภทสินค้าที่ใช้ในการดำเนินธุรกิจนั้น อาจแบ่งได้ 3ประเภท

1. Fashion Product  สินค้า ที่ใช้ตามยุคสมัยในช่วงระยะเวลาหนึ่ง หรือตามแฟชั่น ซึ่งสินค้านี้อาจจะมีความต้องการสูงสามารถซื้อหรือขายได้ง่าย สามารถสร้างกำไร ได้อย่างรวดเร็ว แต่ส่วนต่างทางการทำกำไรอาจไม่มากนัก แต่ข้อเสียคือหากซื้อมา แล้วขายไม่หมดในช่วงเวลาที่ตลาดต้องการ สินค้านั้น มีโอกาสหมดอายุและมูลค่าอาจจะลดลงอย่างรวดเร็ว หรือไม่เหลือมูลค่าหากความต้องการหมดไปดั่งเช่น สินค้าไฮเทค หรือ เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า

2. Utility Product สินค้านี้มีความต้องการ อยู่ในตลาดอย่างสม่ำเสมอ หรือเปรียบเหมือนสินค้าอุปโภคบริโภค ที่มีการซื้อและขายอยู่ทั่วไป ไม่ค่อยจะมีการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้านั้นอย่างรุนแรง ซึ่งการซื้อขายสินค้าประเภทนี้ อาจจะมีส่วนต่างๆทางกำไรอยู่ไม่มากนัก แต่มีความผันผวนของราคาต่ำๆ และสามารถซื้อตุนสินค้าต่อคราวได้เป็นจำนวนมาก ซึ่งสินค้าเหล่านี้ คือ ผลิตภัณฑ์ของใช้ในบ้าน หรือสินค้าทั่วไปที่มีใน Convenience Store

3. Unique Product สินค้าประเภทนี้ผู้ทำ การซื้อขาย ต้องมีความเข้าใจในสินค้านั้นเป็นอย่างดี มีความรู้ความเข้าใจ ความรักในสินค้านี้ โดยที่ไม่สามารถคาดหวังได้ว่าสินค้านี้ จะสามารถขายได้เท่าไหร่ หรือเมื่อใด ซึ่งอาจจะต้องรอจนกว่าจะได้ผลตอบแทนที่พึงพอใจจึงจะยอมขาย  ดังนั้นสินค้า ประเภทนี้จึงไม่ค่อยมีการเปลี่ยนมือได้ง่ายนัก แต่จะมีโอกาสขายได้ง่ายเมื่อวันหนึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดหรือจากแฟชั่น หรือเมื่อมีคนเห็นว่าสินค้านั้นดี และมีมูลค่าอย่างมากในอนาคต  ซึ่งผู้ขายสามารถเรียกราคา และได้กำไรจากสินค้าประเภทนี้ในส่วนต่างของกำไรที่มากกว่าสินค้าประเภทอื่น แต่อาจต้องอาศัยระยะเวลา และความรู้ความเข้าใจสินค้านั้นอย่างแท้จริง เปรียบเสมือนสินค้านี้ คือของสะสม ของหายาก ดังเช่น แสตมป์ รูปภาพ พระเครื่อง หรืออัญมณี

ซึ่งหากแบ่งประเภทธุรกิจให้เห็นดังนี้แล้วเรา ก็สามารถจัดตัวเองได้ว่าเป็นนักลงทุนประเภทใด และควรมีสินค้าประเภทไหน อยู่ในร้านค้าของตัวเอง โดยจะเห็นว่า

Fashion Product สินค้า แฟชั่น นั้น ผู้ลงทุนจะต้องอาศัยการคาดการณ์ความต้องการของตลาด ติดตามสภาวะความต้องการของตลาดเสมอ สามารถตัดสินใจ ได้เร็ว กล้าเสี่ยง และยอมรับการขาดทุนอย่างรวดเร็วได้ ซึ่งเปรียบเสมือนการเก็งกำไร จากการเปลี่ยนแปลงราคาอย่างรวดเร็วจาก Demand and Supply

Utility Product ผู้ลงทุนเลือกผลิตภัณฑ์ที่เป็นที่ต้องการของตลาด โดยอาจจะต้องติดตามความต้องการของตลาดบ้าง แต่ไม่ต้องใกล้ชิดเหมือนสินค้าแฟชั่น โดยสามารถซื้อขายสินค้านั้นได้คราวละเป็นจำนวนมาก เนื่องจากสินค้าเหล่านั้นเป็นที่ต้องการของตลาดอยู่แล้ว โดยหากเปรียบนักลงทุนประเภทนี้ ก็คือนักลงทุนประเภทกองทุน ที่จำเป็นจะต้องซื้อสินค้า เพื่อไว้ขาย ได้ในคราวที่ละมากๆ โดยคำนึงถืงสภาพคล่อง

Unique Product ผู้ลงทุนอาจจะต้อง เป็นนักลงทุนที่มีความรักในผลิตภัณฑ์นั้นอย่างแท้จริง โดยสามารถซื้อสะสมได้ตลอด และรู้ถึงมูลค่าแท้จริง (Intrinsic Value) ของสินค้านี้ในอนาคตได้ว่าเป็นเช่นไร ซึ่งเปรียบเสมือนนักลงทุนประเภท Value investor โดยท่านจะมีความสุขเมื่อเห็นมูลค่าของสินค้าที่ท่านมีการเติบโตขึ้น โดยที่แม้ท่านอาจจะไม่ได้คิดอยากขายสินค้านี้ในอนาคตก็ตาม หรือหากขายท่านก็อาจจะยอมขายในราคาที่ท่านพอใจเท่านั้น

เมื่อมาถึง ตอนนี้แล้วคงจะรู้แล้วว่าต้วท่านควรจะเลือกธุรกิจประเภทไหน ซึ่งท่านสามารถแบ่งสัดส่วนของประเภทสินค้า ต่างๆ ไว้ในร้านของท่าน ก็ได้ หรือจะเลือกประเภทใด ประเภทหนึ่งไปเลย เพื่อความถนัด และความพร้อมของแต่ละบุคคล

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/introduction-of-technical-analysis-article/?/

จิตวิทยาในการเล่นหุ้น

จิตวิทยาในการเล่นหุ้น
ทำไม หลายคนซื้อหุ้นตัวไหนตัวนั้นจะลง แต่พอขายแล้วหุ้นกลับขึ้น หลายคนที่เล่นหุ้นในปัจจุบันจะรู้สึกเหมือนโชคไม่เข้าข้าง จริงๆแล้วมันเป็นเรื่องของดวงหรืออะไรกันแน่ ทฤษฎีการลงทุนต่างๆ ควรจะใช้ได้ดี เพราะหลักการลงทุนผู้ลงทุนควรจะเลือกลงทุนสิ่่งที่ดีและอยากได้กำไรไม่อยาก ขาดทุน แต่จริงๆกลยุทธิ์ต่างๆกลับใช้ไม่ได้ผลเพราะนักลงทุนแต่ละคนเองมี"อคติ"ยอม ขาดทุน หากคิดว่าหุ้นจะลงต่อ หรือยอมซื้อของที่แพงมากหากคิดว่ามันจะขึ้นไปต่อ สิ่งที่นักลงทุนทุกคนใช้ จริงๆจึงเป็นการ"คาดคะเน" ใช้ "สมอง"ประมวลสิ่งต่างๆจากข่าวสารและปัจจัยโดยรอบแต่หารู้ไม่ว่า สมองมีกระบวนการตัดสินใจลึกๆภายในที่ขึ้นอยู่กับ"อารมณ์"มากกว่า "เหตผล"ยกตัวอย่างการเลือกคู่ครองที่ใช้อารมณ์มากกว่าเหตผลแม้คนที่เรียน เก่ง มีสมองดีที่สุดก็มักใช้อารมณ์เป็นตัวตัดสินเรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิต มากกว่าเหตผล
  
นายเวอร์นอน สมิธ นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลปี 2002 ผู้ที่ศึกษาการเงินเชิงพฤติกรรมเคยกล่าวไว้ว่า "นักลงทุนทุกคนมีกล่องดำที่เป็นส่วนประมวลผลการตัดสินใจอยู่ในสมองโดยไม่มี ใครรู้ว่ากล่องดำอันนี้มีวิธีในการตัดสินใจอย่างไร แต่กระบวนการตัดสินใจนี้ไม่มีเหตผล เปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะของจิตใจเป็นหลัก" เมื่อคนแต่ละคนไม่ได้ใช้ความมีเหตุ มีผลในการคิดแล้วการลงทุนที่เป็นสิ่งสะท้อนความคิดของนักลงทุนแต่ละคน ย่อมไม่มีเหตุผล ตลาดหุ้นเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้เลย มีคนเคยตั้งคำถามว่า ทำไมคนที่เรียนด้านการลงทุน เก่งที่ 1-10 อันดับของระดับมหาวิทยาลัย Wharton กับไม่เคยมีชื่อเสียงในวงการลงทุนเลย ทำไมคนที่ IQ สูงขนาดนั้นถึงได้ไม่ประสบผลสำเร็จในตลาดหุ้นกัน
  
ย้อนกลับมาที่ ตลาดหุ้นไทยจะเห็นว่า คนที่ยิ่งฉลาด ยิ่งขาดทุนมากในตลาดหุ้น แต่คนที่ฉลาดปานกลางแต่หากมี EQ สูงแล้ว กลับสามารถประสบความสำเร็จได้มากกว่าเหตผลทั้งหมดจะค่อยๆถูกเฉลยในบทต่อๆไป ลองดูเหตการเหล่านี้
  
Ex1. คุณคิดว่าบริษัท A ผลประกอบการณ์ออกมาดีแน่ เลยซื้อหุ้นที่ราคาสิบบาท ตั้งใจจะขายในระยะสั้นๆที่่ 12 บาท เมื่อผลประกอบการณ์ออก แต่พอผลประกอบการณ์ออกมาดีดังคาดไว้ แต่ราคาหุ้นตกลงไป 8 บาท คุณทำใจขายทิ้งไม่ได้ (Avoid Regret) และคิดว่าหากราคาหุ้นกลับมาแค่เพียง10 บาท เท่าทุนก็จะขายไป ( Referance Point)
  
EX2. คุณซื้อหุ้นที่บริษัท B ที่ราคา 10 บาทจำนวน หมื่น หุ้น พอราคาหุ้นวิ่งไป 12 บาท คุณขายทำกำไรไป 20000 บาท พอราคาหุ้นวิ่งขึ้นไป 15 บาท คุณรู้สึกเสียดายอย่างมาก(เจ็บใจที่ขายเร็ว ขายหมู) พอราคาหุ้นเริ่มปรับตัวลงมาที่ 13 บาท คุณซื้อหุ้นกลับมาแต่คราวนี้ซื้อไป 20000 หุ้นเลย เพื่อเอากำไรเยอะๆ (โลภ เพราะพึ่งได้กำไรมา) ซื้อแล้วหุ้นวิ่งกลับไป 10 บาท เหมือนเดิม ปรากฏว่าเบ็ดเสร็จแล้วคุณขาดทุน 40000 บาท (งง?)
  
แม้ว่าสิ่งเหล่านี้ท่านเคยประสบมาหรือเคยได้รับ คำเตือนครั้งแล้วครั้งเล่า ว่าโปรดอย่าตามหลัง "มวลชน" แบบหลับหูหลับตา อันที่จริงคำว่า"มวลชน"นั้นไม่ใช่อื่นใด หากแต่เป็น"เรา "และ "ท่าน" นั้นเอง พฤติกรรมของ "มวลชน" ก็คือพฤติกรรมของคนทั่วไปหากมวลชนตัดสินใจผิดพลาดหรือเกิดปฏิกริยาทางอารมณ์ อย่างรุนแรงเพราะความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง เราและท่าน ก็ตกออยู่ในสภาพเช่นนั้นด้วยเช่นกัน
  
ดังนั้นลำพังการคิดว่าเรา ต้องปฏิบัติให้แตกต่างจากคนอื่นไม่เกิดประโยชน์ อะไร เพราะเรื่องเหล่านี้คนส่วนใหญ่ต่างทราบดีว่าควรทำอะไร ยกตัวอย่าง การสูบบุหรี่ ทุกคนทราบดีกว่า การเลิกบุหรี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องแต่หากไม่"ปฏิบัติ"ก็ไม่มีทางก้าวพ้นจาก อุปสรรคทางความคิดและอารมณ์ที่ส่งผลให้เราไม่ประสบผลสำเร็จในตลาดหุ้นได้
  
ใน"วิกฤติ มีโอกาส" แต่จะมีซักกี่คน ที่มองข้ามผ่านเมฆหมอกแห่งความกังวลเห็นถึงวันข้างหน้าที่สดใสได้ ในเมื่อบรรยากาศทั้งหมด มันไม่เป็นเช่นนั้น ทุกอย่างดูจะแย่ลง แย่ลง คนเรามองเห็นสิ่งที่ใจรู้สึกหากบรรยากาศรอบตัวร้อนเราก็จะเห็นแค่ความร้อน เราจะนึกถึงเวลาอากาศเย็นไม่ถูกเลย สิ่งเหล่านี้เป็นวิทยาสาสตร์ที่พิสูจน์แล้วว่า คนเราใช้ความรู้สึก ณ ขณะนี้เป็นส่วนประกอบสำคัญในการตัดสินใจเรื่องใดๆ เช่น เวลาคนหิวจะชอปปิ้งมากกว่าเวลาอิ่มเป็นต้น
  
อารมณ์มีผลต่อการตัดสินใจ
คุณ อาจคิดว่าอารมณ์ดีหรืออารมณ์เสีย ไม่มีผลต่อการตัดสินใจ แต่จริงๆไม่ใช่แม้คนที่มีเหตผลที่สุดหากขาดซึ่งอารมณ์ ก็จะไม่สามารถตัดสินใจใดๆได้ โดยเคยมีการศึกษาเรื่องนี้โดยนักประสาทวิทยา ชื่อ แอนโทนิโอ ดามาชิโอ ได้รายงานว่ามีคนไข้ที่สมองส่วน Ventromedical Frontal Crotices ถูกทำลายซึ่้งเป็นสมองส่วนที่ทำให้เกิดอารมณ์ แต่สมองส่วนความจำความฉลาดและความสามารถในการใช้เหตผลยังเป็นปกติอยู่ แต่จากการทดลองหลายครั้งพบว่า การปราศจากอารมณ์ในกระบวนการตัดสินใจได้ทำลายความสามารถในการตัดสินใจอย่าง สมเหตสมผล หมดไปด้วย
  
ดังนั้นหากสถานการณ์ไม่ดี ทิศทางที่สมองที่คิดได้ จากข่าวสารและความรู้สึกคือ สิ่งที่ดำเนินต่อไป ของความไม่ดี จะให้สมองสั่งการว่า "ดี" จะเป็นการยากสมองจะสั่งการขัดแย้งออกมาทันทีว่า "ดีจริงหรือ" ใช้เหตผลอะไรที่คิดว่ามันจะดี ? ดังนั้นการซื้อหุ้นตอนที่บรรยากาศร้ายสุด แม้แต่คุณเองยังกลัว คงทำได้ยาก เพราะสมองจะคิดขัดแย้งออกมาว่า "จริงหรือ คราวนี้อาจลงยาวนะ"
  
เครื่องมือเทคนิคกับอารมณ์
บาง คนบอกว่าหากเราไม่ใช้อารมณ์เข้ามาในการลงทุนหุ้นแต่เชื่อเฉพาะเครื่องมือ ทางเทคนิคซึ่งเป็นเครื่องมือที่ไม่ได้อ้างอิงใดๆเกี่ยวกับอารมณ์ของตลาดล่ะ จะได้ผลหรือไม่? คำตอบแรก ก็ต้องบอกว่าท่านที่คิดแบบนี้ ยังไม่เข้าใจเครื่องเทคนิคที่ดีพอ เพราะจริงๆแล้วเครื่องมือทางเทคนิคคือการใช้หลักสถิติศาสตร์ถอดแบบสภาพความ เป็นจริงในตลาดหุ้นแล้วนำมาพยากรณ์ความเป็นไปได้ต่อไป ซึ่งความเป็นจริงในตลาดหุ้นที่ถูกนำมาถอดแบบนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์"ความกลัว" และ "ความโลภ" ดังนั้นการใช้เครื่องมือก็ยังอิงกับอารมณ์ของตลาดอยู่ดี

คำ ตอบที่สอง ขออ้างถึงคุณ J. Wells wilder เจ้าของเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคยอดนิยม เช่น RSI (Relative Strength Index) PAR(Parabolic Sar) MOM ( Momentum) Volatility( แรงกระเพื่อมของระดับราคา) ซึ่งเครื่องมือทางเทคนิคเหล่านี้ สร้างชื่อเสียงให้กับ Wilder เป็นอย่างมาก แต่ในภายหลัง เขาได้ออกบทความใหม่ ที่ชื่อว่า Adam's Theory เป็นการปฏิเสธเครื่องมือทางเทคนิคของเขาที่คิดค้นมาก่อนหน้า โดยเขาบอกว่า ทฤษฎีใหม่นี้เป็นการตกผลึกในความคิด ความเข้าใจ ในเรื่องการลงทุน หลายสิบปีที่เขามี

ทฤษฎี Adam ตั้งอยู่บนข้อสรุปที่ว่า"ไม่มีเครื่องมือวิเคราะห์อันไหนที่สมบูรณ์ในตัว ที่สามารถชี้นำการตัดสินใจ ลงทุนได้อย่างแม่นยำและถูกต้อง 100% แต่เครื่องมือแต่ละชิ้นที่มีอยู่ในวงการ ต่างมีข้อบกพร่องในตัวเองไม่อาจ"จับตลาด"จนอยู่หมัดได้ ด้วยเหตุว่าตลาดว่า ตลาดนั้นไม่เคยหยุดนิ่ง ไม่มีลักษณะตายตัว แต่เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นอื่นได้ตลอดเวลา

เขาตั้งคำถามว่า "หากเครื่องมือเหล่านั้นแม่นยำจริง ทำไมนักลงทุน ที่ใช้เครื่องมือเหล่านั้น จึงยังประสบความขาดทุนอยู่ เครื่องมือเหล่านั้นจะวิเคราะห์เฉพาะจุด ไม่ผิดกับตาดบอด คลำช้าง ไม่เห็นภาพรวมของตลาดหรือของตัวหุ้นนั้นๆ มันไม่สมบูรณ์ ไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์ที่ผันแปรอยู่เสมอของตลาดหุ้นได้ "

ดังนั้นแม้เครื่องมือต่างอาจจะไม่มีความสมบูรณ์ในตัวมัน แต่หากเราเข้าใขอารมณ์ตลาด มาผสมผสานการ การวางแผน การลงทุนที่เข้าใจหลักจิตวิทยามวลชน การเล่นหุ้นจะทำได้ดียิ่งขึ้น โดยวิธีแก้ไขปัญหาเรื่องอารมณ์นั้น