RSS
Showing posts with label ข่าว. Show all posts
Showing posts with label ข่าว. Show all posts

กราฟเหวี่ยงแรงๆจะทำอย่างไร?


 มี คนชื่อ Bhoopalan มาตั้งกระทู้ว่า ทุกวันนี้เขามักจะมีปัญหากับการโดนกราฟเหวี่ยงอยู่บ่อย ๆ โดยราคาจะวิ่งขึ้นไปชน Stop Loss ของเขาก่อนจากนั้นก็วิ่งไปตามทางที่เขาได้คาด
การณ์ไว้เขาเลยสงสัยอยาก รู้ว่า หากกราฟเหวี่ยงเนี่ยปกติมันจะวิ่งไปกี่จุด? และเมื่อกราฟวิ่งผ่านไปแล้วบางครั้งมันไม่บันทึกด้วยว่าตรงนั้นเคยมีการ เหวี่ยงแรง ๆ ของกราฟเกิดขึ้น แบบนี้ก็
แปลว่าการทดสอบย้อนหลังก็ไม่เป็นความจริงนะสิครับ?


 คุณ TheMaxx ก็เข้ามาให้คำตอบว่า การเหวี่ยงของกราฟส่วนมากมักจะเกิดจากผลกระทบจากข่าว ดังนั้นคุณก็ควรจะสนใจตารางของข่าวด้วยว่าในแต่ละวันตารางของข่าวมีข่าวอะไร บ้าง
ส่วนเรื่องที่คุณโดนกราฟเหวี่ยงไปชน Stop Loss นั้นผมแนะนำว่าคุณอาจจะใช้วิธีลองเพิ่มระยะของ Stop Loss ของตัวเองดูซึ่งนั่นหมายความว่าคุณต้องวาง Money Management
ของคุณให้ดี ๆ ด้วยเช่นกัน


นาย Bhoopalan ก็เข้ามาขอบคุณแล้วถามต่อว่า การเหวี่ยงของกราฟในลักษณะแบบนี้เกิดบ่อยไหมครับในโบรกเกอร์อื่น ๆ?


 นาย Iro ก็เข้ามาตอบว่า หากคุณเจอกราฟเหวี่ยงไปชน Stop Loss แล้วกราฟไม่บันทึกเนี่ย คุณรีบเปลี่ยนโบรกเกอร์ที่เทรดให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ดีกว่า

นาย bull . bear เสนอว่า คุณก็ลองเทรดในช่วงเวลาที่กว้างขึ้นแทนที่จะไปเทรดในช่วงเวลาเล็ก ๆ สิ เพราะการเหวี่ยงของราคาที่รุนแรงมักจะไม่มีให้เห็นใน
Time Frame ใหญ่ ๆ แล้วก็ปรับ Stop Loss กับ Target ของคุณให้กว้างขึ้น แต่คุณอาจจะต้องลดขนาดของ lot ของคุณลงนะ


 นาย Bhoopalan เจ้าของกระทู้ก็บอกนาย bull . bear ว่าตัวเค้าเองก็เทรดใน Time Frame ใหญ่ ๆ นะ แต่ที่เค้าถามเนี่ยเพราะอยากจะหาทางป้องกันเรื่องนี้ไว้เฉย ๆ
ว่าการเหวี่ยงของกราฟเนี่ยมันเกิดที่ Broker เค้าคนเดียวหรือที่อื่นก็เป็นเพื่อที่ตัวเองจะได้หาทางรับมือกับมันในอนาคต


 นาย bull . bear ก็มาตอบกลับว่า เค้าไม่รู้ว่า “การเหวี่ยง” ที่เจ้าของกระทู้พูดถึงมันเป็นการเหวี่ยงที่เกิดขึ้นจาก Gap ในวันจันทร์หรือเวลาเฉพาะอื่นรึเปล่า?
หากเป็นข่าวการที่กราฟจะเหวี่ยงก็ ถือว่าเป็นเรื่องปกติและมักจะเกิดขึ้นชัด ๆ ใน Time Frame เล็ก ๆ แต่หากเกิดการเหวี่ยงในช่วงที่ไม่มีข่าวก็แสดงว่าราคามีอะไรผิดปกติเช่น
ไปชนแนวรับแนวต้านที่แข็งแกร่งเป็นต้น


 สรุป แล้วการที่กราฟเหวี่ยงของกราฟส่วนมากเกิดจากข่าวที่ออกมาส่งผลกับแรงซื้อแรง ขายของนักลงทุนในขณะนั้น ๆ หากมองในมุมมองของเทรดเดอร์รายย่อยอย่างเรา ๆ
ที่ ได้แต่ลุ้นอยู่หน้าคอม ไม่ได้ไปลุ้นอะไรกับที่ตลาดใหญ่จริง ๆ แล้วสิ่งที่เราทำได้ก็คือหากลยุทธ์ที่เหมาะสมกับทั้งช่วงเวลากราฟเหวี่ยงและ ตัวเราเอง
บางคนอาจจะรอข่าวออกแล้วค่อยเข้า บางคนเข้าก่อนแล้วตั้ง Stop Loss บางคนอาจจะไม่เทรดเลย ก็แล้วแต่กลยุทธ์ของแต่ละคนครับ แต่ข้อเสียอย่างหนึ่งที่มักจะเกิดขึ้นประจำ
กับคนที่ตั้ง Stop Loss ก็คือราคาเหวี่ยงไปไม่ถึงราคาที่ตั้ง Stop Loss ไว้แต่กลับปิดให้เรา อันนี้เป็นกลยุทธ์หนึ่งของโบรกเกอร์ วิธีแก้คือไม่ต้องตั้ง Stop Loss ครับง่ายไหม
แต่ให้ใช้วิธีมองกราฟเป็นโซนของราคาเอาว่าถ้าหลุดบริเวณไหน จะคัทเพราะมันไม่มีคำว่าตายตัวสำหรับ Forex ดังนั้นผู้เทรดจะต้องใจแข็งพอที่จะยอมรับความผิดพลาดของตนแล้วคัททิ้ง
ไปเพื่อลดความเสียหายให้กับตัวเอง จึงจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการรับมือกราฟเหวี่ยงครับ

 
 
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/t656/?/

การอ่านข่าว Forex Factory

ข่าวนั้นก็ถือว่ามีความสำคัญทีเดียวเลยครับ สำหรับ Trader อย่างเรา
เพราะการเคลื่อนที่ของราคานั้นมันก็มาจากปัจจัยพื้นฐานครับ
ดังนั้นนะครับอย่าเพิ่งมองข้ามสิ่งนี้ไป...
สำหรับชาวเทรด forex อย่างเรานะครับ ก็มีเว็ป forexfactory เป็นเว็ปที่ให้ข่าวสำคัญทีเดียวเลยครับ
จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นมากทีเดียวเลยครับสำหรับการเทรด

Forex news : ข่าวที่มีผลต่อตลาดเงิน โดยส่วนมากจะเป็นข่าวเศรษฐกิจนะครับ โดยหลักๆจะมี
อัตราดอกเบี้ย (Interest Rate), อัตราจ้างงาน (Employment Change), การประกาศตัวเลข GDP เป็นต้นครับ

สมมุติ ว่าประเทศนั้น มีการจ้างงานเพิ่มมากขึ้น แสดงว่าคนในประเทศนั้นก็จะมีรายได้มากขึ้น การจับจ่ายใช้สอยสินค้าก็มากขึ้น ส่งผลให้ประเทศนั้นมีเศรษฐที่ดีขึ้น ค่าเงินของประเทศนั้นๆก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย

แต่ในทางกลับกันนะครับ ถ้าประเทศนั้นมีการจ้างแรงงานลดลง แสดงว่าคนในประเทศนั้นก็จะมีรายได้ที่ลดลง การจับจ่ายใช้สอยสินค้าก็ลดลง ส่งผลให้ประเทศนั้นมีเศรษฐที่ลดลง ค่าเงินของประเทศนั้นๆก็จะลดลงตามไปด้วย

ถ้าเรารู้แล้วว่าประเทศนั้นค่าเงินจะเพิ่มมากขึ้นหรือน้อยลง แล้วเราจะรู้ได้ไงว่าคู่งั้นจะลดลงหรือเพิ่มมากขึ้น??

ผมขอยกตัวอย่างคู่เงิน EUR/USD นะครับ ก็คือว่า ถ้าตัวหน้า (EUR) แข็งค่าขึ้น คู่เงินนี้ก็จะมีค่าเพิ่มขึ้น
,ถ้า ตัวหน้า (EUR) อ่อนค่าลง คู่เงินนี้ก็จะมีค่าลดลง,ถ้าตัวหลัง (USD) แข็งค่าขึ้น คู่เงินนี้ก็จะมีค่าลดลง ,ถ้าตัวหลัง (USD) อ่อนค่าลง คู่เงินนี้ก็จะมีค่ามากขึ้น

สรุปก็คือ ถ้าตัวหน้าแข็งค่าคู่เงินนั้นก็จะมีค่าเพิ่มขึ้น,  ถ้าตัวหลังแข็งค่าคู่เงินนั้นก็จะมีค่าลดลง

เรามาเริ่มทำการเรียนรู้เกี่ยวกับการดูข่าวที่ forexfactory กันเลยนะครับ

>> http://www.forexfactory.com << เมื่อเปิดเว็ปนี้เข้ามาแล้วนะครับ
ก่อนอื่นเลยเราต้องไปปรับเวลาตามประเทศไทยครับจะได้ไม่เกิดความสับสน
วีธีแก้ไขก็ง่านนิดเดียวครับ ทำตามนี้เลย


หลังากที่เราต้องเวลาไปเรียนร้อยแล้วนะครับ เราก็จะมาทำการเรียนรู้ว่าช่องต่างๆบอกอะไรเราบ้าง
ตามนี้เลยครับ
ถ้าค่า Actual ต่างกับค่า Previous มากเท่าไหร่ยิ่งส่งผลต่างค่าเงินมากเท่านั้นนะครับ
แล้ว ก็ขึ้นอยู่กับ Impact ด้วยนะครับว่ามีผลกระทบต่อค่าเงินมากไหม ถ้ามีผลกระทบต่อค่าเงินมากก็จะส่งผลให้ค่าเงินนั้นเคลื่อนแรงมากเช่นเดียว กันครับ

สำหรับเทรดเดอร์มือใหม่นะครับ
ช่วงเวลาที่ข่าวออกนั้นกราฟจะเคลื่อน ขึ้น-ลง แรงกว่าปกตินะครับให้เลือน Stop Loss ให้แคบลงนะครับ
หรือจะตั้ง Stop loss แบบไล่ตามราคาไปเลยก็ได้ครับ เพื่อความปลอดภัยของพอร์ตลงทุน

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/forex-factory/?/

การใส่อินดิเคเตอร์ทับซ้อนกันใน MT4

การใส่อินดิเคเตอร์ทับซ้อนกันใน MT4
ในการวิเคราะห์กราฟบาง ครั้งเราใช้อินดิเคเตอร์หลายๆ ตัวช่วยในการวิเคราะห์ แต่เมื่อเพิ่มเข้าไปในกราฟแล้วจะเห็นว่าอินดิเคเตอร์แยกหน้าต่างเป็นส่วนๆ ของแต่ละตัว ซึ่งทำให้ราคาถูกบีบอัดให้ย่อเข้าไป ยิ่งอินดิเคเตอร์เยอะ กราฟก็จะยิ่งถูกบีบให้เตี้ยลงๆ ปัญหานี้สามารถแก้ไขได้โดยการวางอินดิเคเตอร์ทับซ้อนกัน นอกจากจะประหยัดพื้นที่แล้วยังจะทำให้ง่ายแก่การวิเคราะห์อีกด้วย
ตัวอย่าง 1 การวาง Stochastic ทับบน MACD มีขั้นตอน ดังนี้
1. เปิดหน้าต่าง Navigator
2. ลาก MACD มาวางบนกราฟ ตั้งค่าตามต้องการ และกด OK
3. ลาก Stochastic มาวางทับบน MACD ตั้งค่า และกด OK
แค่นี้ก็จะได้ อินดิเคเตอร์วางทับซ้อนกัน ประหยัดพื้นที่ และง่ายแก่การวิเคราะห์กราฟ

 

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/mt4-498/?/

[Review บทความ cmFX] เรื่องที่ 9 : "วิธีอ่านข่าวจาก Forex Factory"

[Review บทความ cmFX] เรื่องที่ 9 : "วิธีอ่านข่าวจาก Forex Factory"
บท ความนี้ จะเป็นบทความต้นฉบับจาก cmFX ของเรา (ไม่ใช่บทความแปล) ซึ่งจะอธิบายให้เข้าใจถึงวิธีการอ่านข่าวจาก Forex Factory นั่นเอง, ถ้าสนใจข่าวและยังงงกับ Forex Factory บทความนี้น่าจะช่วยท่านได้บ้าง ไม่มากก็น้อย

 
 
 ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/(review-cmfx)-9-'-forex-factory'/

การปรับแต่งหน้าต่างแสดงราคาใน MT4

การปรับแต่งหน้าต่างแสดงราคาใน MT4
สำหรับบางท่านอาจจะอยากปรับแต่งหน้าต่างแสดงผลใน MT4 ให้เหมาะกับระบบเทรด และการวิเคราะห์กราฟของตนเอง ก็สามารถทำได้ ตามขั้นตอนดังนี้
1 เปิดหน้าต่างคู่เงินที่ต้องการปรับแต่งค่า
2 คลิกขวาที่หน้าต่างค่าเงิน เลือก properties หรือกด F8

การปรับแต่งหน้าต่างแสดงราคาใน MT4
สำหรับบางท่านอาจจะอยากปรับแต่ง หน้าต่างแสดงผลใน MT4 ให้เหมาะกับระบบเทรด และการวิเคราะห์กราฟของตนเอง ก็สามารถทำได้ ตามขั้นตอนดังนี้
1 เปิดหน้าต่างคู่เงินที่ต้องการปรับแต่งค่า
2 คลิกขวาที่หน้าต่างค่าเงิน เลือก properties หรือกด F8



 ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://www.thaibestforex.com/forex/mt4-499/?/

การใช้สคริปต์ เปิด-ปิด ออเดอร์

การใช้สคริปต์ เปิด-ปิด ออเดอร์
หลายคนคงเจอปัญหาเหมือนกันกับผม คือเมื่อเปิดออเดอร์แล้ว ขี้เกียจตั้ง TP หรือ SL เพราะต้องมานั่งบวกลบ หรือกำหนดจุดที่จะตั้ง อีกทั้งบางทีเปิดออเดอร์ช่วงข่าวออก ยังไม่ได้ตั้งอะไรเลยวิ่งซะไกลแล้ว ถูกทางก็ดีหน่อย ถ้าผิดทางมีกระโดดปิดแทบไม่ทัน แถมบางโบรก ดันไม่ยอมให้เปิด หรือปิดออเดอร์อีก ปัญหานี้แก้ได้โดยการใช้สคริปต์ ลองโหลดไปใช้ดูครับ

 
 
ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/t501/?/

Non-Farm คืออะไร ?

Non-Farm คืออะไร ?
เคยสงสัยกันไหมว่า เย็นวันศุกร์บางศุกร์ เห็นกราฟ Forex วิ่งหน้าตั้งกันแบบน่ากลัวกันใช่ไหม ? หลายคนคงรู้ หรือได้ยินมาว่า
มันเกิดจาก ข่าว Non-Farm แล้วก็สงสัยอีกว่า ข่าว Non-Farm คืออะไร ?



ผมจึงจัดการสรุปให้นะครับ, ทีนี้คงได้รู้กันเสียทีว่า ทำไมกราฟมันวิ่งดีจัง ณ เวลานั้นๆ

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/non-farm/?/

Forex News

Forex News : ข่าวที่ มีผลต่อตลาดเงิน จะเป็นข่าวเกี่ยวกับเศรษฐกิจ การเงินของประเทศต่างๆ ข่าวของแต่ละประเทศ จะมีผลต่อค่าเงินของประเทศนั้น ข่าวที่มีผลต่อค่าเงินมาก ตัวอย่างเช่น อัตราดอกเบี้ย (Interest Rate), อัตราการจ้างงาน (Employment Change), การประกาศตัวเลข GDP ฯลฯ ถ้าข่าวออกมาดี เช่นการจ้างงานเพิ่มขึ้น, GDP เพิ่มขึ้น ก็จะทำให้ค่าเงินของประเทศนั้นเพิ่มขึ้นตัวเลขออกมาดี คนแย่งกันซื้อ ค่าเงินก็จะสูงขึ้น ตามหลักอุปสงค์/อุปทาน ถ้าข่าวออกมาเศรษฐกิจไม่ดี คนย่อมไม่อยากจะถือเงินนั้นไว้ พากันเทขายออกมาค่าเงินจึงลดลง

เมื่อ เรารู้ว่าข่าวทำให้ค่าเงินนั้นๆ ขึ้นหรือลง จะมีผลต่อราคาคู่เงินที่เราเล่น อย่างไร ตัวอย่างเช่น ถ้าข่าวออกมาแล้วค่าเงิน USD (ดอลล่าร์สหรัฐฯ) แข็งขึ้น ดอลล่าร์สูงขึ้น คู่เงินที่มี USD นำหน้า ราคาจะวิ่งขึ้นไป เช่น (USD/JPY, USD/CHF, USD/CAD) และคู่เงินที่มี USD ข้างหลัง ราคาก็จะลดลง เพราะตัวหารเพิ่มขึ้น เช่น (EUR/USD, GBP/USD, AUD/USD, NZD/USD) ถ้า USD อ่อนลง ก็กลับกัน

ข่าวที่สำคัญๆ จะมีผลต่อค่าเงินมาก ณ เวลาที่ข่าวออก ราคาของคู่เงินอาจ ขึ้น/ลง มากกว่า 100 pips ขึ้นอยู่กับผลของข่าวผู้ที่ต้องการเล่นข่าวห้ามพลาดเด็ดขาด ผู้ที่เล่นเทคนิค เล่นตาม Signal ควรหลีกเลี่ยงช่วงข่าวสำคัญ จึงควรศึกษาเกี่ยวกับข่าวให้ดี ถ้าเรามีความรู้เรื่องเศรษฐกิจ การเงิน จะเป็นประโยชน์มากในการวิเคราะห์ข่าวต่างๆ แนะนำที่นี่ครับ www.forexfactory.com เวปนี้สามารถดูล่วงหน้า หรือย้อนหลังได้ ถ้ามีเวลาลองเปิดไปดูข่าวเก่าๆ แล้วลองเทียบกับกราฟราคา ดูผลของข่าวก็ดีครับ

อธิบายหน้าข่าว

 

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/forex-news/?/ 

การทำกำไรอย่างยั่งยืนในตลาดฟอเร็กซ์ (Forex Trader)

เนื่องในโอกาสครบรอบหนึ่งปีของการสอนเทรดของผม, ผมก็อยากจะทำอะไรเป็นพิเศษให้กับนักเรียน ผมจึงเขียนบทความนี้ขึ้นมา นำเสนอข้อคิดหลายๆ อย่างเกี่ยวกับการเทรด เพราะผมเห็นว่าน่าจะมีประโยชน์ต่อหลายๆ คน จึงตัดสินใจเผยแพร่ให้สาธารณะด้วยครับ หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์แก่พวกเรา ไม่มากก็น้อย



หัว ข้อใหญ่ที่จะพูดถึง คือทำอย่างไรให้อยู่รอด และทำกำไรในตลาดได้อย่างยั่งยืน, ไม่ใช่วันเดียวกำไร 100% แล้วพรุ่งนี้ล้างพอร์ต สรุปว่าพ่ายแพ้, รวมถึงแนวคิดที่ถูกต้องในการเดินสายการเป็นเทรดเดอร์ จากมุมมองเทรดเดอร์น้อยๆ ของผมหลายๆ คนคาดหวังว่า จะใช้การเทรดเป็นอาชีพที่เลี้ยงดูตนเอง ครอบครัว และพ่อแม่ได้, (ความฝันนี้ คือจุดเริ่มต้นในการเดินสายการเทรดของผม  ยังทำให้เดินหน้าอยู่ถึงทุก วันนี้), แต่พอเริ่มที่คิดจะเดินเส้นทาง เทรดเดอร์แบบจริงจัง พบว่ามันไม่ง่ายเลย, ส่วนที่ยากไม่ใช่ทำกำไร ทุกคนเคยกำไรจากออเดอร์หมด แต่ที่ยาก คือทำอย่างไรที่จะอยู่รอดได้ในระยะยาวต่างหาก เพราะที่เป็นกันมาก คือชนะบ้าง แพ้บ้าง สลับกันไป แต่สุดท้ายผลรวมคือแพ้ และบางคนแพ้หนักมาก จนต้องย้อมแพ้ และออกจากการเทรดกลับไปเดินเส้นทางเดิม และทิ้งความฝันที่จะมีชีวิตอิสระนี้ไป

แล้วจะทำอย่างไร ให้ชนะในระยะยาวได้ ?
จาก ประสบการณ์สอนเทรดของผม พบว่า สิ่งแรกที่นักเรียนควรจะต้องปรับกันเป็นอันดับแรก คือ Mind set, ถ้าถามนักเรียนว่า เป้าหมายของการเทรดตอนนี้ของเธอ คืออะไร แทบทุกคนจะตอบว่า อยากจะกำไรเยอะๆ, ซึ่งมันก็ถูก แต่...เธอตอบเร็วเกินไป เร็วมากๆ ด้วย, ถ้าเปรียบกับการแข่งกีฬา คือเธอกำลังมองว่าอยากเป็นแชมป์ ในหัวจะมีแต่ภาพว่าเริ่มต้นเป็น นักกีฬา แล้วก็เป็นแชมป์เลย, แต่มักจะมองข้ามขั้นตอนระหว่างทางว่า การจะเป็นแชมป์ได้จะต้องผ่านอะไรบ้าง แล้วถ้าเธออยากจะเทรดเก่ง ควรจะผ่านอะไรบ้าง, พอพูดอย่างนี้หลายคนถึงจะเริ่มตระหนักละว่า คำตอบที่ว่าอยากกำไรเยอะๆ ทันที เป็นคำตอบที่ตอบข้ามขั้นตอนไปหน่อย ตอนนี้พวกเราเริ่มเห็นอะไรในหัว บ้างแล้วใช่ไหมว่า "เราต้องผ่านทีละขั้น ต้องใจเย็นๆ ค่อยๆ ฝึก สะสมประสบการณ์ และต้องผ่านภาวะที่ยากลำบาก กว่าจะไปถึงเป้าหมายนั้นได้" สิ่งสำคัญ คือความทุ่มเท ความพากเพียร และความอดทนในการฝึกฝน ซึ่งจะต้องควบคู่กับการมีความรู้ ว่าต้องมีองค์ประกอบอะไรบ้าง ที่จะทำให้อยู่รอดได้อย่างยั่งยืนในตลาด

เป็นที่รู้กันว่า "การสอนที่ดีที่สุด คือการทำให้ดู" ผมจึงขอยกตัวอย่างจริง พร้อมคำอธิบายจากพอร์ตจริงของผม โดยหวังว่านอกจากพวกเราจะได้ความรู้ แล้วยังจะทำให้อยู่ในความมุ่งมั่นในการฝึกต่อไป เพราะมีตัวอย่างว่า คนธรรมดาที่เคยเป็นมนุษย์เงินเดือนอย่างผม (Rojer cmFX) ทำได้ พวกเราก็ทำได้เช่นกัน

เรามาดูกันเลยว่าเรียนรู้อะไรได้จากพอร์ตตัวอย่างนี้
1. บริหารความเสี่ยงของเงินทุน : ถ้าอยากจะชนะในระยะยาว ควรใช้ความเสี่ยงต่ำมาก, ตามทฤษฏี Money Management คือ 2%, ซึ่งระดับความเสี่ยงที่ต่ำๆ แบบนี้ทำให้ความเครียดในการเทรดต่ำมาก ใจนิ่ง และทำตามระบบได้ง่ายขึ้น และถ้าเราผิดทางจริง เราก็ยังเหลืออีก 98% ของพอร์ตมาใช้แก้พอร์ตได้ง่ายมากๆ, เล็งเป้าไว้น้อยๆ แต่ถ้าถูกทางมักจะได้เกินกว่านั้นอยู่ละ, และอย่าได้ดูแคลน 2% เพราะจากพอร์ตนี้ พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า 2% กลายเป็น 600+% ได้ในระยะยาว

2. ระบบเทรด : เราต้องมีระบบที่ดีพอสมควร, %win อย่างน้อยก็ต้องมากกว่า 50% (เพราะการเทรดมีแค่สองทาง คือ ขึ้นกับลง ควรจะเป็น 50-50) ถ้าระบบไหนที่ ต่ำกว่า 50% ก็ไม่ค่อยดีละ, ยกเว้นพวกระบบแนวที่ผมเรียกเล่นๆ ว่า "ซื้อหวย" คือ ได้ทีได้เยอะมาก แต่โอกาสถูกต่ำ ซึ่งผมไม่ถนัดแนวนี้, สำหรับระบบที่ผมใช้อยู่ความแม่นประมาณ 70-80%, ซึ่งเรื่องระบบเป็นเรื่องแรกที่เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ยังไม่มีกัน, ถ้าเทรดแบบไม่มีระบบที่ชัดเจน ในระยะยาวจะพัฒนาได้ยากมาก, ตรงกันข้าม ถ้ามีระบบแล้ว เราจะเห็นข้อดี ข้อเสีย รวมถึงการปรับปรุง และแก้ไขระบบเทรดให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ ได้ เพราะเรามีสิ่งที่เป็นรูปธรรมให้ดู ให้วิเคราะห์ แก้ไข ทดสอบได้ นั่นเพราะเรามี "ระบบ", ถ้าจะพูดถึงรายละเอียดของระบบ ก็จะยาวมาก คอร์สสอนของผมก็เน้นเรื่องระบบเป็นหลัก

3. วินัย : เราต้องรู้จักการอดทนรอคอย, สัญญาณจากระบบยังไม่มา ก็อย่าเข้า-ออก, ถ้าบังคับใจตัวเองได้ รักษาวินัยดีๆ ผลงานก็อย่างที่เห็นจากพอร์ตจริงผมเลย คือแพ้ชนะไปตามระบบล้วนๆ ไม่แพ้เพราะเรื่องวินัยแย่อีกต่อไป กราฟกำไร ก็จะไม่แกว่งขึ้นลงไปเรื่อย แต่ความชันแทบจะคงที่ (มีฟลุ้คกระโดดบ้างเป็นระยะๆ), ที่กราฟกำไรขึ้นเป็นเส้นตรงได้อีกส่วนหนึ่งเพราะว่า ผมมีเป้าหมายการเทรดประจำวัน, พอได้เป้าหมายแล้วก็จะหยุด เพราะถ้าเราเทรดเรื่อยๆ แช่ในตลาดนานๆ มีโอกาสที่จะเจอภาวะผิดปกติได้ตลอด เช่นกราฟวิ่งแรงสวนทางเรา ฉะนั้นอย่าเสียงโดยไม่จำเป็น ด้วยการเทรดตลอดเวลา, เคยเจอหลายวัน ที่พอเปิดกราฟย้อนหลัง ช่วงที่ไม่ได้เทรด พบว่า ถ้าเราเทรดอยู่ตอนนั้น ท่าทางจะมีปัญหา เพราะกราฟกระชากไปกลับแรงมากเพราะข่าว (ระบบส่วนใหญ่ จะแพ้เรื่องนี้)

จะ เห็นได้ว่า องค์ประกอบทั้ง 3 อย่าง (บริหารความเสี่ยงของทุน, ระบบเทรด, วินัย) เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สักอย่าง, ตำราต่างๆ พูดถึงสามอย่างนี้เหมือนกันหมด แม้ว่าอาจจะใช้ชื่อแตกต่างกัน, ถ้าอยากเป็นเทรดเดอร์ที่ชนะตลาด ได้อย่างยั่งยืนแล้ว ต้องตามหา และฝึกฝน 3 สิ่งนี้ให้เชี่ยวชาญ, การบริหารความเสี่ยง และระบบเทรดนั้นพอจะสอนกันได้ แต่ก็ไม่มีโค้ชคนไหนที่จะทำให้นักกีฬาทุกคนเป็นแชมป์ได้ทั้งหมด โค้ชให้ได้แค่ความรู้ ส่วนจะลงมือทำได้หรือไม่ ต้องขึ้นอยู่กับตัวนักเรียนอีกทีว่าทุ่มเทฝึกฝนแค่ไหน ซึ่งถ้าฝึกฝนจนเชี่ยวชาญ ก็จะทำให้เกิดความเชื่อมั่น จนกล้าทำตามระบบ และความเสี่ยง และเมื่อฝึกซ้ำๆ มากพอ และมีวินัย ก็จะกลายเป็นทักษะ ซึ่งจะทำให้สามารถทำได้ผลที่ดีเรื่อยๆ จนสามารถอยู่รอดในตลาดได้ และตามมาด้วยการชนะตลาดอย่างยั่งยืนนั่นเอง

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/(forex-trader)/?/

เเนะนำวิธีดูข่าว www.forexfactory.com

ผมจะเเนะนำวิธีดูให้นะครับ เปิดเว็บนี้ตามไปด้วย จากตารางข่าวของเว็บ Forexfactory จะประกอบด้วย Date(วันที่) ,Time (เวลา),
Currency(ค่า เงิน), Impact(ความแรงของข่าว) ,Actual (ตัวเลขที่ออกจริง), forecast(ตัวเลขคาดการณ์จากนักวิเคราะห์) ,previous(ตัวเลขที่ออกก่อนหน้านั้น)Impact

มันจะมีสีกำกับอยู่หน้า ข่าวครับ โดยสีแดงจะเป็นข่าวที่มีความสำคัญมากที่สุด รองลงมาคือสีส้ม และสีเหลือง และสีข่าวจะแสดงว่าเป็นวีนหยุดของตลาดของประเทศนั้นและตัวเลขจริงที่ออก มา Actual ตัวเลขที่ออกมาจะมี 3 สีด้วยเช่นกัน คือ

สีเขียวหมายถึงข่าวดี
สีแดงหมายถึงข่าวไม่ดี
สีดำคือไม่มีข่าวนั้นออกมาหรือมีเเต่ไม่ส่งผลอ่ะไร


โดยขึ้นอยู่กับความแรงของข่าวด้วย Impact ถ้าข่าว High Impact สีแดง
และตัวเลขที่ประกาศออกมา เป็นสีเขียวหรือสีแดง ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงขึ้น-ลงประมาณ 1xxpips ขึ้นไป

-วิธี การเก็งกำไรจากข่าวในตาราง Forexfactory ให้รอดูตัวเลขจริง Actual ออกมาก่อนนะครับ เมื่อตัวเลขจริง(actual)ออกมามากกว่าเมื่อเทียบกับตัวเลขที่คาด การณ์(forecast)ไว้จะส่งผลทำให้ดีกับค่าเงินนั้นๆ แต่ถ้าตัวเลขจริงออกมาน้อยกว่าตัวเลขที่คาดการณ์ไว้จะส่งผลเสียกับค่าเงิน นั้นๆ เช่น ถ้าข่าวของ USD ออกมามากกว่า

ตัวเลขคาดการณ์(Forecast) จะทำให้ USD / XXX ขึ้น และทำให้ XXX / USD ลง ( XXX คือ ค่าเงินของประเทศนั้นๆเมื่อเทียบกับดอลล่าห์สหรัฐ(USD)อาทิเช่น JPY CHF CAD AUD NZD GBP )

ถ้าข่าว Gross Domestic Product หรือ GDP ของอังกฤษ(GBP) ตัวเลขออกมามากกว่าที่ตัวเลขที่นักวิเคราะห์ได้คาดการณ์เอาไว้จะส่งผลให้กราฟของ GBP/USD , GBP/JPY,GBP/CHF ขึ้น และกราฟ EUR/GBP จะลง

ระดับความสำคัญของปฏิทินเศรษฐกิจ
1. สำคัญมาก
ชื่อ ก็บอกอยู่ แล้วว่าสำคัญมาก ซึ่งจะเป็นข่าวและตัวเลขที่มีผลกระทบกับค่าเงินของประเทศนั้น ๆ อย่างแรง เมื่อตัวเลขประกาศแล้ว จะมีปริมาณการซื้อขายที่สูงมาก ๆ ซึ่งจะส่งผลอยู่ประมาณ 5 – 10 นาที เราอาจจะได้เห็นกราฟเป็นแท่งยาว ๆ ทั้งขึ้น และ ลง ในเวลาเดียวกัน

2. สำคัญ
อันนี้ก็สำคัญ ก็จะส่งผลกระทบกับตลาดเงินมากแต่น้อยกว่า “สำคัญมาก” อยู่นิดนึง ซึ่งก็จะส่งผลให้มีกราฟยาว ๆ (แต่ขนาดของแท่งจะสั้นกว่าแบบแรก)

3. ทั่วไป
อัน นี้จะเป็นข่าวเศรษฐกิจทั่ว ๆ ไป มีผลบ้างเล็กน้อยถึงปานกลาง หากประกาศวันเดียวกับ 2 ตัวบน อาจจะไม่ส่งผลอะไรสำคัญเลย แต่ถ้าประกาศตัวเดียว โดด ๆ อาจมีผลบ้างโดยหากสวนทางกับ 2 ตัวข้างบนอาจทำให้ตลาดนำข่าวนี้มาเล่นได้ เพราะจะเป็นตัววัดอย่างหนึ่งว่า ตัวเลขอื่นอาจจะหลอกลวงได้

คราวนี้ตัวเลขเศรษฐกิจที่ประกาศนั้นเกี่ยวอะไรกับราคาทองคำ

โดยปกติราคาทองคำจะขึ้นอยู่กับ
1. อัตราแลกเปลี่ยนของ USD
2. ราคาน้ำมัน
3. ราคาของโลหะพื้นฐาน และ โลหะอื่น พวก ทองแดง เงิน แพตตินั่ม พาลาเดียม
4. อื่น ๆ (ยังนึกมะออกจ้ะ)


คราวนี้ตัวเลขที่ประกาศจะกระทบกับ 2 อย่างตรง ๆ คือ อัตราแลกเปลี่ยน กะ ราคาน้ำมัน

แล้ว 2 ตัวนี้มีความเกี่ยวข้องกะราคาทองคำอย่างไร?

1. อัตราแลกเปลี่ยน โดยปกติ ถ้าไม่มีข่าวอย่างอื่น (หมายถึงพวกข่าวก่อการร้าย ภัยธรรมชาติ ฯลฯ) ที่มีน้ำหนักมากกว่า อัตราแลกเปลี่ยนก็จะมีผลตรง ๆ โดยไม่มีอย่างอื่นมาทำให้ราคาเพี้ยนไปจากเดิม โดยปกติแล้ว ทองคำจะขึ้นเมื่อ USD อ่อนค่า และ ทองคำจะลง เมื่อ USD แข็งค่า
แล้วคำที่ว่าอ่อนค่า กับ แข็งค่า เนี่ย เค้าเทียบกะสกุลไหนบ้าง โดยปกติแล้วจะดูที่ 2 สกุลใหญ่ ชื่อ JPY และ EUR หากสองอันนี้ไปในทิศทางเดียวกัน ก็แสดงว่า USD อ่อน หรือ แข็งจริง ๆ จ้ะ

2. ราคาน้ำมัน จะเป็นตัวช่วยดัน หรือ ฉุด ราคาทองคำในทิศทางเดียวกับราคาน้ำมัน

เอาละ... มาดูกันว่าโดยปกติปฏิทินเศรษฐกิจที่เค้าขยันประกาศตัวเลขกันมีอะไรบ้าง (มันอาจจะไม่ครบทุกอย่างนะ)

ระดับที่เรียกว่าสำคัญมากมีอะไรบ้าง...
ลำดับ ชื่อในปฏิทิน
1 Non farm Payrolls
2 Unemployment Rate
3 Trade Balance
4 GDP ( Gross Domestic Production )
5 PCE Price Deflator ( Personal Consumption Expenditure)
6 CPI ( Consumer Price index )
7 TICS ( Treasury International Capital System )
8 FOMC ( Federal open Market committee meeting )
9 Retail Sales
10 Univ. Of Michigan Consumer Sentiment Survey
11 PPI ( Producer Price Index )

ระดับที่เรียกว่าสำคัญ...
ลำดับ ชื่อในปฏิทิน
12 Weekly Jobless Claims
13 Personal Income
14 Personal spending
15 BOE Rate Decision ( Bank Of England )
16 ECB Rate Decision ( Europe Central Bank )
17 Durable Goods orders
18 ISM Manufacturing Index ( Institute of Supply Manager )
19 Philadelphia Fed. Survey
20 ISM Non-Manufacturing Index
21 Factory Orders
22 Industrial Production & Capacity Utilization
23 Non-Farm Productivity
24 Current Account Balance
25 Consumer Confidence ( Consumer Sentiment )
26 NY Empire State Index - ( New York Empire Index )
27 Leading Indicators
28 Business Inventories
29 IFO Business Index ( Institute of IFO in Germany )

ระดับปานกลางถึงทั่วไป โดยมากใช้เป็นตัววัดพื้นฐาน...
ลำดับ ชื่อในปฏิทิน
30 Housing Starts
31 Existing Home sales
32 New Home Sales
33 Auto and Truck sales
34 Employee Cost Index - Labor Cost Index
35 M2 Money Supply - Money Cost
36 Construction Spending
37 Treasury Budget
38 Weekly Chain Stores - Beige Book -Red Book
39 Whole Sales Trade
40 NAPM ( National Association of Purchasing Management)

กลุ่มสำคัญมาก
Trade Balance
โดย ปกติประกาศทุกวันที่ 20 ของเดือน ซึ่งจะเป็นข้อมูลของ 2 เดือนก่อนหน้านี้ โดยการประกาศจะบอกให้รู้ถึงทิศทางของการส่งออกและการนำเข้า ซึ่งตัวเลข Trade Balance จะสามารถคาดคะเนตัวเลข GDP ในอนาคตได้ ตัวเลข Trade Balance จะนำค่าตัวเลข Export ลบกับ ตัวเลข Import หากผลที่ออกมามีค่าเป็น + จะหมายถึงเศรษฐกิจที่ดี และมีผลทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้นตามไปด้วย

Gross Domestic Product หรือ GDP
จะ ประกาศทุก ๆ สัปดาห์ที่ 3 หรือ 4 ของเดือน โดย GDP คือตัววัดที่กว้างที่สุดเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจ การที่ตัวเลข GDP เปลี่ยนแปลงไปจะหมายถึงความเปลี่ยนแปลงของอัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ ซึ่งจะบ่งบอกเกี่ยวพันถึงอัตราเงินเฟ้อ การที่ตัวเลข GDP เพิ่มขึ้นจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้นตามไปด้วย

Personal Consumption Expenditure หรือ (PCE)
ประกาศ ทุก ๆ วันแรกของการทำงานของเดือน โดย PCE จะบอกถึงการอุปโภคบริโภคของภาคครัวเรือน โดย PCE จะบ่งบอกถึงความสามารถในการจับจ่ายของภาคครัวเรือน โดยตัวเลข PCE ที่สูงจะบ่งบอกถึงเศรษฐกิจที่เติบโต ซึ่งจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

Consumer Price Index หรือ CPI
ประกาศ ทุก ๆ วันที่ 13 ของเดือน โดย CPI จะเป็นตัววัดเกี่ยวกับระดับราคาของสินค้าและบริการที่ซื้อโดยผู้บริโภค CPI ที่เห็นประกาศกันจะมี CPI กับ Core CPI ซึ่งต่างกันตรงที่ว่า Core CPI จะไม่รวม ภาคอาหารและ ภาคพลังงานโดยปกติ CPI จะเป็นตัวที่บ่งบอกถึงอัตราเงินเฟ้อ โดยตัวเลข CPI ที่สูงจะเป็นตัววัดเรื่องอัตราเงินเฟ้อที่สูง ซึ่งจะทำให้ค่าเงินอ่อนค่าลง

Treasury International Capital System หรือ TICS
ประกาศ ทุกวันที่ 5 ของการทำงานในแต่ละเดือน โดย TIC จะรวบรวมข้อมูลของ US เพื่อดูว่าการลงทุนของคน US และ คนต่างชาติเป็นอย่างไรบ้าง โดยหากข้อมูล TICS เป็นตัวเลขที่สูงจะหมายถึงเศรษฐกิจของ US ที่แข็งแกร่งซึ่งมีผลทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

Federal Open Market Committee หรือ FOMC
จะ ประชุมเมื่อไร ไม่มีตายตัวแน่นอน แล้วแต่เค้าจะนัดกัน โดยการประชุมจะดูภาพรวมและผลของการประชุมที่สนใจกันคือเรื่องของอัตรา ดอกเบี้ย การปรับอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นมีผลทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

Retail Sales
ประกาศ ทุกวันที่ 13 ของเดือน ซึ่งจะเป็นข้อมูลของเดือนที่แล้ว โดยจะวัดจากใบเสร็จของการค้าปลีก ซึ่งโดยปกติจะมองในภาพของสินค้า ซึ่งจะไม่สนใจเรื่องของบริการ และอื่น ๆ (เช่นพวกค่าเบี้ยประกัน หรือค่าทนาย) Retail Sales ที่ไม่รวมการซื้อรถ จะเรียกว่า Core Retail Sales โดยการเปลี่ยนแปลงของตัวเลขการขายจะหมายถึงราคาที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ได้หมายถึงความต้องการซื้อที่ลดลง การที่ตัวเลข Retail Sales มีตัวเลขที่สูงหมายถึงเศรษฐกิจที่ดีและแข็งแกร่ง ซึ่งมีผลทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

University of Michigan Consumer Sentiment Index
ออก ทุกวันศุกร์ที่สองของเดือน โดย Michigan Index จะเปรียบเทียบระหว่างดัชนีสองตัวคือ สิ่งที่คาดหวัง และ สิ่งที่เป็นไปจริง ๆ ถ้าสิ่งที่คาดหวังไว้และสิ่งที่เป็นจริงมีค่าใกล้เคียงกัน หมายถึงเศรษฐกิจเป็นไปในแนวทางเดียวกับที่หวังไว้ ซึ่งจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

Producer Price Index หรือ PPI
ประกาศ แถว ๆ วันที่ 11 ของเดือนซึ่งจะเป็นข้อมูลของเดือนก่อน PPI จะเป็นตัววัดราคาของสินค้าในมุมมองของการค้าส่ง PPI ที่ไม่รวมพวกอาหารและพลังงานจะเรียกว่า Core PPI ซึ่งจะถูกจับตามองมากกว่า เพราะจะมีผลกับอัตราเงินเฟ้อ เนื่องจาก PPI จะเป็นตัวที่ออกมาก่อน CPI หาก PPI มีค่าสูงมักจะทำให้ CPI มีค่าที่สูงตามไปด้วย ดังนั้นการที่ PPI มีค่าสูงจะทำให้ค่าเงินอ่อนค่าลง

กลุ่มสำคัญ
Initial Weekly Jobless Claims
ประกาศ ทุกวัน พฤหัส จะเป็นข้อมูลของสัปดาห์ปัจจุบันรวมถึงวันศุกร์ที่แล้วด้วย ซึ่งจะบอกถึงการว่างงาน โดยปกติจะสังเกตความเปลี่ยนแปลงได้จากข้อมูลก่อนหน้าย้อนหลังไปราว ๆ 4 สัปดาห์ แล้วมาทำเป็นกราฟ ทั่วไปแล้วหากมีความเปลี่ยนแปลงเกิน 30,000 จะเป็นสัญญาณบอกถึงการจ้างงานที่เปลี่ยนแปลงไป (อาจจะดีขึ้นหรือแย่ลง) ตัวเลขที่เพิ่มมากขึ้นหมายถึงคนว่างงานที่มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ค่าเงินอ่อนค่าลง

Personal Income
ประกาศ แถว ๆ วันที่ 5 ของการทำงานในแต่ละเดือน Personal Income เป็นตัววัดเกี่ยวกับรายได้ (ไม่สนว่าจะได้มาจากไหน เช่นพวก ค่าเช่า, ได้มาจากรัฐ, เงินเดือน, ดอกเบี้ย หรืออื่น ๆ) โดยตัวนี้จะเป็นตัวชี้ถึงความต้องการในการบริโภคในอนาคต (แต่ไม่เสมอไปนะ เพราะบางทีรายได้ที่มากขึ้น แต่คนอาจจะไม่จับจ่ายใช้สอยก็ได้) ตัวเลข Personal Income ที่สูงจะหมายถึงอำนาจในการซื้อและเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเศรษฐกิจน่าจะดี ซึ่งจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

Personal Spending
ประกาศ แถว ๆ วันแรกของการทำงานของเดือน ซึ่งจะเป็นข้อมูลของสองเดือนก่อนหน้า Personal Spending จะเป็นตัวเลขเกี่ยวกับรายจ่ายของบุคคล การจับจ่ายที่ลดลงจะหมายถึงรายได้ที่ลดลง ซึ่งจะทำให้กระแสเงินโดยรวมลดลง (แต่ก็เช่นเดียวกับ Personal Income บางทีการจ่ายลดลงไม่ได้หมายถึงรายได้ที่ลดลง แต่อาจจะไม่อยากจะจับจ่ายก็เป็นได้) ตัวเลขการจับจ่ายที่มากขึ้น จะเป็นสัญญาณที่บ่งว่าเศรษฐกิจดีขึ้น ซึ่งจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

Europe Central Bank (ECB), Bank Of England (BOE), Bank Of Japan (BOJ)
การ ประกาศตัวเลขอัตราดอกเบี้ยของประเทศต่าง ๆ ที่ไม่ใช่ US จะทำให้ค่าเงินของประเทศนั้น ๆ เปลี่ยนแปลงไป โดยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น โดยปกติการปรับอัตราดอกเบี้ยจะคำนึงถึง 2 อย่างคือ
- อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (อาจจะอ่อนไป หรือแข็งไป)
- อัตราเงินเฟ้อ และเงินฝืด

ECB ประกอบไปด้วย 25 ประเทศในยุโรป คือ Italy, France, Luxembourg, Belgium, Germany, Netherlands, Denmark, Ireland, United Kingdom, Greece, Spain, Portugal, Austria, Finland, Sweden, Czech Republic, Estonia, Cyprus, Latvia, Lithuania, Hungary, Malta, Poland, Slovakia และ Slovenia

Durable Goods Orders
ประกาศ แถว ๆ วันที่ 26 ของเดือน ซึ่งเป็นข้อมูลของเดือนก่อน โดยจะเป็นตัววัดปริมาณของการสั่งสินค้า การส่งสินค้า โดยจะเป็นตัววัดถึงภาคการผลิต ซึ่งหากว่าเศรษฐกิจมีปัญหาจะส่งผลให้ปริมาณการสั่งสินค้าลดลง ตัวนี้จะเป็นเหมือนตัวบอกถึง GDP และ PDE การที่ตัวเลข Durable Goods Orders มีค่าที่มากขึ้น จะบ่งบอกถึงเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ซึ่งจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

Institute of Supply Management หรือ ISM
ออก ทุกวันแรกของการทำงานของเดือน ซึ่งเป็นข้อมูลของสองเดือนก่อนหน้า ตัวนี้จะเป็นตัวที่บ่งบอกถึงภาคการผลิต ซึ่งรวบรวมข้อมูลอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับ การสั่งซื้อสินค้าใหม่, การผลิต, การจ้างงาน, สินค้าคงคลัง, เวลาในการขนส่ง, ราคา, การส่งออก และการนำเข้า การที่ตัวเลข ISM มีตัวเลขที่เพิ่มขึ้นจะแสดงถึงเศรษฐกิจที่ดี และสามารถทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้นได้

Philadelphia Fed Survey
ออก ราว ๆ วันแรกของการทำงานของเดือน ซึ่งจะเป็นข้อมูลของสองเดือนก่อนหน้า โดยการสำรวจนี้จะมองมุมกว้างในทิศทางของภาคการผลิต ซึ่งจะมีความสัมพันธ์ร่วมกับ ISM ที่มองเป็นลักษณะของการผลิตเป็นตัว ๆ ไป โดย Philadelphia Fed Survey จะบอกถึงการเปลี่ยนแปลงของยุทธวิธีของผู้ผลิต ประกอบด้วย ชั่วโมงการทำงาน, พนักงาน และอื่น ๆ ซึ่งตัววัดตัวนี้มีความสำคัญมากในระบบเศรษฐกิจ การที่ตัวเลขเพิ่มขึ้นจะทำให้ค่าเงินแข็งขึ้น

ISM Service Index หรือ Non-Manufacturing ISM
ออก ราว ๆ วันที่สามของการทำงานของเดือน ซึ่งเป็นข้อมูลของสองเดือนก่อน ซึ่งเป็นการสำรวจของกลุ่ม การเงิน, ประกันภัย, อสังหาริมทรัพย์, สื่อสาร และ ทั่วไป การที่ตัวเลข ISM เพิ่มขึ้นหมายถึง demand ที่เพิ่มขึ้น และทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

Factory Orders
ออกราว ๆ วันแรกของการทำงานของเดือน ซึ่งเป็นข้อมูลของสองเดือนก่อน Factory Order เป็นการวัดการสั่งสินค้าทั้งหมด การสั่งสินค้าที่สูงหมายถึง demand ที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะเกิดขึ้นหลังจากเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

Industrial Production
ออกราว ๆ กลางเดือน เป็นข้อมูลย้อนหลัง 1 เดือน ซึ่งเป็นตัววัดว่าการผลิตของอุตสาหกรรมได้ผลออกมาจริง ๆ เท่าไร การที่ตัวเลขออกมาสูงขึ้นหมายถึง demand ที่เพิ่มขึ้น มีผลทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

Non-Farm Productivity
ออก ราว ๆ วันที่ 7 ของเดือนที่ 2 ของ ควอเตอร์ เป็นข้อมูลของควอเตอร์ที่แล้ว อันนี้เป็นตัววัดของผลงานของคนงานและต้นทุนในการผลิตของสินค้า ในสถาวะที่เงินเฟ้อมีความสำคัญตัวเลขนี้ สามารถที่จะทำให้ตลาดเคลื่อนไหวได้ โดยถ้าตัวเลขที่ลดลงสามารถบอกถึงอนาคตที่เปลี่ยนไป เช่นตัวเลข GDP ที่ดี แต่ถ้าตัวเลขนี้ขัดกันก็สามารถทำให้ตลาดมีผลกระทบได้ การที่ตัวเลข Non-Farm Productivity เพิ่มขึ้น หมายถึงการยืนยันในเรื่องของพื้นฐานของเศรษฐกิจที่ดี และส่งผลให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

นี่เป็นระดับความผันผวนของแต่ละข่าวนะครับ เป็นค่าเฉลี่ยนะครับ

 

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/www-forexfactory-com/?/ 

ช่วงเวลาที่ควรทำกำไรในตลาด Forex

การเล่นเทรดตามข่าวและเทคนิค
  
สำหรับคนที่เทรดตามข่าว  

          เวลา 1 เดือน มี ช่วง ฟันกันแบบชี้ชัด ในสไตล์ เกมรุก ทาง เทคนิค อยู่ สองสัปดาห์ และ อีกสัปดาห์ คือ สัปดาห์ของ ข่าวร้อนแรง ข่าวฉาวโฉ่(ที่น่ากลัวในสมัย เล่นแรกๆ เพราะบางคนเก่งข่าว มาขี้โม้ให้ฟัง สมัยนี้ มันเบสิคแล้ว ขอโทษด้วยที่จับทางได้) ส่วนอีก สัปดาห์ จะวิ่ง แบบ ค่อยๆไป เทคนิค เริ่ม ใช้ได้   ครบ 4 สัปดาห์ พอดี
  

เวลาการเทรดจะแบ่งออกเป็นช่วงๆ ดังนี้
  

            
1. เมื่อ เข้าสู่ เกือบต้นเดือน และต้นเดือนพอดี จะมีข่าว แรงๆเสมอ โดยมันจะ ประกาศ ให้คนทั่วโลกกลัว เลยทำให้ นักลงทุนระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ไม่กล้า เล่นกันนัก เลยทำให้กราฟ ไม่วิ่งสักเท่าไหร่ ช่วงนี้ คือ ควรงดเทคนิค และ ระบบที่คิดว่า แน่ๆก็ งด เสีย!!!!  ควร หันมา สนใจ ในการ เล่นสั้นๆ เก็บเล็กน้อย แล้วปิด เพราะ ไม่ว่าจะ เทคนิค อะไรก็ตาม กราฟ หลอกแน่นอน ก็บอกแล้วไงครับ เป็นการรอ ราคาระหว่างนัก ซื้อและนักขาย เพื่อ รอประกาศ ข่าว

             2. สัปดาห์ที่สอง จะเริ่ม ง่ายขึ้น แต่จะยังไม่สดใส ในวันจันทร์ คือ กราฟ ซึม หม่นหมอง หดหู่ อาลัยแด่ นักลงทุนที่ขาดทุน ยับเยินจากข่าวและโดนเทคนิคอย่างจังแต่ สัปดาห์ นี้จะเริ่ม เทรด แบบ เทคนิคได้แล้ว จะไม่มีปัญหา แต่สัปดาห์ก็ควรดูสภาพตลาดด้วยก็ดี

             3. ส่วน สัปดาห์ที่ สาม ต่อมา ควรหันมาสนใจกันอย่างแรง เป็นสัปดาห์แห่งเทคนิค กลาง เดือน บางครั้งจะวิ่งตามเทคนิคตั้งแต่วันจันทร์ และวันจันทร์มักจะเริ่ม เจอเทรนที่ชัดเจน เล่นตามเทรนก็คงอิ่มกัน ทั่วหน้า ขาขึ้นจะขึ้นจนกว่าจะลง ขาลงจะลงจนกว่าจะขึ้น

             4.และสัปดาห์ก่อนสิ้นเดือน ก็แบบนี้เช่นกัน ไม่ว่า ข่าวกลางสัปดาห์ จะมาแบบไหน ถ้าไม่ใช้ ข่าว แรงๆแบบต้นเดือน ไม่มีทาง หลุดกรอบเทคนิคเคิลได้ เล่นตามเทคนิคก็จะได้ตามเทคนิค ที่เราเล่นครบ สี่ สัปดาห์ จะมีเกือบๆ สามสัปดาห์ ที่จะเล่นเทคนิคได้ แต่เทคนิคที่ชัวร์ๆ คือ กลางเดือนสองสัปดาห์ ก่อนจะสิ้นเดือน เทคนิค คืออุปกรณ์ ที่ช่วยตัวเองได้ดีที่สุด  ช่วงเวลาที่เหมาะสมเข้าทำกำไร
  
             ส่วนช่วงเวลา กราฟ มักจะ ขยับขยาย บิดเมื่อย ยักไหล่ เตรียมวิ่ง มักจะช่วง ตลาดยุโรปเปิด คือ ช่วง เที่ยง ควรมามอง หาจุดเข้า บ่ายหนึ่ง บ่ายสอง และบางครั้ง บ่ายสาม มักจะวิ่ง แต่ส่วนใหญ่จะบ่ายสอง บ่ายสาม กราฟวิ่งเสมอ  ส่วนตลาดอเมริโกย(กา) หกโมงเย็นก็มา ส่องๆมองๆ เตรียมตัวเทรด ช่วงทุ่ม ถึงสามทุ่มครึ่ง มักจะวิ่ง แต่ที่ชัดเจน สามทุ่ม มักจะ วิ่งเสมอ

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/forex-571/?/