RSS
Showing posts with label เทรดเดอร์. Show all posts
Showing posts with label เทรดเดอร์. Show all posts

ฝากความหวังไว้กับ Forex ได้จริงไหม?


 เนื่องจากวันนี้เป็นวันแห่งการเริ่มต้นการทำงานวันแห่งการเริ่มต้นสิ่งใหม่ ๆ รวมไปถึงการเทรดด้วย ผมจึงอยากเปิดอาทิตย์
นี้ด้วยบทความจากประสบการณ์ของเจ้าของกระทู้คนนี้เพื่อให้เทรดเดอร์ที่กำลังพยายามก้าวตามฝันได้มีไฟลุกสู้ขึ้นมา

คุณ pawpaw100 เข้ามาตั้งกระทู้ว่า เขาเห็นคำถามที่คนเข้ามาเทรดใหม่ชอบตั้งกระทู้เสมอว่า “Forex จะเลี้ยงชีวิตเค้าได้จริง
หรือ” “จะสามารถใช้ชีวิตด้วยการเทรดได้จริงอะ” เขาเลยอยากจะมาแบ่งประสบการณ์ส่วนตัวของเขากับคนที่นี่และหวังว่า
เทรดเดอร์หน้าใหม่จะเลิกคิดเรื่องนี้และลงมือเทรดสักที! ก่อนอื่นเขาขอยืนยันนอนยันในคำตอบของกระทู้นี้ก่อนเลยว่าคุณ
สามารถฝากชีวิตไว้กับการเทรดได้จริง ๆ นะเฟ้ย !!!! เขาเคยพบกับคนที่เป็นเทรดเดอร์เต็มตัวมาแล้วถึง 2 คน ทั้งยังเคยเห็น
บัญชีของเขาและเทรดกับเขาด้วย คนแรกเคยเป็นพนักงานแบงค์มาก่อนก็จะย้ายมาเทรด Forex เขาเทรดใน Time Frame 15
นาทีแต่วิเคราะห์กราฟจาก 1 ชั่วโมงและ 4 ชั่วโมง บางครั้งก็ Daily หรือ Weekly เลยทีเดียว เขามีพอร์ตที่ใหญ่และก็แบ่ง
พอร์ตไปลงในหุ้นกับสินทรัพย์ด้วย เขาเคยทำกำไรได้ถึง 2 หมื่นยูโรในเวลาอันสั้นในช่วงเช้า

ส่วนอีกคนหนึ่งเริ่มต้นด้วยเงินในพอร์ต 3 หมื่นเหรียญดอลลาร์ใช้เวลาปั้นพอร์ตไปจนถึง 6 แสนเหรียญในเวลา 18 เดือน เคย
ล้างพอร์ตมาก่อนแต่เขาก็ไม่ย้อมแพ้กลับไปตั้งหลักใหม่ในบัญชีทดลอง 3 บัญชีด้วยกันก่อนจะกลับมาเทรดบัญชีเงินจริงอีกครั้ง
เขาบอกว่าการเปลี่ยนจากบัญชีเงินปลอมเป็นบัญชีเงืนจริงไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเขาเพราะเขามองการเทรดแค่เฉพาะเปอร์เซนต์ที่
พอร์ตเติบโตกับจำนวนจุด (pips) ที่ได้ในแต่ละวันโดยที่ไม่ได้สนใจเลยว่าได้กำไรเท่าไหร่ เคยคิดว่ามันเป็นเหมือนเกมส์ ๆ หนึ่ง
ที่สนุกดี

ดังนั้น! หยุดฟังเสียงจากคนรอบข้างหรือคนที่เคยพ่ายแพ้ในตลาดแห่งนี้แล้วมาพูดให้คุณฟังว่า “คุณไม่มีวันทำได้” แน่นอนว่าคุณ
สามารถทำได้! ตั้งใจเทรดต่อไปและกระหายที่จะหาความรู้เกี่ยวการการเทรดมาพัฒนาตัวเองให้ก้าวขึ้นไปอีกเรื่อย ๆ ยิ่งคุณ
พยายามค้นหามากเท่าไหร่คุณก็ยิ่งจะเจอมันมากเท่านั้น เคาะประตูไปเรื่อย ๆ สักวันประตูก็จะเปิดรับให้คุณเข้าไปเองซึ่งผมก็เป็น
คนหนึ่งที่ยังเคาะประตูอยู่ซึ่งผมจะไม่หยุดหาหรือหยุดเคาะประตูแน่นอน ทุกวันนี้ผมพอใจมากที่ผลการเทรดของผมขึ้นมา 83%
ถึงแม้จะเป็นบัญชีเดโม่ก็เถอะ ผมคิดว่าจะเปิดบัญชีเดโม่เพิ่มอีก 2 บัญชีเพื่อหาข้อผิดพลาดของวิธีการเทรดของตัวเองและแก้ไข
มันแล้วค่อยเปลี่ยนไปเล่นบัญชีจริงซึ่งผมมั่นใจว่าสักวันหนึ่งผมจะเป็นเทรดเดอร์ที่ดีเหมือนกับคนสองคนที่ผมยกตัวอย่างไปก่อน
หน้านี้ เพื่อเป็นกำลังใจให้กับเทรดเดอร์หน้าใหม่ ผมจึงอยากจะยืมคำพูดของเพื่อนผมมาพูดสักหน่อย

เขาบอกกับผมว่า “การเทรดเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาเพื่อศึกษามัน ฉันคิดว่าปัญหาที่นายกำลังเจอตอนนี้คือนายอยากจะ
ประสบความสำเร็จ อยากรวย ณ ตอนนี้เวลานี้เลยซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ ตลาดแห่งนี้ต้องการให้นายเรียนรู้กับมันอย่าง
จริงจังเพื่อพิสูจน์ตัวเองซะก่อนว่านายเจ๋งพอที่จะได้ครอบครองคำว่า “ประสบความสำเร็จ” เปรียบเทียบง่าย ๆ กับการ
เล่นฟุตบอล นายไม่ได้กลายเป็น คริสเตียโน โรนัลโด้ ทันทีที่นายเริ่มเตะบอล นายจะต้องฝึกเล่นบ่อย ๆ และอยู่กับ
ลูกบอลทุกวันจนถึงขั้นหมกมุ่นเลยละ การเทรดก็ไม่แตกต่างไปจากการเป็นนักฟุตบอลมืออาชีพเลยสักนิด นายต้อง
ทุ่มเทใส่ใจและอุทิศเวลาให้กับการเทรด ไม่มีทางลัดใด ๆ สู่ความสำเร็จ ไม่มีเทรดเดอร์คนไหนที่ประสบความสำเร็จจาก
การใช้ระบบเทรดของชาวบ้านหรือเพียงเพราะเข้าร่วมสัมมนาการเทรดหรอก การที่นายจะได้กลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า
“คนรวย” หรือ มีอิสรภาพทางการเงินจากการเทรดต้องผ่านอะไรเยอะแยะกว่านั้น ต้องมีทั้งการอุทิศ มีไหวพริบ และ
ความอดทน นายอาจจะล้างพอร์ตหรือโดนกราฟน๊อกนายลงไปนอนกองกับพื้นแต่นายต้องลุกขึ้นมาให้ได้ เลือกวิธีการ
เทรดที่เหมาะกับนายมาแล้วก็เทรด เทรด เทรด ไปเรื่อย ๆ ล้มแล้วลุกอีก ล้มแล้วลุกอีก หากพบจุดอ่อนของวิธีการเทรด
ของตัวเองก็หาวิธีมาแก้ไขมันให้ได้ เคยมีคนบอกกับฉันว่ามันจะต้องใช้เวลาเป็นหมื่น ๆ ชั่วโมงเลยทีเดียวแต่นายพร้อม
จะทำเพื่อมันไหมละ?

มุ่งมั่น จดจ่อ หมกมุ่นอยู่กับระบบและวิธีคิดของนาย ทุกระบบและกลยุทธ์สามารถทำกำไรได้หมดแต่ไม่ได้หมายความ
ว่าทุกระบบและกลยุทธ์จะเหมาะกับทุกคน หาวิธีเทรดที่เป็นของนาย สร้างขึ้นมาเพื่อนาย เพื่อนายคนเดียวให้เจอ อย่า
ลืมที่จะอ่านหนังสือเกี่ยวกับการเทรดดี ๆ ด้วยละ หนังสือเหล่านั้นอาจจะช่วยจุดประกายความคิดให้นายได้ และเมื่อวัน
หนึ่งที่นายได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่านายแน่พอเจ๋งพอที่จะได้รับคำว่า “อิสรภาพทางการเงิน” นายก็จะได้มันเอง”


 หลาย ๆ คอมเม้นหลังจากนั้นก็เข้ามาเห็นด้วยกับเจ้าของกระทู้ซะส่วนมาก บางคนก็บอกว่า ขอบคุณนะ สำหรับคำพูดดี ๆ มันช่วย
กระตุ้นไฟในตัวเราได้ดีมาก ๆ เลยละ บางคนก็บอกว่า ใช่เลย ผมเห็นด้วยกับบทความนี้


 คุณ mm2mm เข้ามาเสริมว่า เป็นกระทู้ที่ดีมากเลยนะครับ ผมขอเสริมอีกนิดจากประสบการณ์ตรงของผมเอง ผมเริ่มเทรดมาได้
ประมาณ 1 ปีละและสิ่งที่ผมได้รับมาและอยากจะมอบมันให้กับเทรดเดอร์หน้าใหม่คือ “อย่า Overlot เด็ดขาด”การเทรดด้วย
เงิน 100$ กับ 10000$ เหรียญนั้นเหมือนกันหากเรามองในแง่ของเปอร์เซนต์อะนะ คนส่วนมากเมื่อได้เงินมากขึ้นมักจะชอบเพื่อ
lot ของตัวเองขึ้นมาเกินกว่าที่ควรจะเป็นซึ่งมันคือหายนะดี ๆ นี่เอง สมมุติว่ามีเทรดเดอร์คนหนึ่งมีเงินในบัญชี 30000$ และ
สามารถทำกำไรได้ 10% ต่อเดือน เขาสามารถอยู่ได้แบบสบาย ๆ หากคุณโลภ คุณจะทำลายทุกสิ่งที่คุณสร้างมาเพราะอารมณ์
กังวล โลภ โกรธ เป็นต้นนี่เป็นสิ่งที่เทรดเดอร์หน้าใหม่ควรระวัง มันเป็นไปไม่ได้ที่คุณจะมีชีวิตจากการเทรดด้วยเงินเล็ก ๆ ในบัญชี
100$ แต่คุณสามารถใช้มันในการปั้นไปเรื่อย ๆ จนถึง 1 พัน 2 พัน 3 พันได้ ดังนั้นจงอย่าหมิ่นเงินน้อย แต่ฝึกไปเรื่อย ๆ และ
วันหนึ่งคุณจะได้สิ่งที่คุณฝันมาครอบครองเอง


 ผมเชื่อว่าเกิน 90% ขึ้นไปทุกคนที่เข้ามาในตลาดแห่งนี้มีจุดประสงค์เดียวกัน แต่สิ่งที่ทุกคนเข้ามาและมีไม่เหมือนกันคือ ความ
พยายาม บางคนเข้ามาเพราะอยากรู้อยากลอง บางคนเข้ามาแบบเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง บางคนมาแบบฝากความหวังทั้งชีวิตไว้กับ
Forex วัฏจักรของวงการนี้ที่ผมเห็นจนชินตาก็คือแรก ๆ จะมีคนเข้ามาแล้วทำกำไรได้ จากนั้นก็จะล้างพอร์ตแล้วก็โทษว่า Forex
ทำไม่ได้จริง Forex มันการพนันชัด ๆ แล้วก็ออกไป ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้เริ่มต้นถึง 10% ของระยะทางทั้งหมดเลย การเข้ามาที่นี่
แล้วตั้งคำถามว่า “เราจะได้อะไรออกไปจากตลาดนี้” ผมว่ามันไม่ถูก ผมอยากจะให้ทุกคนที่อ่านบทความนี้ถามกับตัวเองว่า “คุณ
พร้อมที่จะทุ่มเทกับตลาดแห่งนี้มากแค่ไหน” “คุณกล้าทำทุกอย่าง ทิ้งบางสิ่งที่ไม่จำเป็น เปลี่ยนตัวเองเพื่อ Forex รึเปล่า?”  ไม่
ว่าจะต้องทำการบ้านหนักแค่ไหน หาข้อมูลเยอะแค่ไหน อ่านหนังสือภาษาอังกฤษที่ตัวเองไม่ค่อยจะเก่ง คุณกล้าทุ่มเททำเพื่อให้
ตัวเองได้มาในสิ่งที่คุณพูดกับตัวเองว่าอยากได้รึเปล่า

ผมจะแชร์ประสบการณ์ส่วนตัวของผมให้ฟังนะครับ ก่อนที่ผมจะหันมาเทรด Price Action อย่างทุกวันนี้ เมื่อ 2 ปีก่อนสมัยที่ผม
พึ่งเริ่มเทรดใหม่ ๆ หลังจากที่ย้ายออกจาก Marketiva มาเริ่มเทรดใน MT4 ผมได้เอาระบบคนนั้นคนนี้มาใช้มากมาย ทุก ๆ วัน
ผมจะต้องนั่งทำ Backtest ที่เขียนด้วยมือย้อนหลังกลับไป 1 ปีอย่างน้อยวันละ 1 ระบบ ถึงแม้จะมีการบ้านจากมหาลัยหนัก
หนาแค่ไหนก็ตามผมก็ต้องทำ Backtest ให้ได้ 1 ระบบทุกคืนให้ได้ เสาร์-อาทิตย์ นี่ก็ไม่เว้นครับ ยิ่งนั่งทำวันละ 2-3 ระบบ
ผมทำอย่างงี้มาอยู่ 2 ปี สิ่งที่ผมได้ตอบแทนมาจากสองปีนี้คือ ความว่างเปล่ากับความรู้ที่ว่า “อินดิเคเตอร์ยังไงก็วิ่งช้ากว่ากราฟ”
ผมใช้เวลาถึง 2 ปีเพื่อให้ได้รู้คำตอบคำนี้ แต่ผมก็ไม่ยอมแพ้ ผมยอมที่จะยอมรับผลของผมและก้าวออกมาจากกะลาของตัวเอง
ยอมเปลี่ยนตัวเองจากคนเก็บตัวเทรดออกมาหาความรู้จนได้มาเจอกับอาจารย์แมค จนกระทั่งวันหนึ่งอาจารย์แมคก็ให้หนังสือที่
มีชื่อว่า Reading Price Chart Bar by Bar ให้กับผมแล้วบอกกับผมว่า “อ่านมันให้จบ” เป็นภาษาอังกฤษล้วนเลย ตอนนั้น
ผมไม่เข้าใจหรอกครับยังคิดอยู่เลยว่า “ทำไมไม่สอนผมไปเลยอะ ง่ายกว่าเยอะ” แต่ผมก็กลับมาถามตัวเองอีกครั้งว่า “ทุกวันนี้
มายืนอยู่ตรงนี้เพราะอะไร” หัวใจผมมันก็ยังตอบเหมือนเดิมว่า “เพราะอยากมีอิสรภาพและถึงแม้ว่าจะต้องผ่านอะไรที่ลำบากกว่านี้
เพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้นผมก็พร้อมจะทำ” ผมจึงเริ่มอ่านหนังสือเล่มนั้นจริงจังจนสุดท้ายตัวเองก็ก้าวผ่านจุดที่คิดว่าตัวเองทำ
ไม่ได้และเป็นหนังสือภาษาอังกฤษเล่มแรกที่ผมอ่านจบอย่างจริงจัง ทุกวันนี้ผมต้องขอบคุณอาจารย์แมคจริง ๆ ที่ให้ผมอ่าน
หนังสือเล่มนี้ เพราะมันเปลี่ยนความคิดผมไปเยอะมากและผมก็มีความสุขกับการเทรดในปัจจุบันมาก ๆ เพราะหนังสือเล่มนี้

แล้วคุณละครับ? เข้ามายืน ณ จุดนี้เพราะอะไร? พร้อมที่จะทิ้งความลังเลที่มีอยู่ในสมองว่าจะฝากชีวิตไว้กับตลาดแห่งนี้แล้วลงมือ
ฝึกฝนแล้วหรือไม่? พร้อมที่จะเลิกหาข้ออ้างให้ตัวเองดูไม่ผิดและลงมือทำหรือยัง? ตลาดแห่งนี้ไม่ใช่ที่เล่นขายของ หากคุณไม่
คิดจะจริงจังกับมัน ผมแนะนำว่าให้เอาเงินไปทำอย่างอื่นดีกว่า แต่ถ้าอยากจะเปลี่ยนชีวิตโดยตั้งมั่นแล้วว่า “จนกว่าจะได้ในสิ่งที่
ต้องการฉันจะไม่ถอย” ก็สู้ให้เต็มที่เลยครับ เมื่อไหร่ที่ล้มก็ให้ลุก ล้มอีกก็ลุกอีก จนกว่าคุณจะชินกับการล้มและสักวันคุณก็จะไม่
ล้มอีกต่อไป

ปล. ที่ผมบอกว่าให้ทิ้งทุกอย่างเพื่อเทรด ไม่ได้หมายความว่าต้องขายบ้านขายรถเพื่อเทรดนะครับ สิ่งที่ผมอยากให้ทิ้งคือ ความลังเล ความไม่แน่ใจ ความสงสัยว่าสิ่ง ๆ นี้จะเปลี่ยนชีวิตคุณได้รึเปล่า จำไว้ว่าเงินที่คุณจะนำมาเทรดจะต้องเป็นเงินเย็นไม่ใช่เงินร้อนนะครับ

 ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/forex-680/?/

นโยบายการเงิน


นโยบายการเงิน
เมื่อ เราคุยกันถึงธนาคารกลางก็เป็นไปไม่ได้ที่เราจะไม่พูดถึง "นโยบายการเงิน"  โดย หน้าที่หลักของธนาคารกลางทั้งหลายต่างก็มีเป้าหมายหลักๆที่เหมือนกัน คือ การนำพาเศรษฐกิจให้เจริญเติบโต และรักษาเสถียรภาพด้านราคา โดยธนาคารกลางที่ส่วนใหญ่มักจะเป็นหน่วยงานที่ได้รับอิสระไม่มากมากก็น้อย จากรัฐบาล ทีรู้จักกันดีคือ ECB, FED, BOJ, BOE ซึ่งเป็นอิสระ แต่บางหน่วยงานก็เชื่อมโยงโดยตรงกับรัฐบาลเช่นในประเทศจีน
และเครื่องมือ ที่จะทำให้งานของพวกเขาบรรลุเป้าหมายได้ก็คือ "นโยบายการเงิน" เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของพวกเขา ธนาคารกลางจะใช้นโยบายการเงินเพื่อควบคุมสิ่งต่างๆดังต่อไปนี้

    อัตราดอกเบี้ยที่ผูกติดอยู่กับมูลค่าของเงิน
    การเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ
    ปริมาณเงิน
    ความต้องการสำรองของธนาคาร
    ลดช่องว่างในการกู้ยืมแก่ธนาคารพาณิชย์


ประเภทของนโยบายการเงิน
รูปแบบของนโยบายการเงินจะแบ่งเป็น 3 เภทที่แตกต่างกัน คือ
- Contractionary หรือ Restrictive monetary policy คือ นโยบายการเงินที่เข้มงวด เป็นนโยบายที่จะเกิดขึ้นเมื่อต้องการลดปริมาณเงิน นอกจากนี้ยังใช้ในการขึ้นอัตราดอกเบี้ยด้วย
- Expansionary monetary policy คือ นโยบายเพื่อการขยายตัว หรือที่เราได้ยินกันบ่อยๆว่านโยบายผ่อนคลายทางการเงิน จะเป็นการเพิ่มปริมาณเงิน หรือลดอัตราดอกเบี้ย ทำให้ต้นทุนการกู้ยืมลดลงเพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่าย และมีการลงทุนเพิ่มมากขึ้น
นโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย จะมีเป้าหมายเพื่อที่จะสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยการลดอัตราดอกเบี้ย ในขณะที่นโยบายการเงินที่เข้มงวดจะถูกใช้เพื่อลดอัตราเงินเฟ้อหรือยับยั้ง การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจโดยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
- Neutral monetary policy คือ การดำเนินนโยบายการเงินที่เป็นกลางซึ่งจะไม่มุ่งเน้นที่จะสร้างความเจริญ เติบโตของเศรษฐกิจ หรือ ต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อ
สิ่งสำคัญที่จะต้องจำไว้ เกี่ยวกับเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อ คือ เป้าหมายอัตราเงินเฟ้อของธนาคารกลางปรกติจะอยู่ที่ 2% ซึ่งพวกเขาอาจจะไม่ได้ออกมาบอกให้เราทราบว่ามันคือเป้าหมายนะ แต่ว่าการดำเนินงานของพวกเขาจะมุ่งมั่นเพื่อที่จะให้ได้เป้าหมายประมาณนี้  เพราะพวกเขารู้ว่าอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นในอัตราที่พอเหมาะนั้นดีต่อ เศรษฐกิจ แต่อัตราเงินเฟ้อที่มากเกินไปสามารถทำลายความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อ ระบบเศรษฐกิจของประเทศ, งานของพวกเขา และท้ายที่สุด เงินของพวกเขา
และ การที่มีระดับเป้าหมายของอัตราเงินเฟ้อ ก็เป็นการช่วยให้นักลงทุนในตลาดสามารถเข้าใจ และคาดเดาได้ว่านาคารกลางจะจัดการกับสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันของพวกเขายังไง
ตัวอย่างเช่น
ย้อน กลับไปในเดือนมกราคมของปี 2010  อัตราเงินเฟ้อในสหราชอาณาจักรพุ่งขึ้นถึง 3.5% จาก 2.9% ในเวลาเพียงหนึ่งเดือน ด้วยอัตราเงินเฟ้อเป้าหมายที่ 2% ซึ่งอัตราใหม่ที่ 3.5% นั้นเป็นอัตราที่สูงเกินกว่าเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศอังกฤษ
ผู้ว่า การธนาคารแห่งประเทศอังกฤษ (BoE) ได้ติดตามผลรายงานด้วยความมั่นใจว่ามันเกิดจากปัจจัยชั่วคราที่เกิดขึ้น อย่างฉับพลัน และเพื่อจะปรับให้อัตราเงินเฟ้อในปัจจุบันลดลงมาอยู่ในระดับใกล้เคียงกับ ระดับเป้าหมาย BoE  ก็จะใช้นโยบายการเงินเป็นเครื่องมือ
นี่คือตัวอย่าง ที่แสดงให้เห็นว่า เป็นการดีที่จะรู้ว่านาคารกลางจะทำหรือไม่ทำอะไรที่มีความสัมพันธ์กับเป้า หมายอัตราดอกเบี้ย (เราเคยเขียนเรื่องความสำคัญของอัตราดอกเบี้ยไปแล้ว ถ้าใครยังไม่เข้าใจให้ไปดูได้ที่บทความก่อน หน้าhttp://www.thaiforexschool.com/viewfulldetial.php?id=213 )
เพราะ เทรดเดอร์ต้องการความมั่นคง ธนาคารต้องการเสถียรภาพ และ สภาพเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพ ดังนั้นการรู้ว่าเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อตอนนี้อยู่ที่ระดับไหน ก็จะเป็นการช่วยให้เราเข้าใจว่าทำธนาคารกลางจึงทำในสิ่งที่พวกเขาทำลงไป


วงจรการหมุนเวียนของนโยบายการเงิน
โดย ปรกติแล้ว การปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยในการดำเนินโยบายการเงินจะค่อยๆปรับเพิ่มขึ้นทีละ น้อย เพราะการปรับขึ้นอัตราดิกเบี้ยที่รุนแรงจะทำให้ธนาคารกลางเกิดความวุ่นวาย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมทั้งระบบ ทำให้เรามักจะเห็นการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยที่ประมาณ 0.25-1% ในช่วงระยะเวลาของการปรับอัตราดอกเบี้ยแต่ละครั้ง
และส่วนหนึ่งที่จะ สร้างความมั่นคงนี้คือระยะเวลาที่จำเป็นในการปรับเปลี่ยนอัตราตราดอกเบี้ย ซึ่งอาจจะกินระยะเวลาหลายเดือนหรืออาจจะใช้เวลาเป็นหลายปี (เพราะปรับได้ทีละนิด) การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาจจะเหมือนกับการเหยียบเบรครถยนต์ ในขณะที่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนั้นสามารถทำได้เหมือนกับการเหยียบคันเร่ง
ช่วงระยะเวลาของการเปลี่ยนแปลงในนโยบายการเงินที่จะมีผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงต่อเศรษฐกิจอาจใช้เวลาประมาณ 1-2 ปี

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/t658/?/

Fibonacci มือใหม่ควรใช้

Fibonacci เป็นเครื่องมือเครื่องมือที่ใช้วัดหา แนวรับ –แนวต้านและหาราคาเป้าหมายของราคาในตลาดForex เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ใช้กันมากเพราะ Fibonacci ใช้ง่าย และเป็นพื้นฐานที่เราควรจะรู้
สัดส่วนของ fibonacci ได้แก่ 0 (0%) , 0.236(23.6%) ,0.382(38.2%) ,0.500(50%),0.618(61.8%) , 0.764(76.4%) , 1.00(100%), 1.382(138.2%) , 1.618(161.8%) , 2.618(261.8%) และ 4.236(423.6%) ดังรูปด้านล่าง


วิธี การใช้ Fibonacci ก่อนอื่น เรามาตั้งค่า Fibonacci ในโปรแกรม Mt4 ของเราก่อน ถ้าใครยังไม่รู้ ให้ไปดาวโหลดและดูวิธีการสมัครขั้นตอนการติดตั้งโปรแกรม Mt4 สำหรับเทรด forex
เลือก Fibonacci โดยเข้าไปที่ Insert >> Fibonacci >> Retracement แล้วก็เอามาลากบนกราฟ โดย Fibonacci แบบเดิมๆ ที่ให้มากับ Mt4 จะไม่มีราคาติดอยู่ที่ระดับต่างๆของ Fibonacci ดังรูปด้านล่าง


- เมื่อเรามี Fibonacci อยู่บน Chart แล้ว ให้ คลิกขวาที่ Chart เลือก Objects List แล้วเลือก Fibo จากนั้นเลือก Edit
- เมื่อคลิกที่ Edit แล้ว ให้คลิกที่ Fibo Levels จากนั้นให้เติมคำว่า =%$ ลงไปต่อท้ายที่ช่อง Descriptions ทุกตัว
Edit-fibo


- เมื่อ ทำเสร็จแล้วจะได้ดังรูป


การใช้ Fibonacci Retracement
1. ใช้เพื่อหาแนวรับแนวต้าน (Support and Resistance)
-หา จุดต่ำสุด(Low) และ หาจุดสูงสุด High ก่อน โดยหาจากยอดคลื่นล่าสุด และ ก้นบึ้งล่าสุด ดังรูป


เมื่อ ราคาได้เคลื่อนตัวลงมาแล้ว ราคาจะขึ้นไปปรับตัวที่ระดับ Fibonacci Retracement 38.2 , 50.0 และ 61.8 เราสามารถใช้ จุดเหล่านี้เป็นแนวต้านของราคาได้ ถ้าราคาไม่สามารถผ่านแนวต้าน (resistance ) นี้ได้ ราคาก็จะปรับตัวลงต่อ และมาทดสอบที่ Low เดิม แต่ถ้าสามารถผ่าน แนวต้านนี้ได้ ราคาก็จะกลับไปทดสอบ High เดิม เช่นเดียวกัน
2.ใช้ Fibonacci Retracement เพื่อหาราคาเป้าหมาย (Target price )
-ทุกๆ ครั้งที่เราทำการเข้าเทรด เมื่อเข้าไปแล้ว เราก็ต้องหาราคาเป้าหมาย ว่ามันควรจะไปถึงไหน ซึ่ง Fibonacci Retracement สามารถบอกเราได้ ว่ามันควรจะไปแค่ไหน แต่จงจำไว้นะครับ ว่าทุกอย่างเป็นเพียงแค่การคาดการณ์ ไม่ได้ตรงแปะเสมอไป


จาก รูปด้านบน จะเห็นว่า ราคาสวิงขึ้นจาก Low ไปที่ High แล้วราคามีการปรับตัวลงมา ตำแหน่งที่ปรับฐาน หรือ แนวรับ ที่เราควรจะสังเกตก็คือ ที่ระดับ Fibonacci Retracement 61.8 , 50.0 และ 38.2 จากรูปด้านบนจะเห็นว่าราคาไม่สามารถผ่าน 50.0 ไปได้ หรือบางครั้งเราอาจจะเรียกตำแหน่งนี้ว่า Pivot Point เมื่อราคาดีดตัว ตรงนี้ เราก็คาดการณ์ได้เลย ว่ามันต้องขึ้นแน่ๆ ก็ เปิด Long (Buy) ได้เลย แล้ว ตั้ง TARGET ไว้ที่ Fibonacci Retracement 161.8
หวังว่าวิธีนี้คงเป็นประโยชน์ กับเพื่อนๆนะครับ หากมีข้อสงสัยอะไร สามารถ Comment ไว้เลยนะครับ ผมจะกลับมาตอบให้

 ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/fibonacci-653/?/

Pivot Point


 เครื่อง มืออีกชิ้นหนึ่งที่เราอยากแนะนำให้ท่านรู้จัก คือ Pivot Point เทรดเดอร์มืออาชีพ และ Market Maker นิยมที่จะใช้ Pivot point นี้มาเป็นเครื่องมือในการหาแนวรับแนวต้านที่สำคัญ ที่อาจเกิดการกลับตัวของราคาได้ในระดับแนวรับแนวต้านนั้นๆ เราอาจเห็นว่า Pivot point นั้นมีความคล้ายคลึงกับ Fibonacci อยู่มากทีเดียว แต่ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างทั้งสองอย่างก็คือการใช้ Fibonacci เราสามารถเลือกจุดสวิงสูงสุด และต่ำสุดได้ตามที่เราต้องการ แต่การใช้ Pivot point เราจะไม่สามารถเลือกสวิงได้ แต่เราจะใช้ค่าเดียวที่ได้จากการคำนวณ
เจ้า Pivot point นี้เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์มากสำหรับเทรดเดอร์ระยะสั้น ที่กำลังมองหาความได้เปรียบในการเคลื่อนไหวของทิศทางราคาในระยะสั้น สามารถใช้ในการเล่น Swing trade โดยใช้หาจุดกลับตัวของราคา รวมทั้งยังสามารถหาจุด Breakout ของราคา และ ยังใช้ในการดูแนวโน้มระยะสั้นของแต่ละวันได้อีกด้วย
ตัวอย่างหน้าตาของ Pivot point


 การคำนวณหา Pivot point
การ คำนวณ ระดับของ Pivot point และเส้นแนวรับ - แนวต้าน จะถูกคำนวณจากราคา  ราคาสูงสุด(H) , ราคาต่ำสุด(L) และ ราคาปิด (C) ของวันก่อนหน้านี้ และตั้งแต่ที่ตลาด Forex มีการเปิดทำการ 24 ชั่วโมง เทรดเดอร์ส่วนใหญ่จะใช้เวลาปิดตลาดนิวยอร์ก คือ 04:00 EST เป็นเวลาปิดของตลาด
การคำนวณหา Pivot Point มีดังต่อไปนี้
Pivot point (PP) = (High + Low + Close) / 3

แนวรับแนวต้านที่ใช้ร่วมกัน จะถูกคำนวณหาจากค่าของจุด Pivot point ที่ได้อีกทีหนึ่ง
แนวต้านที่ 1 (R1) = (2 x PP) - Low
แนวรับที่ 1 (S1) = (2 x PP) - High

แนวต้านที่ 2  (R2) = PP + (High - Low)
แนวรับที่ 2   (S2) = PP - (High - Low)

แนวต้านที่ 3  (R3) = High + 2(PP - Low)
แนวรับที่ 3 (S3) = Low - 2(High - PP)

นี่ คือหลักในหารคำนวณ แต่คุณไม่ต้องกังวลเรื่องการคำนวณเหล่านี้เลย เพราะมีโปรแกรมที่ช่วยคำนวณหาทุกอย่างให้คุณอย่างเสร็จสรรพ หรือแม้แต่ Indicator ที่คุณสามารถนำมาใส่ในกราฟแล้วใช้ได้เลย ไม่ต้องมานั่งคำนวณเอง และในบางโปรแกรมยังให้รายละเอียดมากกว่าการคำนวณด้านบนด้วยซ้ำ คือมีการเพิ่มจุดกึ่งกลางระหว่างเส้นต่างๆเพิ่มขึ้นมาอีก ซึ่งเส้นกึ่งกลางที่เพิ่มขึ้นมานี้ก็ไม่ได้มีนัยสำคัญอะไรเหมือนกับเส้นหลัก แต่ก็แค่มีเพิ่มขึ้นมาเท่านั้น ดังตัวอย่างในภาพ

Pivot Point


การใช้งาน Pivot Point
การ ใช้งาน Pivot point อย่างแรกเลยก็คือ ใช้เป็นแนวรับแนวต้านได้เป็นอย่างดี เพราะราคามันจะมาเทสที่เส้น ยิ่งมาเทสบ่อย แล้วไม่วิ่งผ่านทะลุไป หมายความว่าแนวรับ หรือแนวต้านนั้นมีความแข็งแกร่งมาก แสดงว่ามีแนวโน้มมาก ที่ราคาจะมีการกลับตัวได้ในตำแหน่งนั้นๆ
เมื่อราคาวิ่งมาอยู่บริเวณ Pivot point จะส่งสัญญาณที่ดีในการเทรดว่าควรจะเปิด Buy หรือ Sell และควรตั้ง TP และ SL ไว้ที่ไหน ซึ่งโดยปรกติแล้ว ถ้าราคาอยู่เหนือเส้น Pivot จะแสดงถึงแนวโน้มขาขึ้น และ ถ้าต่ำกว่าเส้น Pivot ก็จะแสดงแนวโน้มขาลง บางคนจึงใช้จุดนี้ในการเข้าเทรดได้แบบง่ายๆ คือ ราคาอยู่เหนือ Pivot point ก็บาย ต่ำกว่า Pivot point ก็เซล ตามไป SL แค่เหนือน หรือต่ำกว่า จุด Pivot point ง่ายมั้ยคะ !!
ส่วนถ้าคุณเห็น ราคาอยู่ใกล้กับเส้นแนวต้านด้านบน คุณก็เซลลงมา และตั้ง SL เหนือระดับแนวต้านนั้น หรือถ้าคุณเห็นราคาอยู่เหนือเส้นแนวรับ คุณก็บายขึ้นไป และตั้ง TP ที่แนวต้านด้านบน และ ตั้ง SL ไว้ใต้แนวรับนั้น หรือห่างออกไปอีกแนวรับหนึ่ง ซึ่งก็แล้วแต่สถานการณ์และวิจารณญาณในขณะนั้นของแต่ละคน


ก็ เหมือนกันแนวรับแนวต้านทั่วๆไป Pivot point นั้นก็ต้านราคาไม่อยู่ตลอดไป บางครั้งราคาอาจจะวิ่งทะลุเส้นไปเป็น Breakout และบางทีราคาก็มาไม่มาเทสที่เส้นแนวรับแนวต้านต่างๆ อาจจะวิ่งมาแค่เฉียดๆ หรือ อยู่ในระยะที่ใกล้เคียง ก็เพราะมันไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ และไม่มีอะไรที่แน่นอน ดังนั้นบางครั้งถ้าเรามัวแต่รอให้ราคาวิ่งมาชนที่เส้น เราก็อาจพลาดจังหวะการเข้าออเดอร์ได้ เราลองมาดูตัวอย่างกัน ที่ EUR/USD TF M15


 เรา จะเห็นว่า EUR/USD วิ่งขึ้นเป็นเทรนอย่างแข็งแกร่งตลอดทั้งวัน เราเห็นว่าราคาเปิดขึ้นเป็น Gap ขึ้นไปเหนือเส้น Pivot point ราคาวิ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งก่อนที่จะปรับระดับลดลงมาใกล้ๆ กับ ระดับ R1 แต่ไม่มาแตะที่เส้น แล้วในที่สุดก็พุ่งทะลุระดับ R2 ขึ้นไป 50 จุด ซึ่งถ้าในกรณีนี้คุณ ได้ตัดสินใจเข้าบาย ตอนที่เห็นราคาวิ่งทะลุเส้น R2 ขึ้นไป คุณก็จะทำกำไรได้ แต่ถ้าคุณรอที่จะให้ราคามาเทสที่เส้น R1 ก่อน คุณก็ต้องพลาดโอกาสไปอย่างช่วยไม่ได้ เพราะในตัวอย่างราคาไม่ได้กลับลงมาเทส ที่ R1 และ R2 เลย และสังเกตว่าราคาวิ่งไปถึง R3 เลยด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ ตามถ้าคุณยึดหลักการเข้าออเดอร์แบบก้าวร้าว คุณก็อาจโดนหลอกได้จากการพักตัวครั้งแรกของราคา ถ้าจุด SL ของคุณใกล้เกินไปราคาก็อาจจะวิ่งไปโดนได้ และต่อมาคุณก็อาจเห็นว่าราคามันทะลุมาได้ในที่สุด
หลังจากที่คุณจะเห็น ว่าราคาทะลุผ่านแนวต้านไปแล้ว มันก็จะกลับมาเทสเส้นแนวต้านที่มันเพิ่งผ่านทะลุไปเช่นกัน และสังเกตว่าราคาได้กลับตัวในวันต่อมาโดยปรับตัวลดลงทะลุแนว R3 ตอนนี้ก็เป็นโอกาสในการเปิดเซล เมื่อราคากลับมาเทสที่เส้น R3 (ตามภาพ)
จงไว้ว่า เมื่อแนวรับถูกทำลายมันจะกลายเป็นแนวต้านแทน (ตามหลักการ แนวต้าน กลายเป็นแนวรับ แนวรับ กลายเป็นแนวต้าน)

ไม่ ว่าเราจะใช้เครื่อมือใดๆก็ตามแต่ อย่างไรซะในการเทรดมันก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ โดยพาะอย่างยิ่งในตลาด Forex ที่มีความผันผวนสูง ดังนั้นเราจึงควรมีเงื่อนไขในการเทรดด้วย ว่าเมื่อไหร่เราควรทำอะไร ต่อไปนี้เป็นภาพตัวอย่างการตั้ง TP และ SL


สังเกต ว่า เมื่อราคาวิ่งผ่านแนวต้านแต่ละแนวไป เราจะเซท SL ไว้ที่ใต้แนวรับนั้นๆ ส่วน เป้าหมายราคาหรือ TP ก็จะเป็นแนวต้านต่อๆไป หรือ ถ้าเป็นในทางกลับกัน ราคาวิ่งลงมา เราก็จะเซท SL ไว้ที่เหนือแนวต้าน แล้ว TP ที่แนวรับถัดๆไป นี่เป็นหลักการเบื้องต้นง่ายๆในการใช้ Pivot point ในการเทรด ประโยชน์ของมันเล็กน้อยแต่มากมายมหาศาลสำหรับคนที่รู้จักการนำมาปรับใช้

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/pivot-point/?/

Divergence and Convergence

Divergence and Convergence (ไดเวอร์เจนซ์ และ คอนเวอร์เจนซ์)

Divergence and Convergence Trading
สวัสดี ครับเพื่อนๆทุกคน วันนี้ขอนำเสนอ วิธีการเทรดโดยการดู Divergence วิธีนี้เทรดเดอร์มือใหม่ควรจะเรียนรู้เอาไว้นะครับ เพราะสามารถใช้ทำกำไรได้ดีทีเดียว เทรดเดอร์บางคนเทรดมาหลายปีแล้วยังไม่รู้เลยครับ ว่า

Divergence และ Convergence คืออะไร วันนี้ผมจะเขียนบทความให้อ่านนะครับ
Divergence เป็นการวิเคราะห์ทางเทคนิคอีกแบบหนึ่งที่นิยมใช้กันมากในการวิเคราะห์ ในตลาดฟอเร็กซ์หรือแม้แต่ตลาดหุ้น  เพราะ Divergence เป็นวิธีการเทรดที่ง่ายและเข้าใจง่าย


    Divergence คือ การแยกออกจากกัน ความขัดแย้งกันของราคาและตัวชี้วัด(Indicator) หมายความว่า ทิศทางของราคาและทิศทางของตัวชี้วัด Indicator จะตรงกันข้ามกัน


    Convergence คือ การลู่เข้ามาหากัน ลู่เข้ามาบรรจบกัน ในการวิเคราะห์เราจะหมายความว่า ทิศทางของราคา และทิศทางของตัวชี้วัด Indicator จะไปในทิศทางเดียวกัน

ตัวชี้วัด Indicators ที่ใช้ในการดู Divergence และ Convergence ที่ใช้กันทั่วไป ส่วนมากจะเป็น Oscillators Indicator คือ Indicators ที่วัดการแกว่งของราคา ได้แก่ Relative Strength Index (RSI) , Moving Average Convergence Divergence (Macd) , Stochastic Slow (Sto) , Commodity Channel Index และ William's Percent Range (W%R)
ตัวชี้วัดเหล่านี้ ผมได้ทดลองใช้แล้วพบว่าดีที่สุดสำหรับการดู Divergence

     Divergence มี 2 ประเภท คือ Divergence Bullish คือ ราคาทำจุดต่ำสุดใหม่(New Low) เมื่อเทียบกับจุดต่ำสุดเก่า (Low)  แต่ตัวชี้วัด(indicator) ทำจุดต่ำสุดใหม่(New Low) สูงกว่าจุดต่ำสุดเก่า(Low)  ดูรูปด้านล่างครับ


Bullish Divergence

จากรูปจะเห็นว่าความชันของ Indivator จะเป็นบวก

EX. Bullish Divergence Chart เป็นกราฟ ของ GBP/USD


- ทริคในการดู Bullish Divergence ให้ได้ผลออกมาดีที่สุด คือ เราต้องรอให้ราคาที่มาทำ New Low มีการดีดตัวกลับก่อน ตรงตำแหน่ง New Low ต้องเกิด Bullish Candle คือมีการดีดตัวกลับ แล้วเราจึงมาดู Indicator ว่า New Low มันสูงกว่า Low เดิมมั้ย ถ้ามันสูงกว่า นี่คือสัญญาณ Bullish Divergence เราสามารถเปิดออเดอร์ Buy(Long) ได้เลยครับ

   Divergence Bearish คือ ราคาทำจุดสูงสุดใหม่ (New High) สูงกว่าจุดสูงสุดเก่า (Low) แต่ตัวชี้วัด (Indicator) ทำจุดสูงสุดใหม่ (New High) ต่ำกว่าจุดสูงสุดเก่า (High) ดูที่รูปด้านล่างครับ


จากรูปเราจะเห็นว่า ความชันของอินดิเคอร์เตอร์ จะเป็นลบ

Ex. ตัวอย่างกราฟ Divergence Bearish เป็นกราฟ EUR/USD 4 H
 จาก รูปเราจะเห็นว่า ราคาขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ที่สูงกว่า แต่อินดี้ของเรากลับทำจุดสูงสุดใหม่ต่ำกว่าเก่า แบบนี้เราเรียกว่า Divergence Bearish ครับ


ทริ คในการสังเกตไดเวอร์เจนประเภทนี้ คือเราต้องรอให้ราคาหยุดนิ่งก่อน อย่าไปสวนขณะที่มันกำลังพุ่งขึ้นเด็ดขาด ต้องรอให้มีการกลับตัวเล็กน้อย โดยดูจากแท่งเทียน ถ้ามีแท่งเทียนกลับตัว Bearish Candle , Reverse Candle และมาดูที่ Indicator ถ้ามันต่ำกว่า High เก่า เราก็สามารถ Sell (Short)
ได้เลย
ความรู้เพิ่มเติม
- Trend Followers
 
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/divergence-and-convergence/?/

Moving Average

Moving Average


Moving Average หรือ เส้นค่าเฉลี่ย เป็นเส้นที่คำนวณค่าเฉลี่ยของการวิ่งของราคาออกมาจากแท่งเทียน แท่งเทียนจะประกอบไปด้วย COLH
หรือ Close Open Low High เส้นค่าเฉลี่ยจะคำนวณออกมาจากแนวเหล่านี้โดยผู้เทรดสามารถเลือกได้ว่าอยากให้เส้นค่าเฉลี่ยคำนวนจากอะไร
อาจจะเป็น Close ของแท่งเทียนอย่างเดียวหรือเอาจาก High ของแท่งเทียนอย่างเดียว ซึ่งผู้เทรดสามารถเลือกปรับได้ตามรูปด้านล่างนี้ครับ


Close = จุดปิดของแท่งเทียน
Open = จุดเปิดของแท่งเทียน
High = จุดสูงสุดของแท่งเทียน
Low = จุดต่ำสุดของแท่งเทียน
Medium Price (HL/2) = เอาค่าระหว่าง High และ Low มาบวกกันแล้วหารด้วย 2
Typical Price (HLC/3) = เอาค่าระหว่าง High,Low และ Close มาบวกกันแล้วหารด้วย 3
Weighted Close (HLCC/4) = เอาค่าระหว่าง High, Low, Close, Close มาบวกกันแล้วหารด้วย 4


กลยุทธ์ การลงทุนนั้น จะกำหนดเส้นค่าเฉลี่ย ในจำนวนวันที่แตกต่าง กัน ขึ้นอยู่กับ ระยะเวลาการลงทุนของแต่ละบุคคล หรือรอบการเคลื่อนที่ของราคาตัวนั้น
ว่า การกำหนดด้วยเส้นค่าเฉลี่ยเท่าใด ที่น่าจะได้ผลตอบแทนสูงที่สุด ผู้เทรดสามารถตั้งค่าของเส้นค่าเฉลี่ยได้ในช่อง "Period" โดยเส้นค่าเฉลี่ยที่ใช้กันทั่วไปมีตั้งแต่
     5   วัน   (1 สัปดาห์)  ใช้สำหรับการลงทุนระยะสั้น
   10   วัน  (2 สัปดาห์)   ใช้สำหรับการลงทุนระยะสั้น
   25   วัน  (ประมาณ1 เดือน) ใช้สำหรับการลงทุนระยะค่อนข้างปานกลาง
   75   วัน  (ประมาณ1 ไตรมาส) ใช้สำหรับการลงทุนระยะกลาง
   200 วัน  (ประเมาณ 1 ปี)  ใช้สำหรับการลงทุนระยะยาว 

 
ชนิดของเส้น Moving Average

เส้นค่าเฉลี่ยที่เทรดเดอร์นิยมใช้กันมีอยู่ 2 ประเภทคือ

    Simple Moving Average (SMA)
    Exponential Moving Average (EMA)

Simple Moving Average หน้าที่ของมันคือหาค่าเฉลี่ยของราคา ในช่วงเวลาที่เรากำหนด ส่วน EMA ย่อมาจาก Exponential Moving Average
ซึ่ง การทำงานของมันคือ เป็นการหาค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก โดยการให้ความสำคัญกับค่าตัวหนึ่งที่ชื่อ SMOOTHING FACTOR สูตรมันก็มีว่า 2/(n+1)
ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาและถ่วงน้ำหนักให้ค่าสุดท้ายมีความสำคัญเพิ่มขึ้น   

แล้ว SMA กับ EMA ต่างกันอย่างไร?       
การ เคลื่อนที่ SMA จะช้ากว่า EMA โดยถ้าเราจะเล่นแบบตัดกันแล้วเข้า เราก็ใช้ EMA จะให้ความแม่นยำกว่า ส่วน SMA นั้นนะครับ มันจะเป็นแนวรับแนวต้านให้เราได้ดีกว่า
เพราะเป็นการคำนวนฐานต้นทุนของ นักลงทุนจริงๆแต่สำหรับราคาของคู่เงินบางตัวก็ใช้ EMA ดีกว่า SMA หรือ SMA ดีกว่า EMA มันก็ขึ้นอยู๋กับเราเลือกใช้เพื่อจุดประสงค์อะไร
( โดยส่วนตัวใช้ SMA เป็นแค่แนวรับแนวต้านธรรมดา )

ตัวอย่างการใช้ Moving Average
เส้น ค่าเฉลี่ยที่ผมใช้โดยส่วนใหญ่จะมี  EMA 5 10 สองเส้นนี้จะเอาไว้ดูการตัดกัน เพื่อเข้าออเดอร์ และ EMA 55 110 220 สามเส้นนี้จะเอาไว้เป็นแนวรับแนวต้าน
1. ถ้าราคาอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น แล้วมีการปรับตัวลงมา เส้นค่าเฉลี่ย 55 110 220 จะกลายเป็นแนวรับทันที ถ้าราคาไม่สามารถผ่านเส้นเหล่านี้ได้ ราคาก็จะกลับตัวขึ้นไปสู่แนวโน้มขา
ขึ้นเดิมอีกครั้งและถ้าราคาสามารถทะลุผ่านเส้นค่าเฉลี่ย 55 110 220 ลงมาได้ แนวโน้มก็จะเปลี่ยนเป็นแนวโน้มขาลงทันที
2.ถ้า แนวโน้มอยู่ในช่วงแนวโน้มขาลงแล้ว ราคามีการปรับตัวขึ้นไป (ปรับฐาน) เส้นค่าเฉลี่ย 55 110 220 จะกลายเป็นแนวต้านของราคาทันที หรือเราอาจจะเรียกมันว่า
เส้นแนวโน้มขาลง

ตัวอย่างจากแนสโน้มขาขึ้น


ตัวอย่างจากแนวโน้มขาลง

 
 
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่   http://www.thaibestforex.com/forex/moving-average-641/?/

กลยุทธ์การตั้ง Stop Loss (จุดขาดทุน)

"ทำไมราคาวิ่งมาชน Stop loss (SL) ของเราอีกแล้ว" นี่น่าจะเป็นคำถามที่เทรดเดอร์ถามตัวเองแบบเซ็งๆเป็นประจำเมื่อออเดอร์ของเราโดน SL
ที่ มันเป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ตลาดจะทำทุกอย่างที่มันอยากจะทำ เคลื่อนไหวไปในทางที่มันอยากจะไป เทรดเดอร์ต้องเจอกับความท้าทายใหม่ๆทุกวัน ส่วนมาก็จะเป็นในเรื่องของการเมืองทั่วโลก เหตุการณ์สำคัญทางเศรษฐกิจ หรือแม้แต่กระทั่งข่าวลือที่เกี่ยวกับธนาคารกลางที่สามารถทำให้ราคาวิ่งไปใน ทิศทางไหนก็ได้ในเวลาอันรวดเร็วโดยที่คุณไม่ทันได้ตั้งตัว นั่นก็หมายความว่า จะต้องมีเทรดเดอร์บางคนที่เปิดออเดอร์ในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับราคาตลาด และต้องเสียเงินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ว่าเราสามารถควบคุมได้ว่าเราจะทำอย่างไรเมื่อเราตกอยู่ในสถานการณ์อย่าง นั้น เราสามารถปิดออเดอร์เพื่อตัดการขาดทุนในตอนนั้นเลย หรือว่าคุณจะนั่งรอคอยความหวังว่าราคามันจะกลับมาในที่ที่คุณต้องการ และถ้ามันไม่กลับมาอย่างที่คุณหวังไว้แล้วคุณปล่อยไปอย่างนั้นเรื่อยๆโดยไม่ มีการตัดสินใจ พอร์ตของคุณก็อาจจะสะอาดได้ (ล้างพอร์ต)
คำพูดที่ว่า  "Live to trade another day!" น่าจะเป็นคำขวัญของเทรดเดอร์มือใหม่ทุกคน เพราะ ยิ่งคุณอยู่รอดได้นานเท่าไหร่ คุณก็สามารถเรียนรู้ได้มากขึ้นเท่านั้น และนั่นก็จะเพิ่มโอกาสที่จะประสบความสำเร็จของคุณด้วย
กลยุทธ์การเทรด อีกอย่างที่สำคัญคือการ  "stop losses" ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญที่เทรดเดอร์ควรจะรู้ไว้เพื่อเป็นอาวุธอย่างหนึ่งใน การเทรด การที่มีการตั้ง SL นี้ นอกจากจะช่วยตัดการขาดทุนของคุณเพื่อให้มีโอกาสในการกู้สถานการณ์แล้ว มันยังช่วยขจัดความวิตกกังวลที่เกิดจากการสูญเสียในการเทรดโดยไม่ต้องวางแผน ด้วย และความเครียดที่ลดลงมันก็เป็นผลดีในการเทรดของคุณด้วย
จุด SL ควรจะเป็นจุดที่ "ลบล้างความคิด" ในการเทรดสำหรับออเดอร์นั้นๆของคุณ ดังนั้นเมื่อราคามาถึงจุด SL มันก็น่าจะเป็นสัญญาณว่า "มันถึงเวลาที่ต้องออกจากออเดอร์นี้แล้ว"
การตั้งจะ SL นั้นมี 4 วิธี ที่เราสามารถเลือกใช้ได้ในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน หรือเลือกแล้วแต่ความถนัดของเรา
1. หยุดตามสัดส่วนความเสี่ยงของเงินทุน
2. หยุดตามรูปแบบของกราฟ
3. หยุดตามความผันผวน
4. หยุดตามเวลา


1. หยุดตามสัดส่วนความเสี่ยงของเงินทุน
การ ตั้ง SL แบบนี้เป็นการตั้ง SL แบบพื้นฐานที่สุด โดยใช้การกำหนดความเสี่ยงจากสัดส่วนของเงินทุนที่อยู่ในบัญชี อย่างเช่นว่า เราเต็มใจที่จะเสี่ยงขาดทุนได้ที่ 2% ต่อการเทรดในแต่ละครั้ง แต่ว่าเทรดเดอร์ทุกคนจะยอมรับความเสี่ยได้ไม่เท่ากัน บางคนอาจจะรับความเสี่ยงได้ถึง 10% ในขณะที่บางคนอาจจะยอมเสี่ยงได้เพียงแค่ 1% เท่านั้น
และในการตั้ง SL คุณควรจะตั้งตามสภาวะของตลาด หรือตามกฎของระบบเทรดของคุณ ไม่ใช่ว่าตั้งตามจำนวนเงินที่คุณจะยอมสูญเสียได้
สับสนมั้ยคะ :) งั้นเรามาดูตัวอย่างกัน
นาย แดง มีบัญชีมินิ ที่มีเงินอยู่ $500 และ ขนาด Lot size ที่เขาสามารถเทรดได้คือ 10k ( ในบัญชีมินิ 10k เท่ากับการเทรดที่ จุดละ $1) แดงต้องการที่จะเทรด GBP/USD และเขาเห็นว่าราคาวิ่งอยู่แถวๆแนวต้านที่ระดับ 1.5620 เขาจึงต้องการที่จะเซล และตามกฎการลงทุนของเขาคือ เขาจะไม่เสี่ยงเกิน 2% ของเงินทุนในการเทรดแต่ละครั้ง และสำหรับการเทรดที่ขนาด 10k ของ GBP/USD แต่ละจุดมีค่า $1 และ 2% ของเงินในบัญชีแดงเท่ากับ $10 ดังแดงก็จะตั้ง SL ได้มากที่สุดที่ 10 จุด ดังนั้นแดงจะต้องตั้งจุด SL ของเขาไว้ที่ 1.5630


แต่ ว่า GBP/USD มีการเคลื่อนไหวทีมากกว่า 100 จุดต่อวัน ราคาจึงอาจจะวิ่งมาชนจุด SL ของแดงได้อย่างง่ายดาย เพราะตำแหน่ง SL นั้นจำกัดด้วยการตั้งค่าความเสี่ยงจากเงินในบัญชีของเขา และเขาตัง SL ด้วยโดยยึดตามจำนวนเงินที่เขาสามารถสูญเสียได้ แทนที่จะกำหนดตามเงื่อนไขจากการเคลื่อนไหวของ GBP/USD


และ ในที่สุด ราคาก็วิ่งมาชน SL ของแดง เพราะว่าจุด SL ของเขาที่วางไว้น้อยเกินไป และนอกเหนือจากนั้นคือ เขาเสียโอกาสที่จะเก็บมากกว่า 100 จุดด้วย
จากตัวอย่างนี้คุณได้เห็นถึง อันตรายจากการตั้ง SL จากการใช้สัดส่วนความเสี่ยงของเงินทุน ที่บังคับให้เทรดเดอร์ต้องตั้งจุด SL ในระดับราคาที่ไม่เหมาะสมกับสภาวะของตลาดและอย่างในกรณีนี้ จุด SL ก็อยุ่ใกล้กับจุดเปิดออเดอร์มาก และเป็นการตั้ง SL ที่ไม่ได้ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคร่วมด้วยเลย (เห็นว่าใกล้แนวต้านก็ใส่เลย ไม่ได้วิเคราะห์อย่างอื่นร่วมเลย)
คุณรู้อยู่แล้วว่า คุณควรจะตั้ง SL ในระดับที่ราคาสามารถจะกลับตัวมาในทิศทางที่คุณคาดคิดไว้โดยไม่ชน SL ของคุณ แต่ในกรณีนี้ราคามันวิ่งไปชน SL เข้าแล้ว จึงหมดโอกาสที่จะทำกำไรได้ และ วิธีแก้ปัญหาสำหรับแดงก็คือ หาโบรคเกอร์ที่เหมาะสมกับสไตร์การเทรดและเงินทุนของเขา
ในกรณีของแดง เขาควรแก้ไขโดยการหาโบรคเกอร์ที่เขาสามารถกำหนดขนาดการซื้อขายที่เล็กลง หรือแม้แต่สามารถกำหนดขนาดเองได้ อย่างเช่น สามารถเทรดที่ขนาด 1k ในคู่เงิน GBP/USD ได้ ซึ่งแต่ละจุด จะมีค่าเท่ากับ $0.10 ซึ่งจะทำให้แดงสามารถตั้งจุด SL ได้ตามเงื่อนไขความเสี่ยงของเขาได้อย่างสบายๆ แดงจะสามารถตั้งจุด SL สำหรับการเทรด GBP/USD ได้ถึง 100 จุด ในความเสี่ยงที่ 2% ของเงินในบัญชีของเขา และตอนนี้เขาก็สามารถตั้ง SL ให้เหมาะสมกับสภาวะของตลาด รวมทั้งเป็นไปตามกฎของระบบการซื้อขาย ตามแนวรับแนวต้านแล้ว

2. หยุดตามรูปแบบของกราฟ
วิธี การหาจุด SL อีกวิธหนึ่งที่เหมาะสมมากกว่าวิธีแรกคือ ตั้งตามรูปแบบของกราฟ เป็นการตั้ง SL โดยยึดตามสิ่งที่ที่ตลาดบอกเราด้วยรูปแบบของตัวมันเอง
เรา สามารถสังเกตการเคลื่อนไหวของราคาได้ ในบางครั้งราคาก็ดูเหมือนไม่สามารถที่จะวิ่งทะลุผ่านแนวรับแนวต้านนั้นๆ และก็มีบ่อยครั้งที่ราคาวิ่งผ่านแนวรับแนวต้านไปได้ในที่สุดหลังจากวิ่งไป วิ่งมาอยู่ในกรอบแนวรับแนวต้านนั้นมาระยะหนึ่ง
การตั้งจุด SL ให้เหนือหรือต่ำกว่าระดับแนวรับแนวต้านนั้นก็เป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลในกรณี ที่ราคาไม่ Break ระดับแนวรับแนวต้าน แต่ถ้าราคาสามารถ break กรอบราคานั้น ก็จะทำให้เทรดเดอร์อื่นๆเห่เข้ามาเล่นด้วยเมื่อเห็นการทะลุของราคา (Breakout) และเทรดเดอร์เหล่านั้นอาจจะทำให้ราคาวิ่งไปในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับออเดอร์ ของคุณ(ที่เล่นอยู่ในกรอบราคา) ได้ และอย่างที่คุณทราวว่าเมื่อเวลาพักตัวอยู่ในกรอบราคานั่นหมายถึงการสะสมพลัง ซึ่งเมื่อราคาเกิดการ Breakout แล้วก็มีแนวโน้มมากที่ราคาอาจวิ่งพุ่งเป็นเทรนไปในทิศทางนั้นๆ  ต่อไปเรามาดูตัวอย่างการตั้ง SL อีกอย่างหนึ่งเมื่อเกิดการ Breakout ของราคา
จากตัวอย่างเป็นการตั้ง SL โดยยึดตามแนวรับแนวต้าน


ตาม ภาพตัวอย่างเราเห็นได้ว่าราคามีการซื้อขายกันอยู่เหนือเส้นแนวรับ (สีดำ) และเมื่อราคาวิ่งทะลุผ่านแนวต้านด้านบน (สีแดง) ไปได้คุณก็คิดว่ามันการ Breakout ที่สวยงาม และคุณตัดสินใจที่จะซื้อตามแนวโน้มนั้น แต่ก่อนอื่นคุณต้องตั้งคำถามก่อนว่า ตรงไหนที่คุณจะตั้ง SL ถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คุณคาดคิดไว้ และเงือนไขอะไรที่จะบอกคุณได้ว่า ความคิดของคุณในการเข้าซื้อครั้งนี้ไม่ถูกต้อง


ใน กรณีนี้ การตั้ง SL ที่สมเหตุสมผมมากที่สุดคือ ตั้ง SL ไว้ใต้แนวรับ (สำดำ) และเส้นเทรนไลน์ (สีแดง) และถ้าราคาวิ่งผ่านเส้นเทรนไลน์นี้ลงมาได้ ก็หมายความว่า มีแรงซื้อไม่พอและตอนนี้ผู้ขายเป็นฝ่ายควบคุมตลาด ดังนั้นความคิดของคุณในการเปิดออเดอร์ซื้อในครั้งนี้จึงเป็นความผิดพลาด และถึงเวลาที่คุณควรจะออกจากออเดอร์ของคุณและยอมรับการสูญเสีย คุณจะเห็นราคาวิ่งในลักษณะนี้ได้บ่อยมากในคู่เงิน EUR/USD

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/stop-loss-()/?/

12 วิธีคิด ก่อนลงมือเทรด

1. เรียนรู้พื้นฐาน
ฟังดูเป็นเรื่องพื้นๆ แต่เทรดเดอร์มือใหม่ส่วนมากมักจะกระโดดเข้าไปในสมรภูมิก่อนที่จะรู้ว่าอะไร เป็นอะไร และแน่นอนว่ามักจะเกิดความผิดพลาดและเสียหายขึ้นกับพวกเขาเหล่านั้น อย่างที่เราเห็นกันบ่อยๆว่ามือใหม่ล้างพอร์ตกันบ่อยๆ ล้างแล้ว ล้างอีก แล้วพวกเขาก็เที่ยวค้นหาอะไรซักอย่างที่จะมาช่วยเค้าให้หลุดพ้นจากจุดนี้ จริงๆแล้วสิ่งที่มือใหม่ควรทำเป็นอันดับแรกก็คือ "เรียนรู้พื้นฐาน" ซะก่อนที่จะโดดลงมาเล่นในตลาดอย่างเต็มตัว

2. คุณจะไม่ได้รวยในทันที ประสบการณ์ทำให้คุณรวย
ถ้า คุณเข้ามาในตลาด Forex เพราะคิดว่ามันจะทำให้คุณรวยได้อย่างรวดเร็ว บอกได้เลยว่าคุณคิดผิดแล้ว คุณจะอยู่ในตลาดได้ไม่นานแล้วก็ต้องออกจากตลาดไป เพราะ "การเทรดคือทั้งหมดที่เกี่ยวกับประสบการณ์" ก็เหมือนกับมืออาชีพในอาชีพอื่นๆ ที่คุณจะต้องเรียนรู้การทำงานในอาชีพนั้นๆ เมื่อสะสมประสบการณ์ไปเรื่อยๆ งานที่คุณทำก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น และคุณก็จะกลายเป็นมืออาชีพ  เส้นทางที่จะทำให้คุณเทรดเดอร์มืออาชีพนั้นเป็นเส้นทางที่ยาวไกล ต้องจริงจังและอยู่กับมันให้ได้อย่างน้อย 1-3 ปี ก่อนที่จะทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง จำไว้ว่าการเทรด Forex เป็นอาชีพ ดังนั้นถ้าเทรดเดอร์มือใหม่อยากจะทำกำไรให้ได้เหมือนเทรดเดอร์เก๋าๆที่เทรด มานานๆ ก็จงเรียนรู้ ฝึกปฏิบัติ และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ เพื่อวันนึงข้างหน้าคุณจะทำได้เหมือนมืออาชีพที่คุณเห็นในวันนี้

3. ผู้เชี่ยวชาญเป็นเรื่องตลก
การ รับฟังความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญนั้นเป็นสิ่งที่ดีแน่นอน แต่ปัญหาที่มีในตลาดเงินก็คือ มีเทรดเดอร์มือใหม่ที่สามรถทำไรได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ และคิดว่าตนเองเป็นผู้เชี่ยวชาญเกิดขึ้นทุกสัปดาห์ และมากกว่านั้นคือผู้เชี่ยวชาญที่อายุ 30-60 ปี แต่งตัวภูมิฐานในชุดสูท ที่อ้างว่าเป็นผู้ประกอบการมืออาชีพ และเรียกร้องให้คุณซื้อหนังสือของพวกเขา คนเหล่านี้มักเป็นคนที่ล้มเหลวจากการทำรายได้จากตลาด และหันมาสร้างรายได้จากการสอนเทรดเดอร์คนอื่นๆด้วยวิธีที่ล้มเหลว ผู้เชี่ยวชาญที่ประกาศตัวเอง มีแนวโน้มที่จะ:

    ให้ข้อมูลเก่าที่ไม่สามารถใช้การได้พวกเขาจะเป็นเทรดเดอร์อาชีพที่เทรดอย่างเดียว และพยายามขายหนังสือให้คุณ
    เรียกร้องในราคาที่แพงแสนแพง และสิ่งที่ได้มาบางทีก็ใช้การอะไรไม่ได้
    พยายามที่จะพิสูจน์ว่าพวกเขาเป็นเทรดเดอร์ที่ทำกำไรได้โดยการโพสต์ภาพของบัญชี ซึ่งเราไม่รู้ว่ามันเป็นของจริงหรือเปล่า
    เป็นคนที่เก่งคำนวณ เพื่อให้ตัวเป็นคนที่ประสบความสำเร็จและน่าเชื่อถือมากขึ้น เช่น เทรดได้กำไรสองครั้ง แต่ ขาดทุนแค่ครั้งเดียว

ดัง นั้นควรต้องระวังเหล่าผู้เชียวชาญที่ไม่เชี่ยวชาญไม่จริงเหล่านี้ไว้ด้วย สำหรับเทรดเดอร์มือใหม่ ควรเช็คให้แน่ใจว่าอันไหนของจริงหรือ ของปลอม อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ

4. วิเคราะห์ด้วยตัวเอง
การ เชื่อคนอื่นแบบสุ่มสี่สุ่มห้าจะทำให้คุณเป็นคนตาบอด อย่าลืมว่าเป้าหมายของคุณคือการเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่การเทรดตามซิกที่คนอื่นๆให้มา
การที่จะเป็นเทรดเดอร์ได้นั้น คุณต้องเลือกวีการเทรดเพื่อที่จะทำกำไรและเรียนรู้ที่จะวิเคราะห์ตลาดด้วย ตัวเอง ความสามารถในการวิเคราะห์ของคุณจะทำให้คุณกลายเป็นเทรดเดอร์มือโปร การวิเคราะห์ด้วยตัวเองจะช่วยให้คุณ:

    เป็นคนที่พึ่งพาตัวเอง
    เรียนรู้ในการเทรดอย่างจริงจัง

ถ้า คุณเลือกที่จะหลับหูหลับตาเทรดตามกูรู แล้วคุณจะทำกำไรได้อย่างไรเมื่อกูรูหยุดแจกเคล็ดลับ หรือเคล็ดลับนั้นไม่สามารถทำงานได้อีกต่อไป คุณจะเข้าใจได้อย่างไรว่าทำไมเคล็ดลับมันทำงานในตอนแรก แต่ตอนนี้มันกลับใช้การไม่ได้แล้ว ดังนั้นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวคุณน่าจะเป็น "การพึ่งพาตนเอง"

5. จ้าวตำนานเดโม่
ถ้า คุณอยากจะเป็นนักมวยมืออาชีพแล้วคุณไปซื้อเกมส์ต่อยมวยมาเล่น แล้วเริ่มการฝึกต่อยมวยด้วยวีดีโอเกมส์ แล้วมันจะช่วยให้ต่อยมวยเป็นได้ยังไง ? ก็เหมือนกับการเทรดด้วยบัญชีเดโม่ ที่ทำให้คุณหวังว่าจะเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จ
การเทรดด้วยบัญชีเดโม่เป็นเวลา 3 เดือนแล้วไม่ประสบความสำเร็จเมื่อมาเทรดปัญจริงก็เพราะ 2 เหตุผล คือ

    ทำให้มือใหม่มีความมั่นใจแบบผิดๆ และทำให้ซึบซับนิสัยที่ไม่ดี เพราะในการเทรดบัญชีเดโม่และบัญชีจริงจะมีความกดดันที่แตกต่างกัน การเทรดบัญชีเงินจริงจะมีความกดดันมากกว่าหลายเท่า ในขณะที่การเทรดบัญชีเดโม่แทบจะไม่มีความกดดันเลย ก็แน่นอนละเพราะถึงเสีย เราก็ไม่ได้เสียเงินจริง เราๆท่านๆคงเคยได้ยินคำพูดนี้อยู่บ่อยครั้ง "หมูสนามจริง สิงห์สนามซ้อม"
    ประสิทธิภาพของบัญชีเดโม่ มักจะดีกว่าบัญชีจริง ซึ่งรวมถึงความรวดเร็วในการเปิดปิดออเดอร์ รวมทั้งปัจจัยอื่นๆอีกหลายอย่าง

ทางออก ที่ดีที่สุดคือการใช้บัญชีเดโม่ในการเรียนรู้พื้นฐานและการทดสอบระบบหรือหา วิธีการซื้อขาย และเมื่อต้องซื้อขายจริงคุณควรจะเทรดด้วยบัญชีเงินจริง วันนี้คุณสามารถเปิดบัญชีซื้อขายกับโบรคเกอร์ต่างๆได้ด้วยเงินเพียงเล็กน้อย อาจจะเริ่มต้นเปิดบัญชีขั้นต่ำที่ $10-$50  ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่จะไม่เปิดบัญชีซื้อขายจริง

6. กำจัดแนวโน้มความสูญเสียแต่เนิ่นๆ
สิ่ง สี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเทรดเดอร์มืออาชีพเลยก็ว่าได้ เพราะถ้าเขาเหล่านั้นไม่ยึดกฎข้อนี้อย่างเคร่งครัดพวกเขาอาจมาไม่ถึงจุดนี้
ถ้า คุณเกิดเทรดเสียติดต่อกันถึง 3 ครั้ง ควรจะหนีห่างออกจากราฟ แล้วใช้เวลาอยู่ห่างกราฟซัก 2-3 วัน และกลับมาเทรดใหม่เมื่อหัวของคุณโล่งและพร้อมที่จะกลับเข้าสู่ตลาดใหม่อีก ครั้ง เพราะแนวโน้มของความสูญเสียนั้นอันตรายมาก การเริ่มต้นด้วยการเทรดเสียเล็กๆน้อยๆ สามรถนำไปสู่ความสูญเสียที่ใหญ่มากกว่าเดิมหลายเท่า


7. ทำตามคนส่วนใหญ่
เรา มักจะได้ยินกันบ่อยๆว่า 90% ของเทรดเดอร์มือใหม่นั้นต้องล้มเหลวและเดินออกจากตลาดไป และสิ่งที่จะช่วยได้ก็คือ การเรียนรู้ที่จะพึ่งพาตัวเองด้วยการศึกษาระบบการเทรด หรือศึกษาเกี่ยวกับเครื่องมือต่างๆที่จะใช้ในการเทรดให้มากพอ ทำความเข้าใจหลักการทำงาน เก็บเกี่ยวประสบการณ์ และไม่เป็นผู้ตาม 
ถ้าคุณเป็นมือใหม่ก็ลองคิดถึงเหตุผลดังต่อไปนี้:

    ส่วนใหญ่แล้วเทรดเดอร์มือใหม่มักจะล้มเหลว
    ถ้าคุณทำตามคนส่วนใหญ่ คุณก็จะล้มเหลวเหมือนคนส่วนใหญ่
    ถ้าคุณเป็นคนส่วนใหญ่ คุณก็มีแนวโน้มที่จะล้มเหลวเหมือนพวกเขา

ดังนั้นแล้ว คุณไม่ควรที่จะทำตามคนส่วนใหญ่ทีล้มเหลวเหล่านั้น

8. ทำตามวิธีการของคุณ
วิธี การหรือระบบเทรดทุกแบบจะมีทั้งข้อดีและข้อด้อย ไม่มีวิธีการใด ระบบใด หรือรูปแบบใดที่จะสามารถทำกำไรได้ 100% ตลอดทั้งปี เช่น ปีนี้มีอัตราความสำเร็จทำกำไรได้เฉลี่ยที่ 80% แต่บางช่วงของปีก็ทำได้แค่เพียง 60% และบางช่วงก็ทำได้ถึง 100%
ในแต่ละ ปีจะมีช่วงที่ดีที่ทำกำไรได้ง่าย และช่วงที่ไม่ดีที่ทำให้คุณเทรดเสียได้ง่ายกว่าปรกติปะปนกันเป็นเรื่องปรกติ ที่สำคัญคือ เมื่อคุณเจอช่วงเวลาที่เลวร้าย จงอย่าสูญเสียความเชื่อมั่นในระบบเทรดของคุณ ปัญหาของมือใหม่ก็คือ จะละทิ้งระบบและวิธีการเทรดของตน แล้วไปแสวงหาระบบการทำกำไรใหม่ๆไปเรื่อยๆ

9. ทำให้การเทรดเป็นเรื่องง่ายซะ
มัน ไม่มีเหตุผลที่จะต้องทำให้การเทรดเป็นเรื่องที่ซับซ้อน ตัวอย่างเช่นบางคน อาจจะใช้เวลาเพียง 2-5 ชั่วโมงในการเทรดในแต่ละสัปดาห์ แล้วใช้เวลาที่เหลือไปสนุกกับการใช้ชีวิต ดังนั้นวิธีการเทรดของคุณก็ไม่มีความจำเป็นว่าจะต้องซับซ้อน เพราะมันก็ไม่ได้การันตัว่ายิ่งยุ่งยากแล้วจะทำให้ได้กำไรมากขึ้นซะหน่อย จริงมั้ย? และการทำให้การเทรดง่ายขึ้นนั้น จะช่วยให้ซ

    การเทรดนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น
    คุณทำงานน้อยลง
    ทำให้คุณเรียนรู้ได้เร็วขึ้น(เพราะคุณมีเวลาเหลือเฟือที่จะใช้ศึกษาเพิ่มเติม)


10. เทรดแค่คู่เงินเดียว
กุญแจ สำคัญที่จะเปลี่ยนมือใหม่ให้เป็นมือโปรคือ ทำให้การเทรดเป็นเรื่องง่าย และวิธีที่ง่ายที่สุดอย่างหนึ่งก็คือการเทรดคู่เงินเพียงคู่เดียวในช่วงเวลา นั้นๆ เพราะมันจะช่วยให้คุณสามารถพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่คู่เงินเพียงคู่เดียว คุณจะเรียนรู้ถึงพฤติกรรมราคาของคู่เงินนั้นและเข้าใจความเคลื่อนไหวของมัน ได้ ถ้าคุณเทรด 5 คู่ในเวลาเดียวกันมันจะเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากในการศึกษาพฤติกรรมราคาของ แต่ละคู่เงิน เพราะแต่ละคู่จะมีพฤติกรรมราคาที่แตกต่างกันไป เพราะว่า:

    มีปฏิกิริยาต่อข่าวที่แตกต่างกัน
    มีอัตราการเคลื่อนไหวที่แตกต่างกัน บ้างก็ช้า บ้างก็เร็ว
    มีการเคลื่อนไหวมากๆต่างกันตามช่วงเวลาต่างๆของวัน เช่นบางคู่จะเคลื่อไหวมากในช่วงตลาดสหรัฐ แต่บางคู่จะเคลื่อนไหวมากในช่วงทำการของตลาดเอเชีย
    ต้องมีการจัดการที่แตกต่างกันเวลาที่ถือออเดอร์ บางคู่จะวิ่งเป็นเทรนยาวๆ สามารถถือได้นาน แต่บางคู่จะผันผวนมากจะถือยาวไม่ได้

ดัง นั้น มือใหม่ไม่ควรที่จะเล่นทีเดียวกลายคู่ เพราะจะเพิ่มความเครียดให้มากเกินไป ควรเล่นทีละคู่ ค่อยๆศึกษาไปทีละคู่ เมื่อคุณรู้แล้วว่าคู่ไหนเป็นอย่างไรจึงค่อยเพิ่มคู่เทรดมากขึ้นเท่าที่คุณ คิดว่าจะมารถจัดการกับมันได้

11. เทรดในทามเฟรมเดียว
เพราะการเทรดในทามเฟรมเดียวเป็นสิ่งที่ทำให้การเทรดของคุณง่ายขึ้น การเทรดในทามเฟรมเดียวมีประโยชน์หลายอย่าง :

     ช่วยให้คุณมีสมาธิในการเทรดในกรอบเวลานั้นๆ และลดความสับสนในการเทรดพร้อมกันในหลายทามเฟรมได้
     คุณดูกราฟน้อยลง เพราะจะดูแค่ทามเฟรมเดียว จึงช่วยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นในการวิเคราะห์กราฟ สามารถหาสัญญาณที่ชัดเจนได้
     ไม่ต้องวิเคราะห์กราฟมากเกินไปในหลายทามเฟรม ซึ่งอาจจะให้สัญญาณที่ขัดแย้งกัน แล้วคุณก็จะสับสนกับสัญญาณเหล่านั้นได้
     มันทำให้ชีวิตของคุณง่ายขึ้น

จำ ให้ขึ้นใจว่า สิ่งเหล่านี้คือการทำทุกอย่างให้มันง่ายขึ้นในการเทรด หากคุณเทรดคู่เดียวในทามเฟรมเดียว ก็เท่ากับคุณต้องดูกราฟเดียว มือใหม่ไม่จำเป็นที่จะต้องทำอะไรให้ซับซ้อนยุ่งยาก จนกว่าคุณจะกลายเป็นมือโปรและทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง

12. กราฟที่สะอาดตา
ส่วน มากมือใหม่อยากจะใช้ Indicators ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เอามาใส่จนเต็มกราฟไปหมด เพราะคิดว่ามันจะช่วยบอกได้ถึงจุดเข้าออกที่แม่นยำ ซึ่งมันไม่จริง เมื่อเทรดเดอร์มีประสบการณ์มากขึ้น Indicators ในกราฟของพวกเขาจะลดลงไปเรื่อยๆ เพราะ Indicators ยิ่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งให้สัญญาณที่สับสนมากขึ้นเท่านั้น:

    เพิ่มความยุ่งเหยิงให้กราฟ ยากที่จะอ่านสัญญาณได้
    ทำให้เกิดความสับสนในการตัดสินใจ
    เพิ่มแนวโน้มว่าจะมีสัญญาณที่ขัดแย้งกันมากขึ้น
    กราฟดูรก สกปรก เกินไป


เรา จะเห็นได้ว่ามือโปรส่วนใหญ่จะเทรดด้วยกราฟที่สะอาด แม้ว่าจะมี Indicators บ้างแต่ก็ไม่มาก อาจจะแค่เส้น Moving Average ดูสัญญาณแท่งเทียน แนวรับแนวต้าน เพียงแค่ เรื่องพื้นฐานแค่นั้นเค้าก็ทำกำไรกันได้แล้ว แล้วคุณล่ะ ก่อนที่จะโดดลงมาในตลาดเต็มตัว เรียนรู้พื้นฐานกันหรือยัง

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/12-638/?/
"ทำไมราคาวิ่งมาชน Stop loss (SL) ของเราอีกแล้ว" นี่น่าจะเป็นคำถามที่เทรดเดอร์ถามตัวเองแบบเซ็งๆเป็นประจำเมื่อออเดอร์ของเราโดน SL
ที่ มันเป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ตลาดจะทำทุกอย่างที่มันอยากจะทำ เคลื่อนไหวไปในทางที่มันอยากจะไป เทรดเดอร์ต้องเจอกับความท้าทายใหม่ๆทุกวัน ส่วนมาก็จะเป็นในเรื่องของการเมืองทั่วโลก เหตุการณ์สำคัญทางเศรษฐกิจ หรือแม้แต่กระทั่งข่าวลือที่เกี่ยวกับธนาคารกลางที่สามารถทำให้ราคาวิ่งไปใน ทิศทางไหนก็ได้ในเวลาอันรวดเร็วโดยที่คุณไม่ทันได้ตั้งตัว นั่นก็หมายความว่า จะต้องมีเทรดเดอร์บางคนที่เปิดออเดอร์ในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับราคาตลาด และต้องเสียเงินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ว่าเราสามารถควบคุมได้ว่าเราจะทำอย่างไรเมื่อเราตกอยู่ในสถานการณ์อย่าง นั้น เราสามารถปิดออเดอร์เพื่อตัดการขาดทุนในตอนนั้นเลย หรือว่าคุณจะนั่งรอคอยความหวังว่าราคามันจะกลับมาในที่ที่คุณต้องการ และถ้ามันไม่กลับมาอย่างที่คุณหวังไว้แล้วคุณปล่อยไปอย่างนั้นเรื่อยๆโดยไม่ มีการตัดสินใจ พอร์ตของคุณก็อาจจะสะอาดได้ (ล้างพอร์ต)
คำพูดที่ว่า  "Live to trade another day!" น่าจะเป็นคำขวัญของเทรดเดอร์มือใหม่ทุกคน เพราะ ยิ่งคุณอยู่รอดได้นานเท่าไหร่ คุณก็สามารถเรียนรู้ได้มากขึ้นเท่านั้น และนั่นก็จะเพิ่มโอกาสที่จะประสบความสำเร็จของคุณด้วย
กลยุทธ์การเทรด อีกอย่างที่สำคัญคือการ  "stop losses" ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญที่เทรดเดอร์ควรจะรู้ไว้เพื่อเป็นอาวุธอย่างหนึ่งใน การเทรด การที่มีการตั้ง SL นี้ นอกจากจะช่วยตัดการขาดทุนของคุณเพื่อให้มีโอกาสในการกู้สถานการณ์แล้ว มันยังช่วยขจัดความวิตกกังวลที่เกิดจากการสูญเสียในการเทรดโดยไม่ต้องวางแผน ด้วย และความเครียดที่ลดลงมันก็เป็นผลดีในการเทรดของคุณด้วย
จุด SL ควรจะเป็นจุดที่ "ลบล้างความคิด" ในการเทรดสำหรับออเดอร์นั้นๆของคุณ ดังนั้นเมื่อราคามาถึงจุด SL มันก็น่าจะเป็นสัญญาณว่า "มันถึงเวลาที่ต้องออกจากออเดอร์นี้แล้ว"
การตั้งจะ SL นั้นมี 4 วิธี ที่เราสามารถเลือกใช้ได้ในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน หรือเลือกแล้วแต่ความถนัดของเรา
1. หยุดตามสัดส่วนความเสี่ยงของเงินทุน
2. หยุดตามรูปแบบของกราฟ
3. หยุดตามความผันผวน
4. หยุดตามเวลา


1. หยุดตามสัดส่วนความเสี่ยงของเงินทุน
การ ตั้ง SL แบบนี้เป็นการตั้ง SL แบบพื้นฐานที่สุด โดยใช้การกำหนดความเสี่ยงจากสัดส่วนของเงินทุนที่อยู่ในบัญชี อย่างเช่นว่า เราเต็มใจที่จะเสี่ยงขาดทุนได้ที่ 2% ต่อการเทรดในแต่ละครั้ง แต่ว่าเทรดเดอร์ทุกคนจะยอมรับความเสี่ยได้ไม่เท่ากัน บางคนอาจจะรับความเสี่ยงได้ถึง 10% ในขณะที่บางคนอาจจะยอมเสี่ยงได้เพียงแค่ 1% เท่านั้น
และในการตั้ง SL คุณควรจะตั้งตามสภาวะของตลาด หรือตามกฎของระบบเทรดของคุณ ไม่ใช่ว่าตั้งตามจำนวนเงินที่คุณจะยอมสูญเสียได้
สับสนมั้ยคะ :) งั้นเรามาดูตัวอย่างกัน
นาย แดง มีบัญชีมินิ ที่มีเงินอยู่ $500 และ ขนาด Lot size ที่เขาสามารถเทรดได้คือ 10k ( ในบัญชีมินิ 10k เท่ากับการเทรดที่ จุดละ $1) แดงต้องการที่จะเทรด GBP/USD และเขาเห็นว่าราคาวิ่งอยู่แถวๆแนวต้านที่ระดับ 1.5620 เขาจึงต้องการที่จะเซล และตามกฎการลงทุนของเขาคือ เขาจะไม่เสี่ยงเกิน 2% ของเงินทุนในการเทรดแต่ละครั้ง และสำหรับการเทรดที่ขนาด 10k ของ GBP/USD แต่ละจุดมีค่า $1 และ 2% ของเงินในบัญชีแดงเท่ากับ $10 ดังแดงก็จะตั้ง SL ได้มากที่สุดที่ 10 จุด ดังนั้นแดงจะต้องตั้งจุด SL ของเขาไว้ที่ 1.5630


แต่ ว่า GBP/USD มีการเคลื่อนไหวทีมากกว่า 100 จุดต่อวัน ราคาจึงอาจจะวิ่งมาชนจุด SL ของแดงได้อย่างง่ายดาย เพราะตำแหน่ง SL นั้นจำกัดด้วยการตั้งค่าความเสี่ยงจากเงินในบัญชีของเขา และเขาตัง SL ด้วยโดยยึดตามจำนวนเงินที่เขาสามารถสูญเสียได้ แทนที่จะกำหนดตามเงื่อนไขจากการเคลื่อนไหวของ GBP/USD


และ ในที่สุด ราคาก็วิ่งมาชน SL ของแดง เพราะว่าจุด SL ของเขาที่วางไว้น้อยเกินไป และนอกเหนือจากนั้นคือ เขาเสียโอกาสที่จะเก็บมากกว่า 100 จุดด้วย
จากตัวอย่างนี้คุณได้เห็นถึง อันตรายจากการตั้ง SL จากการใช้สัดส่วนความเสี่ยงของเงินทุน ที่บังคับให้เทรดเดอร์ต้องตั้งจุด SL ในระดับราคาที่ไม่เหมาะสมกับสภาวะของตลาดและอย่างในกรณีนี้ จุด SL ก็อยุ่ใกล้กับจุดเปิดออเดอร์มาก และเป็นการตั้ง SL ที่ไม่ได้ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคร่วมด้วยเลย (เห็นว่าใกล้แนวต้านก็ใส่เลย ไม่ได้วิเคราะห์อย่างอื่นร่วมเลย)
คุณรู้อยู่แล้วว่า คุณควรจะตั้ง SL ในระดับที่ราคาสามารถจะกลับตัวมาในทิศทางที่คุณคาดคิดไว้โดยไม่ชน SL ของคุณ แต่ในกรณีนี้ราคามันวิ่งไปชน SL เข้าแล้ว จึงหมดโอกาสที่จะทำกำไรได้ และ วิธีแก้ปัญหาสำหรับแดงก็คือ หาโบรคเกอร์ที่เหมาะสมกับสไตร์การเทรดและเงินทุนของเขา
ในกรณีของแดง เขาควรแก้ไขโดยการหาโบรคเกอร์ที่เขาสามารถกำหนดขนาดการซื้อขายที่เล็กลง หรือแม้แต่สามารถกำหนดขนาดเองได้ อย่างเช่น สามารถเทรดที่ขนาด 1k ในคู่เงิน GBP/USD ได้ ซึ่งแต่ละจุด จะมีค่าเท่ากับ $0.10 ซึ่งจะทำให้แดงสามารถตั้งจุด SL ได้ตามเงื่อนไขความเสี่ยงของเขาได้อย่างสบายๆ แดงจะสามารถตั้งจุด SL สำหรับการเทรด GBP/USD ได้ถึง 100 จุด ในความเสี่ยงที่ 2% ของเงินในบัญชีของเขา และตอนนี้เขาก็สามารถตั้ง SL ให้เหมาะสมกับสภาวะของตลาด รวมทั้งเป็นไปตามกฎของระบบการซื้อขาย ตามแนวรับแนวต้านแล้ว

2. หยุดตามรูปแบบของกราฟ
วิธี การหาจุด SL อีกวิธหนึ่งที่เหมาะสมมากกว่าวิธีแรกคือ ตั้งตามรูปแบบของกราฟ เป็นการตั้ง SL โดยยึดตามสิ่งที่ที่ตลาดบอกเราด้วยรูปแบบของตัวมันเอง
เรา สามารถสังเกตการเคลื่อนไหวของราคาได้ ในบางครั้งราคาก็ดูเหมือนไม่สามารถที่จะวิ่งทะลุผ่านแนวรับแนวต้านนั้นๆ และก็มีบ่อยครั้งที่ราคาวิ่งผ่านแนวรับแนวต้านไปได้ในที่สุดหลังจากวิ่งไป วิ่งมาอยู่ในกรอบแนวรับแนวต้านนั้นมาระยะหนึ่ง
การตั้งจุด SL ให้เหนือหรือต่ำกว่าระดับแนวรับแนวต้านนั้นก็เป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลในกรณี ที่ราคาไม่ Break ระดับแนวรับแนวต้าน แต่ถ้าราคาสามารถ break กรอบราคานั้น ก็จะทำให้เทรดเดอร์อื่นๆเห่เข้ามาเล่นด้วยเมื่อเห็นการทะลุของราคา (Breakout) และเทรดเดอร์เหล่านั้นอาจจะทำให้ราคาวิ่งไปในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับออเดอร์ ของคุณ(ที่เล่นอยู่ในกรอบราคา) ได้ และอย่างที่คุณทราวว่าเมื่อเวลาพักตัวอยู่ในกรอบราคานั่นหมายถึงการสะสมพลัง ซึ่งเมื่อราคาเกิดการ Breakout แล้วก็มีแนวโน้มมากที่ราคาอาจวิ่งพุ่งเป็นเทรนไปในทิศทางนั้นๆ  ต่อไปเรามาดูตัวอย่างการตั้ง SL อีกอย่างหนึ่งเมื่อเกิดการ Breakout ของราคา
จากตัวอย่างเป็นการตั้ง SL โดยยึดตามแนวรับแนวต้าน


ตาม ภาพตัวอย่างเราเห็นได้ว่าราคามีการซื้อขายกันอยู่เหนือเส้นแนวรับ (สีดำ) และเมื่อราคาวิ่งทะลุผ่านแนวต้านด้านบน (สีแดง) ไปได้คุณก็คิดว่ามันการ Breakout ที่สวยงาม และคุณตัดสินใจที่จะซื้อตามแนวโน้มนั้น แต่ก่อนอื่นคุณต้องตั้งคำถามก่อนว่า ตรงไหนที่คุณจะตั้ง SL ถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คุณคาดคิดไว้ และเงือนไขอะไรที่จะบอกคุณได้ว่า ความคิดของคุณในการเข้าซื้อครั้งนี้ไม่ถูกต้อง


ใน กรณีนี้ การตั้ง SL ที่สมเหตุสมผมมากที่สุดคือ ตั้ง SL ไว้ใต้แนวรับ (สำดำ) และเส้นเทรนไลน์ (สีแดง) และถ้าราคาวิ่งผ่านเส้นเทรนไลน์นี้ลงมาได้ ก็หมายความว่า มีแรงซื้อไม่พอและตอนนี้ผู้ขายเป็นฝ่ายควบคุมตลาด ดังนั้นความคิดของคุณในการเปิดออเดอร์ซื้อในครั้งนี้จึงเป็นความผิดพลาด และถึงเวลาที่คุณควรจะออกจากออเดอร์ของคุณและยอมรับการสูญเสีย คุณจะเห็นราคาวิ่งในลักษณะนี้ได้บ่อยมากในคู่เงิน EUR/USD

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/stop-loss-()/?/

ความสัมพันธ์รหว่างตลาดหุ้นและ Forex

คุณทราบหรือไม่ว่า ข้อมูลตลาดหุ้น (ตลาดหลักทรัพย์) สามารถนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการทำนายการเคลื่อนไหวในตลาดค้าสกุลเงินได้ อย่างเช่นข้อมูลข่าวสารที่คุณได้รับจากสื่อต่างๆ เช่น จากโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ เพราะดูเหมือนว่าตลาดหุ้นเป็นตลาดทุนส่วนใหญ่ที่ครอบคลุมตลาดการลงทุนอย่าง ใกล้ชิด แต่สิ่งหนึ่งที่คุณลืมไม่ได้คือ ถ้าต้องการจะซื้อหุ้นจากประเทศใดประเทศหนึ่ง คุณจะต้องมีสกุลเงินท้องถิ่น เช่น นักลงทุนชาวยุโรปต้องการจะลงทุนในญี่ปุ่น สิ่งแรกที่เขาต้องทำคือแลกเปลี่ยนเงินสกุลยูโร (EUR) ของเขาเป็นเงินเยน (JPY) ของญี่ปุ่นก่อน ถ้าความต้องการที่จะลงทุนในญี่ปุ่นมีมาก ก็จะมีผลทำให้ค่าเงินเยนของญี่ปุ่นแข็งค่าขึ้น และถ้ามีการขายยูโรมากขึ้น ก็มีผลทำให้ ค่าเงิน ยูโรอ่อนค่าลงด้วยเช่นกัน เมื่อการลงทุนในตลาดใดก็ตามมีภาพรวมออกมาดี ก็จะมีเงินจากต่างชาติไหลเข้ามาลงทุน แต่เมื่อใดที่ตลาดมีภาพรวมว่ากำลังย่ำแย่ นักลงทุนต่างชาติก็จะถอนการลงทุน และไปหาที่ลงทุนใหม่ทีดีกว่า
แม้ว่าคุณจะไม่ได้เทรดหุ้น แต่ในฐานะ Forex เทรดเดอร์ คุณก็ควรจะใส่ใจกับตลาดหุ้นในประเทศที่สำคัญ ถ้าตลาดหุ้นในประเทศใดประเทศหนึ่งเริ่มจะมีประสิทธิภาพดีกว่าตลาดหุ้นใน ประเทศอื่น คุณก็ควรจะรู้ด้วยเพราะว่าเงินอาจไหลออกจากประเทศที่ตลาดหุ้นซบเซาไปสู่ ประเทศที่มีการลงทุนที่แข็งแกร่งกว่า และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ค่าสกุลเงินของประเทศที่มีตลาดหุ้นแข็งแกร่งแข็ง ค่าตาม ในขณะที่ค่าของสกุลเงินของประเทศที่มีตลาดหุ้นอ่อนแอนั้นอ่อนค่าตามตลาดหุ้น ไปด้วย
เมื่อเป็นเช่นนี้ แนวคิดทั่วไปคือ : ตลาดหุ้นที่แข็งแกร่ง ทำให้ค่าสกุลเงินแข็งแกร่ง และ ตลาดหุ้นที่อ่อนแอ ทำให้ค่าสกุลเงินอ่อนแอด้วย ถ้าคุณซื้อสกุลเงินของประเทศที่มีการลงทุนในตลาดหุ้นแข็งแกร่ง และขายสกุลเงินที่มีตลาดหุ้นที่อ่อนแอ คุณก็สามารถที่จะทำกำไรอย่างงามได้

ดัชนีตลาดหุ้นที่สำคัญทั่วโลก

ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวน์โจนส์ (Dow Jones Industrial) เป็นหนึ่งในดัชนีหุ้นชั้นนำในสหรัฐอเมริกา สามารถใช้เป็นเครื่องมือตรวจสอบดูว่าบริษัทชั้นนำ 30 บริษัทที่เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าไปซื้อขายหุ้นนั้นมีสถานภาพเป็นอย่างไร บ้าง แม้จะมีชื่อว่า Industrial แต่บริษัทเหล่านี้แทบจะไม่ได้ทำธุรกิจเกี่ยวกับอุตสาหรรมการผลิตสินค้าเลย แต่กลายเป็นตัวแทนของบริษัทยักษ์ใหญ่บางบริษัทในสหรัฐอเมริกา ทำให้เป็นที่จับตามองอยากมากจากนักลงทุนทั่วโลก และกลายเป็นดัชนีบ่งชี้ความเชื่อมั่นของตลาดที่สำคัญ จึงทำให้มีความไวต่อเศรษฐกิจและการเมืองทั่วโลก
บริษัทที่อยู่ในดาวน์โจน ต่างเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่คุณอาจมีส่วนร่วมในบางสิ่งอยู่ทุกวัน เช่น AT&T, McDonalds, หรือ Intel และบริษัทเหล่านี้เองที่อยู่ในกลุ่มดาวน์โจนส์

Standard & Poor 500 หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ S&P 500 เป็นดัชนีถ่วงน้ำหนักของราคาหุ้นของบริษัทอเมริกันที่ใหญ่ที่สุด 500 บริษัท ถือว่าเป็นกลุ่มผู้นำสำหรับเศรษฐกิจอเมริกัน และยังใช้ในการดูทิศทางของเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาด้วย
นอกจาก ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวน์โจนส์ S&P 500 เป็นดัชนีซื้อขายที่มากที่สุดในสหรัฐอเมริกาที่มีทั้ง กองทุนรวม กองทุนแลกเปลี่ยนซื้อขายและกองทุนอื่นๆ เช่น กองทุนบำนาญ ซึ่งถูกก่อตั้งมาเพื่อติดตามผลการดำเนินงานของดัชนี S&P 500 ในสหรัฐอเมริกาเงินหลายร้อยพันล้านดอลลาร์สหรัฐได้นำมาลงทุนในรูปแบบนี้

NASDAQ เป็นชื่อย่อของ National Association of Securities Dealers Automated Quotationsหมายถึงสามคมตัวแทนจำหน่ายหลักทรัพย์ตามใบเสนอราคาโดยอัตโนมัติ แห่งชาติ ซึ่งก็คือ ตลาดหุ้นที่ทำการค้าผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา ประกอบด้วยบริษัทและองค์กรทั้งหมดประมาณ 3,700 แห่ง และยังเป็นตลาดที่มีปริมาณการซื้อขายหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย

Nikkei (นิกเกอิ) นั้นคล้ายกับ Dow Jones Industrial คือ เป็นค่าเฉลี่ยที่มากที่สุดและใช้กันอย่างแพร่หลายในตลาดหุ้นญี่ปุ่น เป็นราคาเฉลี่ยน้ำหนักของบริษัทชั้นนำ 225 บริษัท จึงเป็นตัวสะท้อนภาพของตลาดโดยรวมในญี่ปุ่น บริษัทที่อยู่ในกลุ่มนิกเกอิ ได้แก่ Toyota, Japan Airline และ Fuji Film เป็นต้น

DEX เป็นชื่อย่อของ Deutscher Aktien Index คือ ดัชนีตลาดหุ้นของประเทศเยอรมนี ที่ประกอบด้วยบริษัทที่มีฐานะมั่นคง 30 บริษัท ที่มีการซื้อขายในตลาดหุ้นแฟรงค์เฟิร์ต และเนื่องด้วยเยอรมนีเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในยูโรโซน จึงทำให้ DAX กลายเป็นดัชนีที่มีการจับตาดูกันมากที่สุดในยุโรป ตัวอย่างบางบริษัทที่อยู่ใน DEX เช่น Adidas, BMW, Deutsche Bank เป็นต้น

Down Jones Euro stock 50 index คือ ดัชนีของบริษัทชั้นนำที่มีพื้นฐานดีเยี่ยมในโซนยุโรป ประกอบด้วยกว่า 50 บริษัท ของ 12 ประเทศในแถบยูโรโซน ก่อตั้งขึ้นโดย บริษัท Stoxx Ltd., ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนของ Deutsche Boerse  AG, Dow Jones & Company และ SIX Swiss Exchange

FTSE อ่านว่า Footsie (ฟุ๊ซซี่) เป็นดัชนีที่ติดตามประสิทธิภาพของบริษัทที่ส่วนใหญ่นั้นมีทุนสูง ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหุ้นลอนดอนประเทศอังกฤษ
FTSE มีดัชนีหลายอย่าง เช่น FTSE 100, FTSE 250 ขึ้นอยู่กับจำนวนของบริษัทที่ร่วมอยู่ในกลุ่มดัชนีนั้น

Hang Seng หรือ ดัชนีฮังเส็ง เป็นดัชนีของตลาดหุ้นฮ่องกง จะมีการทำบันทึกและตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นของบริษัทที่รวมอยู่ใน กลุ่มดัชนีแบบรายวัน ทำให้สามารถติดตามผลการดำเนินงานโดยรวมของตลาดหุ้นฮ่องกงได้

ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดหุ้นและ Forex
ประเด็น หนึ่งเกี่ยวกับการนำข้อมูลจากตลาดหุ้นทั่วโลกมาใช้เพื่อการตัดสินใจในตลาด Forex ก็คือ การหาคำตอบที่ว่า สิ่งไหนที่เป็นตัวชี้นำกันแน่ ระหว่างตลาดหุ้น และ Forex มันก็เหมือนกับคำถามโลกแตกที่ว่า “ไก่กับไข่ อะไรเกิดก่อนกัน ?” 
แนวคิดพื้นฐานคือ เมื่อตลาดหุ้นมีทิศทางที่ดี มีความเชื่อมั่นในประเทศนั้นๆว่ากำลังเติบโตได้ดี ทำให้มีเงินทุนจากต่างชาติหลั่งไหลเข้ามาลงทุน ก็มีแนวโน้มที่จะสร้างความต้องการค่าสกุลเงินของประเทศนั้นๆ ทำให้ค่าสกุลเงินนั้นแข็งค่ากว่าเมื่อเทียบกับค่าสกุลเงินอื่น ในทางกลับกัน ถ้าตลาดหุ้นภายในประเทศมีปัญหา ความเชื่อมั่นก็ลดลง นักลงทุนต่างชาติก็ไม่อยากจะลงทุนต่อจึงนำเงินลงทุนเปลี่ยนกลับเป็นสกุลดั้ง เดิมของตนเอง
แต่อย่างไรก็ดี ในช่วงสองปีที่ผ่านมาหลักการนี้ใช้ไม่ได้กับประเทศสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น บ่อยครั้งที่ข้อมูลตัวเลขทางเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น ไม่ได้มีน้ำหนักสำหรับค่าเงินดอลลาร์และเยนของตนเองเลย ก่อนอื่นลองมาดูความสัมพันธ์ระหว่างดัชนีดาวน์โจน และ นิกเกอิ เพื่อให้เห็นว่าตลาดหุ้นทั่วโลกมีการดำเนินการที่ที่เกี่ยวข้องกันอย่างไร

ตั้งแต่ มีการเปลี่ยนแปลงศตวรรษใหม่ ในปี 2000 ดัชนีดาวน์โจนส์ของสหรัฐอเมริกา และนิกเกอิ 225 ของญี่ปุ่น ก็เคลื่อนที่ไปด้วยกันเหมือนคู่รักที่จูงมือกันในวันวาเลนไทน์ มีจังหวะขึ้นลงไปพร้อมกัน และยังสังเกตเห็นว่า บางครั้งดัชนีตัวหนึ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง หรือ อ่อนค่าลงก่อนที่จะเริ่มเคลื่อนที่ตามดัชนีชี้วัดอีกตัวหนึ่ง อาจกล่าวได้ว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกมักจะมีทิศทางไปในทางเดียวกัน


ความสัมพันธ์ระหว่างหุ้นและสกุลเงิน

Nikkei and USD/JPY
ก่อน ที่เศรษฐกิจโลกตกอยู่ในสภาวะถดถอย ที่เริ่มต้นเมื่อปี 2007 เมื่อเศรษฐกิจตกต่ำมากที่สุด การเติบโตของ GDP ลดลงติดต่อกัน นิกเกอิและ USD/JPY มีความสัมพันธ์ที่ผกผันตรงกันข้ามกัน นักลงทุนต่างเชื่อว่า ประสิทธิภาพของตลาดหุ้นญี่ปุ่นจะสะท้อนถึงสถานะของประเทศ ดังนั้นการลงทุนอย่างมหาศาลในนิกเกอิ ทำให้ค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้น ในทางตรงกันข้าม เมื่อไหร่ก็ตามที่ปริมาณการลงทุนใน นิกเกอิ ลดลง คู่สกุลเงิน USD/JPY ก็จะมีทิศทางเป็นขาขึ้นด้วย



แต่ เมื่อเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ที่เคยมีก็เปลี่ยนไป กลายเป็นบ้าคลั่ง ดัชนีนิกเกอิ และ USD/JPY ที่เคยเคลื่อนที่ในทิศทางที่ตรงกันข้าม ก็กลายเป็นเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกัน
       
Dow Jones and USD/JPY
คราว นี้เราลองมาดูความสัมพันธ์ระหว่าง USD/JPY และดาวน์โจนส์กันบ้าง จากสิ่งที่คุณอ่านก่อนหน้านี้คุรอาจคิดว่า USD/JPY และ ดาวน์โจนส์ต้องมีความสัมพันธ์กัน อย่างไรก็ดี เมื่อดูชาร์ตด้านล่างคุณจะทราบว่ามันไม่เชิงว่าจะเป็นเช่นนั้น เหมือนว่าความสัมพันธ์จะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน แต่ไม่แข็งแกร่งเท่าใดนัก


ลอง ดูที่ดาวน์โจนส์ มีการดีดตัวขึ้นมาที่ 14,000 เมื่อปลายปี 2007 ก่อนที่จะร่วงลงมา ในปี 2008 และในเวลาเดียวกัน USD/JPY ก็ร่วงลงมาด้วย แต่ลักษณะการเคลื่อนที่ไม่รวดเร็วเหมือนดาวน์โจนส์
สิ่งนี้สามารถเตือน เราได้ว่า เราต้องคำนึงถึงปัจจัยพื้นฐาน ควบคู่กับเทคนิคอล และ ความเชื่อมั่นของตลาดเสมอ อย่าใช้แค่ความสัมพันธ์ของตลาด เพราะมันไม่สามารถการันตีความแม่นยำได้

 ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/forex-626/?/

ความแตกต่างระหว่าง forex กับ Futures

ความแตกต่างระหว่าง forex กับ Futures

      ความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่าง ฟอร์เร็กซ์ กับ Futures
                      ความได้เปรียบ                Forex        Futures
                 เทรดได้ตลอด 24 ชั่วโมง        YES           NO
                 ไม่มีค่าคอมมิชชั่นในการเทรด*   YES           NO
                 มี leverage สูงถึง 1:400       YES           NO
                 มีราคาที่แน่นอน                    YES           NO
                 ความเสี่ยงมีจำกัด                  YES           NO

สภาพคล่อง
ตลาด ฟอร์เร็กซ์ มีปริมาณการซื้อขาย 2 ล้าน ๆ เหรียญต่อวัน เป็นตลาดที่มีสภาพคล่องสูงที่สุดในโลก ซึ่งถ้าเราเทียบ กันกับตลาดอื่นแล้ว ทำให้ปริมาณหรือขนาดของตลาดทุนอื่น ๆ ดูเล็กลงไปทันที ตลาดฟิวเจอร์เทรดอยู่ราว ๆ 30,000 ล้านเหรียญต่อวัน ตลาดฟิวเจอร์ไม่สามารถแข่งกับตลาดฟอร์เร็กซ์ เพราะมีปริมาณการเทรดที่จำกัด หมายความว่า ฟอร์เร็กซ์ ออร์เดอร์สามารถส่งคำสั่งใด ๆ ก็ตามได้ตลอดเวลา โดยปราศจากการคลาดเคลื่อนของราคา นอกจาก ในช่วงที่ตลาด มีความผันผวนสูงหรืออยู่ในภาวะที่ไมปกติเท่านั้น

เทรดได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ณ.เวลาบ่าย 2:15 วันอาทิตย์ (ตามเวลาสากล และท้องถิ่น)
ตลาดเริ่มเทรดที่ ซิดนีย์ และสิงคโปร์
เวลา หนึ่งทุ่มตรง ตลาดโตเกียว เปิดทำการ
ตามตลาดลอนดอนเวลาตีสอง
และ สุดท้ายตลาดนิวยอร์คเปิดเวลา 8 โมงเช้า
และ ปิดที่เวลา 5 โมงเย็น
ดัง นั้นก่อนที่ตลาดนิวยอร์คจะปิด ตลาดสิงคโปร์ และตลาดซิดนีย์ ก็กลับมาเปิดอีกครั้งแล้ว และก็วนอย่างนี้ ไม่รู้จัก จบสิ้น จนสุดสัปดาห์
ใน ฐานะเทรดเดอร์คนหนึ่ง ทำให้ต้องสนใจกับ ข่าวดีหรือข่าวร้าย ที่เกิดขึ้นด้วยการเทรด ถ้าเหากว่ามีข้อมูลที่สำคัญ ออกมา จากอังกฤษ หรือว่า ญี่ปุ่น ขณะที่ตลาดสหรัฐฯ กำลังจะปิด นั่นหมายความ ถ้ามันเปิดตลาดมาวันต่อไป ราคาต่อวิ่งกระฉูดแน่นอน
(ตอนกลางคืน แม้อาจจะมีการเทรดฟิวเจอร์ค่าเงินอยู่บ้าง แต่ว่าปริมาณการเทรดก็เบาบาง ไม่มากนัก และยากเกินไป สำหรับนักลงทุนทั่วไปที่จะเข้าเทรด)

ไม่มีค่าคอมมิชชั่นในการเทรด
อะไร สำคัญที่สุดในการเทรดค่าเงิน คุณไม่ต้องจ่ายค่าคอมมิชชั่น เพราะคุณติดต่อโดยตรงกับ market maker ทางโปรแกรมออนไลน์ คุณไม่ได้จ่ายค่าธรรมเนียมให้คนกลางไม่ว่าจะเป็นการซื้อ หรือขาย แต่ว่าก็ยังมี ค่าใช้จ่าย นิดหน่อย คือค่า Spread ในการเทรดฟิวเจอร์ หรือการเทรดหุ้น หรือ Equity ก็มีเหมือนกัน โบรคเกอร์ จะได้ผล ตอบแทนจากค่า spread แทนที่จะเป็นค่าคอมมิชชั่น

มีราคาที่แน่นอน
เมื่อ เทรดฟอร์เร็กซ์ คำสั่งซื้อขายของคุณจะได้รับการส่งคำสั่งอย่างรวดเร็ว และได้ราคาที่คุณคิดไว้ ภายใต้ภาวะ ตลาดปกติ แต่ในทางกลับกัน ราคาของฟิวเจอร์ หรือ equity คุณอาจจะไม่ได้ราคาที่คุณอยากซื้อ หรือสามารถส่งคำสั่ง แล้วได้ออร์เดอร์นั้นทันทีทันใด แม้ว่าคุณจะใช้อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงขนาดไหน หรือ โบรคเกอร์ของคุณสามารถ ส่งคำสั่งได้เร็วขนาดไหน ราคาที่คุณต้องตั้งไว้นั้น อยู่ไกลจากราคาปัจจุบัน เพราะเมื่อคุณส่งราคานั้นออกไป มันเป็น ราคาสุดท้ายที่มีการเทรด แต่ไม่ใช่ราคาที่ตัวสัญญาระบุราคาไว้ (เพราะว่าฟิวเจอร์เป็นการซื้อขายราคาในอนาคต)

ความเสี่ยงมีจำกัด
นัก เทรดจะมี Position Limit วัตถุประสงค์เพื่อจัดการความเสี่ยง ตัวเลขนี้เกี่ยวกับจำนวนเงินในบัญชีเทรดของ เทรดเดอร์ ความเสี่ยงถูกจำกัดให้เหลือน้อยลงในตลาดฟอร์เร็กซ์ เพราะโปรแกรมที่นักเทรดใช้อยู่ จะเรียก มาร์จิ้น เพิ่มอัติโนมัติ (margin call) เมื่อเทรดเดอร์ไม่มีมาร์จิ้นเหลืออีก ออร์เดอร์ที่เปิดอยู่จะถูกปิดทันทีตามขนาด ของ Position ที่เปิดอยู่ ในตลาดฟิวเจอร์ Position ของคุณจะต้องใส่เงินเพิ่มเข้าไปตลอด ถ้ามันขาดทุน หรือว่า มีมูลค่า ต่ำกว่ามาร์จิ้นที่โบรคเกอร์กำหนด คุณต้องใส่เงินจำนวนที่เท่ากับจำนวนที่ขาดทุน เข้าไปในบัญชี มันเป็นเรื่องบ้ามาก

เหตุผลที่นอกเหนือจากข้อดังกล่าว

ไม่มีคนกลาง
คน กลางในการแลกเปลี่ยน สามารถทำให้เราได้เปรียบหลาย ๆ อย่าง แต่ปัญหาอย่างหนึ่งของการเทรด โดยการผ่าน คนกลางคือ ความสัมพันธ์ของคนกลาง ซึ่งระหว่างกลุ่มเทรดเดอร ์และด้านผู้ซื้อ ด้านผู้ขาย ในตลาดการทุน ทุกเครื่องมือทางการเงิน ต้องมีค่าใช้จ่าย ที่เราต้องจ่ายให้คนกลาง ซึ่งอาจจะคิดเป็นเวลา หรือเป็นค่าธรรมเนียมตายตัว ก็แล้วแต่ แต่การเทรดค่าเงินนั้น ไม่ต้องผ่านคนกลาง และเทรดเดอร์ยังสามารถเทรดได้กับตลาดโดยตรงซึ่ง market maker เป็นผู้รับผิดชอบต่อออร์เดอร์ ที่เทรดเดอร์เป็นผู้ส่งราคานั้น ๆ ดังนั้น ฟอร์เร็กซ์ ซื้อขายได้ทันท่วงทีมากกว่า และยังมีต้นทุน ที่ถูกกว่าอีกด้วย

ไม่มีใครสามารถควบคุมตลาดได้
หลาย ๆ ครั้งที่อาจจะได้ยินว่า กองทุน A กำลังเทขาย X หรือ กำลัง ซื้อ Z มีข่าวลือว่ากองทุนกำลังจะ เทขาย ทำกำไร เพราะว่าถึงเวลาใกล้ปิดบัญชีแล้ว หรือว่าจะเป็นวัน "triple witching day"(เป็นวันที่ สัญญาออพชั่น หรือ ฟิวเจอร์ หมดพร้อมกันทั้ง index และก็ตัวหุ้นเอง) , และเหตุผลต่าง ๆ นานา ที่ออกมาอธิบายว่าทำไม หุ้นถึงขึ้น หรือทำไม ตลาดอยู่ภาวะตลาดหมี หรือ ตลาดกระทิง ตลาดหุ้นเป็นตลาดที่เคลื่อนไหว ไปตามกองทุนไม่ว่าจะ ซื้อหรือขาย ในการเทรดฟอร์เร็กซ์ การเข้ามาควบคุมตลาดได้ของธนาคารขนาดใหญ่หรือกองทุนใหญ่ ๆ มีน้อยมาก ธนาคาร เฮดจ์ฟันด์ รัฐบาล หรือแม้แต่บริษัทรับแลกเงินต่าง ๆ ทั้งหมด เป็นแค่ผู้เทรดในตลาดทั่วโลก ซึ่งทำให้มันมีสภาพคล่อง หรือมูลค่ามหาศาลนั่นเอง

นักวิเคราะห์ กับ บริษัทโบรคเกอร์ มีบทบาทน้อย ในการชักนำตลาด
คุณ เคยได้ยินเรื่องหุ้น หรือไม่ว่า บทวิเคราะห์ที่โบรคเกอร์ออกมาให้คำแนะนำ เช่น ซื้อ เมื่อหุ้นราคากำลังปรับฐาน มันเป็นธรรมชาติของการลงทุนแบบนี้ ไม่ว่ารัฐบาลจะออกมาเตือน และไม่สนับสนุน การกระทำของโบรคเกอร์ แต่ว่าเราก็ยังได้เห็นมันอยู่ การเปิดขายหุ้น IPO ให้กับประชาชนทั่วไป เป็นโอกาสในการได้เป็นมหาชนของบริษัท และยังเป็นโอกาส ในการทำ กำไรของโบรคเกอร์อีกด้วย ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างมีผลประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งนักวิเคราะห์ ก็ทำงานให้โบรคเกอร์ อยู่แล้ว และโบรคเกอร์ก็ต้องการลูกค้า ก็เป็นธรรมดา ที่พวกเขาจะได้ผลประโยชน์ร่วมกัน และเราก็ยังตกเป็นเหยื่ออยู่เรื่อยไป ตลาดแลกเปลี่ยนค่าเงินฟอร์เร็กซ์เป็นตลาดใหญ่ มีปริมาณการเทรดเป็นพัน ๆ ล้านจากธนาคารทั่วทุกมุมถนนทั่วโลก และเพราะ มันเป็นตลาดการเงินของโลก นักวิเคราะห์ในตลาดฟอร์เร็กซ์ ไม่สามารถเป็นผู้ชี้นำทิศทางตลาด ให้กับ เทรดเดอร์ได้ พวกเขาเพียงทำได้แค่ ่วิเคราะห์ตามภาวะตลาดเท่านั้นเอง

หุ้น 8,000 ตัว กับ 4 ค่าเงิน
มี หุ้นอยู่ในตลาดหุ้น New York Stock exchange.ประมาณ 4,500 ตัวและ อีกราว ๆ 3500 ตัวในตลาด NASDAQ. คุณเทรดตลาดไหนอยู่ คุณจะมีเวลาที่ไหนไปหาบริษัทที่มีผลประกอบการจากบริษัททั้งหมด แปดพันกว่าบริษัท แต่ ในตลาดค่าเงิน เรามีค่าเงินเพียงไม่กี่คู่ และ่ส่วนใหญ่ที่เทรดกัน มีแค่ 4 ค่าเงิน การดู 4 ค่าเงินง่ายกว่า การดูหุ้น 8 พันตัว คุณคงคิดเองได้


เพิ่มเติม
- ความแตกต่าง ระหว่าง คนรวย กับ คนจน


ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/forex-futures/?/

ความแตกต่างระหว่าง forex กับ หุ้น

ความแตกต่างระหว่าง forex กับ หุ้น

   ความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่าง ฟอร์เร็กซ์ กับ หุ้น
       ความได้เปรียบ                  Forex       หุ้น
       เทรดได้ตลอด 24 ชั่วโมง      YES       NO
       ฟรีค่าธรรมเนียมในการเทรด    YES       NO
       สามารถส่งคำสั่งเทรดได้ทันที  YES       NO
       สามารถเล่น Short Sell ได้   YES       NO


เทรดได้ 24 ชั่วโมง
ตลาด ฟอร์เร็กซ์ เป็นตลาดที่ไม่มีจุดสิ้นสุด เพราะ เปิดตลอด 24 ชั่วโมง โบรคเกอร์ส่วนมาก เปิดตั้งแต่วันอาทิตย์ เวลา บ่ายสอง จนถึง บ่ายสี่โมงวันศุกร์ (เวลาสหรัฐฯ) แต่ฝ่ายบริการลูกค้าเปิดตลอด 24 ชั่วโมงตลอด 7 วัน ทำให้เรา สามารถเทรดสามตลาดคือ ตลาดสหรัฐฯ ตลาดเอเชีย และตลาดยุโรป สามารถกำหนดตารางการเทรดได้

ฟรีค่าธรรมเนียมในการเทรด
ฟอร์เร็กซ์ โบรคเกอร์ ส่วนใหญ่ไม่มีการชาร์จค่าคอมมิชชั่น หรือ ค่าดำเนินการใด ๆ ในการเทรดค่าเงินออนไลน์ หรือ ทางโทรศัพท์ ถ้ารวมค่าใช้จ่ายต่าง ๆ และค่า spread แล้ว การเทรดฟอร์เร็กซ์ มีต้นทุนในการเทรด ต่ำกว่าตลาดใด ๆ ในโลก โบรคเกอร์ได้รับรายได้จากส่วนต่างของ Bid/Ask ซึ่งก็คือ ค่า Spread นั่นเอง

สามารถส่งคำสั่งเทรดได้ทันที Instantaneous Execution of Market Orders
เมื่อ ส่งคำสั่ง สามารถทำได้ทันทีภายใต้ภาวะตลาดปกติ และได้ราคาที่คุณคิด ดังนั้น เมื่อคลิ๊กที่ราคาไหน ก็จะได้ ราคานั้น เพราะตลาดฟอร์เร็กซ์เป็นระบบเรียลไทม์ จะได้ราคาที่อยากได้ที่แสดงในหน้าจอโปรแกรมเทรด จะเห็นได้ว่า โบรคเกอร์ส่วนใหญ่จะรับประกันเพียงแค่ ออร์เดอร์ Stop , Limit หรือ ออร์เดอร์ที่คุณเข้าเทรดภายใน ภาวะตลาดปกติ เท่านั้น แต่ว่าถ้าเกิดในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนมาก ออร์เดอร์อาจจะมีการล่าช้าบ้าง ทำให้ไม่ได้ราคาที่ตามคิด

สามารถเล่น Short-Selling ได้
ตลาด ฟอร์เร็กซ์ ไม่เหมือนตลาดทุนอื่นๆ ไม่มีกฏเงื่อนไข ใด ๆ ในการส่งคำสั่ง Short selling โอกาสในการเทรด ขึ้นอยู่กับ ภาวะตลาดไม่ว่าเทรดเดอร์จะ Buy หรือ Sell หรือว่าตลาดจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางไหน เพราะเมื่อมี การซื้อ ค่าเงินหนึ่ง ก็ต้องมีการขายอีกค่าเงินหนึ่ง จึงไม่มีผลกระทบอะไรกับตลาด ดังนั้น จึงสามารถส่งคำสั่งได้ตลอด ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่ตลาดกำลังเป็น ขาขึ้น หรือ ขาลง

 ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/forex-622/?/

ทำไมต้องลงทุนในตลาด Forex

ข้อดีของ Forex
ตลาด Forex นั้นมีข้อดีมากมาย ซึ่งทำให้คนจำนวนมากเลือกที่จะลงทุนในตลาดนี้ เราจะยกตัวอย่างมาบ้างข้อ เช่น
1.ไม่มีค่าคอมมิชชั่น
ไม่ มีการหักค่าธรรมเนียมจากบัญชีของเรา ไม่มีการคิดค่าธรรมเนียมจากการซื้อขาย หรือค่าธรรมเนียมจากโบรคเกอร์ โบรคเกอร์ต่างๆจะได้ค่าตอบแทนในบริการของพวกเขาจากสิ่งที่เรียกว่า Spread
2.ไม่พ่อค้าคนกลาง
ตลาด Forex ไม่มีพ่อค้าคนกลาง คุณสามารถซื้อขายสกุลเงินต่างๆจากตลาดได้โดยตรง ทำให้ราคาที่คุณซื้อขาย คือราคาจริงๆของแต่ละสกุลเงินในตลาด
3.ไม่มีการกำหนดขนาดการซื้อขาย
ใน ตลาดฟิวเจอร์หรือตลาดหุ้นจะมีการกำหนดขนาดการซื้อขายต่อ 1 หน่วยไว้ เช่น Silver futures กำหนดขนาดมาตรฐานไว้ 5,000 ออนซ์ต่อ 1 หน่วย แต่ในตลาด Forex คุณสามารถเลือกขนาดการลงทุนได้ ซึ่งเราเรียกว่า Lot ทำให้คุณสามารถเริ่มต้นลงทุนในตลาด Forex ด้วยเงินที่น้อยมากได้เช่น 25 ดอลลาร์ (ขึ้นอยู่กับแต่ละโบรคเกอร์จะอนุญาติให้คุณเปิดบัญชีขั้นต่ำเท่าไร)
4.เป็นตลาดที่เปิดทำการ 24 ชั่วโมง
เวลา ในประเทศไทย ตลาดจะเปิดตั้งแต่ 5.00 AM ในเช้าวันจันทร์ ถีง 3.00 AM ช่วงเช้าวันเสาร์ โดยจะเปิด 24 ชั่วโมงทุกวันไม่มีหยุดพัก(รวม 120 ชั่วโมงต่อสัปดาห์) เป็นข้อดีทำให้คนที่ต้องการลงทุนแบบ part-time สามารถเลือกลงทุนเวลาไหนก็ได้
5.ไม่มีใครสามารถควบคุมตลาดได้
เพราะ ขนาดของตลาดที่ใหญ่มากและมีผู้คนและองค์กรมากมายมาลงทุน ทำให้ไม่มีใครที่สามารถจะควบคุมราคาของสกุลเงินในตลาดได้ (ไม่มีใครสามารถปั่นราคาสกุลเงินในตลาด Forex ได้ แตกต่างจากตลาดหุ้นซึ่งมีมูลค่าการซื้อขายน้อย ราคาสามารถถูกปั่นจากกลุ่มทุนได้ง่าย)
6.มี Leverage
ในการซืื้อขาย สกุลเงินในตลาด Forex คุณสามารถซื้อขายสกุลเงินที่มีมูลค่ามากได้ ถึงแม้คุณจะมีเงินลงทุนไม่มากก็ตาม การมี Leverage จะเปิดโอกาสให้คุณสามารถทำกำไรได้มากและขณะเดียวกันก็เป็นการลดความเสี่ยง ของเงินทุนเราด้วย
ตัวอย่างเช่น โบรคเกอร์ Forex แห่งหนึ่งเสนอให้ Leverage 1:1000 นั่นหมายความว่าถ้าคุณฝากเงินในบัญชีการลงทุน 1000 ดอลลาร์ คุณจะสามารถซื้อขายสกุลเงิน ทีมีมูลค่ารวมกันได้ถึง 1,000,000 ดอลลาร์ แม้ว่าการมี Leverage จะทำให้นักลงทุนมีโอกาสทำกำไรได้มากแต่นั่นก็หมายความว่าเขาก็สามารถจะขาด ทุนได้มากด้วยเช่นกัน ถ้าไม่มีการจัดการความเสี่ยงที่ดี
7.มีสภาพคล่องสูง
เพราะ ว่าตลาด Forex มีขนาดที่ใหญ่มากและปริมาณการซื้อขายก็มากด้วย จึงทำให้ทุกครั้งที่คุณต้องการส่งคำสั่งซื้อหรือขายสกุลเงิน คุณจะสามารถซื้อขายได้ทันที เนื่องจากจะมีคนคอยซื้อและขายสกุลเงินนั้นๆอยู่ตลอดเวลา
8.เริ่มต้นลงทุนง่าย
เนื่อง จากคุณสามารถเปิดบัญชีการลงทุนกับโบรคเกอร์ต่างๆได้ด้วยเงินลงทุนที่ต่ำมาก เช่น 5$ หรือ 25$ และทุกคนสามารถเปิดบัญชีและลงทุนได้ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เนต ทำให้เป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกคนที่จะเข้ามาเริ่มลงทุนในตลาด Forex (เราไม่แนะนำให้คุณเปิดบัญชีด้วยเงินที่น้อยเกินไป เนื่องจากจะทำให้มีความเสี่ยงที่จะขาดทุนสูง)

นี่คือสาเหตุที่คนทั่วโลกเขาหลงไหลในตลาด Forex
ผมจะขอยกตัวอย่าง บุคคลที่ประสบความสำเร็จในการเทรด Forex นะคัฟ
Rodrigo Villela เทรดเดอร์ค่าเงินชาวเม็กซิโก
Rudy Leder เทรดเดอร์ค่าเงินชาวอเมริกัน
Nial Fuller เทรดเดอร์ค่าเงินสไตล์ Price action
แม่บ้านญี่ปุ่นกับการเป็นเทรดเดอร์ค่าเงิน
Joe Chalhoub Forex trader ผู้ไม่ยอมแพ้

 ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/forex-620/?/

วิธีการติดตั้งโปรแกรมเทรด

วิธีการติดตั้งโปรแกรมเทรด MT4 MetaTrader - EXNESS

คลิ๊กดาวโหลด MetaTrader 4 ตามรูป

คลิ๊กที่โปรแกรมที่เราดาวโหลดมา แล้วคลิ๊ก Run


จากนั้นคลิ๊ก Next..

แล้วคลิ๊กเครื่องหมายถูกในช่องสี่เหลี่ยม แล้ว คลิ๊ก Next..


แล้วก็คลิ๊ก Next >>


รอการดาวโหลด สักครู่


คลิ๊ก Finish >>


แล้วจะขึ้นหน้าต่าง โปรแกรมMT4 มาใหม่

ให้ ทำการนำหมายเลขบัญชีที่เราสมัครไว้มา Login และ Password  เลือก Sever สำหรับใครที่เปิดบัญชี แบบ Mini Server จะเป็น Exness-Real2  ถ้าเลือกผิดก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เมื่อทำการ login เข้าสู่โปรแกรม MT4 ครั้งแรก จะมีคูเงิน อยู่หน้าแรกประมาณ 4 คู่

และบางทีก็โชว์หน้าจอ กราฟ ขึ้นมาเลย แต่บางที่อาจจะโชว์คำว่า waiting for update ดังรูป

ให้ทำการคลิ๊กตรงเครื่องหมาย x สีแดง มุมขวามือของแต่ละ chart คู่เงินออกไปทั้งหมดเลย

แล้วทำการเปิด Chart คู่เงินใหม่ขึ้น มีให้เลือกมากมาย ตามความถนัดของเรา

โดยส่วนใหญ่ นิยม เล่นคู่เงิน EUR/USD ค่ะ
ตาม ตย. จะทำการเปิดกราฟใหม่
โดยไปที่ File >> New chart >> EUR/USD

ก็จะได้กรา EUR/USD หน้าตา ดังรูปข้างล่างนี้


**หมาย เหตุ** ใครที่ติดตั้งโปรแกรมและ login ภายในวันเสาร์ - อาทิตย์ กราฟจะไม่เคลื่อนไหวนะครับเพราะตลาดปิด ได้แต่ดูกราฟเฉยๆนะครับเทรดเดอร์ส่วนใหญ่มักจะดูแนวโน้มราคาในวันเสาร์ - อาทิตย์ เพราะราคาไม่ขยับมันเลยดูได้ง่าย พอเข้าใจนะครับ ***

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/t617/?/