RSS
Showing posts with label ออร์เดอร์. Show all posts
Showing posts with label ออร์เดอร์. Show all posts

margin call คืออะไร?

 ในเหตุการณ์ที่เงินในบัญชีของคุณลดลง จนเหลือน้อยกว่า มาร์จิ้นขั้นต่ำ (มาร์จิ้นที่คุณต้องใช้ในการถือ position) โบรคเกอร์จะทยอยปิด ออร์เดอร์ที่คุณเปิดอยู่ เพื่อป้องกันไม่ให้บัญชีคุณขาดทุนจนติดลบ โดยเฉพาะ เวลาที่ตลาด มีความผันผวนสูง คือราคามีการเคลื่อนไหวกว้าง

ตัวอย่างที่ 1
คุณ เปิดบัญชีฟอร์เร็กซ์ ด้วยเงิน 2,000 เหรียญ(ไม่ใช่ความคิดที่ดี) คุณเปิดบัญชี 1 สแตนดาร์ด ลอท( 100,000 unit) ของค่าเงิน EUR/USD ซึ่งต้องใช้มาร์จิ้น 1,000 เหรียญ มาร์จิ้นที่เหลืออยู่ คุณสามารถเปิดออร์เดอร์เพิ่ม หรือ สามารถ รองรับการขาดทุนของออร์เดอร์ที่เปิดอยู่ ตั้งแต่แรกที่เปิดบัญชี 2,000 เหรียญ คุณมีมาร์จิ้น ที่สามารถ ใช้เทรดได้ 2,000 เหรียญ แต่เมื่อเทรด 1 สแตนดาร์ดลอท ซึ่งจะใช้มาร์จิ้น 1,000 เหรียญ และมาร์จิ้นที่จะเหลืออยู่ คือ 1,000 ถ้าคุณเสียมากกว่ามาร์จิ้นที่เหลืออยู่ คือ 1,000 เหรียญ คุณจะโดน margin call

ตัวอย่างที่ 2
คุณเปิดบัญชี ด้วยเงิน 10,000 เหรียญ แล้วเปิดบัญชี 1 สแตนดาร์ดลอท ของค่าเงิน EUR/USD จะต้องใช้ margin 1,000 เหรียญ มาร์จิ้นที่เหลือเป็นเงินที่สามารถใช้ในการเปิดออร์เดอร์ หรือ เอาไว้รองรับการขาดทุนจากออร์เดอร์ ที่เปิดอยู่ ดังนั้ถ้าเปิดที่ 1 standard lot ด้วยมาร์จิ้น 10,000 เหรียญ หลังจากเปิดออร์เดอร์ จะมีมาร์จิ้นเหลืออยู่ 9,000 เหรียญ เพราะ 1,000 เป็นมาร์จิ้นที่ถูกใช้ไปแล้ว ถ้าคุณเสียมากกว่ามาร์จิ้นที่เหลือ 9,000 เหรียญ คุณก็จะถูก margin call ต้องทำความเข้าใจกับความแตกต่างของ

มาร์จิ้นที่ถูกใช้ไป (used margin) กับ มาร์จิ้นที่เหลืออยู่ (usable margin) คืออะไร
ถ้า มูลค่ารวมของบัญชีคุณ มีน้อยกว่า มาร์จิ้นที่เหลือ เนื่องมาจากผลขาดทุนของการเทรด คุณจะต้องฝากเงินเพิ่ม หรือ ไม่เช่นนั้นโบรคเกอร์จะปิดออร์เดอร์ของคุณ เพื่อจำกัดความเสี่ยงของคุณ และความเสี่ยงของโบรคเกอร์เอง เพื่อไม่ให้ คุณเสียมากกว่าที่คุณเทรด

ถ้า เทรดโดยใช้บัญชีแบบมาร์จิ้น (ยืมเงินโบรคเกอร์เล่น แบบตลาดหุ้น) มันสำคัญมากที่จะต้องเข้าใจนโยบาย เกี่ยวกับ บัญชีมาร์จิ้นให้ละเอียด

ควร จะรู้ว่าโบรคเกอร์ส่วนใหญ่ จะเรียกมาร์จิ้นเพิ่มขึ้นในช่วงปลายสัปดาห์ ครั้งแรกพวกเขาอาจจะให้ใช้มาร์จิ้นที่ 1 % ช่วงกลางสัปดาห์ ถ้าคุณถือ position ข้ามสัปดาห์ อาจจะต้องใช้มาร์จิ้นเพิ่มขึ้นจาก 1 % เป็น 2% หรืออาจจะ สูงกว่านั้น

เรื่องของมาร์จิ้น เป็นเรื่องที่น่ารำคาญใจ และบางคนบอกว่า การใช้มาร์จิ้นเยอะเกินไปเป็นเรื่องอันตราย ขึ้นอยู่กับ ความเข้าใจของแต่ละบุคคล แต่สิ่งสำคัญที่ควรรู้คือ คุณควรจะเข้าใจเงื่อนไข หรือนโยบายเกี่ยวกับมาร์จิ้น ของ โบรคเกอร์ จะได้เข้าใจถึงความเสี่ยงที่มีอยู่ด้วยนั่นเอง

บางโบรคเกอร์ได้อธิบายเกี่ยวกับการใช้ leverage ในรูปแบบของเปอร์เซ็นต์มาร์จิ้น โดยใช้หลักการธรรมดา ๆ ระหว่าง 2 แบบ คือ

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/margin-call/?/

leverage คืออะไร?

คุณอาจจะเคยคิดว่า นักลงทุนเล็ก ๆ อย่างคุณ จะสามารถเทรดค่าเงินมากมายขนาดนั้นได้อย่างไร ลองคิดเปรียบว่า โบรคเกอร์ ก็คือธนาคาร ซึ่งเขาอยากให้คุณซื้อค่าเงินมูลค่า 100,000 เหรียญ โดยที่เขาต้องการเงินจากคุณเพียง แค่ 1,000 เหรียญ เพื่อค้ำประกัน ฟังดูง่ายเกินไปในโลกของความจริงใช่ไหม? แต่ว่า นี่แหละคือฟอร์เร็กซ์ และ นี่ก็คือ Leverage ที่เราใช้

จำนวน leverage ที่คุณใช้ ขึ้นอยู่กับโบรคเกอร์ และขึ้นอยู่กับตัวคุณว่า ต้องการใช้เท่าไหร่

โบ รคเกอร์จะให้คุณฝากเงินเข้า ที่เราเรียกกันว่า margin หรือ initial margin เมื่อฝากเงินเข้าบัญชี คุณจะสามารถ เทรดได้ทันที และโบรกเกอร์ก็จะบอกว่า คุณต้องใช้เงินเท่าไหร่ ในการเทรดจำนวน ลอทนั้น ๆ

เช่น ถ้า leverage ที่เราใช้เท่ากับ 100:1 (หรือ 1 เปอร์เซ็นต์ ของ position ต้องใช้) และคุณต้องการเทรดมูลค่า 100,000 เหรียญ โบรคเกอร์จะเรียกมาร์จิ้น 1,000 เหรียญ ดังนั้นถ้ามีเงิน 5,000 เหรียญ จะเทรดได้มากสุดถึง 500,000 เหรียญ

มาร์ จิ้นอย่างต่ำต่อลอท จะแตกต่างกันออกไป ตามแต่ละโบรคเกอร์ จากตัวอย่างข้างบน โบรกเกอร์จะต้องใช้ มาร์จิ้น 1% ซึ่งหมายความว่า ออร์เดอร์มูลค่า 100,000 ซึ่งคุณจะต้องฝากเงินเข้าไป 1,000 เหรียญ เพื่อที่จะฝาก เป็นมาร์จิ้น นั่นเอง

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/leverage-631/?/

lot คือ อะไร?

 ฟอร์เร็กซ์ จะเทรดเป็น lot ขนาดมาตรฐานของ 1 ลอท คือ 100,000 ยูนิท ซึ่งก็มีบัญชีแบบ มินิลอท เหมือนกัน ซึ่งมีมูลค่าเท่ากับ 10,000 ยูนิท และอย่างที่บอกว่า ค่าเงินนั้นคิดเป็น pip เป็นหน่วยที่เล็กที่สุดของค่าเงินนั้น ๆ ในการที่จะทำให้เราได้ประโยชน์จากจุดเล็ก ๆ จุดนี้ คือเราต้องเทรดจำนวนมาก จึงจะเห็น กำไร-ขาดทุน ชัดเจน

เช่น เราใช้ 100,000 ยูนิท (เท่ากับ 1 สแตนดาร์ดลอท) ลองยกมาคำนวณ เพื่อให้เห็นว่ามันส่งผลยังไง

USD/JPY ที่อัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับ 119.80
(.01/119.80)x100,000 = 8.34 เหรียญต่อจุด
USD/CHF ที่อัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับ1.4555
(.0001/1.4555)x100,000 = 6.87 เหรียญ ต่อจุด

ถ้าในกรณีที่เงินดอลล่าร์อยู่ข้างหลัง การคำนวณก็จะแตกต่างกันเล็กน้อย

EUR/USD ที่อัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับ 1.1930
(.0001/1.1930)x100,000 = 8.38x1.1930 = 9.99734 ถ้าปัดเศษได้ก็จะเท่ากับ 10 เหรียญต่อจุด

GBP/USD ที่อัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับ 1.8040 (.0001 / 1.8040) x 100,000 = 5.54 x 1.8040 = 9.99416 ถ้าปัดเศษก็จะได้เท่ากับ 10 ต่อจุด.

โบ รคเกอร์ของคุณ อาจจะมีวิธีการคิดมูลค่าของ pip ที่แตกต่างกันออกไป แต่ไม่ว่าจะเป็นวิธีการไหน พวกเขา สามารถ บอกได้ว่า ค่าเงินที่คุณกำลังเทรดมูลค่าต่อหนึ่งจุดนั้น เป็นเท่าไหร่ในช่วงที่คุณกำลังเทรด ซึ่งถ้าตลาด มีการเคลื่อนไหว มูลค่าต่อจุดจะขึ้นอยู่กับ ค่าเงินที่คุณกำลังเทรดอยู่


แล้วเราจะคำนวณกำไรขาดทุนได้อย่างไร
ตอนนี้ คุณรู้ว่าจะคำนวณมูลค่าต่อจุดอย่างไร ลองมาดูต่อว่า เราจะคำนวณกำไร-ขาดทุนได้อย่างไร
เช่น เราซื้อดอลล่าร์สหรัฐ และขายสวิสฯฟรังค์ (usd/chf)
สมมุติว่า อัตราแลกเปลี่ยนตอนนี้อยู่ที่ 1.4525/1.4530 (bid/Offer) เพราะว่าคุณกำลังซื้อเงินดอลล่าร์คุณจะได้ราคาที่ 1.4530
ถ้า ซื้อที่ 1 สแตนดาร์ด ลอท (100,000 ยูนิท) ที่ราคา 1.4530. ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ราคาเคลื่อนไหวขึ้นไปที่ 1.4550 และคุณตัดสินใจที่จะปิดออร์เดอร์
อัตราแลกเปลี่ยนตอนนี้จะเท่ากับ 1.4550/1.4555 หลังจากที่ปิดออร์เดอร์ เรากลับไปดูตั้งแต่ที่ ซื้อจนปล่อยขาย เพื่อปิดออร์เดอร์ คุณจะได้ราคาที่ 1.4550 ซึ่งเป็นราคาที่เราปิดได้

ความแตกต่างของ 1.4530 กับ 1.4550 คือ .0020 หรือเท่ากับ 20 pip

เราใช้สูตรก่อนหน้านี้ เราก็จะได้ (.0001/1.4550) x 100,000 1= 6.87 ต่อจุด x ด้วย 20 จุด ซึ่งจะได้กำไรทั้งหมด 137.40 เหรียญ
จำไว้ว่า เมื่อคุณเข้าหรือออก จากการเทรด คุณจะต้องจ่ายค่า spread เหล่านั้นด้วย ซึ่งก็คือส่วนต่างระหว่าง Bid/Offer ดังกล่าว

เมื่อ Buy ค่าเงินค่าเงินหนึ่ง คุณจะต้องเสนอ(offer)ราคา และเมื่อ Sell คุณก็ต้องตั้ง(Bid)ราคา
** ดังนั้นเมื่อ Buy ค่าเงิน คุณจะต้องจ่าย spread เมื่อเข้าเทรด แต่ไม่ต้องจ่ายเมื่อปิดออร์เดอร์
** และเมื่อ Sell ค่าเงิน คุณไม่ต้องจ่าย spread ตอนเข้าเทรด แต่คุณจะต้องจ่ายเมื่อคุณปิดออร์เดอร์

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/lot-630/?/

ความแตกต่างระหว่าง forex กับ Futures

ความแตกต่างระหว่าง forex กับ Futures

      ความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่าง ฟอร์เร็กซ์ กับ Futures
                      ความได้เปรียบ                Forex        Futures
                 เทรดได้ตลอด 24 ชั่วโมง        YES           NO
                 ไม่มีค่าคอมมิชชั่นในการเทรด*   YES           NO
                 มี leverage สูงถึง 1:400       YES           NO
                 มีราคาที่แน่นอน                    YES           NO
                 ความเสี่ยงมีจำกัด                  YES           NO

สภาพคล่อง
ตลาด ฟอร์เร็กซ์ มีปริมาณการซื้อขาย 2 ล้าน ๆ เหรียญต่อวัน เป็นตลาดที่มีสภาพคล่องสูงที่สุดในโลก ซึ่งถ้าเราเทียบ กันกับตลาดอื่นแล้ว ทำให้ปริมาณหรือขนาดของตลาดทุนอื่น ๆ ดูเล็กลงไปทันที ตลาดฟิวเจอร์เทรดอยู่ราว ๆ 30,000 ล้านเหรียญต่อวัน ตลาดฟิวเจอร์ไม่สามารถแข่งกับตลาดฟอร์เร็กซ์ เพราะมีปริมาณการเทรดที่จำกัด หมายความว่า ฟอร์เร็กซ์ ออร์เดอร์สามารถส่งคำสั่งใด ๆ ก็ตามได้ตลอดเวลา โดยปราศจากการคลาดเคลื่อนของราคา นอกจาก ในช่วงที่ตลาด มีความผันผวนสูงหรืออยู่ในภาวะที่ไมปกติเท่านั้น

เทรดได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ณ.เวลาบ่าย 2:15 วันอาทิตย์ (ตามเวลาสากล และท้องถิ่น)
ตลาดเริ่มเทรดที่ ซิดนีย์ และสิงคโปร์
เวลา หนึ่งทุ่มตรง ตลาดโตเกียว เปิดทำการ
ตามตลาดลอนดอนเวลาตีสอง
และ สุดท้ายตลาดนิวยอร์คเปิดเวลา 8 โมงเช้า
และ ปิดที่เวลา 5 โมงเย็น
ดัง นั้นก่อนที่ตลาดนิวยอร์คจะปิด ตลาดสิงคโปร์ และตลาดซิดนีย์ ก็กลับมาเปิดอีกครั้งแล้ว และก็วนอย่างนี้ ไม่รู้จัก จบสิ้น จนสุดสัปดาห์
ใน ฐานะเทรดเดอร์คนหนึ่ง ทำให้ต้องสนใจกับ ข่าวดีหรือข่าวร้าย ที่เกิดขึ้นด้วยการเทรด ถ้าเหากว่ามีข้อมูลที่สำคัญ ออกมา จากอังกฤษ หรือว่า ญี่ปุ่น ขณะที่ตลาดสหรัฐฯ กำลังจะปิด นั่นหมายความ ถ้ามันเปิดตลาดมาวันต่อไป ราคาต่อวิ่งกระฉูดแน่นอน
(ตอนกลางคืน แม้อาจจะมีการเทรดฟิวเจอร์ค่าเงินอยู่บ้าง แต่ว่าปริมาณการเทรดก็เบาบาง ไม่มากนัก และยากเกินไป สำหรับนักลงทุนทั่วไปที่จะเข้าเทรด)

ไม่มีค่าคอมมิชชั่นในการเทรด
อะไร สำคัญที่สุดในการเทรดค่าเงิน คุณไม่ต้องจ่ายค่าคอมมิชชั่น เพราะคุณติดต่อโดยตรงกับ market maker ทางโปรแกรมออนไลน์ คุณไม่ได้จ่ายค่าธรรมเนียมให้คนกลางไม่ว่าจะเป็นการซื้อ หรือขาย แต่ว่าก็ยังมี ค่าใช้จ่าย นิดหน่อย คือค่า Spread ในการเทรดฟิวเจอร์ หรือการเทรดหุ้น หรือ Equity ก็มีเหมือนกัน โบรคเกอร์ จะได้ผล ตอบแทนจากค่า spread แทนที่จะเป็นค่าคอมมิชชั่น

มีราคาที่แน่นอน
เมื่อ เทรดฟอร์เร็กซ์ คำสั่งซื้อขายของคุณจะได้รับการส่งคำสั่งอย่างรวดเร็ว และได้ราคาที่คุณคิดไว้ ภายใต้ภาวะ ตลาดปกติ แต่ในทางกลับกัน ราคาของฟิวเจอร์ หรือ equity คุณอาจจะไม่ได้ราคาที่คุณอยากซื้อ หรือสามารถส่งคำสั่ง แล้วได้ออร์เดอร์นั้นทันทีทันใด แม้ว่าคุณจะใช้อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงขนาดไหน หรือ โบรคเกอร์ของคุณสามารถ ส่งคำสั่งได้เร็วขนาดไหน ราคาที่คุณต้องตั้งไว้นั้น อยู่ไกลจากราคาปัจจุบัน เพราะเมื่อคุณส่งราคานั้นออกไป มันเป็น ราคาสุดท้ายที่มีการเทรด แต่ไม่ใช่ราคาที่ตัวสัญญาระบุราคาไว้ (เพราะว่าฟิวเจอร์เป็นการซื้อขายราคาในอนาคต)

ความเสี่ยงมีจำกัด
นัก เทรดจะมี Position Limit วัตถุประสงค์เพื่อจัดการความเสี่ยง ตัวเลขนี้เกี่ยวกับจำนวนเงินในบัญชีเทรดของ เทรดเดอร์ ความเสี่ยงถูกจำกัดให้เหลือน้อยลงในตลาดฟอร์เร็กซ์ เพราะโปรแกรมที่นักเทรดใช้อยู่ จะเรียก มาร์จิ้น เพิ่มอัติโนมัติ (margin call) เมื่อเทรดเดอร์ไม่มีมาร์จิ้นเหลืออีก ออร์เดอร์ที่เปิดอยู่จะถูกปิดทันทีตามขนาด ของ Position ที่เปิดอยู่ ในตลาดฟิวเจอร์ Position ของคุณจะต้องใส่เงินเพิ่มเข้าไปตลอด ถ้ามันขาดทุน หรือว่า มีมูลค่า ต่ำกว่ามาร์จิ้นที่โบรคเกอร์กำหนด คุณต้องใส่เงินจำนวนที่เท่ากับจำนวนที่ขาดทุน เข้าไปในบัญชี มันเป็นเรื่องบ้ามาก

เหตุผลที่นอกเหนือจากข้อดังกล่าว

ไม่มีคนกลาง
คน กลางในการแลกเปลี่ยน สามารถทำให้เราได้เปรียบหลาย ๆ อย่าง แต่ปัญหาอย่างหนึ่งของการเทรด โดยการผ่าน คนกลางคือ ความสัมพันธ์ของคนกลาง ซึ่งระหว่างกลุ่มเทรดเดอร ์และด้านผู้ซื้อ ด้านผู้ขาย ในตลาดการทุน ทุกเครื่องมือทางการเงิน ต้องมีค่าใช้จ่าย ที่เราต้องจ่ายให้คนกลาง ซึ่งอาจจะคิดเป็นเวลา หรือเป็นค่าธรรมเนียมตายตัว ก็แล้วแต่ แต่การเทรดค่าเงินนั้น ไม่ต้องผ่านคนกลาง และเทรดเดอร์ยังสามารถเทรดได้กับตลาดโดยตรงซึ่ง market maker เป็นผู้รับผิดชอบต่อออร์เดอร์ ที่เทรดเดอร์เป็นผู้ส่งราคานั้น ๆ ดังนั้น ฟอร์เร็กซ์ ซื้อขายได้ทันท่วงทีมากกว่า และยังมีต้นทุน ที่ถูกกว่าอีกด้วย

ไม่มีใครสามารถควบคุมตลาดได้
หลาย ๆ ครั้งที่อาจจะได้ยินว่า กองทุน A กำลังเทขาย X หรือ กำลัง ซื้อ Z มีข่าวลือว่ากองทุนกำลังจะ เทขาย ทำกำไร เพราะว่าถึงเวลาใกล้ปิดบัญชีแล้ว หรือว่าจะเป็นวัน "triple witching day"(เป็นวันที่ สัญญาออพชั่น หรือ ฟิวเจอร์ หมดพร้อมกันทั้ง index และก็ตัวหุ้นเอง) , และเหตุผลต่าง ๆ นานา ที่ออกมาอธิบายว่าทำไม หุ้นถึงขึ้น หรือทำไม ตลาดอยู่ภาวะตลาดหมี หรือ ตลาดกระทิง ตลาดหุ้นเป็นตลาดที่เคลื่อนไหว ไปตามกองทุนไม่ว่าจะ ซื้อหรือขาย ในการเทรดฟอร์เร็กซ์ การเข้ามาควบคุมตลาดได้ของธนาคารขนาดใหญ่หรือกองทุนใหญ่ ๆ มีน้อยมาก ธนาคาร เฮดจ์ฟันด์ รัฐบาล หรือแม้แต่บริษัทรับแลกเงินต่าง ๆ ทั้งหมด เป็นแค่ผู้เทรดในตลาดทั่วโลก ซึ่งทำให้มันมีสภาพคล่อง หรือมูลค่ามหาศาลนั่นเอง

นักวิเคราะห์ กับ บริษัทโบรคเกอร์ มีบทบาทน้อย ในการชักนำตลาด
คุณ เคยได้ยินเรื่องหุ้น หรือไม่ว่า บทวิเคราะห์ที่โบรคเกอร์ออกมาให้คำแนะนำ เช่น ซื้อ เมื่อหุ้นราคากำลังปรับฐาน มันเป็นธรรมชาติของการลงทุนแบบนี้ ไม่ว่ารัฐบาลจะออกมาเตือน และไม่สนับสนุน การกระทำของโบรคเกอร์ แต่ว่าเราก็ยังได้เห็นมันอยู่ การเปิดขายหุ้น IPO ให้กับประชาชนทั่วไป เป็นโอกาสในการได้เป็นมหาชนของบริษัท และยังเป็นโอกาส ในการทำ กำไรของโบรคเกอร์อีกด้วย ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างมีผลประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งนักวิเคราะห์ ก็ทำงานให้โบรคเกอร์ อยู่แล้ว และโบรคเกอร์ก็ต้องการลูกค้า ก็เป็นธรรมดา ที่พวกเขาจะได้ผลประโยชน์ร่วมกัน และเราก็ยังตกเป็นเหยื่ออยู่เรื่อยไป ตลาดแลกเปลี่ยนค่าเงินฟอร์เร็กซ์เป็นตลาดใหญ่ มีปริมาณการเทรดเป็นพัน ๆ ล้านจากธนาคารทั่วทุกมุมถนนทั่วโลก และเพราะ มันเป็นตลาดการเงินของโลก นักวิเคราะห์ในตลาดฟอร์เร็กซ์ ไม่สามารถเป็นผู้ชี้นำทิศทางตลาด ให้กับ เทรดเดอร์ได้ พวกเขาเพียงทำได้แค่ ่วิเคราะห์ตามภาวะตลาดเท่านั้นเอง

หุ้น 8,000 ตัว กับ 4 ค่าเงิน
มี หุ้นอยู่ในตลาดหุ้น New York Stock exchange.ประมาณ 4,500 ตัวและ อีกราว ๆ 3500 ตัวในตลาด NASDAQ. คุณเทรดตลาดไหนอยู่ คุณจะมีเวลาที่ไหนไปหาบริษัทที่มีผลประกอบการจากบริษัททั้งหมด แปดพันกว่าบริษัท แต่ ในตลาดค่าเงิน เรามีค่าเงินเพียงไม่กี่คู่ และ่ส่วนใหญ่ที่เทรดกัน มีแค่ 4 ค่าเงิน การดู 4 ค่าเงินง่ายกว่า การดูหุ้น 8 พันตัว คุณคงคิดเองได้


เพิ่มเติม
- ความแตกต่าง ระหว่าง คนรวย กับ คนจน


ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/forex-futures/?/

ความแตกต่างของแต่ล่ะบัญชีโบรก Exness

ความแตกต่างของแต่ล่ะบัญชีของโบรก Exness

การเปิดบัญชีเงินจริงประเภทต่างๆของโบรก Exness
บัญชี Cent Exness
เหมาะ สำหรับผู้ที่กำลังเริ่มต้นใหม่ๆ เวลาฝากเงินจะมีหน่วยลงทุนเป็นเซ็นต์ เช่น เราฝาก 1 ดอลก็มีในบัญชี 100 เซ็นต์ ฝาก10 ดอลก็จะมีเงินในบัญชี 1000 เซ็น  ได้กำไรน้อย ขาดทุนน้อย บัญชีเซ็นเป็นบัญชีปลอดภัยที่สุดสำหรับผู้เริ่มต้นใหม่จริงๆ แต่ถ้าเราเก่งแล้ว หมายถึงมีความโลภขึ้นก็เปิดบัญชี Mini ได้เลย
ขั้นต่ำในการฝากก็คือ 1 ดอลล่า เท่ากับ 100 เซ็นนะคัฟ ถือครองออร์เดอร์ได้ไม่เกิน 50 ออร์เดอร์

บัญชี Mini Exness
เหมาะ สำหับผู้เริ่มต้นเช่นกันไม่ว่าคุณจะเปิดบัญชีแบบ Cent หรือ Mini ก็ถือว่าเป็นผู้เริ่มต้น ความแตกต่างของบัญชี Mini ก็คือ เวลาฝากเงินจะมีหน่วยเป็นดอลล่า เช่น ฝาก 1 ดอล(30บาท) ก็มีในบัญชี 1ดอล ฝาก 10 ดอล(300บาท) ก็มีเงินในบัญชี 10 ดอล บัญชี Mini เป็นบัญชีที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากบัญชี Cent มาอีกระดับหนึ่ง ซึ่งหน่วยลงทุนมันเป็นดอลล่า ฉนั้นเวลาซื้อ-ขาย คู่เงินใดๆ คุณมีโอกาสที่จะได้กำไรมากขึ้น หรือ ขาดทุนมากขึ้นเช่นกัน ได้ก็ได้เป็นดอลล่าไปเลย เสียก็เสียเป็นดอลล่าเช่นกัน ถ้ากำไรแล้วนำมาแลกเป็นเงินไทยก็เป็นค่าขนมได้ในวันนั้น ถ้าเทรดเสียวันนั้นกินแกลบกันต่อไป..อิิอิ
ขั้นต่ำในการฝากก็คือ 10 ดอลล่านะคัฟ ถือครองออร์เดอร์ได้ไม่เกิน 50 ออร์เดอร์

เพื่อทำให้ผู้สนใจเข้าใจเในการปิดบัญชีแต่ล่ะประเภทผมจะทำตารางให้ดูนะครับ


หน่วยลงทุน EXNESS (Lot) ของ Exness
- การใช้คำสั่งซื้อหรือขาย ไม่มีข้อจำกัด ว่าคุณจะต้องถือครองนานเกิน  1 นาที  หรือ 2-3 pip
- ถึงจะขายได้  Exness หากคุณเห็นกำไรคุณสามารถขายได้ทันที  จำนวนคำสั่งซื้อไม่จำกัด
- ยกเว้นบัญชี Cent ใช้คำสั่งซื้อต่อครั้งไม่เกิน 10 lot cent 
- หากเกิดปัญหาคุณสามารถ  ติดต่อ Suport Exness ได้ 24 ช.ม.  ได้ทุกวันไม่เว้นวันหยุด 
 บัญชี Classic Exness
เหมาะ สำหรับผู้ที่มีทุนเยอะ ทุนหนาๆ หรือผู้ที่เป็นเทรดเดอร์มาก่อน(มืออาชีพ)แล้วมีเงินสะสมเพิ่มขึ้น บัญชีนี้มันดีอย่างไร? แน่นอนบัญชีที่มีการเริ่มต้นด้วยเงินสูงๆย่อมมีของดีอยู่ในตัวเช่นกัน ในโปรแกรมเทรด MT4 นั้นก็จะมีเครื่องมือและสิ่งอำนวยความสะดวกมากขึ้นเช่นกัน รวมไปถึง sever ก็ไหลลื่นดีอีกด้วย บัญชีนี้เริ่มต้นด้วยทุน 5000 ดอลล่า

บัญชี ECN Exness
เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นมืออาชีพแล้วหรือผู้เริ่มต้นใหม่ที่มีทุนเยอะ บัญชีนี้มันดีอย่างไร?
1.Server นั้นไวมาก ส่งคำสั่งซื้อ - ขาย ไวมากไม่ดีเลย์(ถึงดีเลย์ก็น้อยมาก)
2.ซื้อ - ขายกับผู้เล่นอื่นๆทั่วโลกโดยตรงผ่านแบงค์ (จริงๆเก็เล่นโปรแกรม MT4)
3.สเปรดเริ่มต้น 0 (ค่คอมที่เปิดออร์เดอร์)
4.ไม่มีข้อจำกัดในการเทรดสามารถสั่งคำสั่งซื้อ - ขาย ได้เรื่อยๆ Dont Limit
5.ECN จะมี Connnection Bridge ที่เชื่อมกันหลายเจ้าและมี Volumn ที่เกิดจากธนาคารใหญ่ๆและสถาบันการเงินมากมายมาแจมด้วยครับ..อิอิ
6.แน่นอนก็ต้องมีเครื่องมือการวิเคราะห์ที่มากขึ้นเช่นกันคัฟ

ข้อเสีย

1.ค่าคอมโหด 25 ดอลอย่างต่ำ
2.เปิดบัญชีขั้นต่ำ 1000 ดอล(เฉพาะคนโหดๆเท่านั้นอิอิ)

สิ่ง สำคัญที่สุดก็คือไม่ว่าคุณจะเปิดบัญชีใดๆ คุณก็ต้องฝึกเล่นบัญชี Demo(บัญชีทดลองซื้อ - ขาย) ก่อน เพื่อฝึกให้คุณเป็นมืออาชีพและยอมรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นได้ในอนาคต ที่กล่าวมานี้เพื่อแนะนำผู้ที่เริ่มต้นใหม่ได้ศึกษาและทำตาม

 ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/exness-614/?/

ประสบการณ์การเทรด forex ของผม

ขอเล่าประสบการณ์การเทรด forex ของผม ให้เพื่อนได้อ่านกันครับ อย่าคิดเป็นอย่างอื่นน่ะครับ เหตุเกิดเมื่อช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาครับ หลังจากที่อาทิตย์ก่อนฟันกำไรไป $46 มาอาทิตย์หลัีง คาดว่าจะต้องฟันกำไรอีกแน่ วันจันทร์มา มองแล้วน่าลง เลยจัดเซลไปซะดอกนึง พอมันลงได้หน่อยนึง มันก็เด้งขึ้นมา ด้วยความคิดแรกที่ว่า ยังไงมันก็ลงแน่ ก็เ้ลยปล่อยมันไป พอมันขึ้นไปสักพัก มันก็ลงครับ แต่ลงไม่ถึง TP เรา ก็ปล่อยมันก่อน แล้วมันก็เด้งขึ้น ตั้งแต่วันจันทร์ จนถึงวันพฤหัส มันก็ยังขึ้นไม่หยุด ทำไงละทีนี้ รีบหาเงินโอนเข้า เพื่อเติมจิ้น โอนเงินเข้าเพิ่มอีก $10 สักพักกราฟมันก็ลงมาได้นิดหนอ่ย แล้วมันก็ขึ้น ทีนี้ คาดว่า มันคงไม่ลง เลยตัดตัวหนักออก อย่างน้อยก็เหลือตัวไม่หนักที่จะพอถือไว้ได้ และจิ้นก็คงพอที่จะถือยาวได้ วันศุกร์มา กราฟก็ยังไม่ลง ยังขึ้นไม่หยุดไม่หย่อน เราก็ปลงแล้วล่ะ เอาว่ะ หมดก็หมด มันจะไปทางไหนก็ไป เลยปิดคอมซะ เดินหนีไปดูเขาเตะบอลดีกว่า พอตกตอนดึก ก็แวะมาเปิดคอมอีกที กราฟมันก็ยังนิ่ง ไม่ยอมลง แล้วก็ไม่ยอมขึ้นไปไกลกว่านี้ ก็เลยจัดชอตอีกไม้นึง แล้วก็เผลอหลับหน้าคอมนั่นเลย ตื่นมาอีกทีตี 4 อ้าวเฮ้ยยยย สวรรค์มีตาจริง ๆ ด้วยตัวที่ชอตเมื่อตอนดึก ก็วิ่งถึง TP แถมเกินไปอีกเยอะ แต่ยังเหลือตัวที่ชอตไปเมื่อวันจันทร์ อีกนิดเดียวมันก็จะถึง แต่อย่างน้อย ๆ ก็ดีใจครับ ที่จากเหลือหน้าตักเพียง $21 กลับมาเก็บทุนได้ที่ $100 + กำไรอีกนิดนึง แต่ยังเหลือที่ยังไม่ปิดอีก 2 ไม้ วันจันทร์มองว่ามันน่าจะปิดได้ จบแล้วครับ กับประสบการณ์เสียว ที่ไม่ได้มีให้เสียวบ่อยนัก เป็นครั้งแรกครับที่ยอมกัดฟันถือออร์เดอร์เป็นอาทิตย์ อย่างว่าแหล่ะครับ ความโชคดีคงไม่ได้มีให้เห็นกันบ่อย ๆ นัก ซึ่งถ้าตอนนั้นมันวิ่งผิดทาง แล้วผมยอมตัด cut loss  แล้วหาจังหวะเข้าใหม่ ผมคงทำกำไรได้เยอะกว่านี้ เพราะคำว่าอีกนิดนึง เดี๋ยวมันก็ขึ้น เดี๋ยวมันก็ลง นี่แหล่ะครับ เลยทำให้เสียโอกาสมากมายที่จะทำกำไร อยากฝากเพื่อน ๆ นักเทรด โดยเฉพาะที่เป็นมือใหม่ อย่ามัวเสียดายครับ ถ้ามันผิดทาง ก็ตัดออกซะ แล้วหาจังหวะเข้าใหม่ ใน 10 ครั้ง ผมว่ามันจะไม่ถูกเลยสักครั้งเดียวเชียวหรือ สู้ ๆ ครับเพื่อน ๆ ทุกท่าน.....

ท้ายนี้ขอบคุณเพื่อนนักเทรดทุกท่านที่อ่านกันจนจบ และหวังว่าอาจเป็นข้อเืตือนสติให้ใครหลาย ๆ คนได้ไม่มากก็น้อยน่ะครับ...โชคดีกับการเทรดครับ

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/forex-545/?/

จะขาดทุนได้กี่ครั้ง

คุณเคยคำนวณดูไหมครับว่า ??

ในการขาดทุนแต่ละครั้งของคุณ คุณจะ Stop loss ไม่เกินกี่ % ของต้นทุน
และถ้า Stop Loss ต่อกันสัก 10 ครั้ง พอร์ตของคุณจะเป็นอย่างไร ??
คุณยังจะเหลือเงินทุนไว้เทรดต่อหรือไหม?
การบริหารแบบนี้เป็นการวางแผนรับภัยที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อให้พอร์ตลงทุนของเราไม่เสียหายจนเกินไป
** ในการเปิดออร์เดอร์แต่ละครั้งควรเข้าจุดที่มั่นใจหากไม่มั่นใจควรรอจนกว่าจะ มั่นใจเพื่อเป็นการลดการขาดทุนที่ดีที่สุด และควรบริหารพอร์ตลงทุนให้อยู่ในความเสี่ยงที่เรารับได้...ขอบคุณมากครับ

 
 
ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/t537/?/

ทำความรู้จัก Leverage

Leverage คือ พลัง,อำนาจ(ตัวทำให้เรามีอำนาจในการซื้อมากยิ่งขึ้น)

สมมุติว่า 1lot มีมูลค่าเท่ากับ 100,000$
แสดงว่า เราต้องใช้เงินถึง 100,000$ จึงสามารถที่จะเปิดออร์เดอร์ 1lot ได้

คำถาม แล้ว Leverage จะช่วยอะไรเราได้บ้าง?
คำ ตอบ Leverage จะทำให้เรามีอำนาจการซื้อมายิ่งขึ้น ถ้า Leverage เช่น ถ้าเลือก Leverage 1:1,000 แสดงว่าเรามีอำนาจในการซื้อเพิ่มขึ้น 1,000 เท่าของทุนจริง เป็นต้น
แสดงว่า... ถ้าเราเลือก Leverage 1:1,000 เรามีทุนเพียงแค่ 100$ ก็สามารถเทรด 1lotได้
(ทุน 150$ คูณด้วย Leverage 1,000 มีค่าเท่ากับ 100*1,000 = 100,000)

เห็นไหมครับว่า Leverage จะช่วยทำให้เรามีอำนาจในการซื้อมากยิ่งขึ้น
แต่ต้องคำนึงด้วยนะครับว่า "มีข้อดี ก็ย่อมมีข้อเสีย"

Leverage ก็เปรียบเสมือนดาบสองคม มีทั้งดีบ้างละไม่ดีบ้าง ลองดูตัวอย่างตามนี้เลยครับ

สมมุติว่า วิลลี่ มีเงินในบัญชี 100$ เขาได้ใช้ Leverage 0 เขาได้ซื้อหุ้นไป ราคา 10$
คือเขาต้องจ่ายเงินไป 10$ คือจ่ายเต็มราคาเพราะเขาเลือก Leverage 0 เพื่อที่จะซื้อหุ้นตัวนั้นมา
แสดงว่าเงินที่เหลือในบัญชีของ วิลลี่ คือ 90$ ถ้าหากกราฟเคลื่อนที่จุดละ 1$ วิลลี่จะขาดทุนได้มากที่สุด 90 จุด
หาก วันหนึ่งกราฟลงมามากกว่า 90 จุด ทำให้วิลลี่ขาดทุนอย่างหนักจนโดน Margin call (ระบบจะทำการปิดออร์ให้เองอัตโนมัติ) แล้ววิลลี่ ก็จะได้รับเงินส่วนที่ประกันไว้คืน (Used Margin) 10$ ทำเขายังเหลือเงินอยู่ 10$ ที่จะสามารถเทรดต่อไปได้

มาดูอีกตัวอย่างหนึ่งนะครับ

สมมุติว่า วิลลี่ มีเงินในบัญชี 100$ เขาได้ใช้ Leverage 1:10 เขาได้ซื้อหุ้นไป ราคา 10$
เขาต้องจ่ายเงินไปเพียงแค่ 1$ เพราะเขาเลือก Leverage 1:10 เพื่อที่จะซื้อหุ้นตัวนั้นมา
แสดงว่าเงินที่เหลือในบัญชีของ วิลลี่ คือ 99$ ถ้าหากกราฟเคลื่อนที่จุดละ 1$ วิลลี่จะขาดทุนได้มากที่สุด 99 จุด
หาก วันหนึ่งกราฟลงมามากกว่า 99 จุด ทำให้วิลลี่ขาดทุนอย่างหนัก จนโดน Margin call (ระบบจะทำการปิดออร์ให้เองอัตโนมัติ) แล้ววิลลี่ ก็จะได้รับเงินส่วนที่ประกันไว้คืน(Used Margin)วิลลี่ ก็จะได้รับเงินส่วนที่ซื้อไปคืน 0.1$ ทำเขายังเหลือเงินอยู่ 0.1$ คือ แทบจะหมดตูดและไม่สามารถเทรดต่อไปได้อีกเลย

เห็นไหมครับว่า Leverage เปรียบเสมือนดาบสองคมถึงแม้การใช้ Leverage จะทำให้เราซื้อหุ้นมาในราคาต่ำกว่าที่เป็นจริง แต่ถ้าเราไม่รู้จักการตัดขาดทุนหรือไม่มีการวางแผนที่ดีแล้วล่ะก็ มาเลือกLeverage สูงๆ

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/leverage/?/