RSS
Showing posts with label การเทรด. Show all posts
Showing posts with label การเทรด. Show all posts

ฝากความหวังไว้กับ Forex ได้จริงไหม?


 เนื่องจากวันนี้เป็นวันแห่งการเริ่มต้นการทำงานวันแห่งการเริ่มต้นสิ่งใหม่ ๆ รวมไปถึงการเทรดด้วย ผมจึงอยากเปิดอาทิตย์
นี้ด้วยบทความจากประสบการณ์ของเจ้าของกระทู้คนนี้เพื่อให้เทรดเดอร์ที่กำลังพยายามก้าวตามฝันได้มีไฟลุกสู้ขึ้นมา

คุณ pawpaw100 เข้ามาตั้งกระทู้ว่า เขาเห็นคำถามที่คนเข้ามาเทรดใหม่ชอบตั้งกระทู้เสมอว่า “Forex จะเลี้ยงชีวิตเค้าได้จริง
หรือ” “จะสามารถใช้ชีวิตด้วยการเทรดได้จริงอะ” เขาเลยอยากจะมาแบ่งประสบการณ์ส่วนตัวของเขากับคนที่นี่และหวังว่า
เทรดเดอร์หน้าใหม่จะเลิกคิดเรื่องนี้และลงมือเทรดสักที! ก่อนอื่นเขาขอยืนยันนอนยันในคำตอบของกระทู้นี้ก่อนเลยว่าคุณ
สามารถฝากชีวิตไว้กับการเทรดได้จริง ๆ นะเฟ้ย !!!! เขาเคยพบกับคนที่เป็นเทรดเดอร์เต็มตัวมาแล้วถึง 2 คน ทั้งยังเคยเห็น
บัญชีของเขาและเทรดกับเขาด้วย คนแรกเคยเป็นพนักงานแบงค์มาก่อนก็จะย้ายมาเทรด Forex เขาเทรดใน Time Frame 15
นาทีแต่วิเคราะห์กราฟจาก 1 ชั่วโมงและ 4 ชั่วโมง บางครั้งก็ Daily หรือ Weekly เลยทีเดียว เขามีพอร์ตที่ใหญ่และก็แบ่ง
พอร์ตไปลงในหุ้นกับสินทรัพย์ด้วย เขาเคยทำกำไรได้ถึง 2 หมื่นยูโรในเวลาอันสั้นในช่วงเช้า

ส่วนอีกคนหนึ่งเริ่มต้นด้วยเงินในพอร์ต 3 หมื่นเหรียญดอลลาร์ใช้เวลาปั้นพอร์ตไปจนถึง 6 แสนเหรียญในเวลา 18 เดือน เคย
ล้างพอร์ตมาก่อนแต่เขาก็ไม่ย้อมแพ้กลับไปตั้งหลักใหม่ในบัญชีทดลอง 3 บัญชีด้วยกันก่อนจะกลับมาเทรดบัญชีเงินจริงอีกครั้ง
เขาบอกว่าการเปลี่ยนจากบัญชีเงินปลอมเป็นบัญชีเงืนจริงไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเขาเพราะเขามองการเทรดแค่เฉพาะเปอร์เซนต์ที่
พอร์ตเติบโตกับจำนวนจุด (pips) ที่ได้ในแต่ละวันโดยที่ไม่ได้สนใจเลยว่าได้กำไรเท่าไหร่ เคยคิดว่ามันเป็นเหมือนเกมส์ ๆ หนึ่ง
ที่สนุกดี

ดังนั้น! หยุดฟังเสียงจากคนรอบข้างหรือคนที่เคยพ่ายแพ้ในตลาดแห่งนี้แล้วมาพูดให้คุณฟังว่า “คุณไม่มีวันทำได้” แน่นอนว่าคุณ
สามารถทำได้! ตั้งใจเทรดต่อไปและกระหายที่จะหาความรู้เกี่ยวการการเทรดมาพัฒนาตัวเองให้ก้าวขึ้นไปอีกเรื่อย ๆ ยิ่งคุณ
พยายามค้นหามากเท่าไหร่คุณก็ยิ่งจะเจอมันมากเท่านั้น เคาะประตูไปเรื่อย ๆ สักวันประตูก็จะเปิดรับให้คุณเข้าไปเองซึ่งผมก็เป็น
คนหนึ่งที่ยังเคาะประตูอยู่ซึ่งผมจะไม่หยุดหาหรือหยุดเคาะประตูแน่นอน ทุกวันนี้ผมพอใจมากที่ผลการเทรดของผมขึ้นมา 83%
ถึงแม้จะเป็นบัญชีเดโม่ก็เถอะ ผมคิดว่าจะเปิดบัญชีเดโม่เพิ่มอีก 2 บัญชีเพื่อหาข้อผิดพลาดของวิธีการเทรดของตัวเองและแก้ไข
มันแล้วค่อยเปลี่ยนไปเล่นบัญชีจริงซึ่งผมมั่นใจว่าสักวันหนึ่งผมจะเป็นเทรดเดอร์ที่ดีเหมือนกับคนสองคนที่ผมยกตัวอย่างไปก่อน
หน้านี้ เพื่อเป็นกำลังใจให้กับเทรดเดอร์หน้าใหม่ ผมจึงอยากจะยืมคำพูดของเพื่อนผมมาพูดสักหน่อย

เขาบอกกับผมว่า “การเทรดเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาเพื่อศึกษามัน ฉันคิดว่าปัญหาที่นายกำลังเจอตอนนี้คือนายอยากจะ
ประสบความสำเร็จ อยากรวย ณ ตอนนี้เวลานี้เลยซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ ตลาดแห่งนี้ต้องการให้นายเรียนรู้กับมันอย่าง
จริงจังเพื่อพิสูจน์ตัวเองซะก่อนว่านายเจ๋งพอที่จะได้ครอบครองคำว่า “ประสบความสำเร็จ” เปรียบเทียบง่าย ๆ กับการ
เล่นฟุตบอล นายไม่ได้กลายเป็น คริสเตียโน โรนัลโด้ ทันทีที่นายเริ่มเตะบอล นายจะต้องฝึกเล่นบ่อย ๆ และอยู่กับ
ลูกบอลทุกวันจนถึงขั้นหมกมุ่นเลยละ การเทรดก็ไม่แตกต่างไปจากการเป็นนักฟุตบอลมืออาชีพเลยสักนิด นายต้อง
ทุ่มเทใส่ใจและอุทิศเวลาให้กับการเทรด ไม่มีทางลัดใด ๆ สู่ความสำเร็จ ไม่มีเทรดเดอร์คนไหนที่ประสบความสำเร็จจาก
การใช้ระบบเทรดของชาวบ้านหรือเพียงเพราะเข้าร่วมสัมมนาการเทรดหรอก การที่นายจะได้กลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า
“คนรวย” หรือ มีอิสรภาพทางการเงินจากการเทรดต้องผ่านอะไรเยอะแยะกว่านั้น ต้องมีทั้งการอุทิศ มีไหวพริบ และ
ความอดทน นายอาจจะล้างพอร์ตหรือโดนกราฟน๊อกนายลงไปนอนกองกับพื้นแต่นายต้องลุกขึ้นมาให้ได้ เลือกวิธีการ
เทรดที่เหมาะกับนายมาแล้วก็เทรด เทรด เทรด ไปเรื่อย ๆ ล้มแล้วลุกอีก ล้มแล้วลุกอีก หากพบจุดอ่อนของวิธีการเทรด
ของตัวเองก็หาวิธีมาแก้ไขมันให้ได้ เคยมีคนบอกกับฉันว่ามันจะต้องใช้เวลาเป็นหมื่น ๆ ชั่วโมงเลยทีเดียวแต่นายพร้อม
จะทำเพื่อมันไหมละ?

มุ่งมั่น จดจ่อ หมกมุ่นอยู่กับระบบและวิธีคิดของนาย ทุกระบบและกลยุทธ์สามารถทำกำไรได้หมดแต่ไม่ได้หมายความ
ว่าทุกระบบและกลยุทธ์จะเหมาะกับทุกคน หาวิธีเทรดที่เป็นของนาย สร้างขึ้นมาเพื่อนาย เพื่อนายคนเดียวให้เจอ อย่า
ลืมที่จะอ่านหนังสือเกี่ยวกับการเทรดดี ๆ ด้วยละ หนังสือเหล่านั้นอาจจะช่วยจุดประกายความคิดให้นายได้ และเมื่อวัน
หนึ่งที่นายได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่านายแน่พอเจ๋งพอที่จะได้รับคำว่า “อิสรภาพทางการเงิน” นายก็จะได้มันเอง”


 หลาย ๆ คอมเม้นหลังจากนั้นก็เข้ามาเห็นด้วยกับเจ้าของกระทู้ซะส่วนมาก บางคนก็บอกว่า ขอบคุณนะ สำหรับคำพูดดี ๆ มันช่วย
กระตุ้นไฟในตัวเราได้ดีมาก ๆ เลยละ บางคนก็บอกว่า ใช่เลย ผมเห็นด้วยกับบทความนี้


 คุณ mm2mm เข้ามาเสริมว่า เป็นกระทู้ที่ดีมากเลยนะครับ ผมขอเสริมอีกนิดจากประสบการณ์ตรงของผมเอง ผมเริ่มเทรดมาได้
ประมาณ 1 ปีละและสิ่งที่ผมได้รับมาและอยากจะมอบมันให้กับเทรดเดอร์หน้าใหม่คือ “อย่า Overlot เด็ดขาด”การเทรดด้วย
เงิน 100$ กับ 10000$ เหรียญนั้นเหมือนกันหากเรามองในแง่ของเปอร์เซนต์อะนะ คนส่วนมากเมื่อได้เงินมากขึ้นมักจะชอบเพื่อ
lot ของตัวเองขึ้นมาเกินกว่าที่ควรจะเป็นซึ่งมันคือหายนะดี ๆ นี่เอง สมมุติว่ามีเทรดเดอร์คนหนึ่งมีเงินในบัญชี 30000$ และ
สามารถทำกำไรได้ 10% ต่อเดือน เขาสามารถอยู่ได้แบบสบาย ๆ หากคุณโลภ คุณจะทำลายทุกสิ่งที่คุณสร้างมาเพราะอารมณ์
กังวล โลภ โกรธ เป็นต้นนี่เป็นสิ่งที่เทรดเดอร์หน้าใหม่ควรระวัง มันเป็นไปไม่ได้ที่คุณจะมีชีวิตจากการเทรดด้วยเงินเล็ก ๆ ในบัญชี
100$ แต่คุณสามารถใช้มันในการปั้นไปเรื่อย ๆ จนถึง 1 พัน 2 พัน 3 พันได้ ดังนั้นจงอย่าหมิ่นเงินน้อย แต่ฝึกไปเรื่อย ๆ และ
วันหนึ่งคุณจะได้สิ่งที่คุณฝันมาครอบครองเอง


 ผมเชื่อว่าเกิน 90% ขึ้นไปทุกคนที่เข้ามาในตลาดแห่งนี้มีจุดประสงค์เดียวกัน แต่สิ่งที่ทุกคนเข้ามาและมีไม่เหมือนกันคือ ความ
พยายาม บางคนเข้ามาเพราะอยากรู้อยากลอง บางคนเข้ามาแบบเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง บางคนมาแบบฝากความหวังทั้งชีวิตไว้กับ
Forex วัฏจักรของวงการนี้ที่ผมเห็นจนชินตาก็คือแรก ๆ จะมีคนเข้ามาแล้วทำกำไรได้ จากนั้นก็จะล้างพอร์ตแล้วก็โทษว่า Forex
ทำไม่ได้จริง Forex มันการพนันชัด ๆ แล้วก็ออกไป ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้เริ่มต้นถึง 10% ของระยะทางทั้งหมดเลย การเข้ามาที่นี่
แล้วตั้งคำถามว่า “เราจะได้อะไรออกไปจากตลาดนี้” ผมว่ามันไม่ถูก ผมอยากจะให้ทุกคนที่อ่านบทความนี้ถามกับตัวเองว่า “คุณ
พร้อมที่จะทุ่มเทกับตลาดแห่งนี้มากแค่ไหน” “คุณกล้าทำทุกอย่าง ทิ้งบางสิ่งที่ไม่จำเป็น เปลี่ยนตัวเองเพื่อ Forex รึเปล่า?”  ไม่
ว่าจะต้องทำการบ้านหนักแค่ไหน หาข้อมูลเยอะแค่ไหน อ่านหนังสือภาษาอังกฤษที่ตัวเองไม่ค่อยจะเก่ง คุณกล้าทุ่มเททำเพื่อให้
ตัวเองได้มาในสิ่งที่คุณพูดกับตัวเองว่าอยากได้รึเปล่า

ผมจะแชร์ประสบการณ์ส่วนตัวของผมให้ฟังนะครับ ก่อนที่ผมจะหันมาเทรด Price Action อย่างทุกวันนี้ เมื่อ 2 ปีก่อนสมัยที่ผม
พึ่งเริ่มเทรดใหม่ ๆ หลังจากที่ย้ายออกจาก Marketiva มาเริ่มเทรดใน MT4 ผมได้เอาระบบคนนั้นคนนี้มาใช้มากมาย ทุก ๆ วัน
ผมจะต้องนั่งทำ Backtest ที่เขียนด้วยมือย้อนหลังกลับไป 1 ปีอย่างน้อยวันละ 1 ระบบ ถึงแม้จะมีการบ้านจากมหาลัยหนัก
หนาแค่ไหนก็ตามผมก็ต้องทำ Backtest ให้ได้ 1 ระบบทุกคืนให้ได้ เสาร์-อาทิตย์ นี่ก็ไม่เว้นครับ ยิ่งนั่งทำวันละ 2-3 ระบบ
ผมทำอย่างงี้มาอยู่ 2 ปี สิ่งที่ผมได้ตอบแทนมาจากสองปีนี้คือ ความว่างเปล่ากับความรู้ที่ว่า “อินดิเคเตอร์ยังไงก็วิ่งช้ากว่ากราฟ”
ผมใช้เวลาถึง 2 ปีเพื่อให้ได้รู้คำตอบคำนี้ แต่ผมก็ไม่ยอมแพ้ ผมยอมที่จะยอมรับผลของผมและก้าวออกมาจากกะลาของตัวเอง
ยอมเปลี่ยนตัวเองจากคนเก็บตัวเทรดออกมาหาความรู้จนได้มาเจอกับอาจารย์แมค จนกระทั่งวันหนึ่งอาจารย์แมคก็ให้หนังสือที่
มีชื่อว่า Reading Price Chart Bar by Bar ให้กับผมแล้วบอกกับผมว่า “อ่านมันให้จบ” เป็นภาษาอังกฤษล้วนเลย ตอนนั้น
ผมไม่เข้าใจหรอกครับยังคิดอยู่เลยว่า “ทำไมไม่สอนผมไปเลยอะ ง่ายกว่าเยอะ” แต่ผมก็กลับมาถามตัวเองอีกครั้งว่า “ทุกวันนี้
มายืนอยู่ตรงนี้เพราะอะไร” หัวใจผมมันก็ยังตอบเหมือนเดิมว่า “เพราะอยากมีอิสรภาพและถึงแม้ว่าจะต้องผ่านอะไรที่ลำบากกว่านี้
เพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้นผมก็พร้อมจะทำ” ผมจึงเริ่มอ่านหนังสือเล่มนั้นจริงจังจนสุดท้ายตัวเองก็ก้าวผ่านจุดที่คิดว่าตัวเองทำ
ไม่ได้และเป็นหนังสือภาษาอังกฤษเล่มแรกที่ผมอ่านจบอย่างจริงจัง ทุกวันนี้ผมต้องขอบคุณอาจารย์แมคจริง ๆ ที่ให้ผมอ่าน
หนังสือเล่มนี้ เพราะมันเปลี่ยนความคิดผมไปเยอะมากและผมก็มีความสุขกับการเทรดในปัจจุบันมาก ๆ เพราะหนังสือเล่มนี้

แล้วคุณละครับ? เข้ามายืน ณ จุดนี้เพราะอะไร? พร้อมที่จะทิ้งความลังเลที่มีอยู่ในสมองว่าจะฝากชีวิตไว้กับตลาดแห่งนี้แล้วลงมือ
ฝึกฝนแล้วหรือไม่? พร้อมที่จะเลิกหาข้ออ้างให้ตัวเองดูไม่ผิดและลงมือทำหรือยัง? ตลาดแห่งนี้ไม่ใช่ที่เล่นขายของ หากคุณไม่
คิดจะจริงจังกับมัน ผมแนะนำว่าให้เอาเงินไปทำอย่างอื่นดีกว่า แต่ถ้าอยากจะเปลี่ยนชีวิตโดยตั้งมั่นแล้วว่า “จนกว่าจะได้ในสิ่งที่
ต้องการฉันจะไม่ถอย” ก็สู้ให้เต็มที่เลยครับ เมื่อไหร่ที่ล้มก็ให้ลุก ล้มอีกก็ลุกอีก จนกว่าคุณจะชินกับการล้มและสักวันคุณก็จะไม่
ล้มอีกต่อไป

ปล. ที่ผมบอกว่าให้ทิ้งทุกอย่างเพื่อเทรด ไม่ได้หมายความว่าต้องขายบ้านขายรถเพื่อเทรดนะครับ สิ่งที่ผมอยากให้ทิ้งคือ ความลังเล ความไม่แน่ใจ ความสงสัยว่าสิ่ง ๆ นี้จะเปลี่ยนชีวิตคุณได้รึเปล่า จำไว้ว่าเงินที่คุณจะนำมาเทรดจะต้องเป็นเงินเย็นไม่ใช่เงินร้อนนะครับ

 ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/forex-680/?/

สภาพแวดล้อมในตลาด

สภาพแวดล้อมในตลาด
เปรียบเทียบระหว่าง ชายคนสองคนที่ไปรบในสงคราม ชายที่โง่จะรีบเปิดศึกโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ ไม่มีการวางแผน เหมือนคนที่หิวโหยและรีบกินทุกอย่างที่ขวางหน้าในงานเลี้ยงบุฟเฟ่ต์ ส่วนคนฉลาดจะวิเคราะห์สถานการณ์ก่อน เพื่อให้รู้ถึงสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่ว่าเป็นอย่างไร เพื่อให้รู้ว่าตนเองควรจะสู้อย่างไร
ในการเทรดก็เหมือนการทำศึกในสงคราม เราควรจะรู้ว่าสภาวะในตลาดเป็นแบบไหนก่อนที่จะเริ่มวางแผนว่าจะเทรดอย่างไร ดี เทรดเดอร์บางคนหงุดหงิดและบอกว่า ระบบเทรดที่ใช้ไม่ดี ในความเป็นจริงระบบเทรดที่ใช้บางครั้งมันก็ใช้การไม่ได้ แต่ในบางครั้งมันก็ทำกำไรให้อย่างมากมาย ซึ่งนั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าเราได้ใช้ระบบเทรดที่เหมาะสมกับสภาพตลาดในขณะนั้นๆ
สำหรับ เทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์ช่ำชองแล้ว พวกเขาจะพยายามหากลยุทธ์ที่เหมาะสมเพื่อใช้ในการเทรดสำหรับสภาพแวดล้อมของ ตลาดในปัจจุบัน เช่น เวลานี้ควรจะใช้ Fibonacci เพื่อหาโซนปรับตัวของราคา (Retracement) หากราคาวิ่งเป็นเทรน หรือว่าราคาวิ่งอยู่ในกรอบราคา (Rang Holding) แล้วเราควรจะเล่นอย่างไรในสถานการณ์ตลาดที่แตกต่างกัน การที่เรารู้ว่าสภาวะตลาดเป็นเช่นไรทำให้เราสามารถเลือกกลยุทธ์ และระบบเทรดที่เหมาะสมกับสภาพตลาดในขณะนั้น
ดังนั้นเทรดเดอร์ควรจะมีระบบ เทรดของตัวเองมากกว่า 1 ระบบ เพื่อรองรับกับสภาวะตลาดที่แตกต่างกัน และไม่ต้องกลัวว่าคุณจะไม่ได้ใช้ระบบเทรดใดระบบหนึ่ง เพราะในตลาด Forex เราจะพบสภาวะตลาดที่ราคาวิ่งในกรอบราคา (Rang) และ วิ่งเป็นเทรน (trending) ในทุกรอบเวลา (Time Frame) และถ้าคุณใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมแล้วก็จะช่วยให้คุณสามารถเลือกใช้เครื่องมือ (Indicators) ที่มีมาใช้ได้อย่างง่ายดาย ยกตัวอย่างเช่น Fibos และ Trend line จะมีประโยชน์มากในตลาดที่เป็นเทรน ขณะที่ Pivot Point และเส้นแนวรับแนวต้านของ Pivot Point จะใช้งานได้ดีมากเมื่อราคาวิ่งอยู่ในกรอบ
สภาพแวดล้อมของตลาดแบ่งได้เป็น 3 แบบคือ

    ตลาดขาขึ้น (Trend Up)
    ตลาดขาลง (Trend Down)
    วิ่งในกรอบราคา ( Ranging หรือ Sideway)


ตลาดที่เป็นเทรน (Trending market)
ตลาด ที่เป็นเทรน คือ การที่ราคาวิ่งไปในทิศทางเดียวกัน และแน่นอนว่าอาจจะมีบางช่วงที่ราคาวิ่งสวนทางกับเทรน แต่ถ้าพิจารณาในกรอบราคาที่ใหญ่กว่า ก็จะเห็นว่าการวิ่งสวนทางเหล่านั้นเป็นการปรับตัวของราคา


Trending Market


ปรกติ เราจะสังเกตเทรนขาขึ้นได้จาก "จุดสูงสุดและจุดต่ำสุดใหม่ที่ยกตัวสูงขึ้น (Higher High , Higher Low)" และเทรนขาลงก็จะเป็น "จุดสูงสุดและต่ำสุดใหม่ที่ปรับตัวต่ำลง (Lower High, Lower Lows) "
กลยุทธ์ การซื้อขายสำหรับเวลาท่ตลาดเป็นเทรน เทรดเดอร์ส่วนใหญ่มักจะเลือกเทรดในสกุลเงินหลัก เพราะแนวโน้มของคู่เงินเหล่านี้จะมีสภาพคล่องสูง เพราะสภาพคล่องเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับกลยุทธ์การเทรดตามแนวโน้ม สภาพคล่องยิ่งมากก็ยิ่งทำให้มีการเคลื่อนที่ของราคามากขึ้นเท่านั้น

ADX ในตลาดที่เป็นเทรน
ADX คือ Average Directional Index indicator  ในบางโปรแกรมอาจเป็น Average Directional Movement Index indicator แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนหลักการใช้ก็จะเหมือนกัน ADX นี้ถูกพัฒนาโดย J. Welles Wilder  เป็น Oscillator พื้นฐานอีกตัวที่จะติดมากับโปรแกรมเทรด (MT4)  ตัวบ่งชี้มีระดับอยู่ระหว่าง 0-100 ใช้เพื่อตรวจสอบความแข็งแรงของแนวโน้ม ไม่เหมือนกับการทำงานของ Stochastic ที่จะบอกเราว่าเมื่อไหร่เทรนเป็นขาขึ้นหรือขาลง แต่ ADX จะบอกเราว่าแนวโน้มในขณะนี้แข็งแรงหรือว่าอ่อนแอ ในหลักการทำงานทั่วไปถ้า ADX อยู่ต่ำกว่าระดับ 20 หมายความว่าแนวโน้มหรือเทรนนั้นๆ กำลังอ่อนแอ แต่ถ้า ADX อยู่เหนือระดับ 50 นั่นหมายถึงแนวโน้มที่แข็งแกร่ง
ถ้า ADX อยู่เหนือระดับ 25 โดยปรกติแล้วมักจะแสดงให้เห็นว่าราคามีแนวโน้ม หรือราคาอยู่ในแนวโน้มที่แข็งแกร่งอยู่แล้วในขณะนี้ ยิ่งอยู่ในระดับที่สูงขึ้น ก็หมายถึงแนวโน้มที่แข็งแกร่งขึ้น แต่ ADX เป็นตัวชี้วัดที่ให้สัญญาณช้ากว่าอย่างอื่น ซึ่งหมายความว่ามันไม่จำเป็นในการใช้ทำนายอนาคต และมันยังเป็นตัวบ่งชี้ที่ไม่มีทิศทางซึ่งหมายความว่ามันจะรายงานออกมาเป็น ตัวเลขที่บอกถึงระดับความแข็งแกร่งของแนวโน้มเท่านั้น ลองดูตัวอย่างนี้ เห็นได้ชัดว่าราคามีแนวโน้มปรับตัวลดลงแม้ว่า ADX มากกว่า 25


 Moving Average ในตลาดที่เป็นเทรน
นอก จาก ADX แล้ว เรายังสามารถให้ Simple Moving Average ในการตรวจสอบแนวโน้มของราคาได้อีกด้วย ลองใส่ SMA 7,20 และ 65 เข้าไปในกราฟของคุณ แล้วรอให้เส้น SMA ทั้งสามเส้นวิ่งมารวมกันแล้วกระจายออกจากกัน ถ้า SMA ที่มีค่าน้อย กระจายออกมาอยู่เหนือเส้นที่มีค่ามาก คือ SMA7,20 และ 65 ไล่กันลงมาตามลำดับ นั่นหมายถึงแนวโน้มขาขึ้น


ใน ทางกลับกัน ถ้า SMA ที่มีค่าน้อยกลับลงมาอยู่ต่ำกว่าเส้นที่มีค่ามากกว่า คือ SMA 7,20 และ 65 เรียงตัวไล่กันขึ้นไปตามลำดับ นั่นแสดงถึงแนวโน้มขาลง


 Bollinger Band ในตลาดที่เป็นเทรน
แถบ ของ Bollinger Band ปรกตินั้นจะมีค่าเบี่ยงแบนมาตรฐานตามสูตรอยู่แล้ว แต่วิธีการที่จะใช้มันเพื่อหาแนวโน้มคือ ใส่ Billinger band มีมีค่ามาตรฐาน (Standard deviation 1) และใส่ Bollinger Band อีกอันโดยตั้งค่า Deviation เป็น 2
Sell Zone คือ บริเวณที่อยู่ระหว่าง Band ทั้งสองอัน (DS1 และ SD2) ที่อยู่ด้านล่าง จำไว้ว่า ราคาควรจะต้องปิดอยู่ในระหว่างพื้นที่ตรงนี้จึงจะพิจารณาในการ Sell
และ Buy Zone คือ พื้นที่ระหว่าง Band ทั้งสองอันเหมือนกับ Sell Zone แต่จะอยู่ด้านบน และราคาจะต้องปิดตัวในระหว่างพื้นที่ของทั้งสอง Band นี้ จึงจะพิจารณาว่าเป็น Buy Zone
และราคาในระหว่างพื้นที่ของ Band ที่เซทค่า SD1 นั้นเป็นช่วงที่ราคาเกาะตัวกันเป็น Sideway ราคาจะปิดตัวในระหว่างพื้นที่นี้ เป็นช่วงที่ไม่น่าเล่น


 ราคาที่วิ่งในกรอบราคา (Sideway หรือ Ranging Market)
Ranging Market คือ สภาวะที่ราคาวิ่งระหว่างกรอบราคาสูงสุด และต่ำสุด ตรงระดับราคาสูงสุดจะทำหน้าที่เป็นแนวต้าน และราคาต่ำสุดจะเป็นแนวรับ และราคาวิ่งอยู่ในกรอบราคานี้เป็น Sideway ไม่สามารถทะลุออกไปนอกกรอบได้ ในกรณีแบบนี้ เราอาจใช้เส้น Horizontal Line มาวางไว้เพื่อดูแนวรับแนวต้านของกรอบราคาได้ง่ายขึ้น


 ADX ใน Ranging Market
ก็ เหมือนกับที่เราได้กล่าวไปแล้วในข้างต้นว่า ถ้า ADX อยู่ต่ำกว่าระกับ 25 นั่นก็หมายความว่า แนวโน้มของราคามีความอ่อนแอ และนั่นก็คือ ตลาดที่เป็น Ranging Market หรือ ตลาด Sideway นั่นเอง แต่อย่าลืมว่า ยิ่ง ADX มีค่าน้อยลงเท่าไหร่ ก็หมายถึงตลาดแนวโน้มหรือเทรนยิ่งอ่อนแอมากเท่านั้น


 Bollinger Band ใน Ranging Market
Bollinger Band จะหุบแคบลงเมื่อมีความผันผวนในตลาดน้อย และจะขยายขึ้นเมื่อมีความผันผวนมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ Bollinger Band เป็นเครื่องมือที่ดีสำหรับกลยุทธ์แบบ Breakout
เมื่อ Bollinger Band หุบแคบลงนั่นหมายถึงตลาดมีความผันผวนต่ำ และราคาน่าที่จะเคลื่นไหวเพียงเล็กน้อยไปในทิศทางเดียวกัน อย่างไรก็ตาม เมื่อ Band เริ่มที่จะขยายกว้างขึ้น ก็หมายถึงความผันผวนที่มีมากขึ้นและราคาจะไม่วิ่งไปในทิศทางเดียวกัน



 โดย ทั่วไปช่วงราคาจะมีช่วงที่แคบเมื่อเทียบกับ เวลาที่ Band ขยายใหญ่ หรือการใช้เส้น Horizontal Line เป็นแนวรับแนวต้าน อย่างกรณีในภาพตัวอย่าง จะเห็นได้ว่ากรอบราคาแคบมาก
แนวคิดพื้นฐานในการเทรดในตลาดที่ราคาวิ่ง อยู่ในกรอบแบบนี้ คือ การซื้อต่ำที่ใกล้กับแนวรับ และปิดทำกำไรเมื่อราคาวิ่งมาที่แนวต้าน และขายในราคาที่สูงให้ระดับกับแนวต้าน และปิดทำกำไรที่ระดับแนวรับ และเครื่องมือที่เป็นที่นิยมมากที่สุดคือ เส้น Horizontal Line และ Bollinger Band
นอกจากนี้ การใช้ Oscillators อย่าง Stochastic และ RSI จะช่วยคุณหาและยืนยันจุดกลับตัวของราคาในกรอบราคาได้ง่ายขึ้น อย่างเช่นการใช้เงื่อนไข Over bought และ Oversold


 Bonus Tip: การเทรดโดยใช้กลยุทธ์แบบ Range-Bound (การกลับตัวในกรอบราคา) นี้ ไม่เหมาะที่จะใช้กับคู่เงินที่มีสกุลเงิน USD ร่วมอยู่ด้วย คู่เงินที่เป็นที่นิยมเทรดแบบนี้คือ EUR/CHF เพราะอัตราการเติบโตของสหภาพยุโรปและสวิสเซอรืแลนด์มีความใกล้เคียงกันมาก ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนของทั้งสองสกุลมีเสถียรภาพมาก จึงเหมาะกับการเทรดโดยใช้กลยุทธ์นี้เป็นอย่างมาก
ข้อสรุป ตลาดมีความหลากหลาย และไม่ว่าตลาดอยู่ในสภาวะไหน มีแนวโน้ม (Trending Market ) หรือว่าราคาวิ่งอยู่ในกรอบราคาแบบ Sideway (Ranging Market) ก็ตาม คุณก็ควรเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับตลาดในขณะนั้นๆมาใช้ให้เกิดประโยชน์ตาม จังหวะของตลาด

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/t674/?/

การทำ Backtest ความจริงก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นเพื่อแต่มันเป็นเหมือนกับการสร้างส


 บท ความนี้เป็นบทความแรกที่อ่าน ๆไปแล้วผมคิดว่าเจ้าของกระทู้เค้ากำลังตอบ 2 คำถามในกระทู้เดียวดังนั้นผมเลยตัดสินใจแบ่งออกเป็น 2 บทความจากกระทู้เดียวเพื่อไม่ให้สับสนต่อการอ่าน ในบทความนี้ จขกท. เข้าจะพูดถึงแนวคิดของเขารวมไปถึงวิธีการเทรดของเขาซึ่งผมจะแยกวิธีการเทรด ของเขาออกจากแนวคิดของเขานะครับ ซึ่งในบทความนี่ผมจะพูดถึงเรื่องที่เขาอยากจะเริ่มทดลองระบบของเขาก่อนแล้ว กันนะครับ
คุณ aarizahmad เจ้าของกระทู้ถามเล่าว่าเขาพึ่งเริ่มเทรดได้ประมาณ 2 เดือนและได้ทดลองระบบของเขาโดยการเช็คย้อนหลังซึ่งระบบของเขาจะใช้สัญญาณ เข้าจากรูปแบบกลืนกิน (Engulfing Bar) ของแท่งเทียนใน Daily Time Frame เป็นสัญญาณเข้า ความเสี่ยงของระบบผมอยู่ที่ 3:1 ซึ่งทดสอบดูแล้ววิธีการเทรดของผมถูก 20 ครั้งผิด 10 ครั้งเมื่อเอาจำนวณครั้งที่ถูกมาคิดเป็นเปอร์เซนต์แล้วพบว่าระบบผมสามารถทำ กำไรได้ถึง 60% เลยทีเดียวและเสียเพลง 10% เท่านั้น จากตัวเลขนี้ผมเลยคิดว่าระบบผมเป็นไปได้ที่จะนำมาเทรดจริง ๆ ผมเลยอยากจะถามเพื่อนร่วมบอร์ดว่า
ข้อที่ 1: ผลที่ได้นี้แม่นยำพอที่จะไปเริ่มเทรดเดโม่หรือเงินจริงหรือยังครับ?
ข้อที่ 2: ความเสี่ยงของเขาต่อการเทรด 1 ครั้งควรจะเป็นเท่าไหร่ดี? 2% หรือ 1% ของเงินทุน?
ข้อที่ 3: ถ้าระบบผมสามารถทำกำไรได้ตามที่ผมคิดแบบนี้ความฝันของผมที่จะได้ขับโรสรอยด์จะสามารถเป็นจริงใน 1 ปีไหม?


 คุณ claudia1 เข้ามาตอบว่า ถ้าคุณคิดว่าระบบของคุณสามารถเทรดแล้วมีกำไรได้แน่ ๆ ก็เอาเลย ความเสี่ยง 2% เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ แต่ถ้าไม่ก็อย่าเสี่ยงดีกว่า


คุณ card เข้ามาตอบว่า ตราบเท่าที่คุณยังมีวิธีการบริหารเงินทุนที่เยี่ยมยอดตราบนั้นคุณก็จะสามารถ ลดความสูญเสียลงได้ ส่วนตัวแล้วผมว่าการทดสอบย้อนหลังเชื่อถือไม่ค่อยได้ถ้าเป็นผมนะ ผมเทรดเงินจริงอย่างเดียวละ ถึงจะเป็นเงินในจำนวนที่น้อยแต่มันก็เป็นเงินจริงถ้าเจอระบบใหม่ผมก็จะเอา เงินจริงในจำนวนน้อย ๆ ไปลงระบบนั้นและทดสอบดู คุณไม่จำเป็นต้องเป็นเทพอะไรมากตราบเท่าที่คุณมีกลยุทธ์ที่ดี มีระบบการจัดการความเสี่ยงที่ดีก็ไม่มีทางที่ตลาดจะเอาเงินจากคุณไปได้ ดังนั้นผมจึงอยากจะแนะนำว่าให้คุณเริ่มทดลองระบบของคุณด้วยเงินจริงที่ความ เสี่ยง 1% ก่อนเมื่อคุณมีความมั่นใจมากขึ้นค่อยอัพขึ้นไปเป็น 1.5% หรือ 2% ก็ว่ากันไป เงินทุนที่ผมแนะนำคือ 1000$ ขึ้นไปเพื่อพิสูจน์ว่าระบบของคุณสามารถทำกำไรได้และเพิ่มความมั่นใจให้กับ ตัวคุณเองอีกด้วย หากคุณบอกว่ามีเงินไม่มากถึง 1000$ หรอกก็ลองไปหางานอื่นทำก่อนแล้วเก็บตังค์ให้ถึง 1000$ และที่สำคัญอย่าลืมว่าตลาดแห่งนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา อย่าโลภ อย่าเหลิง อย่าเทรดตามอารมณ์เด็ดขาด ถ้าคุณทำได้รถโรสรอยด์ของคุณก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม


คุณ ghous เข้ามาตอบว่า ส่วนตัวแล้วผมไม่เชื่อผลของการทดสอบ backtest เพราะการทดลอง backtest มันจะทำให้เราคิดขเข้างตัวเองและไม่ได้ผลที่เป็นความจริง ตอนที่เทรดจริง ๆ ผมแนะนำว่าต่อจากนี้คุณควรจะลองเทรดเงินจริงและทดสอบระบบคุณแบบจริง ๆ ดีกว่านะ


“รับ ทราบครับ ผมว่ากำลังจะเริ่มทดสอบระบบวันพรุ่งนี้แล้ว ความจริงแล้วตอนที่ผมทำ backtest ผมใช้วิธีค่อย ๆ กด page up ไปเรื่อย ๆ นะครับและก็กด F12 ค่อย ๆ เลื่อนกราฟด้วย” คุณเจ้าของกระทู้ตอบและตอบต่ออีกว่า ซึ่งการทำอย่างนี้มันทำให้ผมไม่สามารถเห็นกราฟล่วงหน้าก่อนและผมก็จดบันทึก การเทรดของผมลงใน notepad จากนั้นนำผลที่ได้มาตำนวณมาคำนวณเปอร์เซนต์ชนะในแต่ละครั้งและผมก็ซื่อสัตย์ กับตัวเองด้วยนะครับ ถึงแม้จะต้องจดหลายคู่เงินหน่อยแต่ผมว่ามันก็คุ้ม


คุณ M.A.C. Doug เข้ามาตอบในทำนองเดียวกันว่า การทดสอบย้อนหลังเดโม่ไม่สามารถวัดอะไรในการเทรดจริง ๆ ได้ ความจริงระบบคุณแนวคิดคุณก็เป็นวิธีที่ดีนะ ผมหวังว่าคุณจะทำมันได้ดีในการเทรดจริง ๆ ส่วนความฝันของคุณนะ ผมว่าคุณหวังสูงไปหน่อยรึเปล่า ผลจาก backtest มันไม่ได้การันตีความสำเร็จสูงขนาดนั้นหรอกนะครับ เดี๋ยวพอคุณเทรดเงินจริงคุณก็จะเข้าใจเอง


 การ ทำ Backtest ความจริงก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นเพื่อแต่มันเป็นเหมือนกับการสร้างสมมุติฐาน ขึ้นมาก่อน เหมือนเราหาข้อมูลเบื้องต้นมาก่อนแล้วหลังจากนั้นเราก็ต้องลงมือหาข้อมูล จริง ๆ มายืนยันสมมุติฐานของเรา การเทรดก็ไม่ต่างอะไรกับงานวิจัยเลยที่ผลที่ออกมาอาจจะไม่เป็นไปตาม สมมุติฐานก็ได้ ดังนั้นผู้เทรดไม่ควรไปคาดหวังอะไรกับสมมุติฐานมากนัก ไม่ใช่ว่าทำ Backtest แล้วขายทุกอย่างเพื่อเทรดเลยก็ไม่ใช่เรื่อง เพราะผมเคยหลงอยู่ในวังเวียนแห่ง Backtest มานานถึง 2 ปี เสียเวลาไปตั้ง 2 ปีเพื่อให้ได้รู้ว่ามันไม่ใช่ทุกอย่างในการเทรด สิ่งที่ผู้เทรดควรทำคือเมื่อหาสไตล์การเทรดที่ตัวเองชอบได้แล้ว ก็ลองต่อยอดพัฒนามันไปเรื่อย ๆ พัฒนามันให้ไปจนถึงที่สุดให้ได้ นั่นละครับถึงจะเรียกว่าเป็นการสร้างระบบหรือกลยุทธ์ที่มีไว้เพื่อคุณคน เดียวขึ้นมาอย่างแท้จริง

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/backtest/?/

กราฟเหวี่ยงแรงๆจะทำอย่างไร?


 มี คนชื่อ Bhoopalan มาตั้งกระทู้ว่า ทุกวันนี้เขามักจะมีปัญหากับการโดนกราฟเหวี่ยงอยู่บ่อย ๆ โดยราคาจะวิ่งขึ้นไปชน Stop Loss ของเขาก่อนจากนั้นก็วิ่งไปตามทางที่เขาได้คาด
การณ์ไว้เขาเลยสงสัยอยาก รู้ว่า หากกราฟเหวี่ยงเนี่ยปกติมันจะวิ่งไปกี่จุด? และเมื่อกราฟวิ่งผ่านไปแล้วบางครั้งมันไม่บันทึกด้วยว่าตรงนั้นเคยมีการ เหวี่ยงแรง ๆ ของกราฟเกิดขึ้น แบบนี้ก็
แปลว่าการทดสอบย้อนหลังก็ไม่เป็นความจริงนะสิครับ?


 คุณ TheMaxx ก็เข้ามาให้คำตอบว่า การเหวี่ยงของกราฟส่วนมากมักจะเกิดจากผลกระทบจากข่าว ดังนั้นคุณก็ควรจะสนใจตารางของข่าวด้วยว่าในแต่ละวันตารางของข่าวมีข่าวอะไร บ้าง
ส่วนเรื่องที่คุณโดนกราฟเหวี่ยงไปชน Stop Loss นั้นผมแนะนำว่าคุณอาจจะใช้วิธีลองเพิ่มระยะของ Stop Loss ของตัวเองดูซึ่งนั่นหมายความว่าคุณต้องวาง Money Management
ของคุณให้ดี ๆ ด้วยเช่นกัน


นาย Bhoopalan ก็เข้ามาขอบคุณแล้วถามต่อว่า การเหวี่ยงของกราฟในลักษณะแบบนี้เกิดบ่อยไหมครับในโบรกเกอร์อื่น ๆ?


 นาย Iro ก็เข้ามาตอบว่า หากคุณเจอกราฟเหวี่ยงไปชน Stop Loss แล้วกราฟไม่บันทึกเนี่ย คุณรีบเปลี่ยนโบรกเกอร์ที่เทรดให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ดีกว่า

นาย bull . bear เสนอว่า คุณก็ลองเทรดในช่วงเวลาที่กว้างขึ้นแทนที่จะไปเทรดในช่วงเวลาเล็ก ๆ สิ เพราะการเหวี่ยงของราคาที่รุนแรงมักจะไม่มีให้เห็นใน
Time Frame ใหญ่ ๆ แล้วก็ปรับ Stop Loss กับ Target ของคุณให้กว้างขึ้น แต่คุณอาจจะต้องลดขนาดของ lot ของคุณลงนะ


 นาย Bhoopalan เจ้าของกระทู้ก็บอกนาย bull . bear ว่าตัวเค้าเองก็เทรดใน Time Frame ใหญ่ ๆ นะ แต่ที่เค้าถามเนี่ยเพราะอยากจะหาทางป้องกันเรื่องนี้ไว้เฉย ๆ
ว่าการเหวี่ยงของกราฟเนี่ยมันเกิดที่ Broker เค้าคนเดียวหรือที่อื่นก็เป็นเพื่อที่ตัวเองจะได้หาทางรับมือกับมันในอนาคต


 นาย bull . bear ก็มาตอบกลับว่า เค้าไม่รู้ว่า “การเหวี่ยง” ที่เจ้าของกระทู้พูดถึงมันเป็นการเหวี่ยงที่เกิดขึ้นจาก Gap ในวันจันทร์หรือเวลาเฉพาะอื่นรึเปล่า?
หากเป็นข่าวการที่กราฟจะเหวี่ยงก็ ถือว่าเป็นเรื่องปกติและมักจะเกิดขึ้นชัด ๆ ใน Time Frame เล็ก ๆ แต่หากเกิดการเหวี่ยงในช่วงที่ไม่มีข่าวก็แสดงว่าราคามีอะไรผิดปกติเช่น
ไปชนแนวรับแนวต้านที่แข็งแกร่งเป็นต้น


 สรุป แล้วการที่กราฟเหวี่ยงของกราฟส่วนมากเกิดจากข่าวที่ออกมาส่งผลกับแรงซื้อแรง ขายของนักลงทุนในขณะนั้น ๆ หากมองในมุมมองของเทรดเดอร์รายย่อยอย่างเรา ๆ
ที่ ได้แต่ลุ้นอยู่หน้าคอม ไม่ได้ไปลุ้นอะไรกับที่ตลาดใหญ่จริง ๆ แล้วสิ่งที่เราทำได้ก็คือหากลยุทธ์ที่เหมาะสมกับทั้งช่วงเวลากราฟเหวี่ยงและ ตัวเราเอง
บางคนอาจจะรอข่าวออกแล้วค่อยเข้า บางคนเข้าก่อนแล้วตั้ง Stop Loss บางคนอาจจะไม่เทรดเลย ก็แล้วแต่กลยุทธ์ของแต่ละคนครับ แต่ข้อเสียอย่างหนึ่งที่มักจะเกิดขึ้นประจำ
กับคนที่ตั้ง Stop Loss ก็คือราคาเหวี่ยงไปไม่ถึงราคาที่ตั้ง Stop Loss ไว้แต่กลับปิดให้เรา อันนี้เป็นกลยุทธ์หนึ่งของโบรกเกอร์ วิธีแก้คือไม่ต้องตั้ง Stop Loss ครับง่ายไหม
แต่ให้ใช้วิธีมองกราฟเป็นโซนของราคาเอาว่าถ้าหลุดบริเวณไหน จะคัทเพราะมันไม่มีคำว่าตายตัวสำหรับ Forex ดังนั้นผู้เทรดจะต้องใจแข็งพอที่จะยอมรับความผิดพลาดของตนแล้วคัททิ้ง
ไปเพื่อลดความเสียหายให้กับตัวเอง จึงจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการรับมือกราฟเหวี่ยงครับ

 
 
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/t656/?/

10 แนวทางการเทรด forex

1. การวางแผนการเทรดและเทรดตามแผนของคุณ(Plan your trade And Trade your plan)
ใน การเทรด ไม่ควรตัดสินตามอารมณ์ ความรู้สึกของคุณ ว่าราคาน่าจะขึ้น ราคาน่าจะลง แล้วเปิดคำสั่งเทรด คุณจำเป็นจะต้องมีการวางแผนในการเทรดเพื่อนำไปสู่ึความประสบความสำเร็จ แผนการเทรดที่ดี ควรประกอบด้วย
1.1 การกำหนด จุดเข้า หรือ สัญญาณในการเข้าเทรด
1.2 การกำหนดจุด ขาดทุน ( Stop Loss)
1.3 การกำหนดเป้าหมายกำไร ( Target)
1.4 การวางแผนทางการเงิน ( Money Management)
1.5 การบริหารความเสี่ยง ( Risk Management)
การ จัดสรรค์การเรดให้เหมาะสม แผนการเทรดที่ดีจะช่วยให้คุณตัดอารมณ์ ออกจากการเทรด ช่วยให้คุณไม่ต้องมานั่งเครียด เวลาที่ติดลบ หรือ ใกล้จะ Call Margin ( เงินใกล้จะหมด) ไม่ต้องถูกบังคับปิด เช่น มาจิ้นของคุณหมด ตัวอย่างแผนการเทรดหรือระบบเทรด คุณสามารถ หาได้จากเ็ว็บนี้ หรือ จาก google ลองหาแผนการเทรดที่เหมาะกับตัวของคุณ ลองทดสอบระบบ และเทรดตามระบบด้วยเงินปลอม อาจจะปรับปรุงให้เหมาะสมกับตัวของคุณ แล้วนำมาประยุกต์ใช้กับการเทรดของคุณ ซึ่งไม่มีระบบไหนที่ได้ผลการเทรดของคุณออกมา 100% ระบบเทรดที่ดี ควรมีประสิทธิ์ภาพมากกว่า 60 % ไม่ว่าคุณจะได้ระบบเทพ หรือ สุดยอดเทพ ยังไง คุณก็ต้องติดลบก่อน ไม่มีใครไม่เคย ติดลบ

2. แนวโน้มของกราฟ คือเพื่อนของคุณ ( The Trend is Your Friend )
อย่า คิดสวนเทรน ให้หาสัญญาณ Buy/ Long เมื่อ ตลาดอยู่ในสภาวะขาขึ้น ( Bullish Market ตลาดแดนบวก) และหาจังหวะ Sell/Short เมื่อตลาดอยู่ในสภาวะขาลง (Bearish Market ตลาดแดนลบ)

3. การรักษาเงินลงทุน ( Focus on capital preservation)
สิง สำคัญอีกอย่างสำหรับการเทรด ต้องรักษาเงินในบัญชีของคุณให้ดีที่สุด การเปิดคำสั่งเทรดแค่ละคำสั่ง ไม่ควรจะเกิน 10 % ของเงินในบัญชีเทรดของคุณ เช่น เงินทุน 1000 $ คุณควจจะเทรดไม่เกิน 100$ ถ้าไม่มีการรักษาเงินทุนไว้ เงินทุนจะลดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อเทรดมาก ได้มาก ก็เสียมาก เช่นกัน เมื่อเงินหมด คุณอาจจะท้อ หรือเลิกไปเลย เพราะฉะนั้น ควรจะเล่นน้อยๆ เรื่อย ๆ แล้ว จะประสบผลสำเร็จในตลาดฟอเร็ก ฟอเ็ร็กไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่าย

4.ต้องรู้ว่าเมื่อไรควรจะตัดขาดทุน (Know when to cut loss)
ถ้า ราคาวิ่งตรงข้ามกับที่คุณได้เทรดไว้ หรือคาดการณ์ไว้ สิิ่งแรกที่คุณต้องทำคือ ตัดเนื้อร้ายออกไป อย่าให้มันรุกราม แล้วหาโอกาสหรือจังหวะดีๆ เพื่อเข้าใหม่ การถือติดลบไว้ เป็นการเสียโอกาสในการหาจังหวะเข้าใหม่ในสัญญาณดีๆ และต้องมานั่งเครียด เพราะกลัวว่า มาจิ้น จะหมด คังคำที่พูดกันว่าเสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย และ ลบน้อยตัดยาก ลบมากตัดง่าย ถ้าเลวร้ายจริงๆ คุณอาจจะโดนคำสั่งปิด Margin Call ดังนั้นเมื่อทำการเทรดทุกครั้ง ควรหาจุด Stop Loss จุดที่คุณควรปิดทิ้ง เมื่อราคาวิ่งตรงข้าม จากทีคาดการณ์ไว้ โดนอาจจะกำหนดไว้เลย เช่น Exit stop Loss -20 จุด -30 จุด หรือตั้งไว้ตามแนวรับแนวต้าน Support- Resistance

5. ปิดทำกำไรเมื่อได้โอกาส หรือด้วยความพอใจของเรา(take Profit when the trade is good)
ก่อน ทำการเทรด ตั้งเป้าหมายไว้ ว่าต้องการกำไรเท่าไร เมื่อได้โอกาส ก็ควรปิดทำกำไร เป้าหมาย (Target) อาจจะกำหนดตายตัว หรือ ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของเรา เช่น ทำกำไร 20 จุด หรือ 30 จุด หรือกำหนด ตามแนวรับแนวต้าน ( Support and Resistance) หรือกำหนด โดย Fibonaccy ก็ได้

6. ตัดอารมณ์ออกไป(Be Emotionless)
สอง อารมณ์ ที่มีผลมากให้การเทรด คือ ความโลภ ( Greedy) และความกลัว(fear) อย่าทำให่้สองสิ่งนี้ครอบงำจิตใจของคุณ เพราะมันจะทำให้คุณไม่สามารถเทรดได้ หมั่นฝึกฝนเทรดให้เป็นระบบ เทรดตามแผน หรือระบบเทรดที่คุณได้เตรียมไว้ จัดการ กับ การกำหนดจุดเข้า ( Entry Position) จุดออก ( Exit Position) ระบบการเงินของคุณ(Money Management) เพียงแค่นี้ คุณก็จะประสบความสำเร็จกับฟอเร็กได้

7. อย่าเทรดตามคนอื่น ( Do not trade base on tips from other people)
ควรเทรดตามระบบ ตามสัญญาณ หรือตามแผนที่วางไว้ อย่าเทรดตามคนอื่นโดยเด็ดขาด วิเคราะห์ให้ดีทุกครั้งก่อนการเทรด

8. จดบันทึกการเทรด (Keep A trade journal)
เมื่อ คุณเปิดคำสั่ง ซื้อ (Buy/Long) ให้จด เหตุผลว่าเข้าเพราะอะไร และจดความรู็้สึกตอนนั้นไว้ เมื่อเปิดคำสั่ง ขาย ( sell/Short) ก็ทำเช่นเดียวกัน แล้วนำมาวิเคราะห์ บันทึก ข้อผิดพลาด ในการเทรด ขำข้อผิดพลาดของคุณที่เกิดขึ้น นำมาเป็นบทเรียน แล้วอย่าทำตามนั้นอีก

9.เมื่อไม่แน่ใจไม่ต้องเทรด( When in doubt, stay out)
เมื่อ คุณไม่มั่นใจหรือกำลังสับสน กับสภาวะของตลาดไม่แน่ใจว่าราคาจะวิ่งไปทางไหน ให้อยู่เฉยๆ ไม่ต้องเทรด ออกไปเดินเล่นหาอย่างอื่นทำ แล้วก็รอตลาดในช่วงต่อไป คุณค่อยมาหาจังหวะการเทรดใหม่

10. อย่าเทรดมากเกินไป ( DO Not Over Trade)
ไม่ ควรเปิดเทรดมากเกินไป ในการเทรดแต่ละครั้งควรมีออเดอร์ที่เปิดทิ้งไว้ ไม่เกิน 3 ออเดอร์ ถ้ามีมากเกินไป คุณอาจจะควบคุมไม่ได้ หรือาจจะใช้อารมณ์ในการตัดสินใจเมื่อตลาดเกิดการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นอย่าเปิดเทรดจนมากเกินไป
สิ่งที่จะแนะนำเพิ่มเติมคือ ก่อนที่จะเริ่มเทรดด้วยเงินจริงนั้น ควรจะลองเทรดด้วยเงินปลอม เสียก่อนนะครับ อย่างน้อยๆ 1-3 เดือนเป็นอย่างต่ำ

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/10-forex-639/?/

12 วิธีคิด ก่อนลงมือเทรด

1. เรียนรู้พื้นฐาน
ฟังดูเป็นเรื่องพื้นๆ แต่เทรดเดอร์มือใหม่ส่วนมากมักจะกระโดดเข้าไปในสมรภูมิก่อนที่จะรู้ว่าอะไร เป็นอะไร และแน่นอนว่ามักจะเกิดความผิดพลาดและเสียหายขึ้นกับพวกเขาเหล่านั้น อย่างที่เราเห็นกันบ่อยๆว่ามือใหม่ล้างพอร์ตกันบ่อยๆ ล้างแล้ว ล้างอีก แล้วพวกเขาก็เที่ยวค้นหาอะไรซักอย่างที่จะมาช่วยเค้าให้หลุดพ้นจากจุดนี้ จริงๆแล้วสิ่งที่มือใหม่ควรทำเป็นอันดับแรกก็คือ "เรียนรู้พื้นฐาน" ซะก่อนที่จะโดดลงมาเล่นในตลาดอย่างเต็มตัว

2. คุณจะไม่ได้รวยในทันที ประสบการณ์ทำให้คุณรวย
ถ้า คุณเข้ามาในตลาด Forex เพราะคิดว่ามันจะทำให้คุณรวยได้อย่างรวดเร็ว บอกได้เลยว่าคุณคิดผิดแล้ว คุณจะอยู่ในตลาดได้ไม่นานแล้วก็ต้องออกจากตลาดไป เพราะ "การเทรดคือทั้งหมดที่เกี่ยวกับประสบการณ์" ก็เหมือนกับมืออาชีพในอาชีพอื่นๆ ที่คุณจะต้องเรียนรู้การทำงานในอาชีพนั้นๆ เมื่อสะสมประสบการณ์ไปเรื่อยๆ งานที่คุณทำก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น และคุณก็จะกลายเป็นมืออาชีพ  เส้นทางที่จะทำให้คุณเทรดเดอร์มืออาชีพนั้นเป็นเส้นทางที่ยาวไกล ต้องจริงจังและอยู่กับมันให้ได้อย่างน้อย 1-3 ปี ก่อนที่จะทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง จำไว้ว่าการเทรด Forex เป็นอาชีพ ดังนั้นถ้าเทรดเดอร์มือใหม่อยากจะทำกำไรให้ได้เหมือนเทรดเดอร์เก๋าๆที่เทรด มานานๆ ก็จงเรียนรู้ ฝึกปฏิบัติ และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ เพื่อวันนึงข้างหน้าคุณจะทำได้เหมือนมืออาชีพที่คุณเห็นในวันนี้

3. ผู้เชี่ยวชาญเป็นเรื่องตลก
การ รับฟังความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญนั้นเป็นสิ่งที่ดีแน่นอน แต่ปัญหาที่มีในตลาดเงินก็คือ มีเทรดเดอร์มือใหม่ที่สามรถทำไรได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ และคิดว่าตนเองเป็นผู้เชี่ยวชาญเกิดขึ้นทุกสัปดาห์ และมากกว่านั้นคือผู้เชี่ยวชาญที่อายุ 30-60 ปี แต่งตัวภูมิฐานในชุดสูท ที่อ้างว่าเป็นผู้ประกอบการมืออาชีพ และเรียกร้องให้คุณซื้อหนังสือของพวกเขา คนเหล่านี้มักเป็นคนที่ล้มเหลวจากการทำรายได้จากตลาด และหันมาสร้างรายได้จากการสอนเทรดเดอร์คนอื่นๆด้วยวิธีที่ล้มเหลว ผู้เชี่ยวชาญที่ประกาศตัวเอง มีแนวโน้มที่จะ:

    ให้ข้อมูลเก่าที่ไม่สามารถใช้การได้พวกเขาจะเป็นเทรดเดอร์อาชีพที่เทรดอย่างเดียว และพยายามขายหนังสือให้คุณ
    เรียกร้องในราคาที่แพงแสนแพง และสิ่งที่ได้มาบางทีก็ใช้การอะไรไม่ได้
    พยายามที่จะพิสูจน์ว่าพวกเขาเป็นเทรดเดอร์ที่ทำกำไรได้โดยการโพสต์ภาพของบัญชี ซึ่งเราไม่รู้ว่ามันเป็นของจริงหรือเปล่า
    เป็นคนที่เก่งคำนวณ เพื่อให้ตัวเป็นคนที่ประสบความสำเร็จและน่าเชื่อถือมากขึ้น เช่น เทรดได้กำไรสองครั้ง แต่ ขาดทุนแค่ครั้งเดียว

ดัง นั้นควรต้องระวังเหล่าผู้เชียวชาญที่ไม่เชี่ยวชาญไม่จริงเหล่านี้ไว้ด้วย สำหรับเทรดเดอร์มือใหม่ ควรเช็คให้แน่ใจว่าอันไหนของจริงหรือ ของปลอม อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ

4. วิเคราะห์ด้วยตัวเอง
การ เชื่อคนอื่นแบบสุ่มสี่สุ่มห้าจะทำให้คุณเป็นคนตาบอด อย่าลืมว่าเป้าหมายของคุณคือการเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่การเทรดตามซิกที่คนอื่นๆให้มา
การที่จะเป็นเทรดเดอร์ได้นั้น คุณต้องเลือกวีการเทรดเพื่อที่จะทำกำไรและเรียนรู้ที่จะวิเคราะห์ตลาดด้วย ตัวเอง ความสามารถในการวิเคราะห์ของคุณจะทำให้คุณกลายเป็นเทรดเดอร์มือโปร การวิเคราะห์ด้วยตัวเองจะช่วยให้คุณ:

    เป็นคนที่พึ่งพาตัวเอง
    เรียนรู้ในการเทรดอย่างจริงจัง

ถ้า คุณเลือกที่จะหลับหูหลับตาเทรดตามกูรู แล้วคุณจะทำกำไรได้อย่างไรเมื่อกูรูหยุดแจกเคล็ดลับ หรือเคล็ดลับนั้นไม่สามารถทำงานได้อีกต่อไป คุณจะเข้าใจได้อย่างไรว่าทำไมเคล็ดลับมันทำงานในตอนแรก แต่ตอนนี้มันกลับใช้การไม่ได้แล้ว ดังนั้นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวคุณน่าจะเป็น "การพึ่งพาตนเอง"

5. จ้าวตำนานเดโม่
ถ้า คุณอยากจะเป็นนักมวยมืออาชีพแล้วคุณไปซื้อเกมส์ต่อยมวยมาเล่น แล้วเริ่มการฝึกต่อยมวยด้วยวีดีโอเกมส์ แล้วมันจะช่วยให้ต่อยมวยเป็นได้ยังไง ? ก็เหมือนกับการเทรดด้วยบัญชีเดโม่ ที่ทำให้คุณหวังว่าจะเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จ
การเทรดด้วยบัญชีเดโม่เป็นเวลา 3 เดือนแล้วไม่ประสบความสำเร็จเมื่อมาเทรดปัญจริงก็เพราะ 2 เหตุผล คือ

    ทำให้มือใหม่มีความมั่นใจแบบผิดๆ และทำให้ซึบซับนิสัยที่ไม่ดี เพราะในการเทรดบัญชีเดโม่และบัญชีจริงจะมีความกดดันที่แตกต่างกัน การเทรดบัญชีเงินจริงจะมีความกดดันมากกว่าหลายเท่า ในขณะที่การเทรดบัญชีเดโม่แทบจะไม่มีความกดดันเลย ก็แน่นอนละเพราะถึงเสีย เราก็ไม่ได้เสียเงินจริง เราๆท่านๆคงเคยได้ยินคำพูดนี้อยู่บ่อยครั้ง "หมูสนามจริง สิงห์สนามซ้อม"
    ประสิทธิภาพของบัญชีเดโม่ มักจะดีกว่าบัญชีจริง ซึ่งรวมถึงความรวดเร็วในการเปิดปิดออเดอร์ รวมทั้งปัจจัยอื่นๆอีกหลายอย่าง

ทางออก ที่ดีที่สุดคือการใช้บัญชีเดโม่ในการเรียนรู้พื้นฐานและการทดสอบระบบหรือหา วิธีการซื้อขาย และเมื่อต้องซื้อขายจริงคุณควรจะเทรดด้วยบัญชีเงินจริง วันนี้คุณสามารถเปิดบัญชีซื้อขายกับโบรคเกอร์ต่างๆได้ด้วยเงินเพียงเล็กน้อย อาจจะเริ่มต้นเปิดบัญชีขั้นต่ำที่ $10-$50  ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่จะไม่เปิดบัญชีซื้อขายจริง

6. กำจัดแนวโน้มความสูญเสียแต่เนิ่นๆ
สิ่ง สี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเทรดเดอร์มืออาชีพเลยก็ว่าได้ เพราะถ้าเขาเหล่านั้นไม่ยึดกฎข้อนี้อย่างเคร่งครัดพวกเขาอาจมาไม่ถึงจุดนี้
ถ้า คุณเกิดเทรดเสียติดต่อกันถึง 3 ครั้ง ควรจะหนีห่างออกจากราฟ แล้วใช้เวลาอยู่ห่างกราฟซัก 2-3 วัน และกลับมาเทรดใหม่เมื่อหัวของคุณโล่งและพร้อมที่จะกลับเข้าสู่ตลาดใหม่อีก ครั้ง เพราะแนวโน้มของความสูญเสียนั้นอันตรายมาก การเริ่มต้นด้วยการเทรดเสียเล็กๆน้อยๆ สามรถนำไปสู่ความสูญเสียที่ใหญ่มากกว่าเดิมหลายเท่า


7. ทำตามคนส่วนใหญ่
เรา มักจะได้ยินกันบ่อยๆว่า 90% ของเทรดเดอร์มือใหม่นั้นต้องล้มเหลวและเดินออกจากตลาดไป และสิ่งที่จะช่วยได้ก็คือ การเรียนรู้ที่จะพึ่งพาตัวเองด้วยการศึกษาระบบการเทรด หรือศึกษาเกี่ยวกับเครื่องมือต่างๆที่จะใช้ในการเทรดให้มากพอ ทำความเข้าใจหลักการทำงาน เก็บเกี่ยวประสบการณ์ และไม่เป็นผู้ตาม 
ถ้าคุณเป็นมือใหม่ก็ลองคิดถึงเหตุผลดังต่อไปนี้:

    ส่วนใหญ่แล้วเทรดเดอร์มือใหม่มักจะล้มเหลว
    ถ้าคุณทำตามคนส่วนใหญ่ คุณก็จะล้มเหลวเหมือนคนส่วนใหญ่
    ถ้าคุณเป็นคนส่วนใหญ่ คุณก็มีแนวโน้มที่จะล้มเหลวเหมือนพวกเขา

ดังนั้นแล้ว คุณไม่ควรที่จะทำตามคนส่วนใหญ่ทีล้มเหลวเหล่านั้น

8. ทำตามวิธีการของคุณ
วิธี การหรือระบบเทรดทุกแบบจะมีทั้งข้อดีและข้อด้อย ไม่มีวิธีการใด ระบบใด หรือรูปแบบใดที่จะสามารถทำกำไรได้ 100% ตลอดทั้งปี เช่น ปีนี้มีอัตราความสำเร็จทำกำไรได้เฉลี่ยที่ 80% แต่บางช่วงของปีก็ทำได้แค่เพียง 60% และบางช่วงก็ทำได้ถึง 100%
ในแต่ละ ปีจะมีช่วงที่ดีที่ทำกำไรได้ง่าย และช่วงที่ไม่ดีที่ทำให้คุณเทรดเสียได้ง่ายกว่าปรกติปะปนกันเป็นเรื่องปรกติ ที่สำคัญคือ เมื่อคุณเจอช่วงเวลาที่เลวร้าย จงอย่าสูญเสียความเชื่อมั่นในระบบเทรดของคุณ ปัญหาของมือใหม่ก็คือ จะละทิ้งระบบและวิธีการเทรดของตน แล้วไปแสวงหาระบบการทำกำไรใหม่ๆไปเรื่อยๆ

9. ทำให้การเทรดเป็นเรื่องง่ายซะ
มัน ไม่มีเหตุผลที่จะต้องทำให้การเทรดเป็นเรื่องที่ซับซ้อน ตัวอย่างเช่นบางคน อาจจะใช้เวลาเพียง 2-5 ชั่วโมงในการเทรดในแต่ละสัปดาห์ แล้วใช้เวลาที่เหลือไปสนุกกับการใช้ชีวิต ดังนั้นวิธีการเทรดของคุณก็ไม่มีความจำเป็นว่าจะต้องซับซ้อน เพราะมันก็ไม่ได้การันตัว่ายิ่งยุ่งยากแล้วจะทำให้ได้กำไรมากขึ้นซะหน่อย จริงมั้ย? และการทำให้การเทรดง่ายขึ้นนั้น จะช่วยให้ซ

    การเทรดนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น
    คุณทำงานน้อยลง
    ทำให้คุณเรียนรู้ได้เร็วขึ้น(เพราะคุณมีเวลาเหลือเฟือที่จะใช้ศึกษาเพิ่มเติม)


10. เทรดแค่คู่เงินเดียว
กุญแจ สำคัญที่จะเปลี่ยนมือใหม่ให้เป็นมือโปรคือ ทำให้การเทรดเป็นเรื่องง่าย และวิธีที่ง่ายที่สุดอย่างหนึ่งก็คือการเทรดคู่เงินเพียงคู่เดียวในช่วงเวลา นั้นๆ เพราะมันจะช่วยให้คุณสามารถพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่คู่เงินเพียงคู่เดียว คุณจะเรียนรู้ถึงพฤติกรรมราคาของคู่เงินนั้นและเข้าใจความเคลื่อนไหวของมัน ได้ ถ้าคุณเทรด 5 คู่ในเวลาเดียวกันมันจะเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากในการศึกษาพฤติกรรมราคาของ แต่ละคู่เงิน เพราะแต่ละคู่จะมีพฤติกรรมราคาที่แตกต่างกันไป เพราะว่า:

    มีปฏิกิริยาต่อข่าวที่แตกต่างกัน
    มีอัตราการเคลื่อนไหวที่แตกต่างกัน บ้างก็ช้า บ้างก็เร็ว
    มีการเคลื่อนไหวมากๆต่างกันตามช่วงเวลาต่างๆของวัน เช่นบางคู่จะเคลื่อไหวมากในช่วงตลาดสหรัฐ แต่บางคู่จะเคลื่อนไหวมากในช่วงทำการของตลาดเอเชีย
    ต้องมีการจัดการที่แตกต่างกันเวลาที่ถือออเดอร์ บางคู่จะวิ่งเป็นเทรนยาวๆ สามารถถือได้นาน แต่บางคู่จะผันผวนมากจะถือยาวไม่ได้

ดัง นั้น มือใหม่ไม่ควรที่จะเล่นทีเดียวกลายคู่ เพราะจะเพิ่มความเครียดให้มากเกินไป ควรเล่นทีละคู่ ค่อยๆศึกษาไปทีละคู่ เมื่อคุณรู้แล้วว่าคู่ไหนเป็นอย่างไรจึงค่อยเพิ่มคู่เทรดมากขึ้นเท่าที่คุณ คิดว่าจะมารถจัดการกับมันได้

11. เทรดในทามเฟรมเดียว
เพราะการเทรดในทามเฟรมเดียวเป็นสิ่งที่ทำให้การเทรดของคุณง่ายขึ้น การเทรดในทามเฟรมเดียวมีประโยชน์หลายอย่าง :

     ช่วยให้คุณมีสมาธิในการเทรดในกรอบเวลานั้นๆ และลดความสับสนในการเทรดพร้อมกันในหลายทามเฟรมได้
     คุณดูกราฟน้อยลง เพราะจะดูแค่ทามเฟรมเดียว จึงช่วยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นในการวิเคราะห์กราฟ สามารถหาสัญญาณที่ชัดเจนได้
     ไม่ต้องวิเคราะห์กราฟมากเกินไปในหลายทามเฟรม ซึ่งอาจจะให้สัญญาณที่ขัดแย้งกัน แล้วคุณก็จะสับสนกับสัญญาณเหล่านั้นได้
     มันทำให้ชีวิตของคุณง่ายขึ้น

จำ ให้ขึ้นใจว่า สิ่งเหล่านี้คือการทำทุกอย่างให้มันง่ายขึ้นในการเทรด หากคุณเทรดคู่เดียวในทามเฟรมเดียว ก็เท่ากับคุณต้องดูกราฟเดียว มือใหม่ไม่จำเป็นที่จะต้องทำอะไรให้ซับซ้อนยุ่งยาก จนกว่าคุณจะกลายเป็นมือโปรและทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง

12. กราฟที่สะอาดตา
ส่วน มากมือใหม่อยากจะใช้ Indicators ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เอามาใส่จนเต็มกราฟไปหมด เพราะคิดว่ามันจะช่วยบอกได้ถึงจุดเข้าออกที่แม่นยำ ซึ่งมันไม่จริง เมื่อเทรดเดอร์มีประสบการณ์มากขึ้น Indicators ในกราฟของพวกเขาจะลดลงไปเรื่อยๆ เพราะ Indicators ยิ่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งให้สัญญาณที่สับสนมากขึ้นเท่านั้น:

    เพิ่มความยุ่งเหยิงให้กราฟ ยากที่จะอ่านสัญญาณได้
    ทำให้เกิดความสับสนในการตัดสินใจ
    เพิ่มแนวโน้มว่าจะมีสัญญาณที่ขัดแย้งกันมากขึ้น
    กราฟดูรก สกปรก เกินไป


เรา จะเห็นได้ว่ามือโปรส่วนใหญ่จะเทรดด้วยกราฟที่สะอาด แม้ว่าจะมี Indicators บ้างแต่ก็ไม่มาก อาจจะแค่เส้น Moving Average ดูสัญญาณแท่งเทียน แนวรับแนวต้าน เพียงแค่ เรื่องพื้นฐานแค่นั้นเค้าก็ทำกำไรกันได้แล้ว แล้วคุณล่ะ ก่อนที่จะโดดลงมาในตลาดเต็มตัว เรียนรู้พื้นฐานกันหรือยัง

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/12-638/?/

การป้องกันความเสี่ยง

ก่อนที่จะลงลึกไปในรายละเอียดกว่านี้ เราบอกคุณได้อย่างไม่ปิดบังเรื่องที่ต้องคิดก่อนที่จะเทรด คือ:

1. นักเทรดทุกคน หมายถึง ทุกคนจริงๆ จะเสียเงินในการเทรด
90 เปอร์เซ็นของเทรดเดอร์ จะเสียเงิน เนื่องจากขาดการวางแผน การฝึก และไม่มีความรู้ ความเข้าใจ เรื่องการ จัดการ การเงิน ถ้าคุณไม่อยากเสียเงิน คุณจะต้องเผชิญกับความยากลำบากในการเทรด หรือการปรับตัว ในการ เทรด

2. การเทรดฟอร์เร็กซ์ ไม่เหมาะสำหรับคนที่ไม่ทำงาน ไม่เหมาะสำหรับคนที่มีรายได้น้อย และไม่สามารถ
ดูแลตัวเอง จ่ายค่าน้ำค่าไฟ ค่ากับข้าวให้ตัวเองได้
คุณ ควรจะมีเงินในการเทรด ในบัญชี mini เป็นอย่างน้อย นั่นหมายความว่าเป็นเงินที่คุณ สามารถเสียไปได้ ไม่ใช่ยืม คนอื่นมาเล่น อย่าคิดว่าจะสามารถเริ่มเทรดด้วยเงินเพียงไม่กี่ร้อยเหรียญแล้วจะกลายเป็น มหาเศรษฐี ในชั่วข้ามคืน

ตลาดฟอร์เร็กซ์เป็นตลาดที่ได้รับความนิยม มาก สำหรับนักเก็งกำไร เนื่องจากตลาดที่มีความคล่องตัวสูง ของการ เคลื่อนไหว ของทิศทางค่าเงิน เมื่อเกิดเทรนด์ขึ้น นักเทรดทั่วโลกส่วนใหญ่จะ เสียเงิน ขณะที่คนที่ประสบ ความ สำเร็จ กับฟอร์เร็กซ์ มีเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ของจำนวนเทรดเดอร์ ทั้งหมด

เทรดเดอร์ส่วน ใหญ่เข้ามาในตลาด พร้อมกับ ความหวังว่า พวกเขาจะทำเงินได้เป็นล้านเหรียญ แต่ว่าในความจริง พวกเขา ต้องมีวินัยในการเทรด ผู้คนส่วนมากจะขาดวินัยอยู่แล้วแม้กระทั่ง แค่พยายามจะลดน้ำหนัก ด้วยการ ไปที่ยิมสามครั้ง ต่อสัปดาห์ยังทำได้ยาก ถ้าแค่นั้นคุณยังทำ ไม่ได้คุณจะเทรดแล้วประสบความสำเร็จได้ยังไง การเล่นระยะสั้นนั้น ไม่เหมาะกับมือสมัครเล่น และมันเป็นหนทางที่เต็มไปด้วยขวากหนามในการ ทำให้ตัวเอง รวยขึ้น คุณไม่สามรถทำกำไร ได้มหาศาลโดยไม่เสี่ยงเลยได้หรอก กลยุทธ์การเทรดที่เสี่ยงสูง ย่อมหมายถึง โอกาสที่คุณ จะขาดทุนสูงเข้าไปด้วย เทรดเดอร์ที่ทำอย่างนั้น เรียกได้ว่าไม่มีแม้กระทั่งกลยุทธในการเทรด แม้ว่าคุณจะเรียกมันว่ากลยุทธการพนันก็ตาม


ฟอร์เร็กซ์ ไม่ใช่หนทางไปสู่ความร่ำรวยมั่งคั่ง !
- การเทรดฟอร์เร็กซ์เป็นทักษะ และต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ นักเทรดที่มีทักษะที่ดี สามารถทำเงินได้ จากการเทรด อย่างไรก็ตามก็เหมือนอาชีพอื่น ๆ ความสำเร็จไม่ได้มา เพียงชั่วข้ามคืน การเทรดฟอร์เร็กซ์ ไม่ใช่เรื่องกล้วย ๆ (เหมือนที่คนบางคนเชื่อ) ลองคิดดูว่า ถ้าทุกคนที่เทรดจะ ได้เป็นเศรษฐีกันหมด ทำไม ระดับมืออาชีพที่เทรดมาหลายปีก็ยังต้องขาดทุนอยู่บ้าง

- ท่องไว้ในหัวของคุณเสมอ : ไม่มีทางลัดในการเทรดฟอร์เร็กซ์ มันใช้เวลานาน และนาน และนาน ยิ่งกว่า อย่างอื่น ในการที่เราจะกลายเป็นมืออาชีพ ไม่มีตัวสำรองให้เปลี่ยน เมื่อเรารู้สึกเหนื่อย และคิดว่างานนั้นยาก ในการฝึกเทรดเดโม และการเล่นเงินปลอม แล้วคิดว่าเป็นเงินจริง

อย่าพึ่งเปิดบัญชีเงินจริง จนกว่าคุณจะเทรดแล้วได้กำไรในบัญชีเดโม

ถ้า คุณไม่สามารถรอให้คุณทำกำไรในบัญชีเดโมได้ อย่างน้อยคุณก็ต้องลองเทรดเดโมซักสองเดือน อย่างน้อย คุณก็จะไม่เสียเงินจริง ไปอย่างน้อยสองเดือน ถ้าแค่สอง เดือนคุณยังเทรดเดโมไม่ได้กกำไร ก็เลิกเล่นซะ

- จำไว้ว่า เล่นคู่หลัก ๆ ซักคู่หนึ่ง มันยากที่จะเทรดด้วยการเทรดหลายค่าเงิน เมื่อตอนที่คุณกำลังหัดเล่น เล่นแค่คู่หลัก ๆ คู่เดียวพอ เพราะค่า spread ก็จะถูกด้วย



คุณอาจจะเป็นผู้ชนะในการเทรดฟอร์เร็กซ์
แต่ว่า.. ในชีวิตของคุณ คุณต้องศึกษามันอย่างหนัก
ทำการบ้าน ทุ่มเท และต้องใช้โชคช่วยนิดหน่อย
ต้องใช้สามัญสำนึก และ การตัดสินใจที่ดี เป็นอย่างมาก
 
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/t637/?/

margin call คืออะไร?

 ในเหตุการณ์ที่เงินในบัญชีของคุณลดลง จนเหลือน้อยกว่า มาร์จิ้นขั้นต่ำ (มาร์จิ้นที่คุณต้องใช้ในการถือ position) โบรคเกอร์จะทยอยปิด ออร์เดอร์ที่คุณเปิดอยู่ เพื่อป้องกันไม่ให้บัญชีคุณขาดทุนจนติดลบ โดยเฉพาะ เวลาที่ตลาด มีความผันผวนสูง คือราคามีการเคลื่อนไหวกว้าง

ตัวอย่างที่ 1
คุณ เปิดบัญชีฟอร์เร็กซ์ ด้วยเงิน 2,000 เหรียญ(ไม่ใช่ความคิดที่ดี) คุณเปิดบัญชี 1 สแตนดาร์ด ลอท( 100,000 unit) ของค่าเงิน EUR/USD ซึ่งต้องใช้มาร์จิ้น 1,000 เหรียญ มาร์จิ้นที่เหลืออยู่ คุณสามารถเปิดออร์เดอร์เพิ่ม หรือ สามารถ รองรับการขาดทุนของออร์เดอร์ที่เปิดอยู่ ตั้งแต่แรกที่เปิดบัญชี 2,000 เหรียญ คุณมีมาร์จิ้น ที่สามารถ ใช้เทรดได้ 2,000 เหรียญ แต่เมื่อเทรด 1 สแตนดาร์ดลอท ซึ่งจะใช้มาร์จิ้น 1,000 เหรียญ และมาร์จิ้นที่จะเหลืออยู่ คือ 1,000 ถ้าคุณเสียมากกว่ามาร์จิ้นที่เหลืออยู่ คือ 1,000 เหรียญ คุณจะโดน margin call

ตัวอย่างที่ 2
คุณเปิดบัญชี ด้วยเงิน 10,000 เหรียญ แล้วเปิดบัญชี 1 สแตนดาร์ดลอท ของค่าเงิน EUR/USD จะต้องใช้ margin 1,000 เหรียญ มาร์จิ้นที่เหลือเป็นเงินที่สามารถใช้ในการเปิดออร์เดอร์ หรือ เอาไว้รองรับการขาดทุนจากออร์เดอร์ ที่เปิดอยู่ ดังนั้ถ้าเปิดที่ 1 standard lot ด้วยมาร์จิ้น 10,000 เหรียญ หลังจากเปิดออร์เดอร์ จะมีมาร์จิ้นเหลืออยู่ 9,000 เหรียญ เพราะ 1,000 เป็นมาร์จิ้นที่ถูกใช้ไปแล้ว ถ้าคุณเสียมากกว่ามาร์จิ้นที่เหลือ 9,000 เหรียญ คุณก็จะถูก margin call ต้องทำความเข้าใจกับความแตกต่างของ

มาร์จิ้นที่ถูกใช้ไป (used margin) กับ มาร์จิ้นที่เหลืออยู่ (usable margin) คืออะไร
ถ้า มูลค่ารวมของบัญชีคุณ มีน้อยกว่า มาร์จิ้นที่เหลือ เนื่องมาจากผลขาดทุนของการเทรด คุณจะต้องฝากเงินเพิ่ม หรือ ไม่เช่นนั้นโบรคเกอร์จะปิดออร์เดอร์ของคุณ เพื่อจำกัดความเสี่ยงของคุณ และความเสี่ยงของโบรคเกอร์เอง เพื่อไม่ให้ คุณเสียมากกว่าที่คุณเทรด

ถ้า เทรดโดยใช้บัญชีแบบมาร์จิ้น (ยืมเงินโบรคเกอร์เล่น แบบตลาดหุ้น) มันสำคัญมากที่จะต้องเข้าใจนโยบาย เกี่ยวกับ บัญชีมาร์จิ้นให้ละเอียด

ควร จะรู้ว่าโบรคเกอร์ส่วนใหญ่ จะเรียกมาร์จิ้นเพิ่มขึ้นในช่วงปลายสัปดาห์ ครั้งแรกพวกเขาอาจจะให้ใช้มาร์จิ้นที่ 1 % ช่วงกลางสัปดาห์ ถ้าคุณถือ position ข้ามสัปดาห์ อาจจะต้องใช้มาร์จิ้นเพิ่มขึ้นจาก 1 % เป็น 2% หรืออาจจะ สูงกว่านั้น

เรื่องของมาร์จิ้น เป็นเรื่องที่น่ารำคาญใจ และบางคนบอกว่า การใช้มาร์จิ้นเยอะเกินไปเป็นเรื่องอันตราย ขึ้นอยู่กับ ความเข้าใจของแต่ละบุคคล แต่สิ่งสำคัญที่ควรรู้คือ คุณควรจะเข้าใจเงื่อนไข หรือนโยบายเกี่ยวกับมาร์จิ้น ของ โบรคเกอร์ จะได้เข้าใจถึงความเสี่ยงที่มีอยู่ด้วยนั่นเอง

บางโบรคเกอร์ได้อธิบายเกี่ยวกับการใช้ leverage ในรูปแบบของเปอร์เซ็นต์มาร์จิ้น โดยใช้หลักการธรรมดา ๆ ระหว่าง 2 แบบ คือ

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/margin-call/?/

leverage คืออะไร?

คุณอาจจะเคยคิดว่า นักลงทุนเล็ก ๆ อย่างคุณ จะสามารถเทรดค่าเงินมากมายขนาดนั้นได้อย่างไร ลองคิดเปรียบว่า โบรคเกอร์ ก็คือธนาคาร ซึ่งเขาอยากให้คุณซื้อค่าเงินมูลค่า 100,000 เหรียญ โดยที่เขาต้องการเงินจากคุณเพียง แค่ 1,000 เหรียญ เพื่อค้ำประกัน ฟังดูง่ายเกินไปในโลกของความจริงใช่ไหม? แต่ว่า นี่แหละคือฟอร์เร็กซ์ และ นี่ก็คือ Leverage ที่เราใช้

จำนวน leverage ที่คุณใช้ ขึ้นอยู่กับโบรคเกอร์ และขึ้นอยู่กับตัวคุณว่า ต้องการใช้เท่าไหร่

โบ รคเกอร์จะให้คุณฝากเงินเข้า ที่เราเรียกกันว่า margin หรือ initial margin เมื่อฝากเงินเข้าบัญชี คุณจะสามารถ เทรดได้ทันที และโบรกเกอร์ก็จะบอกว่า คุณต้องใช้เงินเท่าไหร่ ในการเทรดจำนวน ลอทนั้น ๆ

เช่น ถ้า leverage ที่เราใช้เท่ากับ 100:1 (หรือ 1 เปอร์เซ็นต์ ของ position ต้องใช้) และคุณต้องการเทรดมูลค่า 100,000 เหรียญ โบรคเกอร์จะเรียกมาร์จิ้น 1,000 เหรียญ ดังนั้นถ้ามีเงิน 5,000 เหรียญ จะเทรดได้มากสุดถึง 500,000 เหรียญ

มาร์ จิ้นอย่างต่ำต่อลอท จะแตกต่างกันออกไป ตามแต่ละโบรคเกอร์ จากตัวอย่างข้างบน โบรกเกอร์จะต้องใช้ มาร์จิ้น 1% ซึ่งหมายความว่า ออร์เดอร์มูลค่า 100,000 ซึ่งคุณจะต้องฝากเงินเข้าไป 1,000 เหรียญ เพื่อที่จะฝาก เป็นมาร์จิ้น นั่นเอง

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/leverage-631/?/

lot คือ อะไร?

 ฟอร์เร็กซ์ จะเทรดเป็น lot ขนาดมาตรฐานของ 1 ลอท คือ 100,000 ยูนิท ซึ่งก็มีบัญชีแบบ มินิลอท เหมือนกัน ซึ่งมีมูลค่าเท่ากับ 10,000 ยูนิท และอย่างที่บอกว่า ค่าเงินนั้นคิดเป็น pip เป็นหน่วยที่เล็กที่สุดของค่าเงินนั้น ๆ ในการที่จะทำให้เราได้ประโยชน์จากจุดเล็ก ๆ จุดนี้ คือเราต้องเทรดจำนวนมาก จึงจะเห็น กำไร-ขาดทุน ชัดเจน

เช่น เราใช้ 100,000 ยูนิท (เท่ากับ 1 สแตนดาร์ดลอท) ลองยกมาคำนวณ เพื่อให้เห็นว่ามันส่งผลยังไง

USD/JPY ที่อัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับ 119.80
(.01/119.80)x100,000 = 8.34 เหรียญต่อจุด
USD/CHF ที่อัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับ1.4555
(.0001/1.4555)x100,000 = 6.87 เหรียญ ต่อจุด

ถ้าในกรณีที่เงินดอลล่าร์อยู่ข้างหลัง การคำนวณก็จะแตกต่างกันเล็กน้อย

EUR/USD ที่อัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับ 1.1930
(.0001/1.1930)x100,000 = 8.38x1.1930 = 9.99734 ถ้าปัดเศษได้ก็จะเท่ากับ 10 เหรียญต่อจุด

GBP/USD ที่อัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับ 1.8040 (.0001 / 1.8040) x 100,000 = 5.54 x 1.8040 = 9.99416 ถ้าปัดเศษก็จะได้เท่ากับ 10 ต่อจุด.

โบ รคเกอร์ของคุณ อาจจะมีวิธีการคิดมูลค่าของ pip ที่แตกต่างกันออกไป แต่ไม่ว่าจะเป็นวิธีการไหน พวกเขา สามารถ บอกได้ว่า ค่าเงินที่คุณกำลังเทรดมูลค่าต่อหนึ่งจุดนั้น เป็นเท่าไหร่ในช่วงที่คุณกำลังเทรด ซึ่งถ้าตลาด มีการเคลื่อนไหว มูลค่าต่อจุดจะขึ้นอยู่กับ ค่าเงินที่คุณกำลังเทรดอยู่


แล้วเราจะคำนวณกำไรขาดทุนได้อย่างไร
ตอนนี้ คุณรู้ว่าจะคำนวณมูลค่าต่อจุดอย่างไร ลองมาดูต่อว่า เราจะคำนวณกำไร-ขาดทุนได้อย่างไร
เช่น เราซื้อดอลล่าร์สหรัฐ และขายสวิสฯฟรังค์ (usd/chf)
สมมุติว่า อัตราแลกเปลี่ยนตอนนี้อยู่ที่ 1.4525/1.4530 (bid/Offer) เพราะว่าคุณกำลังซื้อเงินดอลล่าร์คุณจะได้ราคาที่ 1.4530
ถ้า ซื้อที่ 1 สแตนดาร์ด ลอท (100,000 ยูนิท) ที่ราคา 1.4530. ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ราคาเคลื่อนไหวขึ้นไปที่ 1.4550 และคุณตัดสินใจที่จะปิดออร์เดอร์
อัตราแลกเปลี่ยนตอนนี้จะเท่ากับ 1.4550/1.4555 หลังจากที่ปิดออร์เดอร์ เรากลับไปดูตั้งแต่ที่ ซื้อจนปล่อยขาย เพื่อปิดออร์เดอร์ คุณจะได้ราคาที่ 1.4550 ซึ่งเป็นราคาที่เราปิดได้

ความแตกต่างของ 1.4530 กับ 1.4550 คือ .0020 หรือเท่ากับ 20 pip

เราใช้สูตรก่อนหน้านี้ เราก็จะได้ (.0001/1.4550) x 100,000 1= 6.87 ต่อจุด x ด้วย 20 จุด ซึ่งจะได้กำไรทั้งหมด 137.40 เหรียญ
จำไว้ว่า เมื่อคุณเข้าหรือออก จากการเทรด คุณจะต้องจ่ายค่า spread เหล่านั้นด้วย ซึ่งก็คือส่วนต่างระหว่าง Bid/Offer ดังกล่าว

เมื่อ Buy ค่าเงินค่าเงินหนึ่ง คุณจะต้องเสนอ(offer)ราคา และเมื่อ Sell คุณก็ต้องตั้ง(Bid)ราคา
** ดังนั้นเมื่อ Buy ค่าเงิน คุณจะต้องจ่าย spread เมื่อเข้าเทรด แต่ไม่ต้องจ่ายเมื่อปิดออร์เดอร์
** และเมื่อ Sell ค่าเงิน คุณไม่ต้องจ่าย spread ตอนเข้าเทรด แต่คุณจะต้องจ่ายเมื่อคุณปิดออร์เดอร์

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/lot-630/?/

แผนการลงทุนภายใน 1 ปี

แผนการลงทุนภายใน 1 ปี


จากตาราง เป็นแผนการทำกำไรภายในระยะเวลา 1 ปี แถวที่สองเป็นจำนวนจุดต่อเดือน
แถวที่สามคือ จำนวนจุดต่อวันและแถวที่สี่เป็นเปอร์เซนต์ของเงินลงทุนของเรา
ซึ่งถ้า % เงินลงทุนน้อย จำนวนจุดต่อวันก็จะมาก แต่ถ้า % ของเงินลงทุนเยอะ
จำนวนจุด ที่ต้องการต่อวันก็จะน้อยลง ซึ่งก็มีความเสี่ยงมากกว่าด้วยยกตัวอย่างนะครับ
เราจะเล่นที่ 5 % ของทุน คือ 0.25 เหรียญคงที่ตลอดระยะเวลา 1เดือนเราต้อง
ทำกำไรวันละ 100 จุด (pips) และต้องทำให้ได้ 2000 จุด ภายใน 1 เดือน
และทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ เมื่อครบกำหนด 1 ปี เราก็จะมีเงิน 20480 เหรียญ
แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากโดยที่เราจะต้องสามารถควบคุมอารมณ์และความโลภของเราให้ได้
และศึกษาการใช้เครื่องมือต่างๆ ในการเข้าเทรด เพียงแค่นี้เราก็สามารถทำเงินก้อนใหญ่ได้จากฟอเร็กซ์แล้ว

ข้อคิดเตือนใจนักลงทุน
                    "ความผิดพลาดส่วนใหญ่ เกิดจาก อารมณ์ ของเราทั้งนั้น"

             "เมื่อมองตลาดยังไม่ชัดเจน ก็ควรลดน้ำหนักการลงทุนลง"

     "เตรียมพร้อม วางแผนให้ดี รอบคอบ ระมัดะวัง อย่าคาดหวังมากเกินไป จนเกิดความเสี่ยง''
          1. เลือกความเรียบง่ายมากกว่าความซับซ้อน

          2. ฝึกความอดทน  (รอจังหวะที่ดี อย่ารีบ)

          3. มีสติและควบคุมอารมณ์ได้

          4. คิดอย่างอิสระ

          5. ไม่สนใจ ไม่วอกแวกจากภาพรวมภายนอก

          6. ไม่ลงทุนด้วยสัญชาตญาณ (คิดเอง เดาเองหรือเสี่ยงเล่นดู )

          7. ฝึกการอยู่นิ่งๆ ไม่ซื้อขายมากเกินไป

          8. เป็นนักฉวยโอกาสเมื่อตลาดมีสภาวะสดใส ชัดเจน

          9. อย่าตีบอลทุกลูกที่ขว้างมา (อย่าเข้าๆออกๆบ่อยเกินไป)

         10. จงอยู่ในขอบเขตความรู้ของคุณ (มีความรู้แบบไหนก็ใช้วิธีเล่นแบบที่คุณรู้ )

         11. จงตื่นกลัวเมื่อคนอื่นกำลังโลภและจงโลภเมื่อคนอื่นกำลังตื่นกลัว

         12. อ่านและอ่านให้มากแล้วคิดให้ดี

         13. อย่าทำพลาดแล้วเรียนรู้จากความผิดความของผู้อื่น

         14. ก้าวสู้การเป็นนักลงทุนผู้รอบรู้และ ฝึกที่จะพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง


 ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/1-628/?/

เล่นหุ้นไทยผ่านโบรกเกอร์ EXNESS

 วิธีเลือกเล่นหุ้นไทยผ่านโบรกเกอร์EXNESS


1.ใน ช่องMarket Watchหุ้นไทยจะลงท้ายด้วยคำว่า SET เช่น #PTT-SET #DTAC-SET #KBANK-SET #KTB-SET #BANPU-SET จากภาพด้านล่าง คลิ๊กขวาเพื่อเรียกดูกราฟ#DTAC-SET


2.หากในช่องMarket Watchของท่านไม่ปรากฎหุ้นใดๆให้ท่านเลือกคลิ๊กขวาจากนั้นเลือกSymbols


3.เลือกSET จากนั้นคลิ๊กคำว่า Show

4.หุ้นไทยจะปรากฎในช่องMarket Watch คลิ๊กขวาบริเวณหุ้นที่ต้องการเทรด เลือกNew Orderเพื่อส่งคำสั่งซื้อหุ้นดังกล่าว


5.หุ้นไทยที่ท่านสามารถเทรดผ่านโบรกเกอร์EXNESSได้มีดังนี้


หุ้นไทยสามารถเข้าเทรดได้เฉพาะเวลาที่ตลาดหลักทรัพย์ในประเทศไทยเปิดทำการเท่านั้น

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/exness-627/?/

ความแตกต่างระหว่าง forex กับ Futures

ความแตกต่างระหว่าง forex กับ Futures

      ความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่าง ฟอร์เร็กซ์ กับ Futures
                      ความได้เปรียบ                Forex        Futures
                 เทรดได้ตลอด 24 ชั่วโมง        YES           NO
                 ไม่มีค่าคอมมิชชั่นในการเทรด*   YES           NO
                 มี leverage สูงถึง 1:400       YES           NO
                 มีราคาที่แน่นอน                    YES           NO
                 ความเสี่ยงมีจำกัด                  YES           NO

สภาพคล่อง
ตลาด ฟอร์เร็กซ์ มีปริมาณการซื้อขาย 2 ล้าน ๆ เหรียญต่อวัน เป็นตลาดที่มีสภาพคล่องสูงที่สุดในโลก ซึ่งถ้าเราเทียบ กันกับตลาดอื่นแล้ว ทำให้ปริมาณหรือขนาดของตลาดทุนอื่น ๆ ดูเล็กลงไปทันที ตลาดฟิวเจอร์เทรดอยู่ราว ๆ 30,000 ล้านเหรียญต่อวัน ตลาดฟิวเจอร์ไม่สามารถแข่งกับตลาดฟอร์เร็กซ์ เพราะมีปริมาณการเทรดที่จำกัด หมายความว่า ฟอร์เร็กซ์ ออร์เดอร์สามารถส่งคำสั่งใด ๆ ก็ตามได้ตลอดเวลา โดยปราศจากการคลาดเคลื่อนของราคา นอกจาก ในช่วงที่ตลาด มีความผันผวนสูงหรืออยู่ในภาวะที่ไมปกติเท่านั้น

เทรดได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ณ.เวลาบ่าย 2:15 วันอาทิตย์ (ตามเวลาสากล และท้องถิ่น)
ตลาดเริ่มเทรดที่ ซิดนีย์ และสิงคโปร์
เวลา หนึ่งทุ่มตรง ตลาดโตเกียว เปิดทำการ
ตามตลาดลอนดอนเวลาตีสอง
และ สุดท้ายตลาดนิวยอร์คเปิดเวลา 8 โมงเช้า
และ ปิดที่เวลา 5 โมงเย็น
ดัง นั้นก่อนที่ตลาดนิวยอร์คจะปิด ตลาดสิงคโปร์ และตลาดซิดนีย์ ก็กลับมาเปิดอีกครั้งแล้ว และก็วนอย่างนี้ ไม่รู้จัก จบสิ้น จนสุดสัปดาห์
ใน ฐานะเทรดเดอร์คนหนึ่ง ทำให้ต้องสนใจกับ ข่าวดีหรือข่าวร้าย ที่เกิดขึ้นด้วยการเทรด ถ้าเหากว่ามีข้อมูลที่สำคัญ ออกมา จากอังกฤษ หรือว่า ญี่ปุ่น ขณะที่ตลาดสหรัฐฯ กำลังจะปิด นั่นหมายความ ถ้ามันเปิดตลาดมาวันต่อไป ราคาต่อวิ่งกระฉูดแน่นอน
(ตอนกลางคืน แม้อาจจะมีการเทรดฟิวเจอร์ค่าเงินอยู่บ้าง แต่ว่าปริมาณการเทรดก็เบาบาง ไม่มากนัก และยากเกินไป สำหรับนักลงทุนทั่วไปที่จะเข้าเทรด)

ไม่มีค่าคอมมิชชั่นในการเทรด
อะไร สำคัญที่สุดในการเทรดค่าเงิน คุณไม่ต้องจ่ายค่าคอมมิชชั่น เพราะคุณติดต่อโดยตรงกับ market maker ทางโปรแกรมออนไลน์ คุณไม่ได้จ่ายค่าธรรมเนียมให้คนกลางไม่ว่าจะเป็นการซื้อ หรือขาย แต่ว่าก็ยังมี ค่าใช้จ่าย นิดหน่อย คือค่า Spread ในการเทรดฟิวเจอร์ หรือการเทรดหุ้น หรือ Equity ก็มีเหมือนกัน โบรคเกอร์ จะได้ผล ตอบแทนจากค่า spread แทนที่จะเป็นค่าคอมมิชชั่น

มีราคาที่แน่นอน
เมื่อ เทรดฟอร์เร็กซ์ คำสั่งซื้อขายของคุณจะได้รับการส่งคำสั่งอย่างรวดเร็ว และได้ราคาที่คุณคิดไว้ ภายใต้ภาวะ ตลาดปกติ แต่ในทางกลับกัน ราคาของฟิวเจอร์ หรือ equity คุณอาจจะไม่ได้ราคาที่คุณอยากซื้อ หรือสามารถส่งคำสั่ง แล้วได้ออร์เดอร์นั้นทันทีทันใด แม้ว่าคุณจะใช้อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงขนาดไหน หรือ โบรคเกอร์ของคุณสามารถ ส่งคำสั่งได้เร็วขนาดไหน ราคาที่คุณต้องตั้งไว้นั้น อยู่ไกลจากราคาปัจจุบัน เพราะเมื่อคุณส่งราคานั้นออกไป มันเป็น ราคาสุดท้ายที่มีการเทรด แต่ไม่ใช่ราคาที่ตัวสัญญาระบุราคาไว้ (เพราะว่าฟิวเจอร์เป็นการซื้อขายราคาในอนาคต)

ความเสี่ยงมีจำกัด
นัก เทรดจะมี Position Limit วัตถุประสงค์เพื่อจัดการความเสี่ยง ตัวเลขนี้เกี่ยวกับจำนวนเงินในบัญชีเทรดของ เทรดเดอร์ ความเสี่ยงถูกจำกัดให้เหลือน้อยลงในตลาดฟอร์เร็กซ์ เพราะโปรแกรมที่นักเทรดใช้อยู่ จะเรียก มาร์จิ้น เพิ่มอัติโนมัติ (margin call) เมื่อเทรดเดอร์ไม่มีมาร์จิ้นเหลืออีก ออร์เดอร์ที่เปิดอยู่จะถูกปิดทันทีตามขนาด ของ Position ที่เปิดอยู่ ในตลาดฟิวเจอร์ Position ของคุณจะต้องใส่เงินเพิ่มเข้าไปตลอด ถ้ามันขาดทุน หรือว่า มีมูลค่า ต่ำกว่ามาร์จิ้นที่โบรคเกอร์กำหนด คุณต้องใส่เงินจำนวนที่เท่ากับจำนวนที่ขาดทุน เข้าไปในบัญชี มันเป็นเรื่องบ้ามาก

เหตุผลที่นอกเหนือจากข้อดังกล่าว

ไม่มีคนกลาง
คน กลางในการแลกเปลี่ยน สามารถทำให้เราได้เปรียบหลาย ๆ อย่าง แต่ปัญหาอย่างหนึ่งของการเทรด โดยการผ่าน คนกลางคือ ความสัมพันธ์ของคนกลาง ซึ่งระหว่างกลุ่มเทรดเดอร ์และด้านผู้ซื้อ ด้านผู้ขาย ในตลาดการทุน ทุกเครื่องมือทางการเงิน ต้องมีค่าใช้จ่าย ที่เราต้องจ่ายให้คนกลาง ซึ่งอาจจะคิดเป็นเวลา หรือเป็นค่าธรรมเนียมตายตัว ก็แล้วแต่ แต่การเทรดค่าเงินนั้น ไม่ต้องผ่านคนกลาง และเทรดเดอร์ยังสามารถเทรดได้กับตลาดโดยตรงซึ่ง market maker เป็นผู้รับผิดชอบต่อออร์เดอร์ ที่เทรดเดอร์เป็นผู้ส่งราคานั้น ๆ ดังนั้น ฟอร์เร็กซ์ ซื้อขายได้ทันท่วงทีมากกว่า และยังมีต้นทุน ที่ถูกกว่าอีกด้วย

ไม่มีใครสามารถควบคุมตลาดได้
หลาย ๆ ครั้งที่อาจจะได้ยินว่า กองทุน A กำลังเทขาย X หรือ กำลัง ซื้อ Z มีข่าวลือว่ากองทุนกำลังจะ เทขาย ทำกำไร เพราะว่าถึงเวลาใกล้ปิดบัญชีแล้ว หรือว่าจะเป็นวัน "triple witching day"(เป็นวันที่ สัญญาออพชั่น หรือ ฟิวเจอร์ หมดพร้อมกันทั้ง index และก็ตัวหุ้นเอง) , และเหตุผลต่าง ๆ นานา ที่ออกมาอธิบายว่าทำไม หุ้นถึงขึ้น หรือทำไม ตลาดอยู่ภาวะตลาดหมี หรือ ตลาดกระทิง ตลาดหุ้นเป็นตลาดที่เคลื่อนไหว ไปตามกองทุนไม่ว่าจะ ซื้อหรือขาย ในการเทรดฟอร์เร็กซ์ การเข้ามาควบคุมตลาดได้ของธนาคารขนาดใหญ่หรือกองทุนใหญ่ ๆ มีน้อยมาก ธนาคาร เฮดจ์ฟันด์ รัฐบาล หรือแม้แต่บริษัทรับแลกเงินต่าง ๆ ทั้งหมด เป็นแค่ผู้เทรดในตลาดทั่วโลก ซึ่งทำให้มันมีสภาพคล่อง หรือมูลค่ามหาศาลนั่นเอง

นักวิเคราะห์ กับ บริษัทโบรคเกอร์ มีบทบาทน้อย ในการชักนำตลาด
คุณ เคยได้ยินเรื่องหุ้น หรือไม่ว่า บทวิเคราะห์ที่โบรคเกอร์ออกมาให้คำแนะนำ เช่น ซื้อ เมื่อหุ้นราคากำลังปรับฐาน มันเป็นธรรมชาติของการลงทุนแบบนี้ ไม่ว่ารัฐบาลจะออกมาเตือน และไม่สนับสนุน การกระทำของโบรคเกอร์ แต่ว่าเราก็ยังได้เห็นมันอยู่ การเปิดขายหุ้น IPO ให้กับประชาชนทั่วไป เป็นโอกาสในการได้เป็นมหาชนของบริษัท และยังเป็นโอกาส ในการทำ กำไรของโบรคเกอร์อีกด้วย ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างมีผลประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งนักวิเคราะห์ ก็ทำงานให้โบรคเกอร์ อยู่แล้ว และโบรคเกอร์ก็ต้องการลูกค้า ก็เป็นธรรมดา ที่พวกเขาจะได้ผลประโยชน์ร่วมกัน และเราก็ยังตกเป็นเหยื่ออยู่เรื่อยไป ตลาดแลกเปลี่ยนค่าเงินฟอร์เร็กซ์เป็นตลาดใหญ่ มีปริมาณการเทรดเป็นพัน ๆ ล้านจากธนาคารทั่วทุกมุมถนนทั่วโลก และเพราะ มันเป็นตลาดการเงินของโลก นักวิเคราะห์ในตลาดฟอร์เร็กซ์ ไม่สามารถเป็นผู้ชี้นำทิศทางตลาด ให้กับ เทรดเดอร์ได้ พวกเขาเพียงทำได้แค่ ่วิเคราะห์ตามภาวะตลาดเท่านั้นเอง

หุ้น 8,000 ตัว กับ 4 ค่าเงิน
มี หุ้นอยู่ในตลาดหุ้น New York Stock exchange.ประมาณ 4,500 ตัวและ อีกราว ๆ 3500 ตัวในตลาด NASDAQ. คุณเทรดตลาดไหนอยู่ คุณจะมีเวลาที่ไหนไปหาบริษัทที่มีผลประกอบการจากบริษัททั้งหมด แปดพันกว่าบริษัท แต่ ในตลาดค่าเงิน เรามีค่าเงินเพียงไม่กี่คู่ และ่ส่วนใหญ่ที่เทรดกัน มีแค่ 4 ค่าเงิน การดู 4 ค่าเงินง่ายกว่า การดูหุ้น 8 พันตัว คุณคงคิดเองได้


เพิ่มเติม
- ความแตกต่าง ระหว่าง คนรวย กับ คนจน


ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/forex-futures/?/

ความแตกต่างระหว่าง forex กับ หุ้น

ความแตกต่างระหว่าง forex กับ หุ้น

   ความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่าง ฟอร์เร็กซ์ กับ หุ้น
       ความได้เปรียบ                  Forex       หุ้น
       เทรดได้ตลอด 24 ชั่วโมง      YES       NO
       ฟรีค่าธรรมเนียมในการเทรด    YES       NO
       สามารถส่งคำสั่งเทรดได้ทันที  YES       NO
       สามารถเล่น Short Sell ได้   YES       NO


เทรดได้ 24 ชั่วโมง
ตลาด ฟอร์เร็กซ์ เป็นตลาดที่ไม่มีจุดสิ้นสุด เพราะ เปิดตลอด 24 ชั่วโมง โบรคเกอร์ส่วนมาก เปิดตั้งแต่วันอาทิตย์ เวลา บ่ายสอง จนถึง บ่ายสี่โมงวันศุกร์ (เวลาสหรัฐฯ) แต่ฝ่ายบริการลูกค้าเปิดตลอด 24 ชั่วโมงตลอด 7 วัน ทำให้เรา สามารถเทรดสามตลาดคือ ตลาดสหรัฐฯ ตลาดเอเชีย และตลาดยุโรป สามารถกำหนดตารางการเทรดได้

ฟรีค่าธรรมเนียมในการเทรด
ฟอร์เร็กซ์ โบรคเกอร์ ส่วนใหญ่ไม่มีการชาร์จค่าคอมมิชชั่น หรือ ค่าดำเนินการใด ๆ ในการเทรดค่าเงินออนไลน์ หรือ ทางโทรศัพท์ ถ้ารวมค่าใช้จ่ายต่าง ๆ และค่า spread แล้ว การเทรดฟอร์เร็กซ์ มีต้นทุนในการเทรด ต่ำกว่าตลาดใด ๆ ในโลก โบรคเกอร์ได้รับรายได้จากส่วนต่างของ Bid/Ask ซึ่งก็คือ ค่า Spread นั่นเอง

สามารถส่งคำสั่งเทรดได้ทันที Instantaneous Execution of Market Orders
เมื่อ ส่งคำสั่ง สามารถทำได้ทันทีภายใต้ภาวะตลาดปกติ และได้ราคาที่คุณคิด ดังนั้น เมื่อคลิ๊กที่ราคาไหน ก็จะได้ ราคานั้น เพราะตลาดฟอร์เร็กซ์เป็นระบบเรียลไทม์ จะได้ราคาที่อยากได้ที่แสดงในหน้าจอโปรแกรมเทรด จะเห็นได้ว่า โบรคเกอร์ส่วนใหญ่จะรับประกันเพียงแค่ ออร์เดอร์ Stop , Limit หรือ ออร์เดอร์ที่คุณเข้าเทรดภายใน ภาวะตลาดปกติ เท่านั้น แต่ว่าถ้าเกิดในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนมาก ออร์เดอร์อาจจะมีการล่าช้าบ้าง ทำให้ไม่ได้ราคาที่ตามคิด

สามารถเล่น Short-Selling ได้
ตลาด ฟอร์เร็กซ์ ไม่เหมือนตลาดทุนอื่นๆ ไม่มีกฏเงื่อนไข ใด ๆ ในการส่งคำสั่ง Short selling โอกาสในการเทรด ขึ้นอยู่กับ ภาวะตลาดไม่ว่าเทรดเดอร์จะ Buy หรือ Sell หรือว่าตลาดจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางไหน เพราะเมื่อมี การซื้อ ค่าเงินหนึ่ง ก็ต้องมีการขายอีกค่าเงินหนึ่ง จึงไม่มีผลกระทบอะไรกับตลาด ดังนั้น จึงสามารถส่งคำสั่งได้ตลอด ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่ตลาดกำลังเป็น ขาขึ้น หรือ ขาลง

 ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/forex-622/?/

การวิเคราะห์ข่าว

การมองภาพกว้าง ภาพรวมของตลาดก่อนเทรด เพื่อวิเคราะห์ ทิศทางตลาด รวมไปถึงการกำหนดกลยุทธ์การเทรด กรณีที่เกิด event ต่างๆ  ระดับความสำคัญของตัวเลขเหล่านี้ จะนิยมเล่นเก็งกำไร ก่อนตัวเลขจะประกาศ บางสายเรียกว่า Event Trade ครับ มันจะสอดคล้องกับ เทรนด์ราคา ของค่าเงิน หรือดัชนีต่างประเทศ บ่งบอกคุณภาพของแนวโน้ม และการอยู่ตัวของแนวโน้ม ได้อีกด้วย

โดยผมขอแบ่งออกเป็นหัวข้อหลักๆดังต่อไปนี้

การแถลงตัวเลขเศรษฐกิจ
-PMI (กำลังการผลิตภาคอุตสาหกรรม, การขยายตัวของเศรษฐกิจ)
- GDP
- Non farm Payrolls  (เกี่ยวกับอัตราว่างงาน)
- Unemployment Rate (เกี่ยวกับอัตราว่างงาน)
- Retail sales Indicator(อสังหาริมทรัพย์)
- Housing stats(อสังหาริมทรัพย์)
- CPI ( Consumer Price index )
- อัตราเงินเฟ้อ

โดยตัวเลขต่างดูได้จาก www.investing.com


ปฏิทินเศรษฐกิจ
Event ต่างๆเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจในรอบสัปดาห์ พวกการประชุมของผู้นำชาติ ผู้นำธนาคารกลาง
www. forexfactory.com


ข่าว
-Reuters, The Wall Street Journal, Bloomberg, MarketWatch.com


Market Sentimental
อารมณ์ตลาด โลภ กลัว หมี กระทิง ดูกราฟ timeframe Day แล้วเทียบกับแนวโน้มใหญ่ EMA20 วัน , ดูกราฟ VIX
http://www.bloomberg.com/quote/VIX:IND

Fundflow
ปกติดูการไหลของเงินจากตลาดหนึ่งไปตลาดหนึ่ง เช่น ทองคำ ไปค่าเงินดอลลาร์ หรือไป ตลาดหุ้น เป็นตัว

ตัวอย่าง จากภาพ แสดง ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลก รอบสัปดาห์ หรือรอบวัน ก็สามารถกำหนดได้ พบว่าเงินไหล ไปภูมิภาคไหน ตลาดประเทศไหนมีการเปลี่ยนแปลง หรือมีการแกว่งของกระแสเงินมากน้อย


อีก ภาพ เป็นการเปลี่ยนแปลงของค่าเงิน เราเลือกสกุลได้ ในภาพผมวิเคราะห์ USD เป็นหลัก จากภาพ จะเห็นรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา Thai bath แข็ง +0.12 ขณะที่ EUR -2.02 % การมองภาพใหญ่ออก จะทำให้เราวางกลยุทธ์การเล่นได้ชัดมากขึ้นครับ

 
 
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/t618/?/

วิธีสมัครเปิดบัญชี

แนะนำโบรกเกอร์ forex ที่ดีที่สุดและมีประสิทธิภาพให้แก่ผู้ที่เริ่มต้นใหม่

EXNESS เป็นโบรกเกอร์ที่สามารถฝากและถอนได้ สะดวกและง่ายดาย ยังสามารถ ตั้ง Leverage ได้มากถึง 1:1000 นอกจากเทรด ฟอเร็กซ์ แล้วยังเทรด Set Index เช่นหุ้นไทย หุ้นอเมริกา หุ้นฮ่องกง หุ้นญี่ปุ่น หุ้นอังกฤษ รวมถึง ตลาด Future เช่นทองคำ, น้ำมันดิบได้อย่างดี โดยมีหลาย Platform ให้เลือกและที่ง่ายและสะดวกที่สุดคือ MT4,  MT5 เป็นโปรแกรมเทรดสำเร็จรูป โดยทั่วไปนิยมใช้ฏปรแกรม MT4 เพราะใช้ง่าย


สำหรับ การถอนเงินจาก Portfolio ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง (เสาร์ อาทิตย์ ก็ถอนได้) การฝากเงินเข้าทุกครั้งได้รับเวลคัมโบนัส 15% ของเงินฝากเช่นฝากเข้า 10,000 USD. จะมีเงินในพอร์ท 11,500 USD. ทันที

ปี 2009 EXNESS เติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดรัสเซีย และเปิดตัวเครื่องมือใหม่ที่มีความก้าวหน้าสำหรับเทรดเดอร์บริษัทขยายกิจการ เข้าสู่ CIS และประเทศในแถบเอเชีย รวมถึง จีน อิหร่าน มาเลเซียและอินโดนีเซียเมษายน – EXNESS ได้รับใบรับรอง SSL สำหรับเว็บไซต์บริษัทกันยายน – EXNESS ได้รับอนุญาตเชิงการค้าจากคณะกรรมการ FFMS สำหรับธุรกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวกับการซื้อขายล่วงหน้าโภคภัณฑ์และตัวเลือก บริษัทใช้ใบอนุญาตเพื่อการทำธุรกรรมสำหรับลูกค้าบนตลาดหุ้นเซนต์ ปีเตอร์เบิร์กผ่านระบบ FX+กันยายน – บริษัทเริ่มเสนออัตราความสามารถในการเทรดระดับ 1:1000 ให้กับลูกค้ากันยายน – ลูกค้าสามารถถอนเงินออกจากบัญชีการซื้อขายได้โดยอัตโนมัติตุลาคม – การเลือกเครื่องมือทางการเงินขยายครอบคลุมมากขึ้น และบัญชีโลหะสกุลเงินมีให้เลือกใช้เปิดบัญชี EXPERT จำนวน 5 บัญชีแรกโดยอิงอยู่กับผลประกอบการ ณ สิ้นปี

บริษัทขยายกิจการเข้าสู่ CIS และประเทศในแถบเอเชีย รวมถึง จีน อิหร่าน มาเลเซียและอินโดนีเซียเมษายน – EXNESS ได้รับใบรับรอง SSL สำหรับเว็บไซต์บริษัท

ปี 2009 EXNESS เติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดรัสเซีย และเปิดตัวเครื่องมือใหม่ที่มีความก้าวหน้าสำหรับเทรดเดอร์

กันยายน – EXNESS ได้รับอนุญาตเชิงการค้าจากคณะกรรมการ FFMS สำหรับธุรกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวกับการซื้อขายล่วงหน้าโภคภัณฑ์และตัวเลือก บริษัทใช้ใบอนุญาตเพื่อการทำธุรกรรมสำหรับลูกค้าบนตลาดหุ้นเซนต์ ปีเตอร์เบิร์กผ่านระบบ FX+
กันยายน – บริษัทเริ่มเสนออัตราความสามารถในการเทรดระดับ 1:1000 ให้กับลูกค้า
กันยายน – ลูกค้าสามารถถอนเงินออกจากบัญชีการซื้อขายได้โดยอัตโนมัติ
ตุลาคม – การเลือกเครื่องมือทางการเงินขยายครอบคลุมมากขึ้น และบัญชีโลหะสกุลเงินมีให้เลือกใช้
เปิดบัญชี EXPERT จำนวน 5 บัญชีแรกโดยอิงอยู่กับผลประกอบการ ณ สิ้นปี
ปี 2008 EXNESS ได้รับการก่อตั้งขึ้น ในเมืองเซนต์ ปีเตอร์เบิร์ก โดยกลุ่มคนที่มีความคิดเหมือนๆ กัน ที่ต่างมีความรู้ในด้านตลาดการเงินและเทคโนโลยีสารสนเทศ EXNESS ได้รับใบอนุญาตให้ใช้สิทธิ์สำหรับ MetaTrader 4 จาก MetaQuotes Software Corp บริษัทเริ่มต้นทำการซื้อขาย Forex และลงนามในสัญญากับลูกค้าและหุ้นส่วนรายแรก
รางวัลปัจจุบันของ Exness อ่านรายละเอียดคลิ๊ก


ความน่าเชื่อถือของ Exness อ่านรายละเอียดคลิ๊ก

Address:  309, 55 lit.A Nevsky prospect, Regus Nevsky Plaza, 191025, St. Petersburg, Russia


ขั้นตอนการเปิดบัญชีเทรดกับ Exness

 
. .
- เลือกภาษาที่เราต้องการ (ภาษาไทย)
- เลือกบัญชีการซื้อขาย


- แนะนำเลือกเปิดบัญชี MINI


- กรอกข้อมูล อีเมลล์ เบอร์โทร


- กรอกชื่อ-สกุล (ภาษาอังกฤษ)
- เลือก leverage และสกุลเงิน
- กรอกรหัสที่ได้รับทาง SMS และอีเมลล์


- แนะนำเลือกประเภทรักษาความปลอดภัยเป็นแบบ โทรศัพท์เคลื่อนที่
- สร้างรหัสผ่าน


- เลือกโบนัสที่ต้องการ


- ข้อมูลบัญชีที่เราเปิด


- จะมีอีเมลล์ 3 ฉบับ ส่งเข้าอีเมลล์ของเราเป็นข้อมูลทางบัญชีต่างๆ โปรดอ่านและเก็บไว้ดีดีครับ





แนะ นำนะครับ ให้เปิดบัญชีจริงก่อน แล้ว เปิดบัญชีทดลองเล่นอีกทีนะครับเพื่อจะได้ฝึกฝนการเทรดจากบัญชีทดลองก่อน พอเราพร้อมแล้วค่อยฝากเงินเข้าบัญชีซื้อ - ขายจริง เพื่อเทรดนะครับ

ขั้นตอนต่อไป คือ วิธีการยืนยันตัวกับทางโบรกเกอร์ exness      คลิ๊กที่นี่


เพิ่มเติม
- สงสัยใหม?ครับว่าทำถึงมีบัญชีหลายแบบหลายประเภทในโบรกเกอร์ EXNESS นี้ คลิ๊กเพื่ออ่าน

- การเลือกโบรกเกอร์? คลิ๊กเพื่ออ่าน
- ความน่าเชื่อถือของโบรกเกอร์ Exness คลิ๊กเพื่ออ่าน
- Forex กับกฏหมายไทย  คลิ๊กเพื่ออ่าน
- เปิดเสรีไทยเกี่ยวกับ Forex  คลิ๊กเพื่ออ่าน

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่   http://www.thaibestforex.com/forex/t613/?/