ฟอร์เร็กซ์ จะเทรดเป็น lot ขนาดมาตรฐานของ 1 ลอท คือ 100,000 ยูนิท
ซึ่งก็มีบัญชีแบบ มินิลอท เหมือนกัน ซึ่งมีมูลค่าเท่ากับ 10,000 ยูนิท
และอย่างที่บอกว่า ค่าเงินนั้นคิดเป็น pip
เป็นหน่วยที่เล็กที่สุดของค่าเงินนั้น ๆ
ในการที่จะทำให้เราได้ประโยชน์จากจุดเล็ก ๆ จุดนี้ คือเราต้องเทรดจำนวนมาก
จึงจะเห็น กำไร-ขาดทุน ชัดเจน
เช่น เราใช้ 100,000 ยูนิท (เท่ากับ 1 สแตนดาร์ดลอท) ลองยกมาคำนวณ เพื่อให้เห็นว่ามันส่งผลยังไง
USD/JPY ที่อัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับ 119.80
(.01/119.80)x100,000 = 8.34 เหรียญต่อจุด
USD/CHF ที่อัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับ1.4555
(.0001/1.4555)x100,000 = 6.87 เหรียญ ต่อจุด
ถ้าในกรณีที่เงินดอลล่าร์อยู่ข้างหลัง การคำนวณก็จะแตกต่างกันเล็กน้อย
EUR/USD ที่อัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับ 1.1930
(.0001/1.1930)x100,000 = 8.38x1.1930 = 9.99734 ถ้าปัดเศษได้ก็จะเท่ากับ 10 เหรียญต่อจุด
GBP/USD ที่อัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับ 1.8040 (.0001 / 1.8040) x 100,000 = 5.54 x 1.8040 = 9.99416 ถ้าปัดเศษก็จะได้เท่ากับ 10 ต่อจุด.
โบ
รคเกอร์ของคุณ อาจจะมีวิธีการคิดมูลค่าของ pip ที่แตกต่างกันออกไป
แต่ไม่ว่าจะเป็นวิธีการไหน พวกเขา สามารถ บอกได้ว่า
ค่าเงินที่คุณกำลังเทรดมูลค่าต่อหนึ่งจุดนั้น
เป็นเท่าไหร่ในช่วงที่คุณกำลังเทรด ซึ่งถ้าตลาด มีการเคลื่อนไหว
มูลค่าต่อจุดจะขึ้นอยู่กับ ค่าเงินที่คุณกำลังเทรดอยู่
แล้วเราจะคำนวณกำไรขาดทุนได้อย่างไร
ตอนนี้ คุณรู้ว่าจะคำนวณมูลค่าต่อจุดอย่างไร ลองมาดูต่อว่า เราจะคำนวณกำไร-ขาดทุนได้อย่างไร
เช่น เราซื้อดอลล่าร์สหรัฐ และขายสวิสฯฟรังค์ (usd/chf)
สมมุติว่า อัตราแลกเปลี่ยนตอนนี้อยู่ที่ 1.4525/1.4530 (bid/Offer) เพราะว่าคุณกำลังซื้อเงินดอลล่าร์คุณจะได้ราคาที่ 1.4530
ถ้า
ซื้อที่ 1 สแตนดาร์ด ลอท (100,000 ยูนิท) ที่ราคา 1.4530.
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ราคาเคลื่อนไหวขึ้นไปที่ 1.4550
และคุณตัดสินใจที่จะปิดออร์เดอร์
อัตราแลกเปลี่ยนตอนนี้จะเท่ากับ
1.4550/1.4555 หลังจากที่ปิดออร์เดอร์ เรากลับไปดูตั้งแต่ที่
ซื้อจนปล่อยขาย เพื่อปิดออร์เดอร์ คุณจะได้ราคาที่ 1.4550
ซึ่งเป็นราคาที่เราปิดได้
ความแตกต่างของ 1.4530 กับ 1.4550 คือ .0020 หรือเท่ากับ 20 pip
เราใช้สูตรก่อนหน้านี้ เราก็จะได้ (.0001/1.4550) x 100,000 1= 6.87 ต่อจุด x ด้วย 20 จุด ซึ่งจะได้กำไรทั้งหมด 137.40 เหรียญ
จำไว้ว่า เมื่อคุณเข้าหรือออก จากการเทรด คุณจะต้องจ่ายค่า spread เหล่านั้นด้วย ซึ่งก็คือส่วนต่างระหว่าง Bid/Offer ดังกล่าว
เมื่อ Buy ค่าเงินค่าเงินหนึ่ง คุณจะต้องเสนอ(offer)ราคา และเมื่อ Sell คุณก็ต้องตั้ง(Bid)ราคา
** ดังนั้นเมื่อ Buy ค่าเงิน คุณจะต้องจ่าย spread เมื่อเข้าเทรด แต่ไม่ต้องจ่ายเมื่อปิดออร์เดอร์
** และเมื่อ Sell ค่าเงิน คุณไม่ต้องจ่าย spread ตอนเข้าเทรด แต่คุณจะต้องจ่ายเมื่อคุณปิดออร์เดอร์
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaibestforex.com/forex/lot-630/?/
Showing posts with label Bid. Show all posts
Showing posts with label Bid. Show all posts
หาเงินจากฟอร์เร็กซ์ทำอย่างไร?
Posted by
goodintequila
on Saturday, July 11, 2015
Labels:
Ask,
Base Currency,
Bid,
Short,
การวิเคราะห์,
กำไร,
ตลาดหุ้น,
โบรคเกอร์,
พื้นฐาน
/
ทำเงินจากฟอร์เร็กซ์ ได้อย่างไร
ใน ตลาด เราจะซื้อหรือขายค่าเงิน การทำการเทรดในตลาดค่าเงินนั้นง่าย วิธีการเทรดก็เหมือนกับตลาดอื่นๆ (เช่น ตลาดหุ้น) ดังนั้นถ้าเรา มีประสบการณ์ ในการเทรดตลาดอื่นมาก่อน จะเข้าใจได้ง่ายขึ้น
วัตถุ ประสงค์ของการเทรดฟอร์เร็กซ์ เพื่อที่จะทำการแลกเปลี่ยนค่าเงิน เพราะคาดหวังว่า ราคาจะเปลี่ยนแปลงไป ในทิศทางที่คาดหวัง ดังนั้น ค่าเงินที่เราซื้อ จะมีการเปลี่ยนแปลงมูลค่า เมื่อเราขาย
ตัวอย่างของการทำกำไรจากค่าเงิน
สิ่งที่นักเทรด ทำ EUR USD
เรา Buy EUR / USD ที่ราคา 1.18 มูลค่า 10,000 ยูโร +10,000 -11,800*
สองสัปดาห์ต่อมา เราแลกเงินยูโรกลับมาเป็นเงินดอลล่าร์ ที่ราคา 1.2500 -10,000 +12,500**
เราได้กำไร $700 0 +700
*EUR 10,000x1.18=US$11,800 **EUR 10,000x1.25=US $12,500
อัตรา แลกเปลี่ยนเป็นค่าอัตราส่วน ของค่าเงินหนึ่งต่อค่าเงินหนึ่ง เช่น USD/CHF อัตราส่วนจะบอกว่า จำนวนเงิน ดอลล่าร์กี่เหรียญ จึงจะสามารถซื้อได้ 1 สวิสฟรังค์ หรือ สวิสฟรังค์จำนวนเท่าไร ที่เราจะต้องใช้ในการซื้อเงิน 1 ดอลล่าร์
วิธีอ่าน FX Quote
ค่าเงิน จะวางเป็นคู่ ๆ เสมอ เช่น GBP/USD หรือ USD/JPY เหตุผลที่ค่าเงินถูกกำหนดเป็นคู่ๆ เพราะในตลาดการเงิน เราจะทำการซื้อค่าเงินหนึ่ง ด้วยการขายอีกค่าเงินหนึ่งในเวลาเดียวกัน ตัวอย่างต่อไป เป็นอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน ปอนด์อังกฤษ กับเงิน ดอลล่าร์สหรัฐฯ
GBP/USD = 1.7500
ค่าเงินตัวแรก ( ก่อนเครื่องหมาย / ) เรียกว่า Base Currency (ในตัวอย่างนี้คือค่าเงินปอนด์ GBP)
ค่าเงินตัวที่สอง ( ทางขวาของ / )เรียกว่า Quote currency (ในตัวอย่างนี้คือค่าเงินดอลล่าร์ USD)
เมื่อ เราซื้อ อัตราแลกเปลี่ยนจะบอกเราว่า เราต้องจ่ายเท่าไหร่เป็นจำนวนเงิน Quote currency เพื่อที่จะซื้อ 1 หน่วย ของ Base Currency ตามตัวอย่างข้างต้น เราต้องจ่าย 1.7500 ดอลล่าร์ สหรัฐฯ เพื่อจะซื้อเงินปอนด์ 1 ปอนด์
เมื่อเราขาย อัตราแลกเปลี่ยนจะบอกเราว่า เราต้องได้ Quote currency กี่หน่วยในการขาย 1 หน่วยของ Base Currency
ในตัวอย่างข้างต้น เราจะได้เงิน 1.7500 ดอลล่าร์ เมื่อคุณขายเงินปอนด์ 1 ปอนด์
Base Currency เป็นเกณฑ์ ในการซื้อขาย ถ้าเราซื้อ EUR/USD หมายถึงว่าเรากำลังซื้อ Base Currency และเราก็ขาย Quote currency
เรา จะซื้อคู่เงิน ถ้าเราคิดว่าค่าเงิน ที่เป็น Base Currency จะแพงขึ้นถ้าเทียบกับ Quote currencyเราจะขายคู่เงิน ถ้าเราคิดว่าค่าเงิน ที่เป็น Base Currency จะลงเมื่อเทียบกับค่าเงินที่เป็น Quote currency
Long/Short
อันดับแรก สิ่งที่ต้องทำคือ เราต้องตัดสินใจว่า ต้องการซื้อ หรือขาย
ถ้า ต้องการซื้อ (หมายถึง ซื้อ Base Currency หรือขาย Quote currency) หากต้องการให้ค่าเงินที่เป็น Base Currency มีมูลค่ามากขึ้น ก็ต้องขายมัน ที่ราคาสูงกว่าที่เราซื้อ และสำหรับนักเทรด เรียกว่า Long หรือ Long position ซึ่งก็เท่ากับ Buy นั่นเอง
ถ้าต้องการขาย (หมายถึง ขาย Base Currency หรือซื้อ Quote currency) หากต้องการซื้อค่าเงิน ที่เป็น Base Currency คืนในราคาที่ต่ำกว่า การทำแบบนี้ เรียกว่า การ Short position หรือ Short ก็คือการ Sell นั่นเอง
Bid/Ask Spread
ทุก ๆ คู่เงิน มีราคา อยู่สองราคา คือ ราคา bid และ ราคา Ask ราคา Bid จะต่ำกว่า ราคา Ask เสมอ
Bid เป็นราคา ซึ่งโบรคเกอร์จะซื้อราคา Base Currency เพื่อที่จะแลกเปลี่ยนกับค่าเงิน Quote currency ซึ่งหมายถึง นั่นหมายถึงนักเทรดจะขาย หรือ sell ได้
Ask เป็นราคา ซึ่งโบรคเกอร์จะขายราคา base currency เพื่อที่จะแลกเปลี่ยนกับค่าเงิน quote currency ซึ่งหมายถึง Ask เป็นราคาที่เราจะซื้อ หรือ buy ได้นั่นเอง
ความแตกต่างระหว่าง Bid กับ Ask เรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า Spread (สเปรด)
ลองดูที่ตัวอย่างของราคา ที่ปรากฎอยู่ในหน้าจอโปรแกรมเทรด
forex,eur,usd
นี่ คือ คู่เงิน GBP/USD ราคา Bid 1.7445 และราคา ask เท่ากับ 1.7449 นี่เป็นสิ่งที่โบรคเกอร์มี เพื่ออำนวยความ สะดวก ให้เรา ถ้าเราต้องการ sell GBP ก็เพียงคลิก "Sell" ที่ราคา 1.7445 ถ้าต้องการซื้อ GBP คุณก็คลิก " Buy" จะได้ราคาที่ 1.7449
ตามตัวอย่าง
เราใช้การวิเคราะห์พื้นฐาน ในการช่วยตัดสินใจว่า จะซื้อหรือขายคู่เงินนั้นๆ ยังมีข้อมูลให้ต้องศึกษาต่อไป สำหรับ ตอนนี้ แค่เข้าใจว่า เกิดอะไรขึ้นก่อนก็พอ
EUR/USD
ถ้าคุณเชื่อว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะหดตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นข่าวร้ายอย่างหนึ่งสำหรับค่าเงินดอลล่าร์ คุณก็จะต้อง ส่ง คำสั่ง BUY ค่าเงิน EUR/USD หมายความว่า คุณซื้อเงินยูโร ซึ่งคาดว่าจะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามกับ ค่าเงิน ดอลล่าร์ ตามตัวอย่างนี้ เงินยูโรเป็น base currency และใช้เป็นเกณฑ์ในการ ซื้อขายด้วย
ถ้า คุณเชื่อว่า เศรษฐกิจของสหรัฐฯ นั้นแข็งแกร่ง และค่าเงินยูโรจะอ่อนแอ เมื่อเทียบกับค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐ คุณต้อง ส่งคำสั่ง Sell EUR/USD นั่นคือ คุณคาดว่าค่าเงินยูโรจะร่วงลงเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ
USD/JPY
ตัวอย่างนี้คือ ค่าเงิน ดอลล่าร์สหรัฐฯ เป็น base currency และใช้เป็นเกณฑ์ในการซื้อขาย
ถ้า คุณคิดว่า รัฐบาลญี่ปุ่น จะทำให้ค่าเงินเยน ตกต่ำเพื่อจะกระตุ้นอุตสาหกรรมส่งออก คุณต้องส่งออร์เดอร์ Buy USD/JPY นั่นหมายถึง คุณซื้อเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ เพราะคาดว่ามันจะแข็งค่าขึ้น เมื่อเทียบกับเงินเงินญี่ปุ่น
ถ้าคุณเชื่อว่า นักลงทุนญี่ปุ่น กำลังดึงเงินออกจากตลาดการเงินสหรัฐฯ และแลกเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ ทั้งหมดที่เขามี ในมือ กลับมาเป็นเงินเยน ซึ่งจะทำให้เงินดอลล่าร์สหรัฐฯ ได้รับความเสียหาย คุณต้องส่งคำสั่ง Sell USD/JPY โดยการทำแบบนี้หมายความว่า คุณคิดว่าค่าเงินสหรัฐฯ มีการอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับค่าเงินเยน
GBP/USD
ตามตัวอย่างนี้ เงินปอนด์เป็น base currency และใช้เป็นเกณฑ์ในการวัดการซื้อหรือขายคู่เงิน
ถ้า คุณคิดว่าเศรษฐกิจของอังกฤษ จะยังคงเติบโตต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ คุณต้องส่งคำสั่ง BUY GBP/USD นั่นคือคุณต้องการซื้อเงินปอนด์ เพราะคิดว่ามันจะขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ
ถ้าคุณคิด ว่าเศรษฐกิจของประเทศอังกฤษจะชะงัก ขณะที่เศรษฐกิจของสหรัฐฯอเมริกายังคงแข็งแกร่งต่อเนื่อง คุณก็ต้องส่งคำสั่ง Sell GBP/USD หมายความว่า คุณต้องขายเงินปอนด์เพราะว่าคุณคิดว่า ราคามันจะลดลง เมื่อ เทียบกับค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ
USD/CHF
ตัวอย่างนี้ ค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ เป็น base currency และจะใช้เป็นเกณฑ์ในการซื้อขาย
ถ้า คุณคิดว่า สวิสฯฟรังค์ ราคาเกินมูลค่าจริงกว่าที่เป็น คุณต้องส่งคำสั่ง BUY USD/CHF โดยคุณซื้อเงินดอลล่าร์ เพราะคุณคิดว่าเงินดอลล่าร์จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเพื่อเทียบกับสวิสฯฟรังค์ ณ ราคาปัจจุบัน
ถ้าคุณเชื่อว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐฯจะเผชิญกับภาวะฟองสบู่แตก ซึ่งกระทบกับกับ การเติบโตของ เศรษฐกิจสหรัฐฯในภายภาคหน้า ซึ่งจะทำให้เงินดอลล่าร์อ่อนค่าลง คุณต้องส่งคำสั่ง Sell USD/CHF เพราะว่าคุณ คิดว่า ดอลล่าร์จะลดค่าลงเมื่อเทียบกับสวิสฯฟรังค์จากราคาปัจจุบัน
หากค่าเงินมูลค่า 10,000 ยูโร เราจะเทรดได้ หรือไม่ ?
เทรดได้ เพราะเราสามารถใช้ margin ได้
คำ ว่า Margin หมายถึง การเทรดโดยการยืมเงินจากโบรกเกอร์นั่นเอง ด้วยเหตุนี้คุณสามารถเปิด position มูลค่า 100,000 เหรียญ หรือ 10,000 เหรียญ โดยเงินเพียง 50 เหรียญ หรือ 1,000 เหรียญ เท่านั้น คุณสามารถถือครอง position ขนาดใหญ่ ด้วยเงินเพียงน้อยนิด และต้นทุนไม่มากนัก
การเทรดแบบใช้มาร์จิ้น ในตลาดค่าเงินนี้ เราเรียกว่า Lots ซึ่งเราจะพูดถึงเรื่องเหล่านี้อย่างละเอียดต่อไป สำหรับ ตอนนี้ ให้คิดแค่ว่า คำว่า lot คือปริมาณค่าเงินอย่างต่ำ ที่คุณสามารถซื้อได้ก็พอ เช่น
เมื่อคุณไปร้านขายของชำและอยากซื้อไข่ คุณไม่สามารถที่จะซื้อไข่เพียงใบเดียวได้ เพราะมันขายเป็นแผง หรือ เราเรียกได้ว่า 1 lot ก็ได้ ในบัญชี Mini 1 lot มูลค่าเท่ากับ 10,000 เหรียญ และในบัญชี standard นั้น มูลค่า 100,000 เหรียญ ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าคุณเปิดบัญชีประเภทไหน หรือ โบรกเกอร์ไหน อีกที
ตัวอย่าง
• คุณคิดว่าสัญญาณทางเทคนิคที่คุณใช้บอกว่า ค่าเงินปอนด์จะสูงขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลล่าร์
• คุณจะเปิด position 1 lot ซึ่งมีมูลค่าเท่ากับ 100,000 คุณอยากซื้อเงินปอนด์ที่ 1 เปอร์เซ็นต์ของมาร์จิ้น และ รอให้ ค่าเงินมันแข็งค่าขึ้น เมื่อคุณซื้อ GBP/USD 1 ลอท(100,000) ที่ราคา 1.5000 คุณกำลัง Buy 100,000 ปอนด์ซึ่งมีมูลค่า 150,000 ดอลล่าร์สหรัฐ (เงินปอนด์ 100,000 หน่วย x 1.50(อัตราแลกเปลี่ยนต่อเงินดอลล่าร์) ถ้ามาร์จิ้นที่ต้องใช้ เท่ากับ 1 % คุณต้องมีเงิน เท่ากับ 1,500 เหรียญ อย่างน้อยในบัญชีของคุณ(150,000 เหรียญX 1%) ตอนนี้คุณ ถือครอง position เงินปอนด์ มูลค่า 100,000 ปอนด์ ซึ่งใช้เงินเพียงแค่ 1,500 เหรียญ ถ้าค่าเงินมัน ขึ้นไปอย่างที่คุณคิด และคุณอยากจะซื้อ
• คุณจะปิด position ที่ราคา 1.5050 คุณจะได้ 50 pip หรือราว ๆ 500 เหรียญ( Pip (ปิ๊บ) คือ จำนวนน้อยที่สุด ที่ค่าเงินเคลื่อนไหว หรือ 1 จุดนั่นเอง)
การตัดสินใจของคุณ GBP USD
คุณซื้อเงินปอนด์มูลค่า 100,000 ในคู่เงิน GBP/USD ที่ราคา 1.5000 +100,000 -150,000
หลังจากคุณซื้อได้ซักครู่ มันวิ่งไป 50 จุด ที่ราคา 1.5050 คุณเลยอยากจะขาย -100,000 +150,500**
คุณได้กำไร 500 เหรียญ 0 +500
เมื่อ คุณตัดสินใจที่จะปิด position กำไรขาดทุนก็จะถูกคำนวณ และมันก็จะเอาไปรวมกับบัญชีของคุณ ที่คุณเปิด เรื่องมาร์จิ้นมีรายละเอียดกว่านี้ ตอนนี้ คุณคงพอเข้าใจความหมายของมาร์จิ้นบ้างแล้ว
Rollover
ดอกเบี้ย ค่าเงิน
เรื่อง นี้เกี่ยวกับออร์เดอร์ที่เปิดข้ามคืน จนถึงเวลา "Cut-off time" ปกติประมาณตี 4-5 บ้านเรา จะมีดอกเบี้ยเกิดขึ้น ซึ่งนักเทรดจะได้ หรือจะเสีย เท่าไหร่นั้น ขึ้นอยู่กับ จำนวนมาร์จิ้น ที่คุณถืออยู่ในตลาด ถ้าคุณไม่ต้องการ ดอกเบี้ยนี้ คุณก็ต้องปิดคำสั่งของคุณก่อนจะถึงเวลา ตี 4
เมื่อ ทุกๆ การเทรดค่าเงินนั้นเกี่ยวพันกับการยืมเงิน จากค่าเงินค่าหนึ่ง แล้วนำไปซื้อค่าเงินอีกค่าหนึ่ง ดอกเบี้ยนี้ ก็จะ ถูกชาร์จเข้าไปในการเทรดฟอร์เร็กซ์ ดอกเบี้ยจะถูกจ่ายให้กับค่าเงินที่ถูกยืม และได้รับ ดอกเบี้ยจากค่าเงินที่ถูกซื้อ
ถ้าเทรดเดอร์กำลังซื้อค่าเงินค่า เงินหนึ่ง ที่มีดอกเบี้ยสูงกว่าดอกเบี้ยที่เราต้องเสีย ให้กับคนที่เรายืมมา จะทำให้ ดอกเบี้ย มีผลเป็นบวก (ตัวอย่างเช่น USD/JPY) และเทรดเดอร์จะได้เงินค่าดอกเบี้ยส่วนต่าง เข้าบัญชี คุณสามารถ ถามราย ละเอียด ของ Rollover กับโบรคเกอร์ของคุณ และจำไว้ว่า โบรคเกอร์รายย่อยส่วนมาก จะปรับอัตรา Rollover ซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยที่แตกต่างกัน (เช่น Leverage, อัตรากู้ยืมจาก interbank) คุณอาจจะต้องตรวจสอบ ข้อมูลเรื่อง Rollover ให้ละเอียด ทั้งด้านเครดิต และ เดบิต
ถ้าคุณไม่รู้ว่าอัตราดอกเบี้ยของแต่ละค่า เงิน เท่ากับเท่าไหร่ ภาพนี้จะช่วยให้คุณได้เข้าใจขึ้นบ้าง เป็นภาพของวันที่ 19 เดือน เมษายน ปี 2009
บัญชี Demo
คุณสามารถเปิดบัญชี demo ได้ฟรี แทบจะทุกโบรคเกอร์ ซึ่งบัญชีเดโม จะเหมือนบัญชีจริงทุกอย่าง
ทำไมถึงฟรี?
เพราะ โบรกเกอร์อยากให้คุณใช้โปรแกรมการเทรดของเขาให้คล่อง และถ้าคุณเทรดได้ดี คุณก็จะตกหลุมรัก ฟอร์เร็กซ์ แล้วคุณก็จะอยากฝากเงินจริง บัญชีเดโมจะทำให้คุณเรียนรู้เกี่ยวกับตลาดฟอร์เร็กซ์ได้ง่ายขึ้น และ สามารถทดสอบ ความสามารถ ในการเทรดของคุณได้ โดยที่คุณไม่ต้องเสี่ยง ที่จะเสียเงินเลย
คุณควรจะเทรดบัญชีเดโมอย่างน้อย 3 - 6 เดือน ก่อนที่คุณคิดว่าจะใส่เงินจริงลงไป
ขอย้ำอีกครั้งว่า คุณควรจะเทรด บัญชีเดโม อย่างน้อย 3 - 6เดือน ก่อนที่คุณคิดจะใส่บัญชีเงินจริงของคุณลงไป
แล้วเอานิ้วชี้ชี้ไปที่หัวของคุณแล้วบอกว่า...
"ฉันเป็นนักเทรดที่ฉลาดและอดทน"
ใน ตลาด เราจะซื้อหรือขายค่าเงิน การทำการเทรดในตลาดค่าเงินนั้นง่าย วิธีการเทรดก็เหมือนกับตลาดอื่นๆ (เช่น ตลาดหุ้น) ดังนั้นถ้าเรา มีประสบการณ์ ในการเทรดตลาดอื่นมาก่อน จะเข้าใจได้ง่ายขึ้น
วัตถุ ประสงค์ของการเทรดฟอร์เร็กซ์ เพื่อที่จะทำการแลกเปลี่ยนค่าเงิน เพราะคาดหวังว่า ราคาจะเปลี่ยนแปลงไป ในทิศทางที่คาดหวัง ดังนั้น ค่าเงินที่เราซื้อ จะมีการเปลี่ยนแปลงมูลค่า เมื่อเราขาย
ตัวอย่างของการทำกำไรจากค่าเงิน
สิ่งที่นักเทรด ทำ EUR USD
เรา Buy EUR / USD ที่ราคา 1.18 มูลค่า 10,000 ยูโร +10,000 -11,800*
สองสัปดาห์ต่อมา เราแลกเงินยูโรกลับมาเป็นเงินดอลล่าร์ ที่ราคา 1.2500 -10,000 +12,500**
เราได้กำไร $700 0 +700
*EUR 10,000x1.18=US$11,800 **EUR 10,000x1.25=US $12,500
อัตรา แลกเปลี่ยนเป็นค่าอัตราส่วน ของค่าเงินหนึ่งต่อค่าเงินหนึ่ง เช่น USD/CHF อัตราส่วนจะบอกว่า จำนวนเงิน ดอลล่าร์กี่เหรียญ จึงจะสามารถซื้อได้ 1 สวิสฟรังค์ หรือ สวิสฟรังค์จำนวนเท่าไร ที่เราจะต้องใช้ในการซื้อเงิน 1 ดอลล่าร์
วิธีอ่าน FX Quote
ค่าเงิน จะวางเป็นคู่ ๆ เสมอ เช่น GBP/USD หรือ USD/JPY เหตุผลที่ค่าเงินถูกกำหนดเป็นคู่ๆ เพราะในตลาดการเงิน เราจะทำการซื้อค่าเงินหนึ่ง ด้วยการขายอีกค่าเงินหนึ่งในเวลาเดียวกัน ตัวอย่างต่อไป เป็นอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน ปอนด์อังกฤษ กับเงิน ดอลล่าร์สหรัฐฯ
GBP/USD = 1.7500
ค่าเงินตัวแรก ( ก่อนเครื่องหมาย / ) เรียกว่า Base Currency (ในตัวอย่างนี้คือค่าเงินปอนด์ GBP)
ค่าเงินตัวที่สอง ( ทางขวาของ / )เรียกว่า Quote currency (ในตัวอย่างนี้คือค่าเงินดอลล่าร์ USD)
เมื่อ เราซื้อ อัตราแลกเปลี่ยนจะบอกเราว่า เราต้องจ่ายเท่าไหร่เป็นจำนวนเงิน Quote currency เพื่อที่จะซื้อ 1 หน่วย ของ Base Currency ตามตัวอย่างข้างต้น เราต้องจ่าย 1.7500 ดอลล่าร์ สหรัฐฯ เพื่อจะซื้อเงินปอนด์ 1 ปอนด์
เมื่อเราขาย อัตราแลกเปลี่ยนจะบอกเราว่า เราต้องได้ Quote currency กี่หน่วยในการขาย 1 หน่วยของ Base Currency
ในตัวอย่างข้างต้น เราจะได้เงิน 1.7500 ดอลล่าร์ เมื่อคุณขายเงินปอนด์ 1 ปอนด์
Base Currency เป็นเกณฑ์ ในการซื้อขาย ถ้าเราซื้อ EUR/USD หมายถึงว่าเรากำลังซื้อ Base Currency และเราก็ขาย Quote currency
เรา จะซื้อคู่เงิน ถ้าเราคิดว่าค่าเงิน ที่เป็น Base Currency จะแพงขึ้นถ้าเทียบกับ Quote currencyเราจะขายคู่เงิน ถ้าเราคิดว่าค่าเงิน ที่เป็น Base Currency จะลงเมื่อเทียบกับค่าเงินที่เป็น Quote currency
Long/Short
อันดับแรก สิ่งที่ต้องทำคือ เราต้องตัดสินใจว่า ต้องการซื้อ หรือขาย
ถ้า ต้องการซื้อ (หมายถึง ซื้อ Base Currency หรือขาย Quote currency) หากต้องการให้ค่าเงินที่เป็น Base Currency มีมูลค่ามากขึ้น ก็ต้องขายมัน ที่ราคาสูงกว่าที่เราซื้อ และสำหรับนักเทรด เรียกว่า Long หรือ Long position ซึ่งก็เท่ากับ Buy นั่นเอง
ถ้าต้องการขาย (หมายถึง ขาย Base Currency หรือซื้อ Quote currency) หากต้องการซื้อค่าเงิน ที่เป็น Base Currency คืนในราคาที่ต่ำกว่า การทำแบบนี้ เรียกว่า การ Short position หรือ Short ก็คือการ Sell นั่นเอง
Bid/Ask Spread
ทุก ๆ คู่เงิน มีราคา อยู่สองราคา คือ ราคา bid และ ราคา Ask ราคา Bid จะต่ำกว่า ราคา Ask เสมอ
Bid เป็นราคา ซึ่งโบรคเกอร์จะซื้อราคา Base Currency เพื่อที่จะแลกเปลี่ยนกับค่าเงิน Quote currency ซึ่งหมายถึง นั่นหมายถึงนักเทรดจะขาย หรือ sell ได้
Ask เป็นราคา ซึ่งโบรคเกอร์จะขายราคา base currency เพื่อที่จะแลกเปลี่ยนกับค่าเงิน quote currency ซึ่งหมายถึง Ask เป็นราคาที่เราจะซื้อ หรือ buy ได้นั่นเอง
ความแตกต่างระหว่าง Bid กับ Ask เรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า Spread (สเปรด)
ลองดูที่ตัวอย่างของราคา ที่ปรากฎอยู่ในหน้าจอโปรแกรมเทรด
forex,eur,usd
นี่ คือ คู่เงิน GBP/USD ราคา Bid 1.7445 และราคา ask เท่ากับ 1.7449 นี่เป็นสิ่งที่โบรคเกอร์มี เพื่ออำนวยความ สะดวก ให้เรา ถ้าเราต้องการ sell GBP ก็เพียงคลิก "Sell" ที่ราคา 1.7445 ถ้าต้องการซื้อ GBP คุณก็คลิก " Buy" จะได้ราคาที่ 1.7449
ตามตัวอย่าง
เราใช้การวิเคราะห์พื้นฐาน ในการช่วยตัดสินใจว่า จะซื้อหรือขายคู่เงินนั้นๆ ยังมีข้อมูลให้ต้องศึกษาต่อไป สำหรับ ตอนนี้ แค่เข้าใจว่า เกิดอะไรขึ้นก่อนก็พอ
EUR/USD
ถ้าคุณเชื่อว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะหดตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นข่าวร้ายอย่างหนึ่งสำหรับค่าเงินดอลล่าร์ คุณก็จะต้อง ส่ง คำสั่ง BUY ค่าเงิน EUR/USD หมายความว่า คุณซื้อเงินยูโร ซึ่งคาดว่าจะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามกับ ค่าเงิน ดอลล่าร์ ตามตัวอย่างนี้ เงินยูโรเป็น base currency และใช้เป็นเกณฑ์ในการ ซื้อขายด้วย
ถ้า คุณเชื่อว่า เศรษฐกิจของสหรัฐฯ นั้นแข็งแกร่ง และค่าเงินยูโรจะอ่อนแอ เมื่อเทียบกับค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐ คุณต้อง ส่งคำสั่ง Sell EUR/USD นั่นคือ คุณคาดว่าค่าเงินยูโรจะร่วงลงเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ
USD/JPY
ตัวอย่างนี้คือ ค่าเงิน ดอลล่าร์สหรัฐฯ เป็น base currency และใช้เป็นเกณฑ์ในการซื้อขาย
ถ้า คุณคิดว่า รัฐบาลญี่ปุ่น จะทำให้ค่าเงินเยน ตกต่ำเพื่อจะกระตุ้นอุตสาหกรรมส่งออก คุณต้องส่งออร์เดอร์ Buy USD/JPY นั่นหมายถึง คุณซื้อเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ เพราะคาดว่ามันจะแข็งค่าขึ้น เมื่อเทียบกับเงินเงินญี่ปุ่น
ถ้าคุณเชื่อว่า นักลงทุนญี่ปุ่น กำลังดึงเงินออกจากตลาดการเงินสหรัฐฯ และแลกเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ ทั้งหมดที่เขามี ในมือ กลับมาเป็นเงินเยน ซึ่งจะทำให้เงินดอลล่าร์สหรัฐฯ ได้รับความเสียหาย คุณต้องส่งคำสั่ง Sell USD/JPY โดยการทำแบบนี้หมายความว่า คุณคิดว่าค่าเงินสหรัฐฯ มีการอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับค่าเงินเยน
GBP/USD
ตามตัวอย่างนี้ เงินปอนด์เป็น base currency และใช้เป็นเกณฑ์ในการวัดการซื้อหรือขายคู่เงิน
ถ้า คุณคิดว่าเศรษฐกิจของอังกฤษ จะยังคงเติบโตต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ คุณต้องส่งคำสั่ง BUY GBP/USD นั่นคือคุณต้องการซื้อเงินปอนด์ เพราะคิดว่ามันจะขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ
ถ้าคุณคิด ว่าเศรษฐกิจของประเทศอังกฤษจะชะงัก ขณะที่เศรษฐกิจของสหรัฐฯอเมริกายังคงแข็งแกร่งต่อเนื่อง คุณก็ต้องส่งคำสั่ง Sell GBP/USD หมายความว่า คุณต้องขายเงินปอนด์เพราะว่าคุณคิดว่า ราคามันจะลดลง เมื่อ เทียบกับค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ
USD/CHF
ตัวอย่างนี้ ค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ เป็น base currency และจะใช้เป็นเกณฑ์ในการซื้อขาย
ถ้า คุณคิดว่า สวิสฯฟรังค์ ราคาเกินมูลค่าจริงกว่าที่เป็น คุณต้องส่งคำสั่ง BUY USD/CHF โดยคุณซื้อเงินดอลล่าร์ เพราะคุณคิดว่าเงินดอลล่าร์จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเพื่อเทียบกับสวิสฯฟรังค์ ณ ราคาปัจจุบัน
ถ้าคุณเชื่อว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐฯจะเผชิญกับภาวะฟองสบู่แตก ซึ่งกระทบกับกับ การเติบโตของ เศรษฐกิจสหรัฐฯในภายภาคหน้า ซึ่งจะทำให้เงินดอลล่าร์อ่อนค่าลง คุณต้องส่งคำสั่ง Sell USD/CHF เพราะว่าคุณ คิดว่า ดอลล่าร์จะลดค่าลงเมื่อเทียบกับสวิสฯฟรังค์จากราคาปัจจุบัน
หากค่าเงินมูลค่า 10,000 ยูโร เราจะเทรดได้ หรือไม่ ?
เทรดได้ เพราะเราสามารถใช้ margin ได้
คำ ว่า Margin หมายถึง การเทรดโดยการยืมเงินจากโบรกเกอร์นั่นเอง ด้วยเหตุนี้คุณสามารถเปิด position มูลค่า 100,000 เหรียญ หรือ 10,000 เหรียญ โดยเงินเพียง 50 เหรียญ หรือ 1,000 เหรียญ เท่านั้น คุณสามารถถือครอง position ขนาดใหญ่ ด้วยเงินเพียงน้อยนิด และต้นทุนไม่มากนัก
การเทรดแบบใช้มาร์จิ้น ในตลาดค่าเงินนี้ เราเรียกว่า Lots ซึ่งเราจะพูดถึงเรื่องเหล่านี้อย่างละเอียดต่อไป สำหรับ ตอนนี้ ให้คิดแค่ว่า คำว่า lot คือปริมาณค่าเงินอย่างต่ำ ที่คุณสามารถซื้อได้ก็พอ เช่น
เมื่อคุณไปร้านขายของชำและอยากซื้อไข่ คุณไม่สามารถที่จะซื้อไข่เพียงใบเดียวได้ เพราะมันขายเป็นแผง หรือ เราเรียกได้ว่า 1 lot ก็ได้ ในบัญชี Mini 1 lot มูลค่าเท่ากับ 10,000 เหรียญ และในบัญชี standard นั้น มูลค่า 100,000 เหรียญ ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าคุณเปิดบัญชีประเภทไหน หรือ โบรกเกอร์ไหน อีกที
ตัวอย่าง
• คุณคิดว่าสัญญาณทางเทคนิคที่คุณใช้บอกว่า ค่าเงินปอนด์จะสูงขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลล่าร์
• คุณจะเปิด position 1 lot ซึ่งมีมูลค่าเท่ากับ 100,000 คุณอยากซื้อเงินปอนด์ที่ 1 เปอร์เซ็นต์ของมาร์จิ้น และ รอให้ ค่าเงินมันแข็งค่าขึ้น เมื่อคุณซื้อ GBP/USD 1 ลอท(100,000) ที่ราคา 1.5000 คุณกำลัง Buy 100,000 ปอนด์ซึ่งมีมูลค่า 150,000 ดอลล่าร์สหรัฐ (เงินปอนด์ 100,000 หน่วย x 1.50(อัตราแลกเปลี่ยนต่อเงินดอลล่าร์) ถ้ามาร์จิ้นที่ต้องใช้ เท่ากับ 1 % คุณต้องมีเงิน เท่ากับ 1,500 เหรียญ อย่างน้อยในบัญชีของคุณ(150,000 เหรียญX 1%) ตอนนี้คุณ ถือครอง position เงินปอนด์ มูลค่า 100,000 ปอนด์ ซึ่งใช้เงินเพียงแค่ 1,500 เหรียญ ถ้าค่าเงินมัน ขึ้นไปอย่างที่คุณคิด และคุณอยากจะซื้อ
• คุณจะปิด position ที่ราคา 1.5050 คุณจะได้ 50 pip หรือราว ๆ 500 เหรียญ( Pip (ปิ๊บ) คือ จำนวนน้อยที่สุด ที่ค่าเงินเคลื่อนไหว หรือ 1 จุดนั่นเอง)
การตัดสินใจของคุณ GBP USD
คุณซื้อเงินปอนด์มูลค่า 100,000 ในคู่เงิน GBP/USD ที่ราคา 1.5000 +100,000 -150,000
หลังจากคุณซื้อได้ซักครู่ มันวิ่งไป 50 จุด ที่ราคา 1.5050 คุณเลยอยากจะขาย -100,000 +150,500**
คุณได้กำไร 500 เหรียญ 0 +500
เมื่อ คุณตัดสินใจที่จะปิด position กำไรขาดทุนก็จะถูกคำนวณ และมันก็จะเอาไปรวมกับบัญชีของคุณ ที่คุณเปิด เรื่องมาร์จิ้นมีรายละเอียดกว่านี้ ตอนนี้ คุณคงพอเข้าใจความหมายของมาร์จิ้นบ้างแล้ว
Rollover
ดอกเบี้ย ค่าเงิน
เรื่อง นี้เกี่ยวกับออร์เดอร์ที่เปิดข้ามคืน จนถึงเวลา "Cut-off time" ปกติประมาณตี 4-5 บ้านเรา จะมีดอกเบี้ยเกิดขึ้น ซึ่งนักเทรดจะได้ หรือจะเสีย เท่าไหร่นั้น ขึ้นอยู่กับ จำนวนมาร์จิ้น ที่คุณถืออยู่ในตลาด ถ้าคุณไม่ต้องการ ดอกเบี้ยนี้ คุณก็ต้องปิดคำสั่งของคุณก่อนจะถึงเวลา ตี 4
เมื่อ ทุกๆ การเทรดค่าเงินนั้นเกี่ยวพันกับการยืมเงิน จากค่าเงินค่าหนึ่ง แล้วนำไปซื้อค่าเงินอีกค่าหนึ่ง ดอกเบี้ยนี้ ก็จะ ถูกชาร์จเข้าไปในการเทรดฟอร์เร็กซ์ ดอกเบี้ยจะถูกจ่ายให้กับค่าเงินที่ถูกยืม และได้รับ ดอกเบี้ยจากค่าเงินที่ถูกซื้อ
ถ้าเทรดเดอร์กำลังซื้อค่าเงินค่า เงินหนึ่ง ที่มีดอกเบี้ยสูงกว่าดอกเบี้ยที่เราต้องเสีย ให้กับคนที่เรายืมมา จะทำให้ ดอกเบี้ย มีผลเป็นบวก (ตัวอย่างเช่น USD/JPY) และเทรดเดอร์จะได้เงินค่าดอกเบี้ยส่วนต่าง เข้าบัญชี คุณสามารถ ถามราย ละเอียด ของ Rollover กับโบรคเกอร์ของคุณ และจำไว้ว่า โบรคเกอร์รายย่อยส่วนมาก จะปรับอัตรา Rollover ซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยที่แตกต่างกัน (เช่น Leverage, อัตรากู้ยืมจาก interbank) คุณอาจจะต้องตรวจสอบ ข้อมูลเรื่อง Rollover ให้ละเอียด ทั้งด้านเครดิต และ เดบิต
ถ้าคุณไม่รู้ว่าอัตราดอกเบี้ยของแต่ละค่า เงิน เท่ากับเท่าไหร่ ภาพนี้จะช่วยให้คุณได้เข้าใจขึ้นบ้าง เป็นภาพของวันที่ 19 เดือน เมษายน ปี 2009
บัญชี Demo
คุณสามารถเปิดบัญชี demo ได้ฟรี แทบจะทุกโบรคเกอร์ ซึ่งบัญชีเดโม จะเหมือนบัญชีจริงทุกอย่าง
ทำไมถึงฟรี?
เพราะ โบรกเกอร์อยากให้คุณใช้โปรแกรมการเทรดของเขาให้คล่อง และถ้าคุณเทรดได้ดี คุณก็จะตกหลุมรัก ฟอร์เร็กซ์ แล้วคุณก็จะอยากฝากเงินจริง บัญชีเดโมจะทำให้คุณเรียนรู้เกี่ยวกับตลาดฟอร์เร็กซ์ได้ง่ายขึ้น และ สามารถทดสอบ ความสามารถ ในการเทรดของคุณได้ โดยที่คุณไม่ต้องเสี่ยง ที่จะเสียเงินเลย
คุณควรจะเทรดบัญชีเดโมอย่างน้อย 3 - 6 เดือน ก่อนที่คุณคิดว่าจะใส่เงินจริงลงไป
ขอย้ำอีกครั้งว่า คุณควรจะเทรด บัญชีเดโม อย่างน้อย 3 - 6เดือน ก่อนที่คุณคิดจะใส่บัญชีเงินจริงของคุณลงไป
(ถ้าเป็นไปได้)
"อย่าเสียเงินของคุณ" ให้พูดออกมา
เอามือของคุณมาแนบกับหน้าอก แล้วก็พูดออกมา....
"ฉันจะเล่นบัญชีจริงเป็นเวลา 3 - 6 เดือนก่อนที่จะเทรดเงินจริง"เอามือของคุณมาแนบกับหน้าอก แล้วก็พูดออกมา....
แล้วเอานิ้วชี้ชี้ไปที่หัวของคุณแล้วบอกว่า...
"ฉันเป็นนักเทรดที่ฉลาดและอดทน"
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaibestforex.com/forex/t625/?/
ความแตกต่างระหว่าง forex กับ หุ้น
Posted by
goodintequila
ความแตกต่างระหว่าง forex กับ หุ้น
ความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่าง ฟอร์เร็กซ์ กับ หุ้น
ความได้เปรียบ Forex หุ้น
เทรดได้ตลอด 24 ชั่วโมง YES NO
ฟรีค่าธรรมเนียมในการเทรด YES NO
สามารถส่งคำสั่งเทรดได้ทันที YES NO
สามารถเล่น Short Sell ได้ YES NO
เทรดได้ 24 ชั่วโมง
ตลาด ฟอร์เร็กซ์ เป็นตลาดที่ไม่มีจุดสิ้นสุด เพราะ เปิดตลอด 24 ชั่วโมง โบรคเกอร์ส่วนมาก เปิดตั้งแต่วันอาทิตย์ เวลา บ่ายสอง จนถึง บ่ายสี่โมงวันศุกร์ (เวลาสหรัฐฯ) แต่ฝ่ายบริการลูกค้าเปิดตลอด 24 ชั่วโมงตลอด 7 วัน ทำให้เรา สามารถเทรดสามตลาดคือ ตลาดสหรัฐฯ ตลาดเอเชีย และตลาดยุโรป สามารถกำหนดตารางการเทรดได้
ฟรีค่าธรรมเนียมในการเทรด
ฟอร์เร็กซ์ โบรคเกอร์ ส่วนใหญ่ไม่มีการชาร์จค่าคอมมิชชั่น หรือ ค่าดำเนินการใด ๆ ในการเทรดค่าเงินออนไลน์ หรือ ทางโทรศัพท์ ถ้ารวมค่าใช้จ่ายต่าง ๆ และค่า spread แล้ว การเทรดฟอร์เร็กซ์ มีต้นทุนในการเทรด ต่ำกว่าตลาดใด ๆ ในโลก โบรคเกอร์ได้รับรายได้จากส่วนต่างของ Bid/Ask ซึ่งก็คือ ค่า Spread นั่นเอง
สามารถส่งคำสั่งเทรดได้ทันที Instantaneous Execution of Market Orders
เมื่อ ส่งคำสั่ง สามารถทำได้ทันทีภายใต้ภาวะตลาดปกติ และได้ราคาที่คุณคิด ดังนั้น เมื่อคลิ๊กที่ราคาไหน ก็จะได้ ราคานั้น เพราะตลาดฟอร์เร็กซ์เป็นระบบเรียลไทม์ จะได้ราคาที่อยากได้ที่แสดงในหน้าจอโปรแกรมเทรด จะเห็นได้ว่า โบรคเกอร์ส่วนใหญ่จะรับประกันเพียงแค่ ออร์เดอร์ Stop , Limit หรือ ออร์เดอร์ที่คุณเข้าเทรดภายใน ภาวะตลาดปกติ เท่านั้น แต่ว่าถ้าเกิดในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนมาก ออร์เดอร์อาจจะมีการล่าช้าบ้าง ทำให้ไม่ได้ราคาที่ตามคิด
สามารถเล่น Short-Selling ได้
ตลาด ฟอร์เร็กซ์ ไม่เหมือนตลาดทุนอื่นๆ ไม่มีกฏเงื่อนไข ใด ๆ ในการส่งคำสั่ง Short selling โอกาสในการเทรด ขึ้นอยู่กับ ภาวะตลาดไม่ว่าเทรดเดอร์จะ Buy หรือ Sell หรือว่าตลาดจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางไหน เพราะเมื่อมี การซื้อ ค่าเงินหนึ่ง ก็ต้องมีการขายอีกค่าเงินหนึ่ง จึงไม่มีผลกระทบอะไรกับตลาด ดังนั้น จึงสามารถส่งคำสั่งได้ตลอด ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่ตลาดกำลังเป็น ขาขึ้น หรือ ขาลง
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaibestforex.com/forex/forex-622/?/
ความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่าง ฟอร์เร็กซ์ กับ หุ้น
ความได้เปรียบ Forex หุ้น
เทรดได้ตลอด 24 ชั่วโมง YES NO
ฟรีค่าธรรมเนียมในการเทรด YES NO
สามารถส่งคำสั่งเทรดได้ทันที YES NO
สามารถเล่น Short Sell ได้ YES NO
เทรดได้ 24 ชั่วโมง
ตลาด ฟอร์เร็กซ์ เป็นตลาดที่ไม่มีจุดสิ้นสุด เพราะ เปิดตลอด 24 ชั่วโมง โบรคเกอร์ส่วนมาก เปิดตั้งแต่วันอาทิตย์ เวลา บ่ายสอง จนถึง บ่ายสี่โมงวันศุกร์ (เวลาสหรัฐฯ) แต่ฝ่ายบริการลูกค้าเปิดตลอด 24 ชั่วโมงตลอด 7 วัน ทำให้เรา สามารถเทรดสามตลาดคือ ตลาดสหรัฐฯ ตลาดเอเชีย และตลาดยุโรป สามารถกำหนดตารางการเทรดได้
ฟรีค่าธรรมเนียมในการเทรด
ฟอร์เร็กซ์ โบรคเกอร์ ส่วนใหญ่ไม่มีการชาร์จค่าคอมมิชชั่น หรือ ค่าดำเนินการใด ๆ ในการเทรดค่าเงินออนไลน์ หรือ ทางโทรศัพท์ ถ้ารวมค่าใช้จ่ายต่าง ๆ และค่า spread แล้ว การเทรดฟอร์เร็กซ์ มีต้นทุนในการเทรด ต่ำกว่าตลาดใด ๆ ในโลก โบรคเกอร์ได้รับรายได้จากส่วนต่างของ Bid/Ask ซึ่งก็คือ ค่า Spread นั่นเอง
สามารถส่งคำสั่งเทรดได้ทันที Instantaneous Execution of Market Orders
เมื่อ ส่งคำสั่ง สามารถทำได้ทันทีภายใต้ภาวะตลาดปกติ และได้ราคาที่คุณคิด ดังนั้น เมื่อคลิ๊กที่ราคาไหน ก็จะได้ ราคานั้น เพราะตลาดฟอร์เร็กซ์เป็นระบบเรียลไทม์ จะได้ราคาที่อยากได้ที่แสดงในหน้าจอโปรแกรมเทรด จะเห็นได้ว่า โบรคเกอร์ส่วนใหญ่จะรับประกันเพียงแค่ ออร์เดอร์ Stop , Limit หรือ ออร์เดอร์ที่คุณเข้าเทรดภายใน ภาวะตลาดปกติ เท่านั้น แต่ว่าถ้าเกิดในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนมาก ออร์เดอร์อาจจะมีการล่าช้าบ้าง ทำให้ไม่ได้ราคาที่ตามคิด
สามารถเล่น Short-Selling ได้
ตลาด ฟอร์เร็กซ์ ไม่เหมือนตลาดทุนอื่นๆ ไม่มีกฏเงื่อนไข ใด ๆ ในการส่งคำสั่ง Short selling โอกาสในการเทรด ขึ้นอยู่กับ ภาวะตลาดไม่ว่าเทรดเดอร์จะ Buy หรือ Sell หรือว่าตลาดจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางไหน เพราะเมื่อมี การซื้อ ค่าเงินหนึ่ง ก็ต้องมีการขายอีกค่าเงินหนึ่ง จึงไม่มีผลกระทบอะไรกับตลาด ดังนั้น จึงสามารถส่งคำสั่งได้ตลอด ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่ตลาดกำลังเป็น ขาขึ้น หรือ ขาลง
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaibestforex.com/forex/forex-622/?/
คุณเล่น forex ได้อย่างไร กำไรหรือขาดทุนมาจากไหน
Posted by
goodintequila
on Friday, April 24, 2015
โดยปกติแล้วท่านเล่น forex ท่านเป็นสกุลเงินเป็นคุ่ แต่ท่านเลือกเล่น EURUSD ท่านทราบหรือป่าวว่าท่าน ซื้อ EUR เพื่อต้องการให้ EUR ชนะ USD
สกุล เงินจะแสดงราคาเป็นคู่เสมอ ทุกรายการเแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ต้อง ซื้อสกุลเงินหนึ่ง และขายอีกสกุลเงินหนึ่งในเวลาเดียวกัน สกุลเงินตัวแรก ที่อยุ่ด้านซ้ายมื่อของเครื่องหมาย ( / ) เรียกว่า Base Currency เป็นสกุลเงินหลัก ( GBP/USD )
อีกตัวอยุ่ด้านขวาของ ( / ) เรียกว่า Counter หรือ Quot Currency (คือเงินดอนล่าร์)
เมื่อ ทำการซื้ออัตราแลกเปลี่ยน จะบอกว่าจะต้องจ่ายกี่หน่วยของ Quot Currency เพื่อที่จะซื้อ Base Currency ต่อหนึ่งหน่วยจากตัวอย่างด้านบนต้องจ่าย 1.51258 ดอนล่าร์ เพื่อที่จะซื้อ 1 ปอนค์ เมื่อทำการขายอัตราแลกเปลี่ยน จะบอกว่าจะจ่ายกีหน่วย ของ Quot Currency เพื่อทำการขาย Base Currency ต่อหนึ่งหน่อย
ช่วงนี้ต้องอ่านหลาย ๆ รอบ นะครับถึงจะเข้าใจ
Bid / Ask bid ราคาจะต่ำกว่าราคา Ask เสมอ
Bid คือ ราคาที่ Dealer กำลังซื้อ Base Currency ในการแลกเปลี่ยน สำหรับ Quot Currency แบบนี้หมายความว่า Bid คือ ราคาที่คุุณจะขาย Sell ( เวลาคุณ Sell จะซื้อที่ราคา Bid ขายที่ราคา Ask )
Ask คือ ราคาที่ Dealer กำลังขาย Base Currency ในการแลกเปลี่ยน เพื่อให้ได้ Quot Currency แบบนี้หมายความว่า Ask คือราคาที่คุณจะซื้อ Buy ( เวลาคุณ buy จะซื้อที่ราคา Ask ขายที่ราคา Bid ) สำหรับการซื้อหรือขาย Buy/Sell ความหมายง่าย ๆ คือ
จะซื้อคู่เงินที่เชื่อว่า Base Currency จะมีอัตราราคาเพิ่มขึ้นกว่า Quot Currency (BUY)
และจะ Sell ในคู่ที่คิดว่า Base Currency จะมีอัตราราคาลดลงกว่า Quot Currency (Sell)
ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://www.thaibestforex.com/forex/forex-524/?/

สกุล เงินจะแสดงราคาเป็นคู่เสมอ ทุกรายการเแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ต้อง ซื้อสกุลเงินหนึ่ง และขายอีกสกุลเงินหนึ่งในเวลาเดียวกัน สกุลเงินตัวแรก ที่อยุ่ด้านซ้ายมื่อของเครื่องหมาย ( / ) เรียกว่า Base Currency เป็นสกุลเงินหลัก ( GBP/USD )
อีกตัวอยุ่ด้านขวาของ ( / ) เรียกว่า Counter หรือ Quot Currency (คือเงินดอนล่าร์)
เมื่อ ทำการซื้ออัตราแลกเปลี่ยน จะบอกว่าจะต้องจ่ายกี่หน่วยของ Quot Currency เพื่อที่จะซื้อ Base Currency ต่อหนึ่งหน่วยจากตัวอย่างด้านบนต้องจ่าย 1.51258 ดอนล่าร์ เพื่อที่จะซื้อ 1 ปอนค์ เมื่อทำการขายอัตราแลกเปลี่ยน จะบอกว่าจะจ่ายกีหน่วย ของ Quot Currency เพื่อทำการขาย Base Currency ต่อหนึ่งหน่อย


Bid / Ask bid ราคาจะต่ำกว่าราคา Ask เสมอ
Bid คือ ราคาที่ Dealer กำลังซื้อ Base Currency ในการแลกเปลี่ยน สำหรับ Quot Currency แบบนี้หมายความว่า Bid คือ ราคาที่คุุณจะขาย Sell ( เวลาคุณ Sell จะซื้อที่ราคา Bid ขายที่ราคา Ask )
Ask คือ ราคาที่ Dealer กำลังขาย Base Currency ในการแลกเปลี่ยน เพื่อให้ได้ Quot Currency แบบนี้หมายความว่า Ask คือราคาที่คุณจะซื้อ Buy ( เวลาคุณ buy จะซื้อที่ราคา Ask ขายที่ราคา Bid ) สำหรับการซื้อหรือขาย Buy/Sell ความหมายง่าย ๆ คือ
จะซื้อคู่เงินที่เชื่อว่า Base Currency จะมีอัตราราคาเพิ่มขึ้นกว่า Quot Currency (BUY)
และจะ Sell ในคู่ที่คิดว่า Base Currency จะมีอัตราราคาลดลงกว่า Quot Currency (Sell)
ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://www.thaibestforex.com/forex/forex-524/?/
การใช้ Pending Order
Posted by
goodintequila
Labels:
Ask,
Bid,
Buy Limi,
Buy Stop,
Pending Order,
Sell Limit,
Sell Stop
/
ความรู้เรื่อง การใช้ Pending Order ที่หลายๆ คนงงกันมาก,
ผมตั้งใจทำคำอธิบายให้อย่างดี และยกกรณีตัวอย่างชัดๆ
ใส่กรณีที่คิดว่าอยากใช้ด้วย, จะได้เข้าใจกันชัดๆ
Buy Stop คือสั่งซื้อไว้ เมื่อราคาที่อยากซื้อ อยู่สูงกว่า ราคาปัจจุบัน, (เปิดตามเทรนด์) ใช้ในกรณีที่คิดว่า ราคาจะวิ่งขึ้นต่ออีกไกล ถ้าทะลุแนวต้านนั้นขึ้นมาได้
Sell Limit คือสั่งขายไว้ เมื่อราคาที่อยากขาย สูงกว่า ราคาปัจจุบัน, (เปิดสวนเทรนด์) ใช้ในกรณีที่คิดว่า ราคาขึ้นมาเกือบสุดแล้ว อยากจะเข้า Sell ที่ยอดดอย
Buy Limit คือสั่งซื้อไว้ เมื่อราคาที่อยากซื้อ ต่ำกว่า ราคาปัจจุบัน, (เปิดสวนเทรนด์) ใช้ในกรณีที่คิดว่า ราคาลงเกือบสุดแล้ว อยากจะเปิด Buy ที่ก้นเหว
Sell Stop คือสั่งขายไว้ เมื่อราคาที่อยากขาย อยู่ต่ำกว่า ราคาปัจจุบัน (เปิดตามเทรนด์) ใช้ในกรณีที่คิดว่า ราคาจะลงต่ออีกไกล ถ้าทะลุแนวรับนั้นลงไปได้
ตัวอย่าง (ในภาพ ราคาปัจจุบัน จะมีทั้งราคา Bid และ Ask จึงมี 2 เส้น)
ถ้าราคาปัจจุบันเป็น 1.31160 แล้วต้องการซื้อที่ 1.31230 ให้ตั้งเป็น Buy Stop
ถ้าราคาปัจจุบันเป็น 1.31160 แล้วต้องการ sell ที่ 1.31200 ให้ตั้งเป็น Sell Limit
ถ้าราคาปัจจุบันเป็น 1.31160 แล้วต้องการ buy ที่ 1.31130 ให้ตั้งเป็น Buy Limit
ถ้าราคาปัจจุบันเป็น 1.31160 แล้วต้องการขายที่ 1.31100 ให้ตั้งเป็น Sell Stop
ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://www.thaibestforex.com/forex/pending-order/?/
Buy Stop คือสั่งซื้อไว้ เมื่อราคาที่อยากซื้อ อยู่สูงกว่า ราคาปัจจุบัน, (เปิดตามเทรนด์) ใช้ในกรณีที่คิดว่า ราคาจะวิ่งขึ้นต่ออีกไกล ถ้าทะลุแนวต้านนั้นขึ้นมาได้
Sell Limit คือสั่งขายไว้ เมื่อราคาที่อยากขาย สูงกว่า ราคาปัจจุบัน, (เปิดสวนเทรนด์) ใช้ในกรณีที่คิดว่า ราคาขึ้นมาเกือบสุดแล้ว อยากจะเข้า Sell ที่ยอดดอย
Buy Limit คือสั่งซื้อไว้ เมื่อราคาที่อยากซื้อ ต่ำกว่า ราคาปัจจุบัน, (เปิดสวนเทรนด์) ใช้ในกรณีที่คิดว่า ราคาลงเกือบสุดแล้ว อยากจะเปิด Buy ที่ก้นเหว
Sell Stop คือสั่งขายไว้ เมื่อราคาที่อยากขาย อยู่ต่ำกว่า ราคาปัจจุบัน (เปิดตามเทรนด์) ใช้ในกรณีที่คิดว่า ราคาจะลงต่ออีกไกล ถ้าทะลุแนวรับนั้นลงไปได้

ตัวอย่าง (ในภาพ ราคาปัจจุบัน จะมีทั้งราคา Bid และ Ask จึงมี 2 เส้น)
ถ้าราคาปัจจุบันเป็น 1.31160 แล้วต้องการซื้อที่ 1.31230 ให้ตั้งเป็น Buy Stop
ถ้าราคาปัจจุบันเป็น 1.31160 แล้วต้องการ sell ที่ 1.31200 ให้ตั้งเป็น Sell Limit
ถ้าราคาปัจจุบันเป็น 1.31160 แล้วต้องการ buy ที่ 1.31130 ให้ตั้งเป็น Buy Limit
ถ้าราคาปัจจุบันเป็น 1.31160 แล้วต้องการขายที่ 1.31100 ให้ตั้งเป็น Sell Stop
ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://www.thaibestforex.com/forex/pending-order/?/
เราจะทำเงินด้วยการเทรด Forex ได้อย่างไร
Posted by
goodintequila
on Thursday, September 11, 2014
คุณจะทำเงินด้วยการเทรด Forex ได้อย่างไร
ใน ตลาดฟอเร็กซ์ คุณจะซื้อหรือขายสกุลเงินนั้นเป็นเรื่องที่ง่าย เครื่องมือของการเทรดคล้ายๆกันซึ่งหาได้จากตลาดอื่นๆ เช่นตลาดหุ้น ดังนั้นเมื่อคุณมีประสบการณ์ในการเทรด คุณน่าจะมีความสามารถที่จะทำกำไรได้เร็วขึ้น
วัตถุ ประสงค์ของการเทรดฟอเร็กซ์คือ การแลกเปลี่ยนสกุลหนึ่งเพื่อให้ได้อีกสกุลเงินหนึ่งและคาดหวังว่าราคาจะ เปลี่ยนแปลง นั้นหมายความว่า สกุลเงินที่คุณได้ซื้อจะต้องมีค่าเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับสกุลเงิน หนึ่งที่คุณขาย
ตัวอย่างของการทำเงินจากการซื้อสกุลเงินยูโร (euros)

อัตรา แลกเปลี่ยนอัตราส่วนง่ายของสกุลเงินหนึ่งเทียบเงินสกุลเงินอื่นๆ ตัวอย่างเช่น อัตราแลกเปลี่ยนของ USD/CHF บ่งชี้ว่า กี่ดอลล่าร์สหรัฐ จึงจะซื้อ 1 Swiss francs ได้ หรือ กี่ ฟรังส์สวิส จึงจะซื้อ หนึ่งดอลล่าร์ ได้
คุณจะอ่านราคา Forex ได้อย่างไร
สกุล เงินแสดงราคาเป็นคู่เสมอ เช่น GBP/USD หรือ USD/JPY เหตุผลที่แสดงราคาเป็นคู่ๆ ก็เพราะว่าในทุกๆรายการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศคุณต้องซื้อสุกลเงิน หนึ่งและขายอีกสกุลหนึ่งๆ ในเวลาเดียวกัน นี่คือตัวอย่างของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศของ ค่าเงินปอนด์(GBP) เทียบกับค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐ(USD)
GBP/USD=1.7500
สกุล เงินตัวแรกที่อยู่ด้านซ้ายมือของเครื่องหมาย สแลซ (Slash /) จะเรียกว่า Base Currency สกุลเงินหลัก ในตัวอย่างนี้ก็คือค่าเงินปอนด์ (GBP) ขณะที่อีกหนึ่งตัวที่อยู่ด้านขวาของสแลซ ถูกเรียกว่า Counter หรือ quot currency ในตัวอย่างนี้ก็คือ ค่าเงินดอลล่าสหรัฐ(USD)
เมื่อ คุณทำการซื้อ อัตราแลกเปลี่ยนจะบอกคุณว่า คุณจะต้องจ่ายกี่หน่วยของ quote currency เพื่อที่จะซื้อ Base currency ต่อหนึ่งหน่วย จากตัวอย่างด้านบน คุณต้องจ่าย 1.7500 ดอลล่าร์เพื่อที่จะซื้อ 1 ปอนด์
เมื่อคุณทำการขาย อัตราแลกเปลี่ยนก็จะบอกคุณว่า คุณจะจ่ายกี่หน่วยของ Quote currency เพื่อทำการขาย Base currency ต่อหนึ่งหน่วย จากตัวอย่างด้านบน คุณจะได้รับ 1.7500 U.S ดอลล่าร์ เมื่อคุณขาย 1 ปอนด์
ค่าเงินหลัก ตัวหน้า (Base currency) คือ (basis) ส่วนสำคัญ สำหรับการซื้อ หรือ ขาย ถ้าคุณซื้อ EUR/USD ความหมายง่ายๆก็คือคุณกำลังซื้อ base curency และกำลังขาย quote currency ในเวลาเดียวกัน
คุณจะซื้อคู่เงินที่คุณเชื่อ ว่า Base Currency จะมีอัตราราคาเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับ quote currency และคุณจะเซลคู่ที่คุณคิดว่า base currency นั้นมีอัตราของราคาลดลงเมื่อเทียบกับ quote currency
Long/Shot
ก่อนอื่น คุณต้องรู้ว่า คุณต้องการซื้อ(Buy) หรือ ว่าขาย(Sell)
ถ้า คุณต้องการที่จะซื้อ คุณต้องการให้ Base Currency มีค่ามากขึ้นแล้วคุณจะขายมันที่ราคาสูงกว่า แบบนี้เรียกว่า “going long “ หรือเรียกว่า Long position และจำไว้ว่า Long =Buy
ถ้าคุณต้องการที่จะ ขาย (Sell) คุณต้องการให้ราคา Base Currency ลดลง แล้วคุณจะซื้อ Buy มันกลับที่ราคาต่ำกว่าเดิม แบบนี้เรียกว่า Going Short หรือ เรียกว่า Short position และจำไว้ว่า Short=Sell
Bid/Ask Spread
ในตารางแสดงราคาฟอเร็กจะประกอบด้วย Bid และ Ask ราคา Bid จะต่ำกว่าราคา Ask เสมอ
Bid คือราคาที่ Dealer กำลังจะซื้อ Base Currency ในการแลกเปลี่ยนสำหรับ Quote Currency แบบนี้หมายความว่า Bid ก็คือราคาที่คุณจะขาย (sell)
Ask คือราคาที่ Dealer กำลังจะขาย Base Currency ในการแลกเปลี่ยนเพื่อให้ได้ Quote Currency แบบนี้หมายความว่า Ask คือราคาที่คุณจะซื้อ (Buy)
ส่วนต่างระหว่าง ราคา Bid และ Ask ส่วนใหญ่จะรู้จักกันดี หรือที่เรียกว่า Spread
มาดูตัวอย่างของตารางแสดงราคา

Spead bid-ask
นี่
คือ ตารางแสดงราคาของคู่เงิน GBP/USD ราคาบิดคือ 1.7445 และราคา ask คือ
1.7449 ถ้าคุณต้องการที่จะ Sell GBP คุณก็กด Sell
แล้วคุณก็เซลเงินปอนด์ที่ราคา 1.7445 ถ้าคุณต้องการที่จะ Buy GBP คุณ
Click Buyแล้วคุณก็ได้บายเงินปอนด์ในราคา 1.7449 จากตัวอย่างนี้
คุณจะต้องวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจว่าจะ บาย หรือจะ
เซล คู่เงินนั้นๆ
ถ้าคุณรู้สึกเบื่อกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานให้คุณผ่านขึ้นตอนนี้ไปได้
เลยEUR/USD
ในตัวอย่างนี้ EURO เป็น Base Currency และเป็นรากฐานที่สำคัญสำหรับการ Buy/Sell
ถ้า คุณเชื่อว่าเศรษฐกิจของสหรัฐจะอ่อนค่ามากๆ ซึ่งเป็นข่าวร้ายสำหรับ US ดอลล่าร์ คุณก็ดำเนินการ Buy EUR/USD ได้ ในระหว่างคุณซื้อยูโรไปแล้วในความคาดหมายของคุณ Euro จะต้องเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับ US ดอลล่า
แต่ถ้าคุณเชื่อว่าเศรษฐกิจของสหรัฐดี มากๆ และยูโรอ่อนค่ามากๆเมื่อเทียบกับ ดอลล่าสหรัฐ จะดำเนินการ Sell EUR/USD ได้เลย ในระหว่างที่คุณ Sell ตามการคาดการณ์ว่า พวกเราจะต้องร่วง เมื่อเทียบกับ US ดอลล่าร์
USD/JPY
ในตัวอย่างนี้ ค่าเงินดอลล่าสหรัฐ (USD) เป็น Base Currency และ ดังนั้น จึงเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการ Buy/Sell
ถ้า คุณเชื่อว่า นักลงทุนญี่ปุ่่นกำลังดึงเงินออกจากสถาบันการเงินของสหรัฐ และเปลี่ยนจาก US ดอลล่าร์เป็นค่าเงิน เยน ของพวกเราแล้ว นี่คือ สิ่งที่เลวร้ายของ US ดอลล่า คุณดำเนินการ Sell USD/JPY ได้ทันที โดยการกระทำการ Sell US ดอลล่าร์ของคุณโดยการคาดการณ์ที่ว่า พวกเราจะต้องร่วงเมื่อเทียบกับค่าเงินเยนของญี่ปุ่น
GBP/USD
ในตัวอย่างนี้ GBP เป็น Base Currency แล้วมีความสำคัญต่อการ Buy/Sell
ถ้า คุณคิดว่าเศรษฐกิจของอังกฤษโตกว่าเศรษฐกิจสหรัฐ คุณก็ดำเนินการเปิดออเดอร์ Buy ได้ การ Buy ปอนด์ โดยการคาดการณ์ที่ว่า พวกเขาต้องมีค่าเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับดอลล่าสหรัฐ
USD/CHF
ในตัวอย่างนี้ USD เป็น Base Currency ดังนั้นจึงมีความสำคัญในการ Buy/Sell
ถ้า คุณเชื่อว่า ฟรังค์สวิส มีค่ามากเกินไป ให้คุณเปิดออเดอร์ Buy ได้ โดยการกระทำการ Buy Us ดอลล่าร์ของคุณหวังว่าพวกเราจะเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเมื่อเทียบกับฟรังค์ สวิส แต่ถ้าคุณเชื่อว่า ตลาดบ้าน สหรัฐ เกิดภาวะฟองสบู่แตกซึ่งเป็นสิงเลวร้ายสำหรับการเจริญเติบโตของเศรญฐกิจสหรัฐ ทำให้ค่าเงินดอลล่าอ่อนตัว คุณสามารถดำเนินการเปิดออเดอร์ Sell USD/CHF ได้เลย และคาดการณ์ว่าพวกเราจะต้องร่วงเมื่อเทียบกับค่าเงิน Swiss franc
Demo Account (บัญชีเงินปลอม)
คุณ สามารถเปิดบัญชีเงินปลอมได้ฟรีได้ทุกๆโบรกเกอร์ บัญชีนี้มีการบรรจุของบัญชีจริงอยู่ด้วย ทำไมถึงฟรี ก็เพราะว่า ทางโบรกเกอร์ต้องการให้คุณเรียนรู้ จากภายในและภายนอกของโปรแกรมการเทรดของ พวกเขาและถ้าเป็นเวลาอันดีและไม่มีความเสี่ยง และเมื่อคุณตกหลุมรักกับโปรแกรมเทรดและระบบของเขา คุณก็ลงทุนด้วยเงินจริง บัญชีเงินปลอมนี้สามารถทำให้คุณเรียนรู้เกี่ยวกับตลาด Forex และสามารถทดสอบความสามารถและทักษะในการเทรดของคุณโดยไม่มีความเสี่ยง
“คุณควรที่จะเทรดบัญชีเงินปลอมก่อนอย่างน้อยหกเดือนก่อนที่คุณคิดอย่างระเอียดรอบคอบว่าจะใส่เงินจริงของคุณลงไป”
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaibestforex.com/forex/forex-563/?/