RSS
Showing posts with label sideway. Show all posts
Showing posts with label sideway. Show all posts

สภาพแวดล้อมในตลาด

สภาพแวดล้อมในตลาด
เปรียบเทียบระหว่าง ชายคนสองคนที่ไปรบในสงคราม ชายที่โง่จะรีบเปิดศึกโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ ไม่มีการวางแผน เหมือนคนที่หิวโหยและรีบกินทุกอย่างที่ขวางหน้าในงานเลี้ยงบุฟเฟ่ต์ ส่วนคนฉลาดจะวิเคราะห์สถานการณ์ก่อน เพื่อให้รู้ถึงสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่ว่าเป็นอย่างไร เพื่อให้รู้ว่าตนเองควรจะสู้อย่างไร
ในการเทรดก็เหมือนการทำศึกในสงคราม เราควรจะรู้ว่าสภาวะในตลาดเป็นแบบไหนก่อนที่จะเริ่มวางแผนว่าจะเทรดอย่างไร ดี เทรดเดอร์บางคนหงุดหงิดและบอกว่า ระบบเทรดที่ใช้ไม่ดี ในความเป็นจริงระบบเทรดที่ใช้บางครั้งมันก็ใช้การไม่ได้ แต่ในบางครั้งมันก็ทำกำไรให้อย่างมากมาย ซึ่งนั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าเราได้ใช้ระบบเทรดที่เหมาะสมกับสภาพตลาดในขณะนั้นๆ
สำหรับ เทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์ช่ำชองแล้ว พวกเขาจะพยายามหากลยุทธ์ที่เหมาะสมเพื่อใช้ในการเทรดสำหรับสภาพแวดล้อมของ ตลาดในปัจจุบัน เช่น เวลานี้ควรจะใช้ Fibonacci เพื่อหาโซนปรับตัวของราคา (Retracement) หากราคาวิ่งเป็นเทรน หรือว่าราคาวิ่งอยู่ในกรอบราคา (Rang Holding) แล้วเราควรจะเล่นอย่างไรในสถานการณ์ตลาดที่แตกต่างกัน การที่เรารู้ว่าสภาวะตลาดเป็นเช่นไรทำให้เราสามารถเลือกกลยุทธ์ และระบบเทรดที่เหมาะสมกับสภาพตลาดในขณะนั้น
ดังนั้นเทรดเดอร์ควรจะมีระบบ เทรดของตัวเองมากกว่า 1 ระบบ เพื่อรองรับกับสภาวะตลาดที่แตกต่างกัน และไม่ต้องกลัวว่าคุณจะไม่ได้ใช้ระบบเทรดใดระบบหนึ่ง เพราะในตลาด Forex เราจะพบสภาวะตลาดที่ราคาวิ่งในกรอบราคา (Rang) และ วิ่งเป็นเทรน (trending) ในทุกรอบเวลา (Time Frame) และถ้าคุณใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมแล้วก็จะช่วยให้คุณสามารถเลือกใช้เครื่องมือ (Indicators) ที่มีมาใช้ได้อย่างง่ายดาย ยกตัวอย่างเช่น Fibos และ Trend line จะมีประโยชน์มากในตลาดที่เป็นเทรน ขณะที่ Pivot Point และเส้นแนวรับแนวต้านของ Pivot Point จะใช้งานได้ดีมากเมื่อราคาวิ่งอยู่ในกรอบ
สภาพแวดล้อมของตลาดแบ่งได้เป็น 3 แบบคือ

    ตลาดขาขึ้น (Trend Up)
    ตลาดขาลง (Trend Down)
    วิ่งในกรอบราคา ( Ranging หรือ Sideway)


ตลาดที่เป็นเทรน (Trending market)
ตลาด ที่เป็นเทรน คือ การที่ราคาวิ่งไปในทิศทางเดียวกัน และแน่นอนว่าอาจจะมีบางช่วงที่ราคาวิ่งสวนทางกับเทรน แต่ถ้าพิจารณาในกรอบราคาที่ใหญ่กว่า ก็จะเห็นว่าการวิ่งสวนทางเหล่านั้นเป็นการปรับตัวของราคา


Trending Market


ปรกติ เราจะสังเกตเทรนขาขึ้นได้จาก "จุดสูงสุดและจุดต่ำสุดใหม่ที่ยกตัวสูงขึ้น (Higher High , Higher Low)" และเทรนขาลงก็จะเป็น "จุดสูงสุดและต่ำสุดใหม่ที่ปรับตัวต่ำลง (Lower High, Lower Lows) "
กลยุทธ์ การซื้อขายสำหรับเวลาท่ตลาดเป็นเทรน เทรดเดอร์ส่วนใหญ่มักจะเลือกเทรดในสกุลเงินหลัก เพราะแนวโน้มของคู่เงินเหล่านี้จะมีสภาพคล่องสูง เพราะสภาพคล่องเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับกลยุทธ์การเทรดตามแนวโน้ม สภาพคล่องยิ่งมากก็ยิ่งทำให้มีการเคลื่อนที่ของราคามากขึ้นเท่านั้น

ADX ในตลาดที่เป็นเทรน
ADX คือ Average Directional Index indicator  ในบางโปรแกรมอาจเป็น Average Directional Movement Index indicator แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนหลักการใช้ก็จะเหมือนกัน ADX นี้ถูกพัฒนาโดย J. Welles Wilder  เป็น Oscillator พื้นฐานอีกตัวที่จะติดมากับโปรแกรมเทรด (MT4)  ตัวบ่งชี้มีระดับอยู่ระหว่าง 0-100 ใช้เพื่อตรวจสอบความแข็งแรงของแนวโน้ม ไม่เหมือนกับการทำงานของ Stochastic ที่จะบอกเราว่าเมื่อไหร่เทรนเป็นขาขึ้นหรือขาลง แต่ ADX จะบอกเราว่าแนวโน้มในขณะนี้แข็งแรงหรือว่าอ่อนแอ ในหลักการทำงานทั่วไปถ้า ADX อยู่ต่ำกว่าระดับ 20 หมายความว่าแนวโน้มหรือเทรนนั้นๆ กำลังอ่อนแอ แต่ถ้า ADX อยู่เหนือระดับ 50 นั่นหมายถึงแนวโน้มที่แข็งแกร่ง
ถ้า ADX อยู่เหนือระดับ 25 โดยปรกติแล้วมักจะแสดงให้เห็นว่าราคามีแนวโน้ม หรือราคาอยู่ในแนวโน้มที่แข็งแกร่งอยู่แล้วในขณะนี้ ยิ่งอยู่ในระดับที่สูงขึ้น ก็หมายถึงแนวโน้มที่แข็งแกร่งขึ้น แต่ ADX เป็นตัวชี้วัดที่ให้สัญญาณช้ากว่าอย่างอื่น ซึ่งหมายความว่ามันไม่จำเป็นในการใช้ทำนายอนาคต และมันยังเป็นตัวบ่งชี้ที่ไม่มีทิศทางซึ่งหมายความว่ามันจะรายงานออกมาเป็น ตัวเลขที่บอกถึงระดับความแข็งแกร่งของแนวโน้มเท่านั้น ลองดูตัวอย่างนี้ เห็นได้ชัดว่าราคามีแนวโน้มปรับตัวลดลงแม้ว่า ADX มากกว่า 25


 Moving Average ในตลาดที่เป็นเทรน
นอก จาก ADX แล้ว เรายังสามารถให้ Simple Moving Average ในการตรวจสอบแนวโน้มของราคาได้อีกด้วย ลองใส่ SMA 7,20 และ 65 เข้าไปในกราฟของคุณ แล้วรอให้เส้น SMA ทั้งสามเส้นวิ่งมารวมกันแล้วกระจายออกจากกัน ถ้า SMA ที่มีค่าน้อย กระจายออกมาอยู่เหนือเส้นที่มีค่ามาก คือ SMA7,20 และ 65 ไล่กันลงมาตามลำดับ นั่นหมายถึงแนวโน้มขาขึ้น


ใน ทางกลับกัน ถ้า SMA ที่มีค่าน้อยกลับลงมาอยู่ต่ำกว่าเส้นที่มีค่ามากกว่า คือ SMA 7,20 และ 65 เรียงตัวไล่กันขึ้นไปตามลำดับ นั่นแสดงถึงแนวโน้มขาลง


 Bollinger Band ในตลาดที่เป็นเทรน
แถบ ของ Bollinger Band ปรกตินั้นจะมีค่าเบี่ยงแบนมาตรฐานตามสูตรอยู่แล้ว แต่วิธีการที่จะใช้มันเพื่อหาแนวโน้มคือ ใส่ Billinger band มีมีค่ามาตรฐาน (Standard deviation 1) และใส่ Bollinger Band อีกอันโดยตั้งค่า Deviation เป็น 2
Sell Zone คือ บริเวณที่อยู่ระหว่าง Band ทั้งสองอัน (DS1 และ SD2) ที่อยู่ด้านล่าง จำไว้ว่า ราคาควรจะต้องปิดอยู่ในระหว่างพื้นที่ตรงนี้จึงจะพิจารณาในการ Sell
และ Buy Zone คือ พื้นที่ระหว่าง Band ทั้งสองอันเหมือนกับ Sell Zone แต่จะอยู่ด้านบน และราคาจะต้องปิดตัวในระหว่างพื้นที่ของทั้งสอง Band นี้ จึงจะพิจารณาว่าเป็น Buy Zone
และราคาในระหว่างพื้นที่ของ Band ที่เซทค่า SD1 นั้นเป็นช่วงที่ราคาเกาะตัวกันเป็น Sideway ราคาจะปิดตัวในระหว่างพื้นที่นี้ เป็นช่วงที่ไม่น่าเล่น


 ราคาที่วิ่งในกรอบราคา (Sideway หรือ Ranging Market)
Ranging Market คือ สภาวะที่ราคาวิ่งระหว่างกรอบราคาสูงสุด และต่ำสุด ตรงระดับราคาสูงสุดจะทำหน้าที่เป็นแนวต้าน และราคาต่ำสุดจะเป็นแนวรับ และราคาวิ่งอยู่ในกรอบราคานี้เป็น Sideway ไม่สามารถทะลุออกไปนอกกรอบได้ ในกรณีแบบนี้ เราอาจใช้เส้น Horizontal Line มาวางไว้เพื่อดูแนวรับแนวต้านของกรอบราคาได้ง่ายขึ้น


 ADX ใน Ranging Market
ก็ เหมือนกับที่เราได้กล่าวไปแล้วในข้างต้นว่า ถ้า ADX อยู่ต่ำกว่าระกับ 25 นั่นก็หมายความว่า แนวโน้มของราคามีความอ่อนแอ และนั่นก็คือ ตลาดที่เป็น Ranging Market หรือ ตลาด Sideway นั่นเอง แต่อย่าลืมว่า ยิ่ง ADX มีค่าน้อยลงเท่าไหร่ ก็หมายถึงตลาดแนวโน้มหรือเทรนยิ่งอ่อนแอมากเท่านั้น


 Bollinger Band ใน Ranging Market
Bollinger Band จะหุบแคบลงเมื่อมีความผันผวนในตลาดน้อย และจะขยายขึ้นเมื่อมีความผันผวนมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ Bollinger Band เป็นเครื่องมือที่ดีสำหรับกลยุทธ์แบบ Breakout
เมื่อ Bollinger Band หุบแคบลงนั่นหมายถึงตลาดมีความผันผวนต่ำ และราคาน่าที่จะเคลื่นไหวเพียงเล็กน้อยไปในทิศทางเดียวกัน อย่างไรก็ตาม เมื่อ Band เริ่มที่จะขยายกว้างขึ้น ก็หมายถึงความผันผวนที่มีมากขึ้นและราคาจะไม่วิ่งไปในทิศทางเดียวกัน



 โดย ทั่วไปช่วงราคาจะมีช่วงที่แคบเมื่อเทียบกับ เวลาที่ Band ขยายใหญ่ หรือการใช้เส้น Horizontal Line เป็นแนวรับแนวต้าน อย่างกรณีในภาพตัวอย่าง จะเห็นได้ว่ากรอบราคาแคบมาก
แนวคิดพื้นฐานในการเทรดในตลาดที่ราคาวิ่ง อยู่ในกรอบแบบนี้ คือ การซื้อต่ำที่ใกล้กับแนวรับ และปิดทำกำไรเมื่อราคาวิ่งมาที่แนวต้าน และขายในราคาที่สูงให้ระดับกับแนวต้าน และปิดทำกำไรที่ระดับแนวรับ และเครื่องมือที่เป็นที่นิยมมากที่สุดคือ เส้น Horizontal Line และ Bollinger Band
นอกจากนี้ การใช้ Oscillators อย่าง Stochastic และ RSI จะช่วยคุณหาและยืนยันจุดกลับตัวของราคาในกรอบราคาได้ง่ายขึ้น อย่างเช่นการใช้เงื่อนไข Over bought และ Oversold


 Bonus Tip: การเทรดโดยใช้กลยุทธ์แบบ Range-Bound (การกลับตัวในกรอบราคา) นี้ ไม่เหมาะที่จะใช้กับคู่เงินที่มีสกุลเงิน USD ร่วมอยู่ด้วย คู่เงินที่เป็นที่นิยมเทรดแบบนี้คือ EUR/CHF เพราะอัตราการเติบโตของสหภาพยุโรปและสวิสเซอรืแลนด์มีความใกล้เคียงกันมาก ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนของทั้งสองสกุลมีเสถียรภาพมาก จึงเหมาะกับการเทรดโดยใช้กลยุทธ์นี้เป็นอย่างมาก
ข้อสรุป ตลาดมีความหลากหลาย และไม่ว่าตลาดอยู่ในสภาวะไหน มีแนวโน้ม (Trending Market ) หรือว่าราคาวิ่งอยู่ในกรอบราคาแบบ Sideway (Ranging Market) ก็ตาม คุณก็ควรเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับตลาดในขณะนั้นๆมาใช้ให้เกิดประโยชน์ตาม จังหวะของตลาด

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/t674/?/

สร้างระบบเทรดตามเทรนง่ายๆด้วย EMA200

อย่าง ที่เรารู้กันดีว่า คุณสมบัติพื้นฐานที่ควรจะมีอย่างหนึ่งของระบบเทรดที่ดี คือ ใช้ง่าย ดูง่าย ไม่ซับซ้อน ในบทความก่อนหน้าเราได้แนะนำให้ท่านได้รู้จักกับหลักการทำงานและเทคนิคเล็กๆ น้อยๆในการวิเคราะห์กราฟด้วย EMA200 กันไปแล้ว ในบทนี้เราก็มาแนะนำการสร้างระบบเทรดแบบง่ายๆ ด้วย EMA200 กับเครื่องมือพื้นฐานที่มีมากับโปรแกรมเทรดทั่วไป

เทรดด้วย EMA200 กับ MACD
ถ้า พูดถึง MACD คงไม่มีเทรดเดอร์คนไหนที่ไม่รู้จัก MACD เป็นเครื่องมือที่คลาสสิคตลอดกาล เป็นที่นิยมกันมากไม่ว่าจะเป็นเทรดเดอร์รุ่นเล็กหรือรุ่นใหญ่ กลักการทำงานโดยทั่วไปของ MACD สามารถเข้าไปดูได้ที่บทความเรื่อง MACD ในส่วนนี้เราจะใช้เครื่องมือ 2 อย่างคือ EMA200 และ MACD เซทค่าพื้นฐานคือ 12,26,9
รูปแบบการเทรดแบบแรก คือ การเทรดเมื่ออยู่ในเทรนที่ชัดเจน  จากภาพตัวอย่าง EMA200 บอกเราว่าราคาอยู่ในเทรนขาลง แล้วเราใช้สัญญาณจาก MACD เพื่อระบุจุดเข้า- ออก ออเดอร์ของเรา พิจารณาจากภาพตัวอย่างต่อไปนี้


สร้างระบบเทรดตามเทรนง่ายๆด้วย EMA200

ตาม ตัวอย่างเป็นราคาอยู่ในเทรนขาลง เราจะเข้าเซลอย่างเดียว (เทรดตามเทรน) และจะเข้าเมื่อ Histoream ของ MACD ปรับตัวลดลงต่ำกว่าระดับของเส้น MA หรือ เราอาจจะรอให้ Histogram ลงไปอยู่ต่ำกว่าระดับ Zero Line ก็ได้ ซึ่งนั่นจะเป็นการยืนยันว่าลงแน่ๆแล้ว แต่โดยส่วนตัวแล้วจะไม่รอค่ะ จะเข้าตั้งแต่จังหวะแรกตามภาพ และเมื่อมีการยืนยันก็จะเปิดออเดอร์ซ้ำเข้าไปอีกค่ะ แต่เทรดเดอร์บางคนที่เคร่งครัดมากๆ ก็จะรอให้มีการยืนยันก่อนจึงค่อยเข้า และการออกจากออเดอร์ เราจะออกเมื่อ Histogram ของ MACD ปรับระดับขึ้นไปอยู่เหนือเส้น MA เป็นการออกแบบเซฟกำไรค่ะ จะเข้าออเดอร์ใหม่เมื่อมีสัญญาณรอบใหม่ ส่วนในการเทรดเมื่อเป็นเทรนขาขึ้นก็ใช้หลักการเทรดอย่างเดียวกัน ลองพิจารณาภาพตัวอย่างค่ะ


สร้างระบบเทรดตามเทรนง่ายๆด้วย EMA200

เมื่อ ราคาเป็น Sideway ราคาจะวิ่งคอลเคลียอยู่กับเส้น EMA 200 ที่แทบจะไม่มีความชันเลย และ Histogram ของ MACD ก็แคบ และน้อยมาก ดังนั้นเราจะรอ ให้ ราคาตัดผ่านเส้น EMA200 อย่างชัดเจน และ Histogram ของ MACD มีขนาดกว้างขึ้น และอยู่สูงกว่าเส้น MA (ในกรณีที่เป็นเทรนขาขึ้นตามภาพตัวอย่าง)


เทรดด้วย EMA200 กับ MACD

ลักษณะ ของเทรนที่อ่อนแอ นอกจากจะสังเกตได้จากความชันของ EMA200 แล้ว เรายังสามารถดูสัญญาณยืนยันความอ่อนแอของเทรนได้จาก MACD ด้วย ในภาพตัวอย่าง เป็นการยืนยันเทรนที่อ่อนแอด้วยสัญญาณ Divergence ของ MACD เป็นการเตือนให้เราเตรียมตัวออกจากออเดอร์บาย และมีแนวโน้มว่าจะเปลี่ยนเทรนในเร็วๆนี้


Divergence

แต่ นอกจาก Divergence จะเตือนเราว่าจะมีการเปลี่ยนแนวโน้มแล้ว ในบางครั้งก็อาจจะเป็นแค่สัญญาณการพักตัวของเทรนที่อ่อนแอ ก่อนที่จะมีแรงไปต่อในทิศทางเดิม ดังนั้นเราก็ควรจะมีการวางแผนรับมือที่ดีเพื่อรองรับเหตุการณ์ที่อาจจะเกิด ขึ้นด้วย

การเทรดด้วย EMA200 และ Parabolic SAR
Parabolic SAR เป็นเครื่องมือพื้นฐานอีกตัวหนึ่ง หลักการทำงานโดยทั่วไปคือบอกแนวโน้มและจุดที่จะมีการเปลี่ยนแนวโน้มได้ ด้วยจุดไข่ปลาเล็กๆที่เรียงกัน ถ้าจุดไข่ปลาอยู่ด้านบนจะแสดงถึงแนวโน้มขาลง และถ้าสุดไข่ปลาอยู่ด้านล่างก็แสดงถึงแนวโน้มขาขึ้น จุดไข่ปลานี้จะเรียงต่อกันไปตามโมเมนตัมของราคาเหมือนเป็นแนวรับแนวต้าน ธรรมชาติของราคา ตัวอย่างเช่น ถ้าราคากำลังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น SAR จะเป็นจุดไข่ปลาที่เรียงตัวต่อกันอยู่ใต้แนวแท่งเทียน และเมื่อราคามีการกลับตัวลงมาต่ำกว่าระดับของจุดไข่ปลา จุดไข่ปลาก็จะไปปราหฎอยู่ที่เหนือแท่งเทียนแท่งต่อไปแทน นั่นก็จะเป็นสัญญาณบอกว่าเริ่มมีการเปลี่ยนแนวโน้มจากขาขึ้นเป็นขาลงแล้ว ให้เราออกจากออเดอร์บาย แล้วเข้าเซลแทน


การเทรดด้วย EMA200 และ Parabolic SAR เราก็จะยึด EMA200 เป็นตัวบอกเทรนหลัก และเข้าออเดอร์ด้วยสัญญาณจาก SAR ดังตัวอย่างตามภาพ


ใน ตัวอย่างราคาอยู่เหนือ EMA200 เป็นเทรนขาขึ้น เราจึงจะเข้าออเดอร์บายอย่างเดียว การเข้าออเดอร์เราก็ดูสัญญาณ SAR เมื่อเริ่มมีจุดไข่ปลาขึ้นที่ใต้แท่งเทียนเราก็เข้าบาย และออกจากออเดอร์เมื่อมีจุดไข่ปลาของ SAR เกิดขึ้นที่เหนือแท่งเทียน
ระบบ การเทรดง่ายๆ 2 ระบบนี้ เป็นตัวอย่างการสร้างระบบโดยการใช้ EMA200 เป็นมาเป็นตัวบอกแนวโน้มของราคา แล้วใช้เครื่องมืออีกตัวมาช่วยในการบอกจุดเข้า-ออก ซึ่งเราอาจจะไม่ใช้เป็น MACD หรือ Parabolic SAR แต่อาจใช้เป็นเครื่องมืออื่นแทนก็ได้ แล้วแต่ความถนัดของแต่ละบุคคล ในการสร้างระบบเทรดของเราเองนั้น ก่อนอื่นต้องตอบคำถามตัวเองให้ได้ก่อนว่าตัวคุณต้องการมองหาอะไรจากกราฟ แล้วเครื่องมือไหนที่จะช่วยตอบสนองความต้องการของคุณได้ หลังจากนั้นจึงทดลองและศึกษาเครื่องมือนั้นๆให้เข้าใจหลักการทำงานของมันจน สามารถใช้ประโยชน์จากมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เท่านี้ระบบเทรดง่ายๆของคุณก็อาจกลายเป็นระบบเทรดที่ทำกำไรได้ไม่แพ้ระบบเท รดเทพๆที่ขายกันในราคาหลักร้อยเหรียญดอลลาร์ได้เหมือนกันค่ะ
หวังว่าบท ความนี้น่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยสำหรับใครหลายๆคนที่กำลังค้นหาระบบเท รดของตัวเองอยู่ จำไว้ว่า ระบบเทรดที่ดีไม่จำเป็นต้องเยอะหรือยุ่งยาก ทำให้มันง่ายเข้าไว้ ยิ่งง่ายเท่าไหร่ก็จะช่วยให้การตัดสินใจในการเทรดของคุณง่ายขึ้น ความผิดพลาดที่เกิดก็จะน้อยลง (เพราะไม่ต้องคิดเยอะ)

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/ema200/?/

Quantitative Qualitative Estimation (QQE)

Quantitative Qualitative Estimation (QQE) เป็นเครื่องมือ ที่ได้รับความนิยมและเป็นที่รู้จัก QQE indicator ใช้วัดค่าความผันผวน volatile ตามคาบการแกว่ง โดยใช้โมเดล RSI และ ATR เข้ามาทำงานร่วมกัน


แนวคิดการทำงาน
สร้าง ค่า smoothed Relative Strength Index (RSI 14) จาก Moving average ตาม period ที่กำหนด เพื่อเปรียบเทียบกับ ค่า ATR(14) โดยมี trailing stop lines ทั้ง 2 เส้นคือ
- fast trailing stop สร้างจาก ATR smoothed ที่คำนวณจาก wilders function [wilders()] * 2.618
- slow trailing stop สร้างจาก ATR smoothed ที่คำนวณจาก wilders function [wilders()] * 4.236

การแปลความหมาย
QQE แสดงค่า 2 เส้นคือ fast และ slow ร่วมกับการพิจารณาระดับ level ที่สำคัญในการบอก นัยสำคัญของระดับ คือ level 50 ตัวบ่งบอกการเปลี่ยนทิศของแนวโน้ม

การให้สัญญาณแบ่งออกเป็น 2 ระดับ
1. ดู cross over การตัดของเส้นทึบ fast(สีฟ้า) และเส้นประ slow (สีเหลือง)โดย เส้นทึบค่า fast trailing stop และเส้นประ คือค่า slow trailing stop

ถ้าเส้นทึบ fast ตัดขึ้น หมายถึงการ ยกตัวของระดับราคา ถ้าเส้น slow ตัดลงหมายถึงการย่อตัวของระดับราคา

2. ดู level เนื่องจากแนวคิดของ RSI คือการเทียบ rate of change ของการแกว่งตัว ในคาบเวลาที่กำหนด แล้วนำมาสเกลแบบเปอร์เซนต์  ระดับที่มี นัยยะสำคัญในการเปลี่ยนทิศทางแนวโน้ม จากทิศขึ้น เป็นลง หรือ ทิศลงเป็นขึ้น คือ ระดับที่ 50 ซึ่งเป็นตัวบ่งบอก ยืนยันการเกิดแนวโน้มที่ชัดเจนและคงตัว

สัญญาณซื้อ
-ที่นิยมใช้กันคือ รอดูค่า เส้นทึบ fast ตัดขึ้นเส้นประ slow (บอกการกลับตัว) และเส้นทึบ fast ยืนเหนือเส้น level line ที่ 50

สัญญาณการขาย
-  ที่นิยมใช้กันคือ รอดูค่า เส้นทึบ fast ตัดลงเส้นประ slow และเส้นทึบ fast ลงต่ำใต้เส้น level line ที่ 50

- กรณีแกว่งตัวแคบ หรือ sideway trend สามารถเลือกใช้เฉพาะการตัดกันของเส้นเพื่อบอกสัญญาณซื้อขายได้


Download indicator
http://codebase.mql4.com/2887


ข้อตกลงเบื้องต้น
 การ นำเครื่องมือไปใช้ ความแม่นยำ ต้องทำการทดสอบกับระบบท่านก่อนเสมอ ก่อนนำไปใช้ซื้อขายจริงการเผยแพร่ เพื่อให้ความรู้ทางวิชาการและนำเสนอแนวคิดการวิเคราะห์ ไม่มีเจตนาชี้นำการลงทุน ระดมทุน หรือจำหน่ายเครื่องมือเชิงพาณิชย์การปรับตั้งค่า ควรศึกษารายละเอียด parameter ให้เข้าใจ ก่อนปรับแต่งเพิ่มเติม ความถูกต้องของสัญญาณ และเครื่องมือเป็นไปตามที่โปรแกรมเมอร์ผู้พัฒนา อ้างอิง และเผยแพร่ใน mt4 codebase ทางBlog นี้เป็นเพียงผู้เผยแพร่ต่อไม่มีส่วนรับผิดชอบในความเสียหายของเครื่องมือ กรณีผู้ใช้นำไปใช้งาน

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/quantitative-qualitative-estimation-(qqe)/?/

Moving Average Convergence Divergence (MACD)

Moving Average Convergence Divergence (MACD)


MACD เป็นเครื่องมือที่เคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกับราคา (TREND FOLLOWING) สามารถใช้วัดระดับ (DEGREE) ตลาดว่าเป็นตลาดขาขึ้น หรือตลาดขาลง

ค่ามตรฐานสำหรับ MACD อยู่ที่ 12,26,9 ผู้เทรดสามารถใช้ MACD เพื่อช่วยในการระบุพฤติกรรมของเทรนหรือราคาได้เช่น ราคากำลังเป็นเทรน

ราคากำลังชะลอตัวหรือสะสมแรง หรือ ราคากำลังจะกลับตัว MACD มีส่วนประกอบอยู่ 3 อย่างคือ


1. เส้น Moving Average
2.แท่ง Histogram
3.เส้น Zero Line


MACD แบบ Histogram สามารถบอกผู้เทรดได้ถึงภาวะของเทรนซึ่งมีอยู่ 3 สถานะคือ

1. สภาวะที่กราฟเป็นเทรน

2. สภาวะที่กราฟชะลอตัว

3. สภาวะที่กราฟกลับตัว


สัญญาณ จาก MACD แบบ Histogram ที่บ่งบอกว่าราคาเป็นเทรนขึ้น (UPTREND) เมื่อกลุ่มของแท่ง Histogram สามารถยืนเหนือเส้น Moving Average

ใน MACD ได้และเส้น Moving Average ใน MACD และกลุ่มของ Histogram สามารถยืนเหนือเส้น Zero Line ได้ จากนั้นแท่ง Histogram ลู่ขึ้นเรื่อย ๆ


สัญญาณจาก MACD แบบ Histogram ที่บ่งบอกว่าราคากำลังชะลอตัว (UPTREND SIDEWAY) กลุ่มของ Histogram อยู่ต่ำกว่าเส้น Moving Average

ใน MACD และเส้น Moving Average ใน MACD และกลุ่มของ Histogram สามารถยืนเหนือเส้น Zero Line ได้

[/img]

สัญญาณจาก MACD แบบ Histogram ที่บ่งบอกว่าราคากำลังกลับตัวจากเทรนขึ้นเป็นลง (Reversal) เมื่อกลุ่มของ Histogram อยู่ต่ำกว่าเส้น
Moving Average ใน MACD จากนั้นแท่ง Histogram ลู่ลงเรื่อย ๆ และเส้น Moving Average ใน MACD และกลุ่มของ Histogram

สามารถยืนอยู่ใต้เส้น Zero Line


วิธีการเทรดจาก MACD

ผู้เทรดไม่จำเป็นต้องรอให้ Histogram หรือเส้น Moving Average ใน MACD ตัด Zero Line เมื่อเห็นแท่ง Histogram

เริ่มตัดกับเส้น Moving Average ผู้เทรดสามารถเทรดตามทางนั้นได้เลยครับ เพราะมันจะเป็นการเข้าที่ภาวะราคาชะลอตัวพอดี

 
 
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/moving-average-convergence-divergence-(macd)/?/

แนวโน้มและการลากเทรนไลน์เบื้องต้นแบบวีดีโอ

แนวโน้มและการลากเทรนไลน์เบื้องต้น[ ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับFOREX ]
เนื้อหา
1. เข้าใจแต่ละสภาวะแนวโน้ม
1.1. แนวโน้มขาขึ้น ( Uptrend )
1.2. แนวโน้มขาลง ( Downtrend )
1.3. แนวโน้มเคลื่อนที่ไปด้านข้าง ( Sideway)
2. เข้าใจแนวรับและแนวต้าน
3. เข้าใจพื้นฐานข้นต้นในการลากเทรดไลน์ทั้งวิธีการลากในตลาดจริง

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/t530/?/

บทที่ 4 Elliott wave คลื่นที่คุณต้องรู้จัก

หากคุณไม่สนใจทำความรู้จักมัน คงเหมือนกับคุณนั่งริมทะเลชมคลื่นไปเรื่อยๆ แต่หากคุณรู้ว่า เมื่อไหร่ที่อยู่ดีๆ ชายทะเลกลับหดถอยลงไปอย่างรวดเร็ว แปลว่า กำลังจะเกิดสึนามิ คุณต้องรีบวิ่งหนีจากชายฝั่ง เอาตัวรอดให้เร็วที่สุด แบบนี้ เท่ากับคุณรู้จักธรรมชาติของคลื่น นับเป็นเรื่องดีใช่ไหมครับ อยากรู้จักมันหรือยัง?
คิดว่า น่าจะเป็นการเริ่มต้นที่ถูกนะครับ น่าจะเป็นสิ่งที่ควรรู้เป็นอันดับแรก แต่บางคน แค่เห็นก็เมาคลื่นซะแล้ว อย่าเพิ่งครับ นั่นเป็นเพราะคุณหาจุดเริ่มต้นมันไม่ถูก เมื่อคุณเริ่มไม่ถูก อาการเมาคลื่น ก็จะตามมา ผมแนะนำคร่าวๆว่า
Elliott Wave ประกอบด้วยลูกคลื่นในขาขึ้น 5 ลูก ( 1-2-3-4-5) และลูกคลื่นในขาลง 3 ลูก (a-b-c) ในช่วงขาขึ้นเราเรียกว่า Impulse ส่วนขาลงเราเรียกว่า Correction โดยหากเป็นช่วงตลาดหมี ขาลงก็จะกลับกัน คือลง 5 ลูก ขึ้น 3 ลูกแทน และในคลื่นนึง ก็จะประกอบด้วยคลื่นเล็กๆ เสมอ อย่างเช่น คลื่นขา 1 เป็นขาขึ้น จะคลื่นในตัวเป็นคลื่นย่อย 5 คลื่น ขณะที่คลื่น 2 จะเป็นคลื่นขาลง จะมีคลื่นย่อยในตัวเป็น 3 คลื่น

ไม่ลงรายละเอียดมาก นัก เพราะหนังสือที่ไหนก็มีให้อ่าน แต่จะบอกว่า สิ่งที่งงกันคือบางครั้ง มีการต่อคลื่น หรือเกิดคลื่นไม่ปกติขึ้นมา ทำให้นับกันไม่ถูก และอีกกรณีคือ ตราบเท่าที่คลื่นมันยังไม่จบ คุณไม่มีทางรู้ได้ว่า คุณนับถูกหรือไม่

อ้าว ไหงเป็นงั้น แล้วจะมีประโยชน์อะไร?
มี สิครับ อย่างน้อยที่สุด คุณจะตัดเส้นทางที่เป็นไปไม่ได้ออกไป เหลือทางที่มีโอกาสจะเป็นไปได้ และทางที่มีโอกาสเป็นไปได้มากที่สุด แค่นี้ ก็ดีกว่าไม่รู้แล้ว ใช่ไหม
นักลงทุนที่ไม่ต้องการเสี่ยง จะเลือกลงทุนเมื่อกราฟอยู่ที่คลื่น 3 เพราะกว่าจะมาถึงคลื่น 3 ราคามันจะยืนยันขา 1 หรือขา 2 มาก่อนแล้ว และนี่คือสาเหตุครับ ว่าทำไม คลื่น 3 ถึงได้พุ่งได้แรงสุด เพราะมันชัดที่สุดนั่นเอง

รู้จักทฤษฎีหลักๆที่กำหนดว่า คลื่นไหนเป็นคลื่นไหน

Fibonacci number
ขี้ เกียจพูดถึงที่มา เดี๋ยวยาว เอาเป็นว่าเป็นตัวเลขที่ช่วยในการวัดหรือกะระยะของคลื่นลูกต่อไปได้ ตัวเลขที่น่าสนใจ ได้แก่ 23.6% 38.2% 50% 61.8% 78.6% 100% 127.2% 161.8% 261.8% 423.6% โดยตัวเลขที่พบบ่อยๆว่ามีพลังหน่อย คือตัวเลขที่ผม ใช้สีแดงกำกับ

RSI คู่หูนับคลื่นแบบพลาดยาก
RSI เป็นสัญญาณยอดฮิต ที่แนะนำให้ศึกษาเลยครับ มันบอกถึงพละกำลังกระทิงหรือหมีได้เป็นอย่างดี สิ่งที่จะบอก ผมเอง ไม่เคยเจอในหนังสือเล่มไหนครับ ทฤษฎีนี้ ตั้งแต่รู้มา ทำให้ผมนับคลื่นได้มั่นใจขึ้นมาก ต้องขอบคุณ คุณลุงโฉลก แห่ง chaloke.com ผู้ถ่ายทอดเคล็ดวิชาสุดยอดแบบไม่มีหวงกัน ทฤษฎีไม่มีอะไรมาก หากมีความสับสน ให้ดูยอดคลื่นที่สูงที่สุดของ RSI เทียบกับยอดคลื่นราคาครับ ยอดคลื่น RSI ที่สูง จะตรงกับคลื่น 3 และคลื่น b เสมอ แค่นี้ ใครที่เคยนับคลื่นไม่ถูก ก็ลองใช้ช่วยนับใหม่ดูครับ ง่ายขึ้นเยอะ

ทฤษฎีอีเลียตเวฟมีหยุมหยิมค่อนข้างเยอะ ผมเอาหลักๆมาแนะนำเพื่อเป็น guide ก็พอนะครับ

คลื่นที่ 1 แค่เริ่มต้นก็ไม่ง่ายแล้ว
ไม่ มีใครกะได้ว่า จะจบตรงไหน เพราะเพิ่งเริ่มคลื่นใหม่ สิ่งที่เราทำได้ คือรอให้มันจบคลื่น 1 ก่อนครับ แต่อย่างน้อยที่สุด คลื่นย่อยในคลื่น 1 ควรจะประกอบด้วย 5 คลื่น ไม่ใช่ 3 คลื่น หากนับได้ 3 คลื่นเมื่อไหร่ ตีความได้ว่า
- การ correction ของคลื่นรอบที่ผ่านมา ยังไม่จบจริง คืออาจมีการ correction ต่อเป็น a-b-c-x-a-b-c หรือ a-b-c-d-e เป็นต้น
- คลื่นนั้นยังไม่จบ คือยังเหลือการขึ้นขา 5 อีกขา ก่อนลง correction ขา 2 อีกที
หาก คุณอ่านทฤษฎีในหนังสือ คงไม่ได้บอกคุณว่า ไอ้คลื่น 1 นี่อ่ะ มันก็ไม่ได้ระบุง่ายๆ เพราะมันเพิ่งต่อมาจากคลื่นปรับฐาน ทำให้ไม่รู้ว่า นี่มันคลื่น 1 หรือคลื่นปรับฐานต่อเนื่องกันแน่ เป็นเหตุให้ไม่ค่อยมีใครกล้าเข้าเล่นในคลื่น 1 นั่นเอง

คลื่น 2 จบเมื่อไหร่ ค่อยบอกคุณว่า ไอ้คลื่นลูกเมื่อกี๊น่ะ คลื่น 1 นะจ๊ะ
ถึง บอกว่า ไม่ค่อยมีใครเล่นคลื่น 1 เพราะมันมีโอกาสเป็นคลื่น correction ที่จะพาคุณชมดอยเต่าได้แบบไม่ต้องตีตั๋ว ตามทฤษฎีดูเหมือนง่าย มันบอกว่า คลื่น 2 จะไม่ต่ำกว่าคลื่น 1 หากคุณมั่นใจเข้าซื้อ เพราะคิดว่า นั่นคือคลื่น 2 ไม่มีทางหล่นต่ำกว่าคลื่น 1 หรอก ขอให้คิดใหม่ครับ เพราะเมื่อไหร่ที่ราคามันหลุดลงต่ำกว่าฐานคลื่น 1 มันก็เปลี่ยนสถานะตัวเองจากว่าที่คลื่น 2 เป็นคลื่น c ขาลงต่อเลย แสบมั๊ย
ปกติ เมื่อจบคลื่น 2 เราก็จะใช้ก้นคลื่น 2 ในการกะเป้าหมายคลื่น 3 ได้ต่อครับ ตามหลัก คลื่น 2 ของทองคำ มักจบแถว 61.8% หรือ 78.6% โดยหากเด้งขึ้นจากเส้นแถวนี้ได้แรงๆ ผ่านยอดคลื่น 1 มาได้ เราก็คาดได้ว่า นั่นน่าจะเป็นขา 2 และกำลังขึ้นคลื่น 3 ที่เราตั้งตารอกัน

คลื่น 3 คลื่นสุด hot

ใครๆ ก็รอขา 3 เพราะขา 3 มักจะยาวและทำกำไรได้มาก และความเสี่ยงต่ำที่สุด แต่กว่าจะรู้ว่าเป็นขา 3 บางทีมันก็เดินทางมาครึ่งทางแล้วครับ เพราะอะไร ก็ลองย้อนไปดูคลื่น 2 สิ
ตัวคลื่น 3 เอง ก็ประกอบด้วยคลื่นย่อยในตัว 5 คลื่น กว่าเราจะเห็นชัดๆว่า นี่คือคลื่น 3 ก็ต่อเมื่อเราจบคลื่น 2 ของ 3 และกำลังเข้าคลื่นย่อยขา 3 ของคลื่นหลักขา 3 แล้ว ถึงตรงนี้ ปกติผมจะไม่ลังเลในการบอกให้ซื้อครับ เพราะมันยังไปได้อีกอย่างน้อยก็ 60% ของขาล่างสุด เช่นขึ้นมาแล้ว 50 เหรียญ ก็เป็นไปได้ว่า มีโอกาสขึ้นอีกอย่างน้อย 30 เหรียญ ดีกว่าไม่ได้ ใช่ไหมครับ
ทฤษฎีมีว่า ขา 3 มีโอกาสขึ้นมาได้อย่างน้อย 161.8% เมื่อวัดจากยอดขา 1 ถึง ขา 2 และหากแรงๆ ก็จะไป 261.8% หรือกระทั่ง 423.6% ก็ได้ แถมตามด้วยคลื่น 5 ที่สามารถลุ้นเสี่ยงทำกำไรเพิ่มได้

คลื่น 4 คลื่นคืนกำไร
คลื่น 4 ลุงโฉลกให้นิยามว่า เป็นคลื่นคืนกำไร และไม่ค่อยแนะนำให้เล่น เพราะคาดการณ์ยากครับ ตามทฤษฎีบอกว่า ขา 4 จะลงไม่ถึงขา 1 แต่บางครั้งโดยเฉพาะในราคาทองคำตอนปลายๆทาง มันก็แล๊บลงมาต่ำกว่าขา 1 นิดหน่อยเหมือนกัน เรียกว่า เกิดความไม่ปกติขึ้น และจะเกิดเมื่อคลื่น 3 ไม่มีแรงขึ้น คือผิดปกติด้วย ว่างั้น และหากหลุดรูดลงมาเลย มันก็จะเปลี่ยนสถานะตัวเอง จากคลื่น 4 เป็นคลื่น a ครับ แล้วก็ต้องนับขากันใหม่ เพราะราคาไปไม่ถึงดวงดาวเสียแล้ว
มีความสัมพันธ์ ระหว่างขา 2 กับขา 4 ที่มีความเป็นไปได้อยู่อย่างนึงครับ คือหาก ขา 2 มีความซับซ้อน คือไม่ลง a-b-c แล้วจบเลย แต่อาจเล่น sideway ยาวออกมา ในขา 4 มักจะไม่เกิดความซับซ้อนเหมือนขา 2 ครับ และในทางกลับกันก็เช่นกัน เราใช้ความสัมพันธ์นี้ มาช่วยเดาคลื่นครับ ว่าขา 4 น่ะ จะจบขึ้นขา 5 เลยมั๊ย หรืออาจมีต่อ ประมาณนั้น

คลื่น 5 คลื่นสำหรับคนกล้า

เพราะ เป็นคลื่นที่ไม่มีความแน่นอน พร้อมที่จะล้มเหลวเมื่อไหร่ก็ได้ จึงเป็นคลื่นที่ไม่มีแรง คลื่นสำหรับคนตกขบวนคลื่น 3 ทดลองเข้ามาเสี่ยงทำกำไรอีกเล็กน้อย ก่อนการปรับฐาน
แต่มีข้อยกเว้นครับ ตามทฤษฎี ขา 3 ต้องไม่ใช่คลื่นที่สั้นที่สุด และควรจะยาวครับ หากไม่ยาว คือมีขนาดพอๆกับขา 1 คลื่น 5 มักจะเป็น extended wave 5 หรือมีการต่อคลื่น คือขึ้นคลื่นชุดย่อย(แต่ ใหญ่) ขยายความยาวคลื่น 5 ออกไปอีก

คลื่น a คลื่นปรับฐาน - สึนามิลูกแรก
เป็น คลื่นแรกของการปรับฐาน ที่อาจรุนแรงรวดเดียว หรือเพียงเบาะๆให้ตั้งตัวกันทันก็ได้ คลื่น a กับ คลื่น c เป็นคลื่นขาลงเหมือนกัน แต่ปกติหากมีคลื่นอันใดอันหนึ่งที่ยาว อีกอันก็จะสั้นๆครับ ในทองคำ การปรับฐานใหญ่ มักรุนแรงที่ขา a เรียกว่า เป็นสึนามิได้เลย ขณะที่ขา c อาจ sideway หรือสั้นๆมากกว่า

คลื่น b คลื่นถอนตัว VS คลื่นมวยประกอบรายการ

จบ คลื่น a ราคามักจะดีดกลับขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะบางคนก็เชื่อว่า การปรับฐานจบแล้ว บางคนก็เชื่อว่า ไอ้ที่ผ่านมา คงเป็นแค่คลื่น 3 ขอเล่นคลื่น 5 ต่อ และอีกพวก คือพวกชอบเล่นกับไฟ รู้ว่าเป็นคลื่น b แต่ก็เล่น เพราะจริงๆ ก็ยังสามารถทำกำไรได้
คุณสมบัติของคลื่น b ต้องดูสัญญาณประกอบครับ โดยเฉพาะ stoch กับ RSI มักขึ้นมาเร็วมาก ราคาอาจสูงกว่าหรือต่ำกว่าคลื่น 5 ก็ได้ ขอให้ดูสัญญาณเป็นสำคัญครับ และรีบถอนตัวเมื่อยอดสัญญาณเลยยอดสัญญาณของคลื่น 5

คลื่น c คลื่นปรับฐาน สึนามิลูกสุดท้าย
การ correction หรือการปรับฐาน จะจบด้วยขา c โดยขา c มักจบที่ 78.6% เมื่อวัดจากยอดคลื่น 5 ถึงฐานของคลื่น 1 หากลึกกว่านั้น แปลว่าตลาดอาจกลับสภาวะจากกระทิงเป็นหมีไปแล้วก็ได้ โดยด่านสุดท้าย ก็คือฐานคลื่น 1 นั่นแหละ

และวัฏจักรคลื่น ก็จะวนขึ้นขา 1 ใหม่อีกครั้ง เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ครับ

ครบ 5 คลื่นแล้ว หวังว่า คงยังไม่หมดแรงซะก่อนนะครับ บทต่อไปมาว่ากันต่อเรื่องวิธีดูเครื่องมือ หรือสัญญาณต่างๆ ที่ต้องใช้

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/4-elliott-wave/?/

บทที่ 6 เครื่องมือวัดพลังคลื่น

มีของอยู่ในมือแล้ว พวกเรามักมีปัญหาในการปล่อย หรือติดดอย เพราะไม่มีการเช็คสุขภาพ หรือพลังของคลื่น ว่าเหลือมากน้อยแค่ไหน สมควรจะเสี่ยงถือต่อไป หรือโยนให้คนอื่นถือต่อดี วันนี้มารู้จักกับเครื่องมือวัดพลังคลื่นทั้ง 3 ตัวที่ผมใช้ประจำครับ

Stochastic Oscillator เป็นตัววัดแนวโน้มที่ให้ทิศทางเร็วกว่าเพื่อน แต่ก็นั่นแหละครับ หลอกเก่งกว่าเพื่อนเหมือนกัน เหมาะกับการให้ทิศทางระยะสั้นหรือตลาด sideway มากกว่า

Stochastic Oscillator เป็นตัววัดแนวโน้มที่ให้ทิศทางเร็วกว่าเพื่อน แต่ก็นั่นแหละครับ หลอกเก่งกว่าเพื่อนเหมือนกัน เหมาะกับการให้ทิศทางระยะสั้นหรือตลาด sideway มากกว่า

RSI (Relative Strength Index) เป็นเครื่องมือวัดพลังของคลื่น ที่ผมให้น้ำหนักค่อนข้างมาก ผมใช้ยอดคลื่นของมันชี้ตำแหน่งคลื่น 3 และคลื่น b

MACD (Moving Average Convergence Divergence) เป็นเครื่องมืออีกชิ้นที่ช่วยในการตัดสินใจเรื่องการเปลี่ยนแนวโน้มของคลื่นได้ดีครับ

การใช้งานเครื่องมือทั้ง 3 ชนิด
อ่าน ตำราแล้วเหมือนจะใช้ต่างกัน แต่ผมมักจะมองภาพรวมทั้ง 3 ตัวด้วยกัน รวมถึงการนับขาตามทฤษฎีอีเลียตเวฟ เพื่อช่วยตัดสินใจเรื่องการเปลี่ยนแนวโน้ม หากใครอ่านตำรา ก็มักจะพุ่งเป้าไปที่สัญญาณ overbought/oversold เป็นหลัก แต่จริงๆแล้ว เรายังดูหลายอย่างที่ละเอียดลงไปได้อีก

สิ่งที่เราต้องมองหาในเครื่องมือโดยรวม
- Divergence/Convergence ตรงนี้อธิบายง่ายๆ คือความสัมพันธ์ระหว่างราคากับสัญญาณในเครื่องมือ มันต้องไปทางเดียวกัน เท่านั้นแหละ หากราคาขึ้นทำ high ใหม่ แล้วสัญญาณขึ้นตาม ก็ดีไป แต่หากไม่ตาม เราเรียกว่า เกิด divergence คือสัญญาณมันไม่เอาด้วย แบบนี้ ก็เตรียมถอยครับ ทางกลับกัน หากราคาลงทำ low ใหม่ และสัญญาณตามลงไป เราก็รอต่อไป แต่เมื่อไหร่ที่สัญญาณไม่ลงด้วย เราเรียกว่าเกิด convergence คือสัญญาณไม่เอาด้วย แต่เป็นเชิงบวกแทน แบบนี้ เตรียมกระโจนเข้าได้
- แนวต้านจากการลาก trend line เมื่อเกิดยอดคลื่น 2 ยอด เราสามารถลากเส้น trendline ให้เส้นสัญญาณได้ เช่นเดียวกับกราฟราคาครับ และหากสัญญาณขึ้นมาชน trendline ที่เราตีไว้ ก็มีแนวโน้มว่า จะติดเส้นนี้ได้ ทางกลับกัน หากหลุดเส้น trendline นี้ไปได้ ก็อาจพุ่งไปต่อได้เลยเช่นกันครับ
หากมองไม่เห็น สมมุติว่า เราดูใน chart รายวัน เราอาจขยับมาดูราย 4 ชั่วโมง หรือต่ำลงมาเป็นรายชั่วโมง เพื่อหาสิ่งที่เราต้องการดู

สัญญาณในกราฟ รายชั่วโมง ราย 4 ชั่วโมง รายวัน อันไหนสำคัญกว่ากัน?
บาง ครั้ง สัญญาณระดับต่างๆมันขัดแย้งกัน มือใหม่จะงง และตัดสินใจไม่ถูก ไม่รู้จะเชื่ออันไหนดี ผมอธิบายง่ายๆว่า รายวันก็เหมือนเราดูคลื่นหลัก ส่วนราย 4 ชั่วโมง หรือ รายชั่วโมง เราก็เท่ากับกำลังมองคลื่นย่อยในคลื่นหลัก คลื่นหลัก สัญญาณอาจบอกว่า กำลัง bull มาก อยู่ในคลื่น 3 แต่รายชั่วโมง สัญญาณอาจเป็น bear เพราะกำลังปรับฐานอยู่ในคลื่น 2 ย่อยของ 3 ก็เป็นได้

การใช้ MACD ดูการเปลี่ยนแนวโน้ม
MACD ถูกยกย่องให้เป็นราชาของเครื่องมือวัด เพราะมีความน่าเชื่อถือค่อนข้างสูง วิธีการดู MACD ก็ดูว่า
- เมื่อไหร่ที่ เส้นสัญญาณ (เส้นสีแดง) อยู่เหนือแถบ MACD จะ bearish หรือกลับเป็นขาลง
- เมื่อไหร่ที่ เส้นสัญญาณ (เส้นสีแดง) อยู่ใต้แถบ MACD จะ bullish หรือกลับเป็นขาขึ้น
นอก จากนั้น ก็เป็นการมองหา divergence/convergence และ การใช้ trendline วัดความสูงเพื่อหาแนวต้านแนวรับแล้ว อย่างที่บอกไป แต่ยังมีอีกจุดที่น่าสนใจมาก คือมันสามารถบอกพลังงานสะสมได้ครับ เมื่อใดที่เส้นสัญญาณ (เส้นสีแดง) กับ MACD ตีคู่กันใกล้ๆไปสักระยะ จะเกิดพลังงานสะสม และมักมีไม้เขียว หรือไม้แดงยาวๆตามมาให้เห็นบ่อยๆครับ ลองไปสังเกตดู MACD ที่เกิดขึ้นมาในอดีตดูครับ ให้สัญญาณก่อนเกิดไม้เขียวไม้แดงยาวๆตามมา ชนิดทำกำไรได้สบาย

ถึงบท นี้ ความฮึกเหิมคงเริ่มเกิดในตัวแล้วใช่มั๊ยละครับ แต่อยากจะบอกว่า พอไปดูคลื่นจริงๆ อาจจะยังคงเมากันอยู่ครับ คงต้องอาศัยประสบการณ์ที่ต้องค่อยๆสะสมแล้ว อันนี้ สอนกันยาก ได้แต่บอกว่า ค่อยๆดูไปครับ ทุกวันนี้ ผมก็ยังสะสมอยู่เหมือนกัน
บทต่อไป คงเป็นเรื่องของ เครื่องมือปลีกย่อย อย่าง Moving Average, Trendline, ฯลฯ แต่ผมว่า ศึกษาเองก็ไม่น่ายากแล้วนา

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/6-486/?/