RSS
Showing posts with label แนวโน้ม. Show all posts
Showing posts with label แนวโน้ม. Show all posts

Relative Strength Index (RSI)

Relative Strength Index (RSI)


RSI เป็นเครื่องมือที่ใช้วัดการแกว่งตัวของราคา  เพื่อดูภาวะการซื้อมากเกินไป (OVERBOUGHT) หรือขายมากเกินไป (OVERSOLD) โดยใช้ระดับเหนือ 70% บอกภาวะ OVERBOUGHT
และระดับต่ำกว่า 30% บอกภาวะ OVERSOLD และยังใช้เป็นสัญญาณเตือนว่า แนวโน้มของราคาหุ้นที่กำลังมีทิศทางขึ้นหรือลงนั้น กำลังใกล้จะอ่อนตัวลง RSI ประกอบไปด้วย
1.เส้น Moving Average
2. เส้นบอกบริเวณ Overbought Oversold (เส้น 30 และเส้น 70)


Overbought และ Oversold คืออะไร? แล้วใช้ดูกับ RSI อย่างไร?

OVERBOUGHT คือสัญญาณจาก RSI ที่บ่งบอกว่าตลาดขาขึ้นเริ่มมีคน”ซื้อ”มากเกินไปและอิ่มตัวแล้วซึ่งราคามีความเป็นไปได้ที่จะปรับตัวลง
OVERSOLD คือสัญญาณจาก RSI ที่บ่งบอกว่าตลาดขาขึ้นเริ่มมีคน”ขาย”มากเกินไปและอิ่มตัวแล้วซึ่งราคามีความเป็นไปได้ที่จะปรับตัวขึ้น

ผู้ เทรดจะต้องมองเทรนหรือแนวโน้มของราคาให้ออกก่อนว่า ณ ขณะนั้นกราฟกำลังวิ่งเป็นเทรนอะไร เมื่อผู้เทรดสามารถระบุเทรนได้ชัดเจนแล้วก็ให้มองแต่ Over ของกราฟเทรนนั้น ยกตัวอย่างเช่น
หากผู้เทรดเห็นว่ากราฟเป็นเทรนขาขึ้น ผู้เทรดก็ต้องมองแต่ตอนที่เส้น Moving Average ของ RSI เวลากลับมาที่แนว Oversold อย่างเดียวแล้วรอเทียบสวิงของ Oversold กับ สวิง Low
ของราคาอย่างเดียวครับ
ตัวอย่างของการดู Overbought และ Oversold


 
 
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/relative-strength-index-(rsi)/?/

Quantitative Qualitative Estimation (QQE)

Quantitative Qualitative Estimation (QQE) เป็นเครื่องมือ ที่ได้รับความนิยมและเป็นที่รู้จัก QQE indicator ใช้วัดค่าความผันผวน volatile ตามคาบการแกว่ง โดยใช้โมเดล RSI และ ATR เข้ามาทำงานร่วมกัน


แนวคิดการทำงาน
สร้าง ค่า smoothed Relative Strength Index (RSI 14) จาก Moving average ตาม period ที่กำหนด เพื่อเปรียบเทียบกับ ค่า ATR(14) โดยมี trailing stop lines ทั้ง 2 เส้นคือ
- fast trailing stop สร้างจาก ATR smoothed ที่คำนวณจาก wilders function [wilders()] * 2.618
- slow trailing stop สร้างจาก ATR smoothed ที่คำนวณจาก wilders function [wilders()] * 4.236

การแปลความหมาย
QQE แสดงค่า 2 เส้นคือ fast และ slow ร่วมกับการพิจารณาระดับ level ที่สำคัญในการบอก นัยสำคัญของระดับ คือ level 50 ตัวบ่งบอกการเปลี่ยนทิศของแนวโน้ม

การให้สัญญาณแบ่งออกเป็น 2 ระดับ
1. ดู cross over การตัดของเส้นทึบ fast(สีฟ้า) และเส้นประ slow (สีเหลือง)โดย เส้นทึบค่า fast trailing stop และเส้นประ คือค่า slow trailing stop

ถ้าเส้นทึบ fast ตัดขึ้น หมายถึงการ ยกตัวของระดับราคา ถ้าเส้น slow ตัดลงหมายถึงการย่อตัวของระดับราคา

2. ดู level เนื่องจากแนวคิดของ RSI คือการเทียบ rate of change ของการแกว่งตัว ในคาบเวลาที่กำหนด แล้วนำมาสเกลแบบเปอร์เซนต์  ระดับที่มี นัยยะสำคัญในการเปลี่ยนทิศทางแนวโน้ม จากทิศขึ้น เป็นลง หรือ ทิศลงเป็นขึ้น คือ ระดับที่ 50 ซึ่งเป็นตัวบ่งบอก ยืนยันการเกิดแนวโน้มที่ชัดเจนและคงตัว

สัญญาณซื้อ
-ที่นิยมใช้กันคือ รอดูค่า เส้นทึบ fast ตัดขึ้นเส้นประ slow (บอกการกลับตัว) และเส้นทึบ fast ยืนเหนือเส้น level line ที่ 50

สัญญาณการขาย
-  ที่นิยมใช้กันคือ รอดูค่า เส้นทึบ fast ตัดลงเส้นประ slow และเส้นทึบ fast ลงต่ำใต้เส้น level line ที่ 50

- กรณีแกว่งตัวแคบ หรือ sideway trend สามารถเลือกใช้เฉพาะการตัดกันของเส้นเพื่อบอกสัญญาณซื้อขายได้


Download indicator
http://codebase.mql4.com/2887


ข้อตกลงเบื้องต้น
 การ นำเครื่องมือไปใช้ ความแม่นยำ ต้องทำการทดสอบกับระบบท่านก่อนเสมอ ก่อนนำไปใช้ซื้อขายจริงการเผยแพร่ เพื่อให้ความรู้ทางวิชาการและนำเสนอแนวคิดการวิเคราะห์ ไม่มีเจตนาชี้นำการลงทุน ระดมทุน หรือจำหน่ายเครื่องมือเชิงพาณิชย์การปรับตั้งค่า ควรศึกษารายละเอียด parameter ให้เข้าใจ ก่อนปรับแต่งเพิ่มเติม ความถูกต้องของสัญญาณ และเครื่องมือเป็นไปตามที่โปรแกรมเมอร์ผู้พัฒนา อ้างอิง และเผยแพร่ใน mt4 codebase ทางBlog นี้เป็นเพียงผู้เผยแพร่ต่อไม่มีส่วนรับผิดชอบในความเสียหายของเครื่องมือ กรณีผู้ใช้นำไปใช้งาน

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/quantitative-qualitative-estimation-(qqe)/?/

Ichimoku Kinko Hyo

 Ichimoku Kinko Hyo


Ichimoku ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ในการดูแนวโน้มของราคาหรือ Trend ตามแบบฉบับของคนญี่ปุ่นเช่น เมื่อเส้น Tenkan Sen ตัดกับเส้น Kijun Sen

แปลว่าราคาจะเปลี่ยนแนวโน้มซึ่งเหมือนกับการตัดกันของเส้น Moving Average เป็นต้น Ichimoku ประกอบไปด้วยเส้น 5 เส้นคือ
1.Senkou Span A
2.Senkou Span B
3.Tenkan Sen
4.Kijun Sen
5.Chinkou Span
***ระหว่างเส้น Senkou Span A และ Senkou Span B จะมีจุดไข่ปลาที่มีชื่อเรียกว่า Kumo***


กลุ่มที่ 1: Senkou Span

Senkou Span จะถูก Shift ไปไว้ด้านหน้าของราคาเพื่อคำนวนหาแนวรับแนวต้านให้ราคาโดยคำนวนจาก High Open Low Close ของแท่งเทียน
ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อพยากรณ์อนาคตSenkou Span ประกอบไปด้วย

1.Senkou Span A

2.Senkou Span B

3.Kumo

หาก Senkou Span A อยู่สูงกว่า Senkou Span B หมายความว่าราคากำลังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นหรือกำลังเป็นเทรนขึ้น
หาก Senkou Span B อยู่สูงกว่า Senkou Span Aหมายความว่าราคากำลังอยู่ในแนวโน้มขาลงหรือกำลังเป็นเทรนลง

Kumo ทำหน้าที่เป็นเหมือนจุดสมดุลของเทรน ถ้าราคาวิ่งอยู่ใน Kumoแปลว่าราคากำลังสะสมแรง ผู้เทรดจะต้องรอให้ราคาทะลุ Kumo ออกมาก่อนจึงจะสามารถเทรดได้


กลุ่มที่ 2: Tenkan Sen และ Kijun Sen

การดู Tenkan Sen และ Kijun Sen ใช้หลักการเดียวกันกับ Moving Average Crossover หรือการตัดกันของเส้น Moving Average

ถ้าเส้น Tenkan Sen อยู่เหนือ Kijun Sen แสดงว่าแนวโน้มของราคากำลังเป็นเทรนขึ้น

ถ้าเส้น Kijun Sen อยู่เหนือ Tenkan Sen แสดงว่าแนวโน้มของราคากำลังเป็นเทรนลง

เส้น TenkanSenจะวิ่งเร็วกว่าเส้น KijunSenเสมอ


กลุ่มที่ 3: Chinkou Span


Chinkou Span เป็นเส้นที่ถูก Shift ไปไว้ด้านหลังของราคาแต่การวิ่งของเส้น Chinkou Span จะเหมือนราคาทุกประการ วิธีการดูเส้น Chinkou Span คือ

ถ้าเส้น Chinkou Span ตัดแท่งเทียนในอดีตขึ้นและยืนอยู่เหนือแท่งเทียนได้ หมายความว่า แนวโน้มของราคาเป็นเทรนขึ้น

ถ้าเส้น Chinkou Span ตัดแท่งเทียนในอดีตลงและยืนอยู่ใต้แท่งเทียนได้ หมายความว่า แนวโน้มของราคาเป็นเทรนลง


 
 
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่   http://www.thaibestforex.com/forex/ichimoku-kinko-hyo/?/
 

STOCHASTICS

STOCHASTICS


STOCHASTICS  คือ ดัชนีวัดการแกว่งตัวของราคาที่ศึกษาความสัมพันธ์ การเคลื่อนไหวของราคาในช่วงเวลาหนึ่งๆ กับราคาปิด โดยมาจากข้อสังเกตที่ว่า ถ้าการสูงขึ้นของราคานั้นมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อไป ราคาปิดของหุ้นนั้นจะอยู่ใกล้กับราคาสูงสุด แต่ถ้าราคาของมีแนวโน้มลดต่ำลง ราคาปิดจะอยู่ในระดับเดียวกับราคาต่ำสุดของวัน
ความสัมพันธ์ระหว่าง ราคาสูงสุด-ต่ำสุดกับราคาปิด ได้ถูกนำมาพัฒนาเป็นสูตรสมการในการดูแนวโน้มขึ้น หรือลงของราคาหุ้นในช่วงสั้น ๆ โดยนำมาใช้ดูว่า ราคาปิดอยู่ที่ระดับกี่เปอร์เซ็นต์ของช่วงราคาที่ซื้อขายในช่วงระยะเวลา หนึ่ง


หลักการเบื้องต้นในการคำนวณ  STOCHASTICS

     เส้น  %K เป็นเส้น  STOCHASTICS
     เส้น  %D  เป็นเส้นค่าเฉลี่ยของเส้น  %K

            %K       =          ราคาปิด (วันนี้) - ราคาต่ำสุด (ในช่วง n วัน)       
                                   ราคาสูงสุด (ในช่วง n วัน) - ราคาต่ำสุด (ในช่วง n วัน)
            %D       =   ค่าเฉลี่ย (n วัน) ของค่า %K

ความหมายของระดับ 0% และ 100%

ระดับ 0%  หมายถึงระดับที่บอกภาวะขายมากไป  (OVERSOLD) ของราคาแต่ ณ ระดับนี้ไม่ได้หมายความว่าราคาหุ้นจะลดลงต่ำกว่านี้อีกไม่ได้ เพียงแต่บอกว่า ณ ระดับนี้ราคาอาจหยุดพักชั่วคราว หรืออาจดีดตัวสูงขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่ราคาจะตกลงต่อระดับ 0%

ระดับ 100 % หมายถึงระดับที่บอกภาวะซื้อมากไป (OVERBOUGHT) ของราคา แต่ ณ ระดับนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าราคาจะไม่สามารถวิ่งขึ้นสูงต่อไปได้ แต่กลับชี้ให้เห็นว่าหุ้นมีความแข็งแรง จน สามารถผลักดันให้เส้น STOCHASTIC ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 100% ได้ อย่างไรก็ดี ณ ระดับราคานี้  STOCHASTIC   อาจมีการปรับตัวลงมาบ้าง แต่เป็นการปรับตัวเพื่อลดภาวะ OVERBOUGHT  มากกว่า


STOCHASTICS  คือ ดัชนีวัดการแกว่งตัวของราคาที่ศึกษาความสัมพันธ์ การเคลื่อนไหวของราคาในช่วงเวลาหนึ่งๆ กับราคาปิด โดยมาจากข้อสังเกตที่ว่า ถ้าการสูงขึ้นของราคานั้นมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อไป ราคาปิดของหุ้นนั้นจะอยู่ใกล้กับราคาสูงสุด แต่ถ้าราคาของมีแนวโน้มลดต่ำลง ราคาปิดจะอยู่ในระดับเดียวกับราคาต่ำสุดของวัน
ความสัมพันธ์ระหว่าง ราคาสูงสุด-ต่ำสุดกับราคาปิด ได้ถูกนำมาพัฒนาเป็นสูตรสมการในการดูแนวโน้มขึ้น หรือลงของราคาหุ้นในช่วงสั้น ๆ โดยนำมาใช้ดูว่า ราคาปิดอยู่ที่ระดับกี่เปอร์เซ็นต์ของช่วงราคาที่ซื้อขายในช่วงระยะเวลา หนึ่ง

หลักการเบื้องต้นในการคำนวณ  STOCHASTICS

     เส้น  %K เป็นเส้น  STOCHASTICS
     เส้น  %D  เป็นเส้นค่าเฉลี่ยของเส้น  %K

            %K       =          ราคาปิด (วันนี้) - ราคาต่ำสุด (ในช่วง n วัน)       
                                   ราคาสูงสุด (ในช่วง n วัน) - ราคาต่ำสุด (ในช่วง n วัน)
            %D       =   ค่าเฉลี่ย (n วัน) ของค่า %K

ความหมายของระดับ 0% และ 100%

ระดับ 0%  หมายถึงระดับที่บอกภาวะขายมากไป  (OVERSOLD) ของราคาแต่ ณ ระดับนี้ไม่ได้หมายความว่าราคาหุ้นจะลดลงต่ำกว่านี้อีกไม่ได้ เพียงแต่บอกว่า ณ ระดับนี้ราคาอาจหยุดพักชั่วคราว หรืออาจดีดตัวสูงขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่ราคาจะตกลงต่อระดับ 0%

ระดับ 100 % หมายถึงระดับที่บอกภาวะซื้อมากไป (OVERBOUGHT) ของราคา แต่ ณ ระดับนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าราคาจะไม่สามารถวิ่งขึ้นสูงต่อไปได้ แต่กลับชี้ให้เห็นว่าหุ้นมีความแข็งแรง จน สามารถผลักดันให้เส้น STOCHASTIC ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 100% ได้ อย่างไรก็ดี ณ ระดับราคานี้  STOCHASTIC   อาจมีการปรับตัวลงมาบ้าง แต่เป็นการปรับตัวเพื่อลดภาวะ OVERBOUGHT  มากกว่า


    %K ตัดกับ %D

    STO จะมีสองเส้นมาให้ใช้งาน ประกอบด้วย เส้น %K เส้นหลัก กับเส้น %D เส้นรอง โดยเราจะยึดดู %K เป็นหลัก

    หาก %K ตัด %D ขึ้นมาได้ จะเป็นสัญญาณซื้อ
    และหาก %K ตัด %D ลงมา จะเป็นสัญญาณขาย



2. Overbought กับ Oversold (สภาวะที่หุ้นมีการซื้อมากเกินไป และขายมากเกินไป)

                เครื่อง มือชนิดนี้ จะแกว่งตัวในกรอบ 0-100 แต่ในทางเทคนิค เขาจะมีโซนตัวเลขให้พิจารณาอยู่สองโซนด้วยกันครับ  โดยยึดค่า %K เป็นหลักนะครับ 

โซน แรกคือ โซนตัวเลข 0-20% โซนนี้ จัดให้อยู่ในโซน "Oversold หรือสภาวะที่มีการขายหุ้นมากเกินไป"  และโซนที่สองคือโซนตัวเลข 80-100%  จะจัดให้อยู่ใน "สภาวะที่หุ้นมีการซื้อมากเกินไป หรือ Overbought"



3. Bullish Divergence และ Bearish Divergence

สำหรับประเด็นนี้ แนวคิดต่างๆ ก็จะเหมือนกับ MACD และ RSI ครับ

เมื่อใดที่เกิด Divergence ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะจะเป็นนัยว่า หุ้นจะเปลี่ยน Trend ในอนาคตอันใกล้นี้
การเกิด Divergence แต่ละครั้ง มักจะใช้เวลาที่มากพอสมควรในการก่อตัวเป็นรูปร่าง Divergence
และหากเกิด Divergence ในเขต Overbought หรือ Oversold ก็ยิ่งถือว่ามีนัยยะด้วยครับ

หลักการอ่าน  STOCHASTICS
สัญญาณ เตือน “ซื้อ” เกิดขึ้นเมื่อเส้น  STOCHASTICS เข้าเขต  OVERSOLD ที่บริเวณระดับต่ำกว่า 20% และควรซื้อเมื่อเกิดสัญญาณ “ซื้อ” จากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ขึ้น

สัญญาณเตือน “ขาย” เกิดขึ้นเมื่อเส้น STOCHASTICS เข้าเขต OVERBOUGHT ที่บริเวณระดับสูงกว่า 80% และควรขายเมื่อเกิดสัญญาณ “ขาย” จากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ลง

 
 
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/stochastics/?/

Moving Average

Moving Average


Moving Average หรือ เส้นค่าเฉลี่ย เป็นเส้นที่คำนวณค่าเฉลี่ยของการวิ่งของราคาออกมาจากแท่งเทียน แท่งเทียนจะประกอบไปด้วย COLH
หรือ Close Open Low High เส้นค่าเฉลี่ยจะคำนวณออกมาจากแนวเหล่านี้โดยผู้เทรดสามารถเลือกได้ว่าอยากให้เส้นค่าเฉลี่ยคำนวนจากอะไร
อาจจะเป็น Close ของแท่งเทียนอย่างเดียวหรือเอาจาก High ของแท่งเทียนอย่างเดียว ซึ่งผู้เทรดสามารถเลือกปรับได้ตามรูปด้านล่างนี้ครับ


Close = จุดปิดของแท่งเทียน
Open = จุดเปิดของแท่งเทียน
High = จุดสูงสุดของแท่งเทียน
Low = จุดต่ำสุดของแท่งเทียน
Medium Price (HL/2) = เอาค่าระหว่าง High และ Low มาบวกกันแล้วหารด้วย 2
Typical Price (HLC/3) = เอาค่าระหว่าง High,Low และ Close มาบวกกันแล้วหารด้วย 3
Weighted Close (HLCC/4) = เอาค่าระหว่าง High, Low, Close, Close มาบวกกันแล้วหารด้วย 4


กลยุทธ์ การลงทุนนั้น จะกำหนดเส้นค่าเฉลี่ย ในจำนวนวันที่แตกต่าง กัน ขึ้นอยู่กับ ระยะเวลาการลงทุนของแต่ละบุคคล หรือรอบการเคลื่อนที่ของราคาตัวนั้น
ว่า การกำหนดด้วยเส้นค่าเฉลี่ยเท่าใด ที่น่าจะได้ผลตอบแทนสูงที่สุด ผู้เทรดสามารถตั้งค่าของเส้นค่าเฉลี่ยได้ในช่อง "Period" โดยเส้นค่าเฉลี่ยที่ใช้กันทั่วไปมีตั้งแต่
     5   วัน   (1 สัปดาห์)  ใช้สำหรับการลงทุนระยะสั้น
   10   วัน  (2 สัปดาห์)   ใช้สำหรับการลงทุนระยะสั้น
   25   วัน  (ประมาณ1 เดือน) ใช้สำหรับการลงทุนระยะค่อนข้างปานกลาง
   75   วัน  (ประมาณ1 ไตรมาส) ใช้สำหรับการลงทุนระยะกลาง
   200 วัน  (ประเมาณ 1 ปี)  ใช้สำหรับการลงทุนระยะยาว 

 
ชนิดของเส้น Moving Average

เส้นค่าเฉลี่ยที่เทรดเดอร์นิยมใช้กันมีอยู่ 2 ประเภทคือ

    Simple Moving Average (SMA)
    Exponential Moving Average (EMA)

Simple Moving Average หน้าที่ของมันคือหาค่าเฉลี่ยของราคา ในช่วงเวลาที่เรากำหนด ส่วน EMA ย่อมาจาก Exponential Moving Average
ซึ่ง การทำงานของมันคือ เป็นการหาค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก โดยการให้ความสำคัญกับค่าตัวหนึ่งที่ชื่อ SMOOTHING FACTOR สูตรมันก็มีว่า 2/(n+1)
ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาและถ่วงน้ำหนักให้ค่าสุดท้ายมีความสำคัญเพิ่มขึ้น   

แล้ว SMA กับ EMA ต่างกันอย่างไร?       
การ เคลื่อนที่ SMA จะช้ากว่า EMA โดยถ้าเราจะเล่นแบบตัดกันแล้วเข้า เราก็ใช้ EMA จะให้ความแม่นยำกว่า ส่วน SMA นั้นนะครับ มันจะเป็นแนวรับแนวต้านให้เราได้ดีกว่า
เพราะเป็นการคำนวนฐานต้นทุนของ นักลงทุนจริงๆแต่สำหรับราคาของคู่เงินบางตัวก็ใช้ EMA ดีกว่า SMA หรือ SMA ดีกว่า EMA มันก็ขึ้นอยู๋กับเราเลือกใช้เพื่อจุดประสงค์อะไร
( โดยส่วนตัวใช้ SMA เป็นแค่แนวรับแนวต้านธรรมดา )

ตัวอย่างการใช้ Moving Average
เส้น ค่าเฉลี่ยที่ผมใช้โดยส่วนใหญ่จะมี  EMA 5 10 สองเส้นนี้จะเอาไว้ดูการตัดกัน เพื่อเข้าออเดอร์ และ EMA 55 110 220 สามเส้นนี้จะเอาไว้เป็นแนวรับแนวต้าน
1. ถ้าราคาอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น แล้วมีการปรับตัวลงมา เส้นค่าเฉลี่ย 55 110 220 จะกลายเป็นแนวรับทันที ถ้าราคาไม่สามารถผ่านเส้นเหล่านี้ได้ ราคาก็จะกลับตัวขึ้นไปสู่แนวโน้มขา
ขึ้นเดิมอีกครั้งและถ้าราคาสามารถทะลุผ่านเส้นค่าเฉลี่ย 55 110 220 ลงมาได้ แนวโน้มก็จะเปลี่ยนเป็นแนวโน้มขาลงทันที
2.ถ้า แนวโน้มอยู่ในช่วงแนวโน้มขาลงแล้ว ราคามีการปรับตัวขึ้นไป (ปรับฐาน) เส้นค่าเฉลี่ย 55 110 220 จะกลายเป็นแนวต้านของราคาทันที หรือเราอาจจะเรียกมันว่า
เส้นแนวโน้มขาลง

ตัวอย่างจากแนสโน้มขาขึ้น


ตัวอย่างจากแนวโน้มขาลง

 
 
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่   http://www.thaibestforex.com/forex/moving-average-641/?/

12 วิธีคิด ก่อนลงมือเทรด

1. เรียนรู้พื้นฐาน
ฟังดูเป็นเรื่องพื้นๆ แต่เทรดเดอร์มือใหม่ส่วนมากมักจะกระโดดเข้าไปในสมรภูมิก่อนที่จะรู้ว่าอะไร เป็นอะไร และแน่นอนว่ามักจะเกิดความผิดพลาดและเสียหายขึ้นกับพวกเขาเหล่านั้น อย่างที่เราเห็นกันบ่อยๆว่ามือใหม่ล้างพอร์ตกันบ่อยๆ ล้างแล้ว ล้างอีก แล้วพวกเขาก็เที่ยวค้นหาอะไรซักอย่างที่จะมาช่วยเค้าให้หลุดพ้นจากจุดนี้ จริงๆแล้วสิ่งที่มือใหม่ควรทำเป็นอันดับแรกก็คือ "เรียนรู้พื้นฐาน" ซะก่อนที่จะโดดลงมาเล่นในตลาดอย่างเต็มตัว

2. คุณจะไม่ได้รวยในทันที ประสบการณ์ทำให้คุณรวย
ถ้า คุณเข้ามาในตลาด Forex เพราะคิดว่ามันจะทำให้คุณรวยได้อย่างรวดเร็ว บอกได้เลยว่าคุณคิดผิดแล้ว คุณจะอยู่ในตลาดได้ไม่นานแล้วก็ต้องออกจากตลาดไป เพราะ "การเทรดคือทั้งหมดที่เกี่ยวกับประสบการณ์" ก็เหมือนกับมืออาชีพในอาชีพอื่นๆ ที่คุณจะต้องเรียนรู้การทำงานในอาชีพนั้นๆ เมื่อสะสมประสบการณ์ไปเรื่อยๆ งานที่คุณทำก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น และคุณก็จะกลายเป็นมืออาชีพ  เส้นทางที่จะทำให้คุณเทรดเดอร์มืออาชีพนั้นเป็นเส้นทางที่ยาวไกล ต้องจริงจังและอยู่กับมันให้ได้อย่างน้อย 1-3 ปี ก่อนที่จะทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง จำไว้ว่าการเทรด Forex เป็นอาชีพ ดังนั้นถ้าเทรดเดอร์มือใหม่อยากจะทำกำไรให้ได้เหมือนเทรดเดอร์เก๋าๆที่เทรด มานานๆ ก็จงเรียนรู้ ฝึกปฏิบัติ และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ เพื่อวันนึงข้างหน้าคุณจะทำได้เหมือนมืออาชีพที่คุณเห็นในวันนี้

3. ผู้เชี่ยวชาญเป็นเรื่องตลก
การ รับฟังความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญนั้นเป็นสิ่งที่ดีแน่นอน แต่ปัญหาที่มีในตลาดเงินก็คือ มีเทรดเดอร์มือใหม่ที่สามรถทำไรได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ และคิดว่าตนเองเป็นผู้เชี่ยวชาญเกิดขึ้นทุกสัปดาห์ และมากกว่านั้นคือผู้เชี่ยวชาญที่อายุ 30-60 ปี แต่งตัวภูมิฐานในชุดสูท ที่อ้างว่าเป็นผู้ประกอบการมืออาชีพ และเรียกร้องให้คุณซื้อหนังสือของพวกเขา คนเหล่านี้มักเป็นคนที่ล้มเหลวจากการทำรายได้จากตลาด และหันมาสร้างรายได้จากการสอนเทรดเดอร์คนอื่นๆด้วยวิธีที่ล้มเหลว ผู้เชี่ยวชาญที่ประกาศตัวเอง มีแนวโน้มที่จะ:

    ให้ข้อมูลเก่าที่ไม่สามารถใช้การได้พวกเขาจะเป็นเทรดเดอร์อาชีพที่เทรดอย่างเดียว และพยายามขายหนังสือให้คุณ
    เรียกร้องในราคาที่แพงแสนแพง และสิ่งที่ได้มาบางทีก็ใช้การอะไรไม่ได้
    พยายามที่จะพิสูจน์ว่าพวกเขาเป็นเทรดเดอร์ที่ทำกำไรได้โดยการโพสต์ภาพของบัญชี ซึ่งเราไม่รู้ว่ามันเป็นของจริงหรือเปล่า
    เป็นคนที่เก่งคำนวณ เพื่อให้ตัวเป็นคนที่ประสบความสำเร็จและน่าเชื่อถือมากขึ้น เช่น เทรดได้กำไรสองครั้ง แต่ ขาดทุนแค่ครั้งเดียว

ดัง นั้นควรต้องระวังเหล่าผู้เชียวชาญที่ไม่เชี่ยวชาญไม่จริงเหล่านี้ไว้ด้วย สำหรับเทรดเดอร์มือใหม่ ควรเช็คให้แน่ใจว่าอันไหนของจริงหรือ ของปลอม อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ

4. วิเคราะห์ด้วยตัวเอง
การ เชื่อคนอื่นแบบสุ่มสี่สุ่มห้าจะทำให้คุณเป็นคนตาบอด อย่าลืมว่าเป้าหมายของคุณคือการเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่การเทรดตามซิกที่คนอื่นๆให้มา
การที่จะเป็นเทรดเดอร์ได้นั้น คุณต้องเลือกวีการเทรดเพื่อที่จะทำกำไรและเรียนรู้ที่จะวิเคราะห์ตลาดด้วย ตัวเอง ความสามารถในการวิเคราะห์ของคุณจะทำให้คุณกลายเป็นเทรดเดอร์มือโปร การวิเคราะห์ด้วยตัวเองจะช่วยให้คุณ:

    เป็นคนที่พึ่งพาตัวเอง
    เรียนรู้ในการเทรดอย่างจริงจัง

ถ้า คุณเลือกที่จะหลับหูหลับตาเทรดตามกูรู แล้วคุณจะทำกำไรได้อย่างไรเมื่อกูรูหยุดแจกเคล็ดลับ หรือเคล็ดลับนั้นไม่สามารถทำงานได้อีกต่อไป คุณจะเข้าใจได้อย่างไรว่าทำไมเคล็ดลับมันทำงานในตอนแรก แต่ตอนนี้มันกลับใช้การไม่ได้แล้ว ดังนั้นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวคุณน่าจะเป็น "การพึ่งพาตนเอง"

5. จ้าวตำนานเดโม่
ถ้า คุณอยากจะเป็นนักมวยมืออาชีพแล้วคุณไปซื้อเกมส์ต่อยมวยมาเล่น แล้วเริ่มการฝึกต่อยมวยด้วยวีดีโอเกมส์ แล้วมันจะช่วยให้ต่อยมวยเป็นได้ยังไง ? ก็เหมือนกับการเทรดด้วยบัญชีเดโม่ ที่ทำให้คุณหวังว่าจะเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จ
การเทรดด้วยบัญชีเดโม่เป็นเวลา 3 เดือนแล้วไม่ประสบความสำเร็จเมื่อมาเทรดปัญจริงก็เพราะ 2 เหตุผล คือ

    ทำให้มือใหม่มีความมั่นใจแบบผิดๆ และทำให้ซึบซับนิสัยที่ไม่ดี เพราะในการเทรดบัญชีเดโม่และบัญชีจริงจะมีความกดดันที่แตกต่างกัน การเทรดบัญชีเงินจริงจะมีความกดดันมากกว่าหลายเท่า ในขณะที่การเทรดบัญชีเดโม่แทบจะไม่มีความกดดันเลย ก็แน่นอนละเพราะถึงเสีย เราก็ไม่ได้เสียเงินจริง เราๆท่านๆคงเคยได้ยินคำพูดนี้อยู่บ่อยครั้ง "หมูสนามจริง สิงห์สนามซ้อม"
    ประสิทธิภาพของบัญชีเดโม่ มักจะดีกว่าบัญชีจริง ซึ่งรวมถึงความรวดเร็วในการเปิดปิดออเดอร์ รวมทั้งปัจจัยอื่นๆอีกหลายอย่าง

ทางออก ที่ดีที่สุดคือการใช้บัญชีเดโม่ในการเรียนรู้พื้นฐานและการทดสอบระบบหรือหา วิธีการซื้อขาย และเมื่อต้องซื้อขายจริงคุณควรจะเทรดด้วยบัญชีเงินจริง วันนี้คุณสามารถเปิดบัญชีซื้อขายกับโบรคเกอร์ต่างๆได้ด้วยเงินเพียงเล็กน้อย อาจจะเริ่มต้นเปิดบัญชีขั้นต่ำที่ $10-$50  ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่จะไม่เปิดบัญชีซื้อขายจริง

6. กำจัดแนวโน้มความสูญเสียแต่เนิ่นๆ
สิ่ง สี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเทรดเดอร์มืออาชีพเลยก็ว่าได้ เพราะถ้าเขาเหล่านั้นไม่ยึดกฎข้อนี้อย่างเคร่งครัดพวกเขาอาจมาไม่ถึงจุดนี้
ถ้า คุณเกิดเทรดเสียติดต่อกันถึง 3 ครั้ง ควรจะหนีห่างออกจากราฟ แล้วใช้เวลาอยู่ห่างกราฟซัก 2-3 วัน และกลับมาเทรดใหม่เมื่อหัวของคุณโล่งและพร้อมที่จะกลับเข้าสู่ตลาดใหม่อีก ครั้ง เพราะแนวโน้มของความสูญเสียนั้นอันตรายมาก การเริ่มต้นด้วยการเทรดเสียเล็กๆน้อยๆ สามรถนำไปสู่ความสูญเสียที่ใหญ่มากกว่าเดิมหลายเท่า


7. ทำตามคนส่วนใหญ่
เรา มักจะได้ยินกันบ่อยๆว่า 90% ของเทรดเดอร์มือใหม่นั้นต้องล้มเหลวและเดินออกจากตลาดไป และสิ่งที่จะช่วยได้ก็คือ การเรียนรู้ที่จะพึ่งพาตัวเองด้วยการศึกษาระบบการเทรด หรือศึกษาเกี่ยวกับเครื่องมือต่างๆที่จะใช้ในการเทรดให้มากพอ ทำความเข้าใจหลักการทำงาน เก็บเกี่ยวประสบการณ์ และไม่เป็นผู้ตาม 
ถ้าคุณเป็นมือใหม่ก็ลองคิดถึงเหตุผลดังต่อไปนี้:

    ส่วนใหญ่แล้วเทรดเดอร์มือใหม่มักจะล้มเหลว
    ถ้าคุณทำตามคนส่วนใหญ่ คุณก็จะล้มเหลวเหมือนคนส่วนใหญ่
    ถ้าคุณเป็นคนส่วนใหญ่ คุณก็มีแนวโน้มที่จะล้มเหลวเหมือนพวกเขา

ดังนั้นแล้ว คุณไม่ควรที่จะทำตามคนส่วนใหญ่ทีล้มเหลวเหล่านั้น

8. ทำตามวิธีการของคุณ
วิธี การหรือระบบเทรดทุกแบบจะมีทั้งข้อดีและข้อด้อย ไม่มีวิธีการใด ระบบใด หรือรูปแบบใดที่จะสามารถทำกำไรได้ 100% ตลอดทั้งปี เช่น ปีนี้มีอัตราความสำเร็จทำกำไรได้เฉลี่ยที่ 80% แต่บางช่วงของปีก็ทำได้แค่เพียง 60% และบางช่วงก็ทำได้ถึง 100%
ในแต่ละ ปีจะมีช่วงที่ดีที่ทำกำไรได้ง่าย และช่วงที่ไม่ดีที่ทำให้คุณเทรดเสียได้ง่ายกว่าปรกติปะปนกันเป็นเรื่องปรกติ ที่สำคัญคือ เมื่อคุณเจอช่วงเวลาที่เลวร้าย จงอย่าสูญเสียความเชื่อมั่นในระบบเทรดของคุณ ปัญหาของมือใหม่ก็คือ จะละทิ้งระบบและวิธีการเทรดของตน แล้วไปแสวงหาระบบการทำกำไรใหม่ๆไปเรื่อยๆ

9. ทำให้การเทรดเป็นเรื่องง่ายซะ
มัน ไม่มีเหตุผลที่จะต้องทำให้การเทรดเป็นเรื่องที่ซับซ้อน ตัวอย่างเช่นบางคน อาจจะใช้เวลาเพียง 2-5 ชั่วโมงในการเทรดในแต่ละสัปดาห์ แล้วใช้เวลาที่เหลือไปสนุกกับการใช้ชีวิต ดังนั้นวิธีการเทรดของคุณก็ไม่มีความจำเป็นว่าจะต้องซับซ้อน เพราะมันก็ไม่ได้การันตัว่ายิ่งยุ่งยากแล้วจะทำให้ได้กำไรมากขึ้นซะหน่อย จริงมั้ย? และการทำให้การเทรดง่ายขึ้นนั้น จะช่วยให้ซ

    การเทรดนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น
    คุณทำงานน้อยลง
    ทำให้คุณเรียนรู้ได้เร็วขึ้น(เพราะคุณมีเวลาเหลือเฟือที่จะใช้ศึกษาเพิ่มเติม)


10. เทรดแค่คู่เงินเดียว
กุญแจ สำคัญที่จะเปลี่ยนมือใหม่ให้เป็นมือโปรคือ ทำให้การเทรดเป็นเรื่องง่าย และวิธีที่ง่ายที่สุดอย่างหนึ่งก็คือการเทรดคู่เงินเพียงคู่เดียวในช่วงเวลา นั้นๆ เพราะมันจะช่วยให้คุณสามารถพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่คู่เงินเพียงคู่เดียว คุณจะเรียนรู้ถึงพฤติกรรมราคาของคู่เงินนั้นและเข้าใจความเคลื่อนไหวของมัน ได้ ถ้าคุณเทรด 5 คู่ในเวลาเดียวกันมันจะเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากในการศึกษาพฤติกรรมราคาของ แต่ละคู่เงิน เพราะแต่ละคู่จะมีพฤติกรรมราคาที่แตกต่างกันไป เพราะว่า:

    มีปฏิกิริยาต่อข่าวที่แตกต่างกัน
    มีอัตราการเคลื่อนไหวที่แตกต่างกัน บ้างก็ช้า บ้างก็เร็ว
    มีการเคลื่อนไหวมากๆต่างกันตามช่วงเวลาต่างๆของวัน เช่นบางคู่จะเคลื่อไหวมากในช่วงตลาดสหรัฐ แต่บางคู่จะเคลื่อนไหวมากในช่วงทำการของตลาดเอเชีย
    ต้องมีการจัดการที่แตกต่างกันเวลาที่ถือออเดอร์ บางคู่จะวิ่งเป็นเทรนยาวๆ สามารถถือได้นาน แต่บางคู่จะผันผวนมากจะถือยาวไม่ได้

ดัง นั้น มือใหม่ไม่ควรที่จะเล่นทีเดียวกลายคู่ เพราะจะเพิ่มความเครียดให้มากเกินไป ควรเล่นทีละคู่ ค่อยๆศึกษาไปทีละคู่ เมื่อคุณรู้แล้วว่าคู่ไหนเป็นอย่างไรจึงค่อยเพิ่มคู่เทรดมากขึ้นเท่าที่คุณ คิดว่าจะมารถจัดการกับมันได้

11. เทรดในทามเฟรมเดียว
เพราะการเทรดในทามเฟรมเดียวเป็นสิ่งที่ทำให้การเทรดของคุณง่ายขึ้น การเทรดในทามเฟรมเดียวมีประโยชน์หลายอย่าง :

     ช่วยให้คุณมีสมาธิในการเทรดในกรอบเวลานั้นๆ และลดความสับสนในการเทรดพร้อมกันในหลายทามเฟรมได้
     คุณดูกราฟน้อยลง เพราะจะดูแค่ทามเฟรมเดียว จึงช่วยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นในการวิเคราะห์กราฟ สามารถหาสัญญาณที่ชัดเจนได้
     ไม่ต้องวิเคราะห์กราฟมากเกินไปในหลายทามเฟรม ซึ่งอาจจะให้สัญญาณที่ขัดแย้งกัน แล้วคุณก็จะสับสนกับสัญญาณเหล่านั้นได้
     มันทำให้ชีวิตของคุณง่ายขึ้น

จำ ให้ขึ้นใจว่า สิ่งเหล่านี้คือการทำทุกอย่างให้มันง่ายขึ้นในการเทรด หากคุณเทรดคู่เดียวในทามเฟรมเดียว ก็เท่ากับคุณต้องดูกราฟเดียว มือใหม่ไม่จำเป็นที่จะต้องทำอะไรให้ซับซ้อนยุ่งยาก จนกว่าคุณจะกลายเป็นมือโปรและทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง

12. กราฟที่สะอาดตา
ส่วน มากมือใหม่อยากจะใช้ Indicators ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เอามาใส่จนเต็มกราฟไปหมด เพราะคิดว่ามันจะช่วยบอกได้ถึงจุดเข้าออกที่แม่นยำ ซึ่งมันไม่จริง เมื่อเทรดเดอร์มีประสบการณ์มากขึ้น Indicators ในกราฟของพวกเขาจะลดลงไปเรื่อยๆ เพราะ Indicators ยิ่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งให้สัญญาณที่สับสนมากขึ้นเท่านั้น:

    เพิ่มความยุ่งเหยิงให้กราฟ ยากที่จะอ่านสัญญาณได้
    ทำให้เกิดความสับสนในการตัดสินใจ
    เพิ่มแนวโน้มว่าจะมีสัญญาณที่ขัดแย้งกันมากขึ้น
    กราฟดูรก สกปรก เกินไป


เรา จะเห็นได้ว่ามือโปรส่วนใหญ่จะเทรดด้วยกราฟที่สะอาด แม้ว่าจะมี Indicators บ้างแต่ก็ไม่มาก อาจจะแค่เส้น Moving Average ดูสัญญาณแท่งเทียน แนวรับแนวต้าน เพียงแค่ เรื่องพื้นฐานแค่นั้นเค้าก็ทำกำไรกันได้แล้ว แล้วคุณล่ะ ก่อนที่จะโดดลงมาในตลาดเต็มตัว เรียนรู้พื้นฐานกันหรือยัง

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/12-638/?/

การวิเคราะห์ข่าว

การมองภาพกว้าง ภาพรวมของตลาดก่อนเทรด เพื่อวิเคราะห์ ทิศทางตลาด รวมไปถึงการกำหนดกลยุทธ์การเทรด กรณีที่เกิด event ต่างๆ  ระดับความสำคัญของตัวเลขเหล่านี้ จะนิยมเล่นเก็งกำไร ก่อนตัวเลขจะประกาศ บางสายเรียกว่า Event Trade ครับ มันจะสอดคล้องกับ เทรนด์ราคา ของค่าเงิน หรือดัชนีต่างประเทศ บ่งบอกคุณภาพของแนวโน้ม และการอยู่ตัวของแนวโน้ม ได้อีกด้วย

โดยผมขอแบ่งออกเป็นหัวข้อหลักๆดังต่อไปนี้

การแถลงตัวเลขเศรษฐกิจ
-PMI (กำลังการผลิตภาคอุตสาหกรรม, การขยายตัวของเศรษฐกิจ)
- GDP
- Non farm Payrolls  (เกี่ยวกับอัตราว่างงาน)
- Unemployment Rate (เกี่ยวกับอัตราว่างงาน)
- Retail sales Indicator(อสังหาริมทรัพย์)
- Housing stats(อสังหาริมทรัพย์)
- CPI ( Consumer Price index )
- อัตราเงินเฟ้อ

โดยตัวเลขต่างดูได้จาก www.investing.com


ปฏิทินเศรษฐกิจ
Event ต่างๆเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจในรอบสัปดาห์ พวกการประชุมของผู้นำชาติ ผู้นำธนาคารกลาง
www. forexfactory.com


ข่าว
-Reuters, The Wall Street Journal, Bloomberg, MarketWatch.com


Market Sentimental
อารมณ์ตลาด โลภ กลัว หมี กระทิง ดูกราฟ timeframe Day แล้วเทียบกับแนวโน้มใหญ่ EMA20 วัน , ดูกราฟ VIX
http://www.bloomberg.com/quote/VIX:IND

Fundflow
ปกติดูการไหลของเงินจากตลาดหนึ่งไปตลาดหนึ่ง เช่น ทองคำ ไปค่าเงินดอลลาร์ หรือไป ตลาดหุ้น เป็นตัว

ตัวอย่าง จากภาพ แสดง ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลก รอบสัปดาห์ หรือรอบวัน ก็สามารถกำหนดได้ พบว่าเงินไหล ไปภูมิภาคไหน ตลาดประเทศไหนมีการเปลี่ยนแปลง หรือมีการแกว่งของกระแสเงินมากน้อย


อีก ภาพ เป็นการเปลี่ยนแปลงของค่าเงิน เราเลือกสกุลได้ ในภาพผมวิเคราะห์ USD เป็นหลัก จากภาพ จะเห็นรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา Thai bath แข็ง +0.12 ขณะที่ EUR -2.02 % การมองภาพใหญ่ออก จะทำให้เราวางกลยุทธ์การเล่นได้ชัดมากขึ้นครับ

 
 
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/t618/?/

วิธีการติดตั้งโปรแกรมเทรด

วิธีการติดตั้งโปรแกรมเทรด MT4 MetaTrader - EXNESS

คลิ๊กดาวโหลด MetaTrader 4 ตามรูป

คลิ๊กที่โปรแกรมที่เราดาวโหลดมา แล้วคลิ๊ก Run


จากนั้นคลิ๊ก Next..

แล้วคลิ๊กเครื่องหมายถูกในช่องสี่เหลี่ยม แล้ว คลิ๊ก Next..


แล้วก็คลิ๊ก Next >>


รอการดาวโหลด สักครู่


คลิ๊ก Finish >>


แล้วจะขึ้นหน้าต่าง โปรแกรมMT4 มาใหม่

ให้ ทำการนำหมายเลขบัญชีที่เราสมัครไว้มา Login และ Password  เลือก Sever สำหรับใครที่เปิดบัญชี แบบ Mini Server จะเป็น Exness-Real2  ถ้าเลือกผิดก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เมื่อทำการ login เข้าสู่โปรแกรม MT4 ครั้งแรก จะมีคูเงิน อยู่หน้าแรกประมาณ 4 คู่

และบางทีก็โชว์หน้าจอ กราฟ ขึ้นมาเลย แต่บางที่อาจจะโชว์คำว่า waiting for update ดังรูป

ให้ทำการคลิ๊กตรงเครื่องหมาย x สีแดง มุมขวามือของแต่ละ chart คู่เงินออกไปทั้งหมดเลย

แล้วทำการเปิด Chart คู่เงินใหม่ขึ้น มีให้เลือกมากมาย ตามความถนัดของเรา

โดยส่วนใหญ่ นิยม เล่นคู่เงิน EUR/USD ค่ะ
ตาม ตย. จะทำการเปิดกราฟใหม่
โดยไปที่ File >> New chart >> EUR/USD

ก็จะได้กรา EUR/USD หน้าตา ดังรูปข้างล่างนี้


**หมาย เหตุ** ใครที่ติดตั้งโปรแกรมและ login ภายในวันเสาร์ - อาทิตย์ กราฟจะไม่เคลื่อนไหวนะครับเพราะตลาดปิด ได้แต่ดูกราฟเฉยๆนะครับเทรดเดอร์ส่วนใหญ่มักจะดูแนวโน้มราคาในวันเสาร์ - อาทิตย์ เพราะราคาไม่ขยับมันเลยดูได้ง่าย พอเข้าใจนะครับ ***

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/t617/?/

กระบวนการวิเคราะห์กราฟทางเทคนิค

กระบวนการวิเคราะห์กราฟทางเทคนิค
มีที่มาหรือแนวความเชื่ออยู่ 3 ประการคือ

1. พฤติกรรมของราคาหุ้น ได้ดูดซับทุกสิ่งออกมาแล้ว
เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ ย่อมส่งผลต่ออุปสงค์ อุปทานของหุ้น
ข้อมูลสำคัญของการวิเคราะห์จะพุ่งไปที่ปริมาณการซื้อขาย

2. ราคาจะเคลื่อนไหนไปตามแนวโน้มเดิม จนกระทั้งแนวโน้มเดิมหมดลงจริงๆ

3. พฤติกรรมในอดีตมักจะซ้ำรอยในตัวมันเอง "ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย"

จะเห็นได้ว่ากระบวนการคิดต่างๆในการวิเคราะห์ทางเทคนิคนั้น พื้นฐานจริงๆมาจากจิตวิทยาของมนุษย์
ดัง นั้น การวิเคราะห์การเหมือนกับการเทรดโดยจิตวิทยาของนักลงทุน ไม่ใช่เทรดโดยการอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์คนที่เทรดแล้วอ้อนวอนสิ่งสักสิทธ์ เขาเรียกกันว่า "นักพนัน"

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/t549/?/

สิ่งที่จำเป็นในการวิเคราะห์ทางเทคนิค

สิ่งที่จำเป็นในการวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical analysis)

สิ่งจำเป็นสำหรับนักวิเคราะห์ทางเทคนิคมีอยู่ด้วยกันหลักๆ อยู่ 4 ข้อ

1. เรียนรู้และฝึกฝน (lean and practice)
2. หยุดขาดทุน (Cut loss)
3. ปกป้องกำไร (protect your profit)
4. มีระเบียบวินัยในการลงทุน (investment discipline)

1. เรียนรู้และฝึกฝน (lean and practice)

การเรียนรู้และฝึกฝนเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกเลยก็ว่าได้นะครับ
เพราะการลงทุนไม่ใช่ความเสี่ยง แต่ความเสี่ยงอยู่ที่ความรู้ของนักลงทุน

มีความรู้มากก็เสี่ยงน้อย
มีความรู้น้อยก็เสี่ยงมาก

และการฝึกฝนต้องมาควบคู่กับการเรียนรู้
เพราะเมื่อเรียนรู้แล้วต้องลงมือปฏิบัติในตลาดจริง จะได้รู้ถึงวิธีการประยุกต์เข้าสู่ตลาดจริง

ตัวอย่างเช่น ท่านมีปืนหนึ่งกระบอก ท่านได้ทำการเรียนรู้ว่าปืนนี้ยิงยังไง ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง
แต่ท่านไม่เคยมาลองยิงจริงเลย ถามว่าท่านจะยิ่งแม่นขึ้นไหม??
คำตอบก็คือ ไม่เลยยยย

การเรียนรู้ทางเทคนิคก็เหมือนกันท่านมัวแต่ศึกษาตามตำราอย่างเดียวก็ไม่ได้ท่านต้องฝึกฝนในตลาดจริงด้วย
เพราะบทเรียนใน ตลาดบางเรื่องจำเป็นกว่าบทเรียนในตำราบางเรื่องอีก...

"การวิเคราะห์ทางเทคนิคไม่ได้บอกว่าคุณจะยิงเข้าเป้าเสมอไป แต่การวิเคราะห์ทางเทคนิคจะทำให้คุณยิงเข้าเป้ามากขึ้นเท่านั้นเอง"

2. หยุดขาดทุน (Cut loss)

Cut loss ถือเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆเลยทีเดียวสำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการประสบความสำเร็จ
เพราะการ Cut loss จะเป็นตัวช่วยให้เราไม่ขาดทุนมากจนเกินไป
แต่การ Cut loss เป็นการทำอะไรที่ค่อนข้างทำใจยากในคนบางกลุ่ม
เพราะชอบคิดไปว่า...ตัวอย่างเช่น เข้าไปในตลาด กดคำสั่ง Buy EUR/USD ไว้
เมื่อค่าของ EUR/USD ลดลง ก็ชอบหลอกตัวเองว่าเดี่ยวกราฟก็คงขึ้น
หลังจากนั้น....กราฟก็ค่อยๆลงไปเรื่อยๆๆ เรื่อยๆ อยู่แบบนั้นจนเงินที่หน้าตักหมด
ทำให้ล้างพอร์ตไปตามๆกัน

วิธีการแก้ไขที่ดีคือ ... เมื่อเราเข้าไปในตลาดแล้วมองว่ากราฟมันจะขึ้นเลยกดคำสั่ง Buy ไว้
แต่ พอกราฟมันมาผิดทางกับที่เราคำนวณไว้ ก็กด Cut loss แทนที่จะปล่อยให้มันลากยาวหรือภาวนารอให้มันขึ้น ก็ตัดมันทิ้งซะ ! "เนื้อร้ายต้องตัดออก"
แล้วออกมาดูแนวโน้มใหม่และพิจารณาว่า เมื่อกี้เราใทำอะไรผิดพลาดไป
เมื่อเรามั่นใจแล้วว่า "เมื่อกี้เราคำนวณผิดนะ จริงๆแล้วกราฟมันจะลง" ก็ Sell ไว้
เพียงเท่านี้ท่านก็สามารถเอาชนะตลาดได้ง่ายๆ

3. ปกป้องกำไร (protect your profit)

การปกป้องกำไรถือเป็นสิ่งที่ค่อนข้างถือว่าสำคัญเลยทีเดียวเพราะเป็นการรักษากำไรของเรา
ไม่ใช่แบบว่า ราคาขึ้นไปสูงจนทำให้มีกำไรแต่ไม่กล้าขายเพราะคิดว่าราคานั้นจะสูงกว่านี้
แต่พอเวลาผ่านไปราคากลับปรับลงเรื่อยๆจนทำให้ขาดทุนจึงทำการ Cut loss ไป
ทำให้เราขาดกำไรในส่วนที่เราควรจะได้มา

พูดมาหลายคนอาจจะ งง ผมเลยขอยกตัวอย่างให้ดูนะครับ

นาย ก ซื้อ หุ้นมาที่ราคาหุ้นละ 30 บาท ผ่านไป 10 วัน หุ้นมีราคา หุ้นละ 40 บาท
แต่นาย ก คิดว่าราคาน่าจะขึ้นไปได้เยอะกว่านี้นาย ก ก็เลยทำการปกป้องกำไร
โดยถ้าราคาหุ้นตัวนี้ลงมาต่ำกว่า 38 บาท นาย ก จะทำการขาย
แต่พอเวลาผ่านไป หุ้นตัวนี้ไม่มีการปรับราคาขึ้น แต่ดันปรับตัวลง และก็ลง
ลงเรื่อยๆ จนราคามาถึง หุ้นละ 20 บาท

เห็นไหมล่ะครับ นาย ก ได้ทำการปกป้องกำไรส่วนของเขาไว้
ถ้านายก็ไม่ทำการปกป้องกำไรส่วนนี้ไว้ เขาก็อาจจะขาดทุนก็ได้...

4. มีระเบียบวินัยในการลงทุน (investment discipline)

ระเบียบถือเป็นสิ่งที่สำคัญ ถือว่านักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมากกว่า 99.9999% ทำกัน
ก็คือ มีระเบียบและวินัยในการลงทุน

เพราะการมีระเบียบและวินัยจะทำให้คุณปฏิบัติตามระบบของคุณ
หลายคนอาจยังไม่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้เท่าไหร่นักเพราะคิดว่า อยากเข้าเมื่อไหร่ก็เข้า
อยากเข้าเมื่อไหร่ก็เข้านี้มันเป็นระบบของ "นักพนัน" นะครับ
นักลงทุนเขาจะต้องมีการวางแผนก่อนเข้า หาจังหวะเข้าที่ดี หาจังหวะออกที่ดีและหาวิธีการหนีที่ดีด้วย

เมื่อมีแนวโน้มออกมาไม่ชัดก็ไม่เข้า เมื่อระบบบอกว่า Cut loss ก็ต้องทำ
ทำตามกฎที่ตัวเองตั้งไว้อย่าง อดทน และหนักแน่น
แล้วจะทำให้คุณเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จครับ...

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/t543/?/

กฏ 24 ข้อ เพื่อทำกำไรในตลาด

กฏ 24 ข้อ เพื่อทำกำไรในตลาด

นักค้าต้องมีกฏเกณฑ์ในการปฏิบัติที่ แน่นอนและต้องมีวินัยอย่างเคร่งครัด กฏเกณฑ์ที่จะกล่าวต่อไปนี้ ได้รวบรวมจากประสบการณ์ 45 ปี ในตลาดหุ้นของ นายวิลเลี่ยม ดี แก้น ซึ่งเป็นที่เชื่อว่า หากใครสามารถปฏิบัติตามได้ก็จะประสบความสำเร็จในตลาดหุ้น

1. จำนวนเงินลงทุน ต้องพอดีและจงแบ่งเงินลงทุนเป็นสิบส่วน เท่าๆกัน ในการซื้อขายแต่ละครั้ง อย่าลงทุนซื้อหรือขาย เกินหนึ่งในสิบของเงินลงทุน
2. ใช้คำสั่ง STOP ORDER ควรป้องกันการลงทุนโดยการตั้ง STOP ORDER 3-5 ช่วงต่ำกว่าราคาที่ซื้อ หรือ สูงกว่าราคาที่ขาย
3. อย่าซื้อหรือขายเกินตัว เพราะจะเป็นการฝ่าฝืนกฎเกี่ยวกับจำนวนเงินลงทุนในข้อ 1
4. อย่าปล่อยให้กำไรกลายเป็นขาดทุน หลังจากที่ท่านมีกำไร 3 ช่วงหรือมากกว่านั้น จงยกระดับ STOP ORDER ให้สูงขึ้นเพื่อป้องกันมิให้ขาดทุน
5. อย่าเริ่มก่อนแนวโน้ม ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ:ตามแผนภูมิของท่าน
6. เมื่อสงสัย ให้ออกจากตลาดและอย่าเข้าตลาดถ้ายังสงสัย
7. ซื้อขายเฉพาะหุ้นที่มีการซื้อขายมาก อย่ายุ่งกับหุ้นที่มีการเคลื่อนไหวช้าหรือแน่นิ่ง
8. จงกระจายความเสี่ยง ซื้อขายหุ้นอย่างน้อย 4 ถึง 5 บริษัท ถ้าเป็นไปได้อย่างลงทุนจนหมดตัวในหุ้นของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง
9. จงอย่าใช้ราคาเฉพาะ ทั้งการซื้อและการขาย จงใช้ราคาตลาด
10. อย่าขายหุ้นทิ้งโดยไม่มีเหตุผลที่ดี จงใช้ STOP ORDER เพื่อป้องกันกำไรหดหาย
11. จงสะสมกำไร หลังจากที่ท่านประสบความสำเร็จและมีกำไรติดต่อกันหลายๆ ครั้ง จงสำรองกำไรส่วนนี้ไว้ต่างหากเพื่อใช้ในยามฉุกเฉินหรือตอนที่มีการตื่น ตระหนก
12. อย่าซื้อ เพียงแต่เพื่อจะเอาเงินปันผล
13. อย่าเฉลี่ยการขาดทุน เพราะนี่เป็นความผิดที่เลวร้ายที่สุดที่นักค้าหุ้นไม่ควรทำ
14. อย่าออกจากตลาด เพียงเพราะว่าท่านหมดความอดทนหรือเข้าตลาด เพียงเพราะว่าท่านไม่อยากรอ
15. จงหลีกเลี่ยง การขายเพื่อเอากำไรแต่น้อยและอย่าปล่อยให้ขาดทุนมาก
16. จงอย่ายกเลิกคำสั่ง STOP ORDER ที่ท่านสั่งตอนที่ท่านซื้อขายหุ้นนั้น
17. จงหลีกเลี่ยง การเข้าและออกจากตลาดบ่อยเกินไป
18. จงพร้อมที่จะขาย เช่นเดียวกับซื้อและยึดวัตถุประสงค์ในการทำกำไรให้แน่วแน่
19. จงอย่าซื้อ เพียงเพราะราคาต่ำและอย่าขายเพียงเพราะคิดว่าราคาสูง
20. จงระวังการพีระมิดในจังหวะที่ผิด จงรอจนกระทั่งเริ่มมีการซื้อขายมากและระดับราคาได้วิ่งขึ้นผ่านระดับต้านทาน ก่อนที่จะซื้อเพิ่ม และรอจนกระทั่งราคาได้วิ่งตกต่ำกว่าระดับจำหน่ายจ่ายแจกก่อนที่จะซื้อเพิ่ม ขึ้น
21. เมื่อซื้อ จงสะสมหุ้นในบริษัทที่มีจำนวนทุนจดทะเบียนน้อย และ ถ้ายืมหุ้นคนอื่นมาขาย จงยืมหุ้นในบริษัทที่มีจำนวนหุ้นจดทะเบียนมาก
22. อย่าป้องกันการขาดทุน ในหุ้นที่ซื้อมาโดยการยืมหุ้นจากคนอื่นมาขายไปก่อน จงขายหุ้นที่ซื้อมาไปในราคาตลาดและยอมรับการขาดทุนเพื่อคอยโอกาสครั้งต่อไป
23. อย่าเปลี่ยนสถานภาพการลงทุน (POSITION) ในตลาดโดยไม่มีเหตุผลที่ดี เมื่อท่านตัดสินใจซื้อหรือขายหุ้นแล้ว จงให้โอกาสตัวเองตามเหตุผลที่ดีบางประการหรือตามแผนที่กำหนดไว้ อย่าขายหรือซื้อจนกว่าจะมีสัญญาณบอกว่าแนวโน้มได้เปลี่ยนทิศทาง
24. จงหลีกเลี่ยงการเพิ่มพอร์ท หลังจากที่ประสบความสำเร็จและมีกำไรมาเป็นเวลานาน

เมื่อ ท่านตัดสินใจที่จะซื้อขายหุ้น ท่านต้องแน่ใจว่าท่านไม่ได้ฝ่าฝืนกฏข้อใดข้อหนึ่งข้างต้น ซึ่งเป็นกฏที่จำเป็นต่อความสำเร็จของท่าน หากท่านขายหุ้นไปโดยมีการขาดทุน จงทบทวนกฏข้างต้นใหม่และพิจารณาดูว่าท่านได้ทำผิดกฏข้อใด แล้วอย่าทำผิดเป็นครั้งที่ 2 ประสบการณ์และการพิจารณาอย่างรอบคอบจะทำให้ท่านเชื่อคุณค่าของกฏเหล่านี้ การสังเกตและการศึกษาจะนำท่านสู่วิธีการที่ถูกต้องเพื่อ ความสำเร็จและกำไรในตลาดหุ้น

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/24-534/?/

แนวโน้มและการลากเทรนไลน์เบื้องต้นแบบวีดีโอ

แนวโน้มและการลากเทรนไลน์เบื้องต้น[ ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับFOREX ]
เนื้อหา
1. เข้าใจแต่ละสภาวะแนวโน้ม
1.1. แนวโน้มขาขึ้น ( Uptrend )
1.2. แนวโน้มขาลง ( Downtrend )
1.3. แนวโน้มเคลื่อนที่ไปด้านข้าง ( Sideway)
2. เข้าใจแนวรับและแนวต้าน
3. เข้าใจพื้นฐานข้นต้นในการลากเทรดไลน์ทั้งวิธีการลากในตลาดจริง

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/t530/?/

บทที่ 5 Fibonacci number ช่วยให้คุณรู้จักคลื่น Elliott wave ดีขึ้น

ผมพยายามลำดับความสำคัญว่า อะไรที่ควรจะเรียนรู้ก่อนในกลุ่มเครื่องมือจำนวนมากที่สามารถพาพวกเราเวียน หัวกันได้ ผมว่าน่าจะเอาสิ่งที่เป็นพื้นฐานที่สุด ที่เข้าใจตรงกันมากที่สุด ก็คือ Fibonacci number นี่แหละ มาให้เราทำความเข้าใจกันก่อน ผมว่าเหมือนกับการป้อนข้อมูลใส่ให้พวกเราเข้าใจว่า สาวๆ หน้ากลมๆ สัดส่วน 30-24-36 ถึงจะสวยนะ ถ้าไม่ใช่ ก็สัก 32-26-36 ก็ยังดี (หุหุ เกี่ยวป่าว?)

fibonacci เป็นชื่อเรียกเลขอนุกรมมหัศจรรย์ ที่ตั้งขึ้นตามผู้คิดค้นคือ LEONARDS FIBONACCI ซึ่งสังเกตเห็นว่า ธรรมชาติมีสัดส่วนสัมพันธ์กับตัวเลขนี้ ต่อมาได้มีการประยุกต์นำมาใช้ในการวิเคราะห์ราคาหุ้น เพื่อที่จะใช้ค้นหาแนวโน้ม แนวต้าน แนวรับ สัญญาณซื้อและขาย โดยมีรูปแบบอยู่ 3 ลักษณะ คือ
- Fibonacci retracement หาแนวรับแนวต้านราคาในแนวระนาบ
- Fibonacci fan หาแนวรับในแนวเฉียง
- Fibonacci fan หาแนวรับในแนวดิ่ง หรือระยะเวลา
ส่วน ใหญ่ที่เห็นใช้กัน ก็เป็นอันแรกครับ ส่วนที่มาของตัวเลข ไม่ขอพูดมากครับ ตำราเยอะแยะ เอาเป็นว่า ผมแนะนำสิ่งที่นำไปใช้งานเลยละกัน ตัวเลขสัดส่วนที่นำมาใช้ ถูกคำนวณมาเป็น % หรือเทียบกับ 1.0 เป็นเลขดังนี้
23.6% 38.2% 50% 61.8% 78.6% 100% 127.2% 161.8% 261.8% 423.6%
โดยตัวเลขสีแดง คือตัวเลขที่ผมให้ความสำคัญเป็นพิเศษครับ
การ ใช้ Fibonacci สามารถใช้วัดได้ทั้งคลื่นย่อย และคลื่นหลักตามสะดวก และโดยมากเราวัดในคลื่นย่อย มักจะตรงกับคลื่นหลักอย่างน่าแปลกใจในบางครั้ง ซึ่งหากตรงกัน ผมมักให้ความสำคัญเพิ่มตรงจุดนั้นด้วย

การใช้ Fibonacci ใช้ตอนไหน และตรงไหนดี?
คง เป็นคำถามสำหรับมือใหม่ ที่บางคนลากแบบไม่รู้จะเริ่มตรงไหนดี ต้องย้อนกลับไปอ่านอีกทีข้างบน ที่บอกว่า ใช้หาแนวต้าน แนวรับ แนวต้าน ไงครับ แนวรับจะเกิด เราต้องหาหัวหาท้ายคลื่นให้ได้ก่อน ใช่มั๊ย? เราสนใจคลื่นชุดใหญ่หรือชุดย่อยล่ะ ถ้ายังไม่รู้ ต้องเริ่มจากคลื่นใหญ่ก่อนครับ

- แนะนำให้เริ่มจาก กราฟรายวัน เพราะจะเห็นคลื่นหลักชัดๆ

เมื่อ คลื่นเริ่มต้นขึ้น จนเริ่มตก เราก็จะได้จุดเริ่มต้นและปลายทางของคลื่นเป้าหมายครับ สิ่งที่เราจะวัดหา คือแนวรับเป็นอันดับแรก โดยมีจุดที่ผมให้ข้อคิดไว้ ตามประสบการณ์อันน้อยนิดของผมคือ

- หากคลื่นที่วัด ความแรงไม่มาก เช่นคลื่น 1 แนวรับจะอยู่ที่แถว 50% 61.8% และ 78.6% รวมถึง 100%
- หากหลุดต่ำกว่า 100% ก็จะเป็นการ correction หรือปรับฐานเลย (คลื่น a-b-c) เป้าหมายแรกอยู่ที่ 127.2% และ 161.8% หรือกว่านั้น
- หากเป็นคลื่น 3 บางที ลงไม่ถึง 50% ด้วยซ้ำ

หาก แนวรับ รับได้อยู่แถว 61.8% และดีดกลับได้อย่างแข็งแกร่ง สิ่งที่เราจะมองหาคือแนวต้านแทน เราก็สามารถคาดได้ครับว่า คลื่นอาจจะย้อนสูงขึ้นกว่ายอดเดิม ไปที่ 127.2% 161.8% หรือ 261.8% หรือมากกว่านั้นได้ เราสามารถเอาความเข้าใจเรื่องอีเลียตเวฟมาประยุกต์คาดการณ์ร่วมกับการคะเน แนวต้านได้ครับ เช่น
- หากเป็นคลื่น 3 อาจแรงไปถึง 261.8 หรือ 423.6% ได้
- ขณะที่คลื่น 5 อาจไม่ผ่าน 100% หรือแค่ 127.2% ก็เป็นได้ หากสัญญาณไม่แรงพอ


สั้นๆ ได้ใจความ ไม่เยิ้นเย้อนะครับ ที่เหลือ ลองไปหัดวัดดูคลื่นเก่าๆที่เคยผ่านไปแล้วดู ผมสรุปสั้นๆว่า
- มองภาพคลื่นใหญ่ หาจุดเริ่มต้นให้เจอ
- พิจารณาธรรมชาติของคลื่นลูกนั้น ว่าเป็นคลื่นไหน 1-2-3-4-5 หรือ a-b-c เพื่อคะเนว่า ตัวเลขแนวต้าน-แนวรับตรงไหน น่าจะสำคัญ สำหรับคลื่นลูกนั้น
- คลื่นใหญ่มองภาพไม่เห็นว่าจะจบแถวไหน ก็วัดคลื่นย่อยช่วย เช่น วัดคลื่น 3 หลักที่เห็นได้ชัดในรายวัน ในรายชั่วโมง เราก็มาวัดคลื่นย่อยของ 3 หลัก หากอยู่ในคลื่นย่อย 5 แล้ว เราก็คาดได้ว่า ราคาจะพุ่งไปเส้นต่อไปไม่ไหวก็เป็นได้ เป็นต้น

การดูว่าคลื่นไหนเป็น คลื่นไหน เราสามารถใช้ความรู้เรื่อง RSI มาช่วยกำกับได้ อย่างที่กล่าวไปในบทที่แล้วนะครับ เช่น หากคลื่นราคาใหม่ สูงขึ้น แต่ RSI ต่ำกว่าเดิม ก็มีโอกาสจะเป็นยอดคลื่น 5 ได้ เพราะ RSI จะ peak ในคลื่น 3 กับ b เป็นหลัก

Fibonacci fan กับ timezone คงไม่พูดถึงนะ ก็คล้ายกัน แต่ผมว่า ใช้วัดคลื่นหลักก็พอ โดยเฉพาะ fibo fan ผมใช้บ่อยตอนหาแนวรับ ใช้ร่วมกับ Fibonacci retracement ช่วยบอกแนวรับได้ดีมากๆ

บทต่อไปน่าจะเป็นการดู RSI, MACD นะ แต่ใครอ่านบทวิเคราะห์ของผมบ่อยๆคงได้เรียนรู้ไปเยอะแล้ว เพราะผมพูดถึงบ่อยมาก

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/5-fibonacci-number-elliott-wave/?/

บทที่ 6 เครื่องมือวัดพลังคลื่น

มีของอยู่ในมือแล้ว พวกเรามักมีปัญหาในการปล่อย หรือติดดอย เพราะไม่มีการเช็คสุขภาพ หรือพลังของคลื่น ว่าเหลือมากน้อยแค่ไหน สมควรจะเสี่ยงถือต่อไป หรือโยนให้คนอื่นถือต่อดี วันนี้มารู้จักกับเครื่องมือวัดพลังคลื่นทั้ง 3 ตัวที่ผมใช้ประจำครับ

Stochastic Oscillator เป็นตัววัดแนวโน้มที่ให้ทิศทางเร็วกว่าเพื่อน แต่ก็นั่นแหละครับ หลอกเก่งกว่าเพื่อนเหมือนกัน เหมาะกับการให้ทิศทางระยะสั้นหรือตลาด sideway มากกว่า

Stochastic Oscillator เป็นตัววัดแนวโน้มที่ให้ทิศทางเร็วกว่าเพื่อน แต่ก็นั่นแหละครับ หลอกเก่งกว่าเพื่อนเหมือนกัน เหมาะกับการให้ทิศทางระยะสั้นหรือตลาด sideway มากกว่า

RSI (Relative Strength Index) เป็นเครื่องมือวัดพลังของคลื่น ที่ผมให้น้ำหนักค่อนข้างมาก ผมใช้ยอดคลื่นของมันชี้ตำแหน่งคลื่น 3 และคลื่น b

MACD (Moving Average Convergence Divergence) เป็นเครื่องมืออีกชิ้นที่ช่วยในการตัดสินใจเรื่องการเปลี่ยนแนวโน้มของคลื่นได้ดีครับ

การใช้งานเครื่องมือทั้ง 3 ชนิด
อ่าน ตำราแล้วเหมือนจะใช้ต่างกัน แต่ผมมักจะมองภาพรวมทั้ง 3 ตัวด้วยกัน รวมถึงการนับขาตามทฤษฎีอีเลียตเวฟ เพื่อช่วยตัดสินใจเรื่องการเปลี่ยนแนวโน้ม หากใครอ่านตำรา ก็มักจะพุ่งเป้าไปที่สัญญาณ overbought/oversold เป็นหลัก แต่จริงๆแล้ว เรายังดูหลายอย่างที่ละเอียดลงไปได้อีก

สิ่งที่เราต้องมองหาในเครื่องมือโดยรวม
- Divergence/Convergence ตรงนี้อธิบายง่ายๆ คือความสัมพันธ์ระหว่างราคากับสัญญาณในเครื่องมือ มันต้องไปทางเดียวกัน เท่านั้นแหละ หากราคาขึ้นทำ high ใหม่ แล้วสัญญาณขึ้นตาม ก็ดีไป แต่หากไม่ตาม เราเรียกว่า เกิด divergence คือสัญญาณมันไม่เอาด้วย แบบนี้ ก็เตรียมถอยครับ ทางกลับกัน หากราคาลงทำ low ใหม่ และสัญญาณตามลงไป เราก็รอต่อไป แต่เมื่อไหร่ที่สัญญาณไม่ลงด้วย เราเรียกว่าเกิด convergence คือสัญญาณไม่เอาด้วย แต่เป็นเชิงบวกแทน แบบนี้ เตรียมกระโจนเข้าได้
- แนวต้านจากการลาก trend line เมื่อเกิดยอดคลื่น 2 ยอด เราสามารถลากเส้น trendline ให้เส้นสัญญาณได้ เช่นเดียวกับกราฟราคาครับ และหากสัญญาณขึ้นมาชน trendline ที่เราตีไว้ ก็มีแนวโน้มว่า จะติดเส้นนี้ได้ ทางกลับกัน หากหลุดเส้น trendline นี้ไปได้ ก็อาจพุ่งไปต่อได้เลยเช่นกันครับ
หากมองไม่เห็น สมมุติว่า เราดูใน chart รายวัน เราอาจขยับมาดูราย 4 ชั่วโมง หรือต่ำลงมาเป็นรายชั่วโมง เพื่อหาสิ่งที่เราต้องการดู

สัญญาณในกราฟ รายชั่วโมง ราย 4 ชั่วโมง รายวัน อันไหนสำคัญกว่ากัน?
บาง ครั้ง สัญญาณระดับต่างๆมันขัดแย้งกัน มือใหม่จะงง และตัดสินใจไม่ถูก ไม่รู้จะเชื่ออันไหนดี ผมอธิบายง่ายๆว่า รายวันก็เหมือนเราดูคลื่นหลัก ส่วนราย 4 ชั่วโมง หรือ รายชั่วโมง เราก็เท่ากับกำลังมองคลื่นย่อยในคลื่นหลัก คลื่นหลัก สัญญาณอาจบอกว่า กำลัง bull มาก อยู่ในคลื่น 3 แต่รายชั่วโมง สัญญาณอาจเป็น bear เพราะกำลังปรับฐานอยู่ในคลื่น 2 ย่อยของ 3 ก็เป็นได้

การใช้ MACD ดูการเปลี่ยนแนวโน้ม
MACD ถูกยกย่องให้เป็นราชาของเครื่องมือวัด เพราะมีความน่าเชื่อถือค่อนข้างสูง วิธีการดู MACD ก็ดูว่า
- เมื่อไหร่ที่ เส้นสัญญาณ (เส้นสีแดง) อยู่เหนือแถบ MACD จะ bearish หรือกลับเป็นขาลง
- เมื่อไหร่ที่ เส้นสัญญาณ (เส้นสีแดง) อยู่ใต้แถบ MACD จะ bullish หรือกลับเป็นขาขึ้น
นอก จากนั้น ก็เป็นการมองหา divergence/convergence และ การใช้ trendline วัดความสูงเพื่อหาแนวต้านแนวรับแล้ว อย่างที่บอกไป แต่ยังมีอีกจุดที่น่าสนใจมาก คือมันสามารถบอกพลังงานสะสมได้ครับ เมื่อใดที่เส้นสัญญาณ (เส้นสีแดง) กับ MACD ตีคู่กันใกล้ๆไปสักระยะ จะเกิดพลังงานสะสม และมักมีไม้เขียว หรือไม้แดงยาวๆตามมาให้เห็นบ่อยๆครับ ลองไปสังเกตดู MACD ที่เกิดขึ้นมาในอดีตดูครับ ให้สัญญาณก่อนเกิดไม้เขียวไม้แดงยาวๆตามมา ชนิดทำกำไรได้สบาย

ถึงบท นี้ ความฮึกเหิมคงเริ่มเกิดในตัวแล้วใช่มั๊ยละครับ แต่อยากจะบอกว่า พอไปดูคลื่นจริงๆ อาจจะยังคงเมากันอยู่ครับ คงต้องอาศัยประสบการณ์ที่ต้องค่อยๆสะสมแล้ว อันนี้ สอนกันยาก ได้แต่บอกว่า ค่อยๆดูไปครับ ทุกวันนี้ ผมก็ยังสะสมอยู่เหมือนกัน
บทต่อไป คงเป็นเรื่องของ เครื่องมือปลีกย่อย อย่าง Moving Average, Trendline, ฯลฯ แต่ผมว่า ศึกษาเองก็ไม่น่ายากแล้วนา

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/6-486/?/

Chart Pattern รูปแบบซ้อนทับ

Chart Pattern รูปแบบซ้อนทับ


Chart Pattern by Thaiforexschool
รูป แบบกราฟหรือ Pattern นั้น คือรูปแบบของราคาที่เคลื่อนที่อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งสามารถใช้ในการคาดการณ์ถึงภาวะราคาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ ทั้งนี้รูปแบบกราฟอาจมีรูปแบบที่ต่างๆขึ้นมาก่อนที่จะเป็นรูปแบบใหญ่ที่เรา วิเคราะห์ไว้ตั้งแต่ต้น ซึ่งจะเชื่อมต่อกันหรืออยู่ภายในรูปแบบใหญ่นั้นเอง รูปแบบกราฟเช่นนี้เรียกว่า “รูปแบบซ้อนทับ” รูปแบบซ้อนทับคือ การที่ราคากำลังจะทำ Pattern อย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ในขณะที่กำลังทำส่วนประกอบของ Pattern นั้นอยู่ ราคาได้มีการทำ Pattern ซ้อนขึ้นมา ซึ่งทำให้คาดการณ์ถึงภาวะตลาดที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ยากยิ่งขึ้น หรือจะเรียกอีกนัยคือ ราคากำลังทำPattern หลัก ในขณะที่กำลังทำนั้น ราคาได้มีการทำ Patternรอง ซึ่ง Patternรองนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ทุกส่วนของ Patternหลัก เกิดขึ้นมากกว่าหนึ่ง Patternที่เป็น Patternรอง และสามารถเกิดได้ทุกรูปแบบของ Chart Pattern   คือ
1. รูปแบบกลับตัว (Reversal Patterns)
2. รูปแบบต่อเนื่อง (Continuous Patterns)
3. รูปแบบที่เป็นไปได้ทั้งสองทาง (Bilateral Patterns)
จน หลายครั้งทำให้เราไม่แน่ใจถึง Pattern หลักว่าจะเป็นไปตามที่คาดการณ์หรือไม่เพราะPatternรองที่เกิดขึ้นนั้นอาจขัด แย้งกับPatternหลักที่กำลังจะเกิด ทำให้เราพลาดโอกาสในการทำกำไรได้
รูปแบบซ้อนทับนั้นแบ่งออกเป็น3 ลักษณะดังนี้
รูปแบบซ้อนทับขัดแย้ง
รูปแบบซ้อนทับทางเดียวกัน
รูปแบบซ้อนทับผิดทาง

รูปแบบขัดแย้ง เป็นรูปแบบที่ รูปแบบรองนั้นที่เกิดขึ้นนั้น มีการขัดแย้งกับรูปแบบหลัก ยกตัวอย่างเช่น
- รูปแบบหลักกำลังทำ Reversal Patterns แต่รูปแบบรองเป็น Continuous Patterns
- รูปแบบหลักกำลังทำ Continuous Patterns แต่รูปแบบรองเป็น Reversal Patterns
-รูปแบบหลักกำลังทำ Reversal Patterns แต่รูปแบบรองทำ Bilateral Patterns
ซึ่ง จากตัวอย่างจะให้ได้ว่า รูปแบบหลักและรูปแบบรองนั้นมี Chart Pattern ที่ขัดแย้งกัน ทำให้ เราอาจเกิดความไม่แน่ใจถึงแนวโน้มในรูปแบบหลักว่าจะไปตามที่คาดการณ์ไว้ได้ 









รูป แบบซ้อนทับทางเดียวกัน เป็นรูปแบบที่ส่งเสริมรูปแบบหลัก คือทั้งรูปแบบหลักและรูปแบบรองจะ Chart Pattern ที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันยกตัวอย่างเช่น  รูปแบบหลักกำลังทำ
-Reversal Patterns รูปแบบรองทำ Reversal Patterns
- รูปแบบหลักกำลังทำ Continuous Patterns รูปแบบรองทำ Continuous Patterns
***หมาย เหตุ รูปแบบซ้อนทับทางเดียวกัน จะไม่มี Chart Pattern  Bilateral Patterns***   เนื่องจาก Bilateral Patternsเป็น Patternที่ไปได้ทั้งสองทาง จึงไม่สามารถบอกได้ชัดแจ้งว่าจะมีพฤติกรรมของราคาที่ส่งเสริมกันหรือไม่ รูปแบบซ้อนทับทางเดียวกันจะยิ่งทำให้เรามั่นใจถึงพฤติกรรมราคาในรูปแบบหลัก มากยิ่งใหญ่






รูป แบบซ้อนทับผิดทางเป็นรูปแบบที่ หลอกตามักเกิดตอนที่ รูปแบบหลักใกล้จะสมบรูณ์ แต่เกิดการทะลุในทิศทางตรงข้ามกับเป้าหมายของรูปแบบหลักก่อนจากนั้นจึงเกิด รูปแบบรองที่ ในลักษณะที่ไปทางเดียวกันกับรูปแบบหลัก รูปแบบซ้อนทับผิดทางมักจะทำให้เราเสียโอกาสในการทำกำไรสูงเพราะ  ดูเหมือนราคาจะไม่สามารถทำรูปแบบหลักได้อีกแต่กลับมีรูปแบบรองเกิดขึ้นและทำ ให้ ราคากลับตัวไปตามทิศทางเป้าหมายของรูปแบบหลัก

การมองรูป แบบซ้อนทับให้ออกนั้น เราต้องอาศัยการมองรูปแบบกราฟเป็นภาพรวม รู้จักการแบ่งกลุ่มราคาที่ทำจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดแล้วแยกรูปแบบออกมาว่ารูป แบบราคาไหนเป็นรูปแบบหลัก รูปแบบรอง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วรูปแบบหลักจะเป็นรูปแบบที่ใหญ่กว่ารูปแบบรอง


วิธี การทำกำไรนั้น เมื่อเกิดรูปแบบซ้อนทับเราสามารถทำกำไรได้จากรูปแบบรอง โดยพิจารณาจุดเข้าและจุดออกตามแนวรับแนวต้านจากรูปแบบหลักเมื่อหมดรอบของรูป แบบรองแล้ว ก็มาดูแนวโน้มว่ารูแบบรองที่เกิดขึ้นเสร็จแล้วนั้น ทำให้ราคาจะเป็นไปตามรูปแบบหลักอยู่อีกหรือไม่  ซึ่งต้องอาศัยการดู พฤติกรรมของราคาหรือPrice Action ประกอบจะยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพในการเทรดในดียิ่งขึ้น


วิธี การทำกำไรนั้น เมื่อเกิดรูปแบบซ้อนทับเราสามารถทำกำไรได้จากรูปแบบรอง โดยพิจารณาจุดเข้าและจุดออกตามแนวรับแนวต้านจากรูปแบบหลักเมื่อหมดรอบของรูป แบบรองแล้ว ก็มาดูแนวโน้มว่ารูแบบรองที่เกิดขึ้นเสร็จแล้วนั้น ทำให้ราคาจะเป็นไปตามรูปแบบหลักอยู่อีกหรือไม่  ซึ่งต้องอาศัยการดู พฤติกรรมของราคาหรือPrice Action ประกอบจะยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพในการเทรดในดียิ่งขึ้น

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/chart-pattern/?/