RSS
Showing posts with label ตลาดหุ้น. Show all posts
Showing posts with label ตลาดหุ้น. Show all posts

ความสัมพันธ์รหว่างตลาดหุ้นและ Forex

คุณทราบหรือไม่ว่า ข้อมูลตลาดหุ้น (ตลาดหลักทรัพย์) สามารถนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการทำนายการเคลื่อนไหวในตลาดค้าสกุลเงินได้ อย่างเช่นข้อมูลข่าวสารที่คุณได้รับจากสื่อต่างๆ เช่น จากโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ เพราะดูเหมือนว่าตลาดหุ้นเป็นตลาดทุนส่วนใหญ่ที่ครอบคลุมตลาดการลงทุนอย่าง ใกล้ชิด แต่สิ่งหนึ่งที่คุณลืมไม่ได้คือ ถ้าต้องการจะซื้อหุ้นจากประเทศใดประเทศหนึ่ง คุณจะต้องมีสกุลเงินท้องถิ่น เช่น นักลงทุนชาวยุโรปต้องการจะลงทุนในญี่ปุ่น สิ่งแรกที่เขาต้องทำคือแลกเปลี่ยนเงินสกุลยูโร (EUR) ของเขาเป็นเงินเยน (JPY) ของญี่ปุ่นก่อน ถ้าความต้องการที่จะลงทุนในญี่ปุ่นมีมาก ก็จะมีผลทำให้ค่าเงินเยนของญี่ปุ่นแข็งค่าขึ้น และถ้ามีการขายยูโรมากขึ้น ก็มีผลทำให้ ค่าเงิน ยูโรอ่อนค่าลงด้วยเช่นกัน เมื่อการลงทุนในตลาดใดก็ตามมีภาพรวมออกมาดี ก็จะมีเงินจากต่างชาติไหลเข้ามาลงทุน แต่เมื่อใดที่ตลาดมีภาพรวมว่ากำลังย่ำแย่ นักลงทุนต่างชาติก็จะถอนการลงทุน และไปหาที่ลงทุนใหม่ทีดีกว่า
แม้ว่าคุณจะไม่ได้เทรดหุ้น แต่ในฐานะ Forex เทรดเดอร์ คุณก็ควรจะใส่ใจกับตลาดหุ้นในประเทศที่สำคัญ ถ้าตลาดหุ้นในประเทศใดประเทศหนึ่งเริ่มจะมีประสิทธิภาพดีกว่าตลาดหุ้นใน ประเทศอื่น คุณก็ควรจะรู้ด้วยเพราะว่าเงินอาจไหลออกจากประเทศที่ตลาดหุ้นซบเซาไปสู่ ประเทศที่มีการลงทุนที่แข็งแกร่งกว่า และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ค่าสกุลเงินของประเทศที่มีตลาดหุ้นแข็งแกร่งแข็ง ค่าตาม ในขณะที่ค่าของสกุลเงินของประเทศที่มีตลาดหุ้นอ่อนแอนั้นอ่อนค่าตามตลาดหุ้น ไปด้วย
เมื่อเป็นเช่นนี้ แนวคิดทั่วไปคือ : ตลาดหุ้นที่แข็งแกร่ง ทำให้ค่าสกุลเงินแข็งแกร่ง และ ตลาดหุ้นที่อ่อนแอ ทำให้ค่าสกุลเงินอ่อนแอด้วย ถ้าคุณซื้อสกุลเงินของประเทศที่มีการลงทุนในตลาดหุ้นแข็งแกร่ง และขายสกุลเงินที่มีตลาดหุ้นที่อ่อนแอ คุณก็สามารถที่จะทำกำไรอย่างงามได้

ดัชนีตลาดหุ้นที่สำคัญทั่วโลก

ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวน์โจนส์ (Dow Jones Industrial) เป็นหนึ่งในดัชนีหุ้นชั้นนำในสหรัฐอเมริกา สามารถใช้เป็นเครื่องมือตรวจสอบดูว่าบริษัทชั้นนำ 30 บริษัทที่เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าไปซื้อขายหุ้นนั้นมีสถานภาพเป็นอย่างไร บ้าง แม้จะมีชื่อว่า Industrial แต่บริษัทเหล่านี้แทบจะไม่ได้ทำธุรกิจเกี่ยวกับอุตสาหรรมการผลิตสินค้าเลย แต่กลายเป็นตัวแทนของบริษัทยักษ์ใหญ่บางบริษัทในสหรัฐอเมริกา ทำให้เป็นที่จับตามองอยากมากจากนักลงทุนทั่วโลก และกลายเป็นดัชนีบ่งชี้ความเชื่อมั่นของตลาดที่สำคัญ จึงทำให้มีความไวต่อเศรษฐกิจและการเมืองทั่วโลก
บริษัทที่อยู่ในดาวน์โจน ต่างเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่คุณอาจมีส่วนร่วมในบางสิ่งอยู่ทุกวัน เช่น AT&T, McDonalds, หรือ Intel และบริษัทเหล่านี้เองที่อยู่ในกลุ่มดาวน์โจนส์

Standard & Poor 500 หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ S&P 500 เป็นดัชนีถ่วงน้ำหนักของราคาหุ้นของบริษัทอเมริกันที่ใหญ่ที่สุด 500 บริษัท ถือว่าเป็นกลุ่มผู้นำสำหรับเศรษฐกิจอเมริกัน และยังใช้ในการดูทิศทางของเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาด้วย
นอกจาก ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวน์โจนส์ S&P 500 เป็นดัชนีซื้อขายที่มากที่สุดในสหรัฐอเมริกาที่มีทั้ง กองทุนรวม กองทุนแลกเปลี่ยนซื้อขายและกองทุนอื่นๆ เช่น กองทุนบำนาญ ซึ่งถูกก่อตั้งมาเพื่อติดตามผลการดำเนินงานของดัชนี S&P 500 ในสหรัฐอเมริกาเงินหลายร้อยพันล้านดอลลาร์สหรัฐได้นำมาลงทุนในรูปแบบนี้

NASDAQ เป็นชื่อย่อของ National Association of Securities Dealers Automated Quotationsหมายถึงสามคมตัวแทนจำหน่ายหลักทรัพย์ตามใบเสนอราคาโดยอัตโนมัติ แห่งชาติ ซึ่งก็คือ ตลาดหุ้นที่ทำการค้าผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา ประกอบด้วยบริษัทและองค์กรทั้งหมดประมาณ 3,700 แห่ง และยังเป็นตลาดที่มีปริมาณการซื้อขายหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย

Nikkei (นิกเกอิ) นั้นคล้ายกับ Dow Jones Industrial คือ เป็นค่าเฉลี่ยที่มากที่สุดและใช้กันอย่างแพร่หลายในตลาดหุ้นญี่ปุ่น เป็นราคาเฉลี่ยน้ำหนักของบริษัทชั้นนำ 225 บริษัท จึงเป็นตัวสะท้อนภาพของตลาดโดยรวมในญี่ปุ่น บริษัทที่อยู่ในกลุ่มนิกเกอิ ได้แก่ Toyota, Japan Airline และ Fuji Film เป็นต้น

DEX เป็นชื่อย่อของ Deutscher Aktien Index คือ ดัชนีตลาดหุ้นของประเทศเยอรมนี ที่ประกอบด้วยบริษัทที่มีฐานะมั่นคง 30 บริษัท ที่มีการซื้อขายในตลาดหุ้นแฟรงค์เฟิร์ต และเนื่องด้วยเยอรมนีเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในยูโรโซน จึงทำให้ DAX กลายเป็นดัชนีที่มีการจับตาดูกันมากที่สุดในยุโรป ตัวอย่างบางบริษัทที่อยู่ใน DEX เช่น Adidas, BMW, Deutsche Bank เป็นต้น

Down Jones Euro stock 50 index คือ ดัชนีของบริษัทชั้นนำที่มีพื้นฐานดีเยี่ยมในโซนยุโรป ประกอบด้วยกว่า 50 บริษัท ของ 12 ประเทศในแถบยูโรโซน ก่อตั้งขึ้นโดย บริษัท Stoxx Ltd., ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนของ Deutsche Boerse  AG, Dow Jones & Company และ SIX Swiss Exchange

FTSE อ่านว่า Footsie (ฟุ๊ซซี่) เป็นดัชนีที่ติดตามประสิทธิภาพของบริษัทที่ส่วนใหญ่นั้นมีทุนสูง ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหุ้นลอนดอนประเทศอังกฤษ
FTSE มีดัชนีหลายอย่าง เช่น FTSE 100, FTSE 250 ขึ้นอยู่กับจำนวนของบริษัทที่ร่วมอยู่ในกลุ่มดัชนีนั้น

Hang Seng หรือ ดัชนีฮังเส็ง เป็นดัชนีของตลาดหุ้นฮ่องกง จะมีการทำบันทึกและตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นของบริษัทที่รวมอยู่ใน กลุ่มดัชนีแบบรายวัน ทำให้สามารถติดตามผลการดำเนินงานโดยรวมของตลาดหุ้นฮ่องกงได้

ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดหุ้นและ Forex
ประเด็น หนึ่งเกี่ยวกับการนำข้อมูลจากตลาดหุ้นทั่วโลกมาใช้เพื่อการตัดสินใจในตลาด Forex ก็คือ การหาคำตอบที่ว่า สิ่งไหนที่เป็นตัวชี้นำกันแน่ ระหว่างตลาดหุ้น และ Forex มันก็เหมือนกับคำถามโลกแตกที่ว่า “ไก่กับไข่ อะไรเกิดก่อนกัน ?” 
แนวคิดพื้นฐานคือ เมื่อตลาดหุ้นมีทิศทางที่ดี มีความเชื่อมั่นในประเทศนั้นๆว่ากำลังเติบโตได้ดี ทำให้มีเงินทุนจากต่างชาติหลั่งไหลเข้ามาลงทุน ก็มีแนวโน้มที่จะสร้างความต้องการค่าสกุลเงินของประเทศนั้นๆ ทำให้ค่าสกุลเงินนั้นแข็งค่ากว่าเมื่อเทียบกับค่าสกุลเงินอื่น ในทางกลับกัน ถ้าตลาดหุ้นภายในประเทศมีปัญหา ความเชื่อมั่นก็ลดลง นักลงทุนต่างชาติก็ไม่อยากจะลงทุนต่อจึงนำเงินลงทุนเปลี่ยนกลับเป็นสกุลดั้ง เดิมของตนเอง
แต่อย่างไรก็ดี ในช่วงสองปีที่ผ่านมาหลักการนี้ใช้ไม่ได้กับประเทศสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น บ่อยครั้งที่ข้อมูลตัวเลขทางเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น ไม่ได้มีน้ำหนักสำหรับค่าเงินดอลลาร์และเยนของตนเองเลย ก่อนอื่นลองมาดูความสัมพันธ์ระหว่างดัชนีดาวน์โจน และ นิกเกอิ เพื่อให้เห็นว่าตลาดหุ้นทั่วโลกมีการดำเนินการที่ที่เกี่ยวข้องกันอย่างไร

ตั้งแต่ มีการเปลี่ยนแปลงศตวรรษใหม่ ในปี 2000 ดัชนีดาวน์โจนส์ของสหรัฐอเมริกา และนิกเกอิ 225 ของญี่ปุ่น ก็เคลื่อนที่ไปด้วยกันเหมือนคู่รักที่จูงมือกันในวันวาเลนไทน์ มีจังหวะขึ้นลงไปพร้อมกัน และยังสังเกตเห็นว่า บางครั้งดัชนีตัวหนึ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง หรือ อ่อนค่าลงก่อนที่จะเริ่มเคลื่อนที่ตามดัชนีชี้วัดอีกตัวหนึ่ง อาจกล่าวได้ว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกมักจะมีทิศทางไปในทางเดียวกัน


ความสัมพันธ์ระหว่างหุ้นและสกุลเงิน

Nikkei and USD/JPY
ก่อน ที่เศรษฐกิจโลกตกอยู่ในสภาวะถดถอย ที่เริ่มต้นเมื่อปี 2007 เมื่อเศรษฐกิจตกต่ำมากที่สุด การเติบโตของ GDP ลดลงติดต่อกัน นิกเกอิและ USD/JPY มีความสัมพันธ์ที่ผกผันตรงกันข้ามกัน นักลงทุนต่างเชื่อว่า ประสิทธิภาพของตลาดหุ้นญี่ปุ่นจะสะท้อนถึงสถานะของประเทศ ดังนั้นการลงทุนอย่างมหาศาลในนิกเกอิ ทำให้ค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้น ในทางตรงกันข้าม เมื่อไหร่ก็ตามที่ปริมาณการลงทุนใน นิกเกอิ ลดลง คู่สกุลเงิน USD/JPY ก็จะมีทิศทางเป็นขาขึ้นด้วย



แต่ เมื่อเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ที่เคยมีก็เปลี่ยนไป กลายเป็นบ้าคลั่ง ดัชนีนิกเกอิ และ USD/JPY ที่เคยเคลื่อนที่ในทิศทางที่ตรงกันข้าม ก็กลายเป็นเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกัน
       
Dow Jones and USD/JPY
คราว นี้เราลองมาดูความสัมพันธ์ระหว่าง USD/JPY และดาวน์โจนส์กันบ้าง จากสิ่งที่คุณอ่านก่อนหน้านี้คุรอาจคิดว่า USD/JPY และ ดาวน์โจนส์ต้องมีความสัมพันธ์กัน อย่างไรก็ดี เมื่อดูชาร์ตด้านล่างคุณจะทราบว่ามันไม่เชิงว่าจะเป็นเช่นนั้น เหมือนว่าความสัมพันธ์จะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน แต่ไม่แข็งแกร่งเท่าใดนัก


ลอง ดูที่ดาวน์โจนส์ มีการดีดตัวขึ้นมาที่ 14,000 เมื่อปลายปี 2007 ก่อนที่จะร่วงลงมา ในปี 2008 และในเวลาเดียวกัน USD/JPY ก็ร่วงลงมาด้วย แต่ลักษณะการเคลื่อนที่ไม่รวดเร็วเหมือนดาวน์โจนส์
สิ่งนี้สามารถเตือน เราได้ว่า เราต้องคำนึงถึงปัจจัยพื้นฐาน ควบคู่กับเทคนิคอล และ ความเชื่อมั่นของตลาดเสมอ อย่าใช้แค่ความสัมพันธ์ของตลาด เพราะมันไม่สามารถการันตีความแม่นยำได้

 ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/forex-626/?/

หาเงินจากฟอร์เร็กซ์ทำอย่างไร?

ทำเงินจากฟอร์เร็กซ์ ได้อย่างไร

ใน ตลาด เราจะซื้อหรือขายค่าเงิน การทำการเทรดในตลาดค่าเงินนั้นง่าย วิธีการเทรดก็เหมือนกับตลาดอื่นๆ (เช่น ตลาดหุ้น) ดังนั้นถ้าเรา มีประสบการณ์ ในการเทรดตลาดอื่นมาก่อน จะเข้าใจได้ง่ายขึ้น

วัตถุ ประสงค์ของการเทรดฟอร์เร็กซ์ เพื่อที่จะทำการแลกเปลี่ยนค่าเงิน เพราะคาดหวังว่า ราคาจะเปลี่ยนแปลงไป ในทิศทางที่คาดหวัง ดังนั้น ค่าเงินที่เราซื้อ จะมีการเปลี่ยนแปลงมูลค่า เมื่อเราขาย

                                  ตัวอย่างของการทำกำไรจากค่าเงิน

                    สิ่งที่นักเทรด ทำ                                                 EUR          USD
        เรา Buy EUR / USD ที่ราคา 1.18 มูลค่า 10,000 ยูโร          +10,000    -11,800*
สองสัปดาห์ต่อมา เราแลกเงินยูโรกลับมาเป็นเงินดอลล่าร์ ที่ราคา 1.2500 -10,000   +12,500**
                 เราได้กำไร $700                                                     0        +700

*EUR 10,000x1.18=US$11,800 **EUR 10,000x1.25=US $12,500

อัตรา แลกเปลี่ยนเป็นค่าอัตราส่วน ของค่าเงินหนึ่งต่อค่าเงินหนึ่ง เช่น USD/CHF อัตราส่วนจะบอกว่า จำนวนเงิน ดอลล่าร์กี่เหรียญ จึงจะสามารถซื้อได้ 1 สวิสฟรังค์ หรือ สวิสฟรังค์จำนวนเท่าไร ที่เราจะต้องใช้ในการซื้อเงิน 1 ดอลล่าร์

วิธีอ่าน FX Quote
ค่าเงิน จะวางเป็นคู่ ๆ เสมอ เช่น GBP/USD หรือ USD/JPY เหตุผลที่ค่าเงินถูกกำหนดเป็นคู่ๆ เพราะในตลาดการเงิน เราจะทำการซื้อค่าเงินหนึ่ง ด้วยการขายอีกค่าเงินหนึ่งในเวลาเดียวกัน ตัวอย่างต่อไป เป็นอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน ปอนด์อังกฤษ กับเงิน ดอลล่าร์สหรัฐฯ

GBP/USD = 1.7500
ค่าเงินตัวแรก ( ก่อนเครื่องหมาย / ) เรียกว่า Base Currency (ในตัวอย่างนี้คือค่าเงินปอนด์ GBP)
ค่าเงินตัวที่สอง ( ทางขวาของ / )เรียกว่า Quote currency (ในตัวอย่างนี้คือค่าเงินดอลล่าร์ USD)

เมื่อ เราซื้อ อัตราแลกเปลี่ยนจะบอกเราว่า เราต้องจ่ายเท่าไหร่เป็นจำนวนเงิน Quote currency เพื่อที่จะซื้อ 1 หน่วย ของ Base Currency ตามตัวอย่างข้างต้น เราต้องจ่าย 1.7500 ดอลล่าร์ สหรัฐฯ เพื่อจะซื้อเงินปอนด์ 1 ปอนด์

เมื่อเราขาย อัตราแลกเปลี่ยนจะบอกเราว่า เราต้องได้ Quote currency กี่หน่วยในการขาย 1 หน่วยของ Base Currency

ในตัวอย่างข้างต้น เราจะได้เงิน 1.7500 ดอลล่าร์ เมื่อคุณขายเงินปอนด์ 1 ปอนด์

Base Currency เป็นเกณฑ์ ในการซื้อขาย ถ้าเราซื้อ EUR/USD หมายถึงว่าเรากำลังซื้อ Base Currency และเราก็ขาย Quote currency

เรา จะซื้อคู่เงิน ถ้าเราคิดว่าค่าเงิน ที่เป็น Base Currency จะแพงขึ้นถ้าเทียบกับ Quote currencyเราจะขายคู่เงิน ถ้าเราคิดว่าค่าเงิน ที่เป็น Base Currency จะลงเมื่อเทียบกับค่าเงินที่เป็น Quote currency

Long/Short
อันดับแรก สิ่งที่ต้องทำคือ เราต้องตัดสินใจว่า ต้องการซื้อ หรือขาย

ถ้า ต้องการซื้อ (หมายถึง ซื้อ Base Currency หรือขาย Quote currency) หากต้องการให้ค่าเงินที่เป็น Base Currency มีมูลค่ามากขึ้น ก็ต้องขายมัน ที่ราคาสูงกว่าที่เราซื้อ และสำหรับนักเทรด เรียกว่า Long หรือ Long position ซึ่งก็เท่ากับ Buy นั่นเอง

ถ้าต้องการขาย (หมายถึง ขาย Base Currency หรือซื้อ Quote currency) หากต้องการซื้อค่าเงิน ที่เป็น Base Currency คืนในราคาที่ต่ำกว่า การทำแบบนี้ เรียกว่า การ Short position หรือ Short ก็คือการ Sell นั่นเอง

Bid/Ask Spread
ทุก ๆ คู่เงิน มีราคา อยู่สองราคา คือ ราคา bid และ ราคา Ask ราคา Bid จะต่ำกว่า ราคา Ask เสมอ
Bid เป็นราคา ซึ่งโบรคเกอร์จะซื้อราคา Base Currency เพื่อที่จะแลกเปลี่ยนกับค่าเงิน Quote currency ซึ่งหมายถึง นั่นหมายถึงนักเทรดจะขาย หรือ sell ได้

Ask เป็นราคา ซึ่งโบรคเกอร์จะขายราคา base currency เพื่อที่จะแลกเปลี่ยนกับค่าเงิน quote currency ซึ่งหมายถึง Ask เป็นราคาที่เราจะซื้อ หรือ buy ได้นั่นเอง

ความแตกต่างระหว่าง Bid กับ Ask เรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า Spread (สเปรด)
ลองดูที่ตัวอย่างของราคา ที่ปรากฎอยู่ในหน้าจอโปรแกรมเทรด

forex,eur,usd
นี่ คือ คู่เงิน GBP/USD ราคา Bid 1.7445 และราคา ask เท่ากับ 1.7449 นี่เป็นสิ่งที่โบรคเกอร์มี เพื่ออำนวยความ สะดวก ให้เรา ถ้าเราต้องการ sell GBP ก็เพียงคลิก "Sell" ที่ราคา 1.7445 ถ้าต้องการซื้อ GBP คุณก็คลิก " Buy" จะได้ราคาที่ 1.7449
ตามตัวอย่าง
เราใช้การวิเคราะห์พื้นฐาน ในการช่วยตัดสินใจว่า จะซื้อหรือขายคู่เงินนั้นๆ ยังมีข้อมูลให้ต้องศึกษาต่อไป สำหรับ ตอนนี้ แค่เข้าใจว่า เกิดอะไรขึ้นก่อนก็พอ

EUR/USD
ถ้าคุณเชื่อว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะหดตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นข่าวร้ายอย่างหนึ่งสำหรับค่าเงินดอลล่าร์ คุณก็จะต้อง ส่ง คำสั่ง BUY ค่าเงิน EUR/USD หมายความว่า คุณซื้อเงินยูโร ซึ่งคาดว่าจะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามกับ ค่าเงิน ดอลล่าร์ ตามตัวอย่างนี้ เงินยูโรเป็น base currency และใช้เป็นเกณฑ์ในการ ซื้อขายด้วย

ถ้า คุณเชื่อว่า เศรษฐกิจของสหรัฐฯ นั้นแข็งแกร่ง และค่าเงินยูโรจะอ่อนแอ เมื่อเทียบกับค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐ คุณต้อง ส่งคำสั่ง Sell EUR/USD นั่นคือ คุณคาดว่าค่าเงินยูโรจะร่วงลงเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ

USD/JPY
ตัวอย่างนี้คือ ค่าเงิน ดอลล่าร์สหรัฐฯ เป็น base currency และใช้เป็นเกณฑ์ในการซื้อขาย

ถ้า คุณคิดว่า รัฐบาลญี่ปุ่น จะทำให้ค่าเงินเยน ตกต่ำเพื่อจะกระตุ้นอุตสาหกรรมส่งออก คุณต้องส่งออร์เดอร์ Buy USD/JPY นั่นหมายถึง คุณซื้อเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ เพราะคาดว่ามันจะแข็งค่าขึ้น เมื่อเทียบกับเงินเงินญี่ปุ่น

ถ้าคุณเชื่อว่า นักลงทุนญี่ปุ่น กำลังดึงเงินออกจากตลาดการเงินสหรัฐฯ และแลกเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ ทั้งหมดที่เขามี ในมือ กลับมาเป็นเงินเยน ซึ่งจะทำให้เงินดอลล่าร์สหรัฐฯ ได้รับความเสียหาย คุณต้องส่งคำสั่ง Sell USD/JPY โดยการทำแบบนี้หมายความว่า คุณคิดว่าค่าเงินสหรัฐฯ มีการอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับค่าเงินเยน

GBP/USD
ตามตัวอย่างนี้ เงินปอนด์เป็น base currency และใช้เป็นเกณฑ์ในการวัดการซื้อหรือขายคู่เงิน

ถ้า คุณคิดว่าเศรษฐกิจของอังกฤษ จะยังคงเติบโตต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ คุณต้องส่งคำสั่ง BUY GBP/USD นั่นคือคุณต้องการซื้อเงินปอนด์ เพราะคิดว่ามันจะขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ

ถ้าคุณคิด ว่าเศรษฐกิจของประเทศอังกฤษจะชะงัก ขณะที่เศรษฐกิจของสหรัฐฯอเมริกายังคงแข็งแกร่งต่อเนื่อง คุณก็ต้องส่งคำสั่ง Sell GBP/USD หมายความว่า คุณต้องขายเงินปอนด์เพราะว่าคุณคิดว่า ราคามันจะลดลง เมื่อ เทียบกับค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ

USD/CHF
ตัวอย่างนี้ ค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ เป็น base currency และจะใช้เป็นเกณฑ์ในการซื้อขาย

ถ้า คุณคิดว่า สวิสฯฟรังค์ ราคาเกินมูลค่าจริงกว่าที่เป็น คุณต้องส่งคำสั่ง BUY USD/CHF โดยคุณซื้อเงินดอลล่าร์ เพราะคุณคิดว่าเงินดอลล่าร์จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเพื่อเทียบกับสวิสฯฟรังค์ ณ ราคาปัจจุบัน

ถ้าคุณเชื่อว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐฯจะเผชิญกับภาวะฟองสบู่แตก ซึ่งกระทบกับกับ การเติบโตของ เศรษฐกิจสหรัฐฯในภายภาคหน้า ซึ่งจะทำให้เงินดอลล่าร์อ่อนค่าลง คุณต้องส่งคำสั่ง Sell USD/CHF เพราะว่าคุณ คิดว่า ดอลล่าร์จะลดค่าลงเมื่อเทียบกับสวิสฯฟรังค์จากราคาปัจจุบัน


หากค่าเงินมูลค่า 10,000 ยูโร เราจะเทรดได้ หรือไม่ ?
เทรดได้ เพราะเราสามารถใช้ margin ได้
คำ ว่า Margin หมายถึง การเทรดโดยการยืมเงินจากโบรกเกอร์นั่นเอง ด้วยเหตุนี้คุณสามารถเปิด position มูลค่า 100,000 เหรียญ หรือ 10,000 เหรียญ โดยเงินเพียง 50 เหรียญ หรือ 1,000 เหรียญ เท่านั้น คุณสามารถถือครอง position ขนาดใหญ่ ด้วยเงินเพียงน้อยนิด และต้นทุนไม่มากนัก

การเทรดแบบใช้มาร์จิ้น ในตลาดค่าเงินนี้ เราเรียกว่า Lots ซึ่งเราจะพูดถึงเรื่องเหล่านี้อย่างละเอียดต่อไป สำหรับ ตอนนี้ ให้คิดแค่ว่า คำว่า lot คือปริมาณค่าเงินอย่างต่ำ ที่คุณสามารถซื้อได้ก็พอ เช่น

เมื่อคุณไปร้านขายของชำและอยากซื้อไข่ คุณไม่สามารถที่จะซื้อไข่เพียงใบเดียวได้ เพราะมันขายเป็นแผง หรือ เราเรียกได้ว่า 1 lot ก็ได้ ในบัญชี Mini 1 lot มูลค่าเท่ากับ 10,000 เหรียญ และในบัญชี standard นั้น มูลค่า 100,000 เหรียญ ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าคุณเปิดบัญชีประเภทไหน หรือ โบรกเกอร์ไหน อีกที

ตัวอย่าง
• คุณคิดว่าสัญญาณทางเทคนิคที่คุณใช้บอกว่า ค่าเงินปอนด์จะสูงขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลล่าร์
• คุณจะเปิด position 1 lot ซึ่งมีมูลค่าเท่ากับ 100,000 คุณอยากซื้อเงินปอนด์ที่ 1 เปอร์เซ็นต์ของมาร์จิ้น และ รอให้ ค่าเงินมันแข็งค่าขึ้น เมื่อคุณซื้อ GBP/USD 1 ลอท(100,000) ที่ราคา 1.5000 คุณกำลัง Buy 100,000 ปอนด์ซึ่งมีมูลค่า 150,000 ดอลล่าร์สหรัฐ (เงินปอนด์ 100,000 หน่วย x 1.50(อัตราแลกเปลี่ยนต่อเงินดอลล่าร์) ถ้ามาร์จิ้นที่ต้องใช้ เท่ากับ 1 % คุณต้องมีเงิน เท่ากับ 1,500 เหรียญ อย่างน้อยในบัญชีของคุณ(150,000 เหรียญX 1%) ตอนนี้คุณ ถือครอง position เงินปอนด์ มูลค่า 100,000 ปอนด์ ซึ่งใช้เงินเพียงแค่ 1,500 เหรียญ ถ้าค่าเงินมัน ขึ้นไปอย่างที่คุณคิด และคุณอยากจะซื้อ
• คุณจะปิด position ที่ราคา 1.5050 คุณจะได้ 50 pip หรือราว ๆ 500 เหรียญ( Pip (ปิ๊บ) คือ จำนวนน้อยที่สุด ที่ค่าเงินเคลื่อนไหว หรือ 1 จุดนั่นเอง)

                    การตัดสินใจของคุณ                                                      GBP           USD
คุณซื้อเงินปอนด์มูลค่า 100,000 ในคู่เงิน GBP/USD ที่ราคา 1.5000          +100,000   -150,000
หลังจากคุณซื้อได้ซักครู่ มันวิ่งไป 50 จุด ที่ราคา 1.5050 คุณเลยอยากจะขาย    -100,000  +150,500**
                 คุณได้กำไร 500 เหรียญ                                                       0       +500


เมื่อ คุณตัดสินใจที่จะปิด position กำไรขาดทุนก็จะถูกคำนวณ และมันก็จะเอาไปรวมกับบัญชีของคุณ ที่คุณเปิด เรื่องมาร์จิ้นมีรายละเอียดกว่านี้ ตอนนี้ คุณคงพอเข้าใจความหมายของมาร์จิ้นบ้างแล้ว

 Rollover

ดอกเบี้ย ค่าเงิน
เรื่อง นี้เกี่ยวกับออร์เดอร์ที่เปิดข้ามคืน จนถึงเวลา "Cut-off time" ปกติประมาณตี 4-5 บ้านเรา จะมีดอกเบี้ยเกิดขึ้น ซึ่งนักเทรดจะได้ หรือจะเสีย เท่าไหร่นั้น ขึ้นอยู่กับ จำนวนมาร์จิ้น ที่คุณถืออยู่ในตลาด ถ้าคุณไม่ต้องการ ดอกเบี้ยนี้ คุณก็ต้องปิดคำสั่งของคุณก่อนจะถึงเวลา ตี 4


เมื่อ ทุกๆ การเทรดค่าเงินนั้นเกี่ยวพันกับการยืมเงิน จากค่าเงินค่าหนึ่ง แล้วนำไปซื้อค่าเงินอีกค่าหนึ่ง ดอกเบี้ยนี้ ก็จะ ถูกชาร์จเข้าไปในการเทรดฟอร์เร็กซ์ ดอกเบี้ยจะถูกจ่ายให้กับค่าเงินที่ถูกยืม และได้รับ ดอกเบี้ยจากค่าเงินที่ถูกซื้อ


ถ้าเทรดเดอร์กำลังซื้อค่าเงินค่า เงินหนึ่ง ที่มีดอกเบี้ยสูงกว่าดอกเบี้ยที่เราต้องเสีย ให้กับคนที่เรายืมมา จะทำให้ ดอกเบี้ย มีผลเป็นบวก (ตัวอย่างเช่น USD/JPY) และเทรดเดอร์จะได้เงินค่าดอกเบี้ยส่วนต่าง เข้าบัญชี คุณสามารถ ถามราย ละเอียด ของ Rollover กับโบรคเกอร์ของคุณ และจำไว้ว่า โบรคเกอร์รายย่อยส่วนมาก จะปรับอัตรา Rollover ซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยที่แตกต่างกัน (เช่น Leverage, อัตรากู้ยืมจาก interbank) คุณอาจจะต้องตรวจสอบ ข้อมูลเรื่อง Rollover ให้ละเอียด ทั้งด้านเครดิต และ เดบิต

ถ้าคุณไม่รู้ว่าอัตราดอกเบี้ยของแต่ละค่า เงิน เท่ากับเท่าไหร่ ภาพนี้จะช่วยให้คุณได้เข้าใจขึ้นบ้าง เป็นภาพของวันที่ 19 เดือน เมษายน ปี 2009

บัญชี Demo
คุณสามารถเปิดบัญชี demo ได้ฟรี แทบจะทุกโบรคเกอร์ ซึ่งบัญชีเดโม จะเหมือนบัญชีจริงทุกอย่าง

ทำไมถึงฟรี?
เพราะ โบรกเกอร์อยากให้คุณใช้โปรแกรมการเทรดของเขาให้คล่อง และถ้าคุณเทรดได้ดี คุณก็จะตกหลุมรัก ฟอร์เร็กซ์ แล้วคุณก็จะอยากฝากเงินจริง บัญชีเดโมจะทำให้คุณเรียนรู้เกี่ยวกับตลาดฟอร์เร็กซ์ได้ง่ายขึ้น และ สามารถทดสอบ ความสามารถ ในการเทรดของคุณได้ โดยที่คุณไม่ต้องเสี่ยง ที่จะเสียเงินเลย

คุณควรจะเทรดบัญชีเดโมอย่างน้อย 3 - 6 เดือน ก่อนที่คุณคิดว่าจะใส่เงินจริงลงไป

ขอย้ำอีกครั้งว่า คุณควรจะเทรด บัญชีเดโม อย่างน้อย 3 - 6เดือน ก่อนที่คุณคิดจะใส่บัญชีเงินจริงของคุณลงไป
                                                         
   (ถ้าเป็นไปได้)

"อย่าเสียเงินของคุณ" ให้พูดออกมา
เอามือของคุณมาแนบกับหน้าอก แล้วก็พูดออกมา....
"ฉันจะเล่นบัญชีจริงเป็นเวลา 3 - 6 เดือนก่อนที่จะเทรดเงินจริง"
แล้วเอานิ้วชี้ชี้ไปที่หัวของคุณแล้วบอกว่า...

"ฉันเป็นนักเทรดที่ฉลาดและอดทน"
 
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/t625/?/

ข่าวสาร

ตลาดหุ้นยุโรปปิดขยับลงเมื่อคืนนี้ (10 มิ.ย.) ท่ามกลงการซื้อขายที่ผันผวน โดยตลาดได้รับทั้งปัจจัยบวกจากเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ขยายตัวอย่างแข็ง แกร่ง และได้รับปัจจัยลบจากยอดการส่งออกที่ร่วงลงอย่างหนักของจีน

ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวลงเกือบ 0.1% ปิดที่ 295.22 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 3,864.36 จุด ลดลง 8.23 จุด หรือ -0.21% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 8,307.69 จุด เพิ่มขึ้น 53.01 จุด หรือ +0.64% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,400.45 จุด ลดลง 11.54 จุด หรือ 0.18%

-- ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (10 มิ.ย.) ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะลดขนาดโครงการซื้อพันธบัตรในระยะเวลาที่เร็วกว่ากำหนด

ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดลบ 9.53 จุด หรือ 0.06% แตะที่ 15,238.59 จุด ดัชนี S&P 500 ปิดลบ 0.57 จุด หรือ 0.03% แตะที่ 1,642.81 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดบวก 4.55 จุด หรือ 0.13% แตะที่ 3,473.77 จุด

-- สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (10 มิ.ย.) เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอเกินคาดของจีนได้กระตุ้นให้นักลงทุน เข้าซื้อทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย

สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค.เพิ่มขึ้น 3 ดอลลาร์ หรือ 0.22% ปิดที่ 1,386 ดอลลาร์/ออนซ์

ขณะ ที่สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนก.ค.เพิ่มขึ้น 18.2 เซนต์ ปิดที่ 21.925 ดอลลาร์/ออนซ์ ส่วนสัญญาโลหะทองแดงส่งมอบเดือนก.ค.ลดลง 3.80 เซนต์ ปิดที่ 3.2305 ดอลลาร์/ปอนด์

สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนก.ค.ปิดที่ 1506.90 ดอลลาร์/ออนซ์ พุ่งขึ้น 4.30 ดอลลาร์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนก.ย.ปิดที่769.40 ดอลลาร์/ออนซ์ ร่วงลง 8.20 ดอลลาร์

--ราคาทองคำตลาดลอนดอนปิดวันทำการล่าสุด (10 มิ.ย.) ที่ 1,383.25 ดอลล์/ออนซ์
-- สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (10 มิ.ย.) หลังจากจีนเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ ซึ่งทำให้นักลงทุนกังวลว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนอาจจะส่งผลให้ ความต้องการพลังงานลดลงด้วย

สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค.ลดลง 26 เซนต์ ปิดที่ 95.77 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 95.19-96.25 ดอลลาร์

ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ค.ที่ตลาดลอนดอน ลดลง 61 เซนต์ ปิดที่ 103.95 ดอลลาร์/บาร์เรล

-- สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐพุ่งขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยน หลังจากสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (S&P) ปรับเพิ่มแนวโน้มความน่าเชื่อถือของสหรัฐ นอกจากนี้ ดอลลาร์ยังได้รับแรงหนุนจากกระแสคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะลดขนาดโครงการซื้อพันธบัตรในเวลาที่เร็วกว่ากำหนด

ค่าเงินดอลลาร์ สหรัฐพุ่งขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 98.71 เยน จากระดับของวันศุกร์ที่ 97.43 เยน ขณะที่เงินฟรังค์อ่อนค่าลงสู่ระดับ 0.9328 ฟรังค์ จากระดับ 0.9351 ฟรังค์

ค่าเงินยูโรพุ่งขึ้นแตะระดับ 1.3262 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.3223 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินปอนด์พุ่งขึ้นแตะระดับ 1.5584 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.5558 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียร่วงลงแตะระดับ 0.9475 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.9495 ดอลลาร์สหรัฐ

-- ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ (10 มิ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนทุบขายหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ หลังการส่งออกของจีนขยายตัวต่ำที่สุดในรอบ 10 เดือน

ดัชนี FTSE 100 ปรับตัวลง 11.54 จุด หรือ 0.18% ปิดที่ 6,400.45 จุด

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/t542/?/

ทฤษฎี Elliott Wave


ย้อนกลับไปในปี 1920-30s มีอัจฉริยะด้านการบัญชีคนหนึ่งชื่อ
Ralph Nelson Elliott (ราฟ เนลสัน เอลเลียต)
ได้ ทำการวิเคราะห์วิจัยตลาดหุ้นอย่างใกล้ชิด กับข้อมูลบน 75 ปี ของ ตลาดหุ้น เขาพบว่า ตลาดหุ้นนั้น มีพฤติกรรมที่การเคลื่อนไหวของราคาที่ไร้รูปแบบ
ซึ่งปกติไม่ได้เป็นแบบนั้น

เมื่ออายุ 66 ปี เขาได้หลักฐานสุดท้ายที่ทำให้มั่นใจในการค้นพบของเขา เข้าตีพิมพ์ทฤษฎีลงหนังสือ
ชื่อThe Wave Principle.
เขา บอกว่า ตลาดนั้นมีการเทรดเป็นลักษณะวงจรที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ กัน ซึ่งสาเหตุนั้นมาจาก อารมณ์ของนักลงทุน ที่ส่งผลมาจากปัจจัยต่าง ๆ กัน เช่น (ข่าวใน CNBC Bloomberg, ESPN) หรือ ข่าวที่มีผลต่อจิตวิทยา ของนักลงทุน เวลานั้น ๆ
อธิบายว่า การสวิงขึ้นลงของทิศทางราคา สาเหตุนั้นเกิดจากพฤติกรรมทางจิตวิทยา ซึ่งแสดงออกมาในรูปแบบเดิม ๆ ซ้ำ ๆ เสมอ ๆ
เขาเรียกการสวิงขึ้นลงของราคาในลักษณะนี้ว่า คลื่น หรือ Waves
เขา เชื่อว่า ถ้าเราสามารถวิเคราะห์ได้อย่างถูกต้องเกี่ยวกับพฤติกรรมราคาที่เกิดซ้ำ ๆ ได้ ก็จะสามารถทำนาย ทิศทางราคาได้ ว่ามันจะไปทางไหน (หรือว่าไม่เคลื่อนไหว) ต่อไป

สิ่งนี้ทำให้ Elliott waves นั้นเป็นที่นิยมในหมู่นักเทรด มันทำให้พวกเขาสามารถวิเคราะห์ราคา ว่าจะไป ทิศทางไหน หรือ กลับตัวที่จุดไหน หรือถ้าจะให้พูดอีกอย่าง

Elliot Wave ทำให้นักเทรดสามารถจับรูปแบบการเกิด Top จุดสูงสุด กับ Bottom จุดต่าสุดได้
ดังนั้น ท่ามกลางความวุ่นวายของทิศทางราคา Elliott สามารถค้นพบการจัดเรียงตัวของมัน

เหมือนอัจฉริยะคนอื่น ๆ เขาต้องเป็นเจ้าของการค้นพบนี้
ดังนั้น จึงมีชื่อทฤษฎีของเขาว่า The Elliott Wave Theory.

ก่อนที่เราจะเจาะลึกตัว Elliott waves ต้องเข้าใจเป็นอันดับแรกก่อนว่า มันคือ Fractals
โดย ทั่วไปแล้ว Fractal เป็นโครงสร้างแบบหนึ่งที่สามารถแบ่งออกเป็นส่วน ๆ ได้ ซึ่งส่วนต่าง ๆ เหล่านั้น ที่ถูกแยกออกมา จะมีลักษณะความคล้ายคลึงกัน นักคณิตศาสตร์จะเรียกปรากฏการณ์ นี้ว่า "ความเหมือนในตัวมันเอง" หรือ Self similarity คุณไม่ต้องไปหาตัวอย่างของเรื่อง Fractal นี้ที่ไหนไกล เพราะตัวอย่างของมัน เราสามารถหาได้ตามธรรมชาติมากมาย อยู่แล้ว


 เปลือกหอยทะเล ก็เป็นตัวอย่างของ Fractal แบบหนึ่ง เกล็ดหิมะก็เป็น Fractal และรวมทั้งเมฆ และสายฟ้าก็เป็น Fractal ด้วยเช่นกัน

Fractal สาคัญ อย่างไร?
สิ่ง สาคัญอย่างหนึ่งของลักษณะของ Elliot Wave คือมันเป็น Fractal ซึ่งมีลักษณะเดียวกันกับ เปลือกหอยทะเล และเกล็ดหิมะ Elliot Wave จะแบ่งย่อย ๆ ได้เป็นกลุ่มคลื่นเล็ก ๆ ได้อีกมากมาย

Mr. Elliott กล่าวว่า ตลาดและการเคลื่อนไหวของทิศทางราคาในตลาดนั้น เคลื่อนไหวในรูปแบบที่เขาเรียกว่า 5 -3
รูปแบบคลื่น 5 คลื่นแรก เรียกว่า Impulse waves
รูปแบบคลื่น 3 คลื่น เรียกว่า Corrective waves
เวฟรูปแบบนี้ เวฟที่ 1 3 5 เป็นรูปแบบ Motive หมายถึง จะไปในทิศทางเดียวกับเทรนด์หลัก ขณะที่เวฟ 2 4 เป็น Corrective

อย่าสับสนกับเวฟ 2 และ 4 มาปนกับรูปแบบ Corrective ABC (อยู่ในเรื่องต่อไป)

รูปแบบ 5 คลื่นแบบ Impulse

หรือ

 กำหนดสีให้ เพื่อมีการนับคลื่นง่ายขึ้น ทำความเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นในแต่ละเวฟ

จะ ใช้หุ้นเป็นตัวอย่าง เพราะ หุ้นเป็นกรณีศึกษาของ Elliott แต่ไม่สาคัญ เพราะมันใช้ได้ทั้ง ค่าเงิน อนุพันธ์ ทอง สิ่งสำคัญคือ ทฤษฎี Elliot Wave สามารถประยุกต์ในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราได้

คลื่นที่ 1
ราคาหุ้น พุ่งขึ้น เป็นเพราะ มีคนกลุ่มเล็ก ๆ ในตลาด (ด้วยหลาย ๆ เหตุผล ทั้งจินตนาการ หรือการคิดแบบมีเหตุผล ของพวกเขา) พวกเขาคิดว่าราคาหุ้นนั้นถูก และเป็นเวลาเหมาะที่จะซื้อ ทำให้ราคาขึ้น

คลื่นที่ 2
จุด นี้ เป็นจุดที่ผู้คนส่วนหนึ่งที่ถือหุ้นมาก่อน แล้วคิดว่าหุ้นได้แพงเกินมูลค่าของมันแล้ว พวกเขาจึงขายทำกำไร ออกมา ทำให้ราคาหุ้นลง อย่างไรก็ตาม ราคาจะไม่ต่ากว่าราคา Low เดิม (ราคาต่ำสุดครั้งก่อนหน้า) ก่อนที่จะมี การเคลื่อนไหวในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง ต่อไป

คลื่นที่ 3
เป็นคลื่นที่แรงที่สุด ในบรรดาคลื่นเหล่านี้ หุ้นขึ้นมาจาก คนส่วนใหญ่ที่เข้ามาร่วมกันซื้อ ผู้คนสนใจหุ้นตัวนี้มากขึ้น และอยากจะซื้อมัน ทำให้ราคาพุ่งสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ซึ่งจะทะลุราคาสูงสุดของคลื่นที่ 1 ก่อนหน้านี้ไป

คลื่นที่ 4
เท รดเดอร์เริ่มขายทำกำไร เพราะพวกเขาคิดว่าราคาหุ้นแพงไปแล้ว แต่ว่าคลื่นนี้ก็ไม่ค่อยมีแรงขายมากเท่าไร เพราะยังมีคนเข้ามาในตลาดเพิ่มขึ้น และยังคิดว่าหุ้นตัวนี้ยังอยู่ในขาขึ้น และอยากจะซื้อในราคาที่มันปรับฐานลงมา

คลื่นที่ 5
เป็นจุดที่คน ส่วนใหญ่เข้าสู่ตลาด หุ้นซึ่งมาจากอารมณ์ของพวกเขาล้วน ๆ เพราะคุณเห็น CEO ของบริษัทออกมาพูด ในหน้าต่าง ๆ ของนิตยสารดัง ๆ ในฐานะบุคคลแห่งปี เทรดเดอร์และนักลงทุนเริ่มหาเหตุผล มาซื้อหุ้นตัวนี้ และ พยายามทำให้คุณตกใจกับราคาที่พุ่งไป ถ้าคุณคิดว่าหุ้นตัวนี้แพงมากแล้ว
ซึ่ง เหตุการเหล่านี้เกิดขึ้นเมื่อ ราคาหุ้นเริ่มที่จะมีมูลค่าสูงเกินจริง ซึ่งพวกที่เล่น Short ก็จะเริ่มเข้ามา Sell ในตลาด เมื่อหุ้นเริ่มเข้าสู่ภาวะ ABC

คลื่นขยาย Impulse Waves
สิ่ง หนึ่งที่ต้องรู้ เกี่ยวกับทฤษฎี Elliot Wave คือ คลื่นแบบ Impulse 3 คลื่น (1 3 5) ซึ่งจะมีคลื่นตัวใดตัวหนึ่ง ยาวกว่าอีกสองคลื่นเสมอ

เริ่มจาก คลื่นที่ 1 แล้วคลื่นที่ 3 จะยาวกว่าคลื่นที่หนึ่ง และคลื่นที่ 5 ตามระดับความยาวของแรงคลื่น

ตาม ที่ Elliott กล่าวไว้คลื่นที่ 5 จะเป็นคลื่นขยายเข้ามาตอนท้าย แต่เมื่อเวลาผ่านไป ก่อนคลื่นที่ 5 เปลี่ยนไป เพราะว่าทุกคนเริ่มใช้คลื่นที่สาม มาเป็นคลื่นขยายเข้ามา

*คลื่นขยาย หมายถึง ตัวคลื่นที่มีความยาวกว่าคลื่นปกติ หรือได้ถูกขยายออกไป*
เท รนด์ของคลื่นทั้ง 5 จะถูกยืนยันจากการเกิดรูปแบบกลับตัว จากคลื่นสามคลื่น ที่ตรงข้ามกับเทรนด์ ตัวอักษรจะถูกใช้แทนการใช้ตัวเลขในการนับเทรนด์
ดูตัวอย่างของการนับคลื่นแบบ Corrective 3-wave pattern

ตลาดในภาวะกระทิง


ตลาดในภาวะหมี


ตาม ที่ Elliott กล่าวไว้ มีรูปแบบ Corrective Wave ABC อยู่ 21 รูปแบบ จากรูปแบบง่าย ๆ ไปจนถึง รูปแบบที่มี ความซับว้อน ไม่จำเป็นต้องจดจำรูปแบบทั้ง 21 ชนิดทั้งหมด เพราะสร้างขึ้นมาจากรูปแบบสามรูปแบบ ที่สามารถเข้าใจได้ง่าย

ดูรูปแบบสามรูปแบบ รูปแบบข้างล่าง ใช้กับเทรนด์ขาขึ้น แต่สามารถปรับใช้กับเทรนด์ขาลงได้เช่นเดียวกัน

รูปแบบ Zig-Zag


รูป แบบ Zig-zag เป็นรูปแบบกราฟทิศทางราคาที่มีความชันมาก ซึ่งไปในทิศทางตรงกันข้ามกับเทรนด์ คลื่น B ปกติ จะสั้น เมื่อเปรียบเทียบกับคลื่น A และคลื่น C ซึ่งรูปแบบ zig zag สามารถเกิดสองหรือสามครั้งใน Elliott wave Correction (มี zig zag สองถึงสามอันต่อกัน) และเหมือนคลื่นอื่น ๆ คลื่นแต่ละชนิดใน Zig Zag สามารถแตกย่อย เป็น 5 คลื่นได้อีกเหมือนกัน

รูปแบบราบ


รูป แบบราบ เป็นรูปแบบ Side way corrective wave ความราบของความยาวของคลื่นจะมีเท่า ๆ กัน ซึ่ง คลื่น B เป็นการกลับตัวของคลื่น A และ คลื่น C เป็นรูปแบบการกลับตัวของคลื่อน B อีกที เป็นไปได้ว่า คลื่น B อาจจะเลย จากจุดกำเนิดของคลื่น A ได้บ้างเล็กน้อย

รูปแบบสามเหลี่ยม


รูป แบบสามเหลี่ยม เป็นรูปแบบที่ราคาเป็นคลื่นเด้งขึ้นลง อยู่ในแนวเส้นรูปสามเหลี่ยม สามเหลี่ยมจะมี 5 คลื่น ที่อยู่ในรูปสามเหลี่ยม อาจจะเป็นแบบสามเหลี่ยมหดตัวลง หรือ กว้างขึ้น

คลื่น Elliott เป็น Fractal ซึ่งคลื่นแต่ละคลื่นจะมีคลื่นเล็ก ๆ แทรกอยู่


 คลื่น ที่ 1, 3, และ 5 จะมีคลื่นเล็ก ๆ แทรกอยู่ในคลื่นเหล่านี้ และคลื่นที่ 2 และคลื่นที่ 4 ก็มี 3 คลื่นเล็กๆ แทรกอยู่ในนั้น ด้วยเหมือนกัน
ต้องจำไว้เสมอว่า คลื่นแต่ละคลื่นจะประกอบด้วยคลื่นเล็ก ๆ อีก ซึ่งรูปแบบนี้จะมีความคล้ายตัวของมันเอง จนไม่มีที่สิ้นสุด!

 ให้ เราเข้าใจเรื่องนี้ง่าย สามารถบอกได้ว่า ทฤษฎี Elliott Wave เป็นการจัดลำดับจากคลื่นที่ใหญ่สุด ไปหาคลื่น ที่เล็กที่สุด ประกอบด้วย:

- Grand Supercycle
- Supercycle
- Cycle
- Primary
- Intermediate
- Minor
- Minutte
- Minuette
- Sub-Minuette

Grand Supercycle ได้มาจากคลื่น Supercycle ที่มาจากคลื่นแบบ Cycle ที่มาจากคลื่นแบบ Primary ที่มาจากคลื่นแบบ Intermediate ที่มาจากคลื่นแบบ Minor ที่มาจากคลื่นแบบ Minuette ที่็มาจากคลื่นแบบ Sub-Minuette

ทำให้ทฤษฎีที่ได้อธิบายให้ง่าย ดูว่าเราจะใช้ Elliott Wave ในกราฟจริง ได้อย่างไร


 อย่าง ที่เห็นคลื่นไม่ได้มีรูปร่าง แบบที่เราอธิบายไป ในกราฟจริง จะพบว่ามันยากที่จะกำหนดคลื่นด้วย แต่ว่า ยิ่งคุณ ฝึกมากเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งเข้าใจมัน ได้มากขึ้นเท่านั้น  อีกประการในที่นี้เราจะให้เคล็ดลับ และเพื่อให้ง่ายในการวิเคราะห์ลักษณะของคลื่น จะทำให้คุณเทรดโดยใช้คลื่น Elliotte ได้ดี มาโต้คลื่นกัน!


 คุณ คงจะคิดว่า การใช้ Elliot Wave ในการเทรด ขึ้นอยู่กับความสามารถที่จะวิเคราะห์ตัวคลื่นได้ ในการพัฒนาการมองคลื่นของเราว่า ตอนนี้ ตลาดอยู่ในคลื่นที่เท่าไหร่

คุณจะสามารถบอกได้ว่าคุณควรจะเทรดด้านไหน Buy หรือ Sell

 มี กฏสำคัญ 3 ข้อ ที่ห้ามแหกกฏ เพื่อการวิเคราะห์คลื่น ดังนั้นก่อนที่คุณจะเข้าเทรดแบบทฤษฎี Elliotte Wave คุณต้องจดบันทึกกฏต่อไปนี้ไว้

การวิเคราะห์คลื่นผิดจะทาให้เงินในบัญชีของเราหายไปอย่างมาก

กฏ 3 ข้อ ของทฤษฎี Elliott Wave Theory

- กฏข้อที่ 1 : คลื่นที่ 3 จะไม่มีทางสั้นกว่า คลื่นที่ 1 และ คลื่นที่ 5
- กฏข้อที่ 2 : คลื่นที่ 2 จะไม่ลงไปต่ากว่า จุดเริ่มต้น ของคลื่นที่ 1
- กฏข้อที่ 3 : คลื่นที่ 4 จะไม่สามารถลงไป จนถึงพื้นที่ของ คลื่นที่ 1 ได้

มีแนวทางที่จะช่วยให้คุณระบุลักษณะของคลื่น ได้อย่างถูกต้อง ซึ่งจะไม่เหมือนกับกฏทั้ง 3 ข้อ คือ

แนวทางสามารถยืดหยุ่นได้ ดังนี้ :

- ในทางกลับกัน บางครั้ง คลื่นที่ 5 จะไม่ลงไปต่ากว่าจุดสิ้นสุด ของคลื่นที่ 3 ซึ่งเรียกว่า การแบ่งเป็นส่วน ๆ
- คลื่นที่ 5 จะไม่ทะลุเส้นเทรนด์ไลน์ ที่ลากเฉียงมาจากจุดเริ่มต้นของคลื่นที่ 3 และจุดเริ่มต้นของคลื่นที่ 5
- คลื่นที่ 3 จะยาว คม และ ขยายออกไป
- คลื่นที่ 2 และ 4 จะหลุดออกจาก แนวเส้น Fibonacci


สิ่งที่รออยู่ คือ การใช้ทฤษฎีคลื่น Elliott ในการเทรด เราจะมาดูการประยุกต์ใช้ในการหา จุดเข้า จุดหยุดขาดทุน และจุดทำกำไร

เหตุการณ์ที่ 1 ในบางสถานการณ์ การไม่ต้องมีเหตุผลอาจจะดีกว่าก็เป็นได้ :
เช่น คุณต้องการเริ่มนับคลื่น จะเห็นว่าราคาเริ่มจะมีจุดต่ำสุด และเริ่มจะมีการเคลื่อนไหวขึ้น ใช้ความรู้ของคุณเรื่อง Elliot Wave คุณเริ่มนับตรงนี้ว่า เป็นคลื่นที่ 1 และจุดแนวรับเป็นคลื่นที่สอง


 ในการหาจุดเข้าที่ดี ต้องกลับไปดูกฏทั้ง 3 ข้อ และ แนวทางในการใช้ Elliott Wave มาประยุกต์ใช้ สิ่งที่จะต้องเจอคือ:

- กฏข้อที่ 2 คลื่นที่ 2 จะไม่ลงไปต่ากว่า จุดเริ่มต้น ของคลื่นที่ 1
- คลื่นที่ 2 และ คลื่นที่ 4 จะเคลื่อนไหวออกจากแนวเส้น Fibonacci

ดัง นั้น เราควรใช้ทักษะของ Elliot Wave ในการเทรด ถ้าคุณลองใส่ Fibonnacci ลงไปในกราฟของคุณ ถ้าราคา อยู่ที่แนว Fibonnacci และราคากำลังเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบ ๆ ระหว่างเส้น Fibonacci 50% ซึ่งหมายความว่า นี่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้น ของคลื่นที่ 3 เป็นสัญญาณซื้อที่แรงมาก สัญญาณหนึ่ง


ตั้งแต่ คุณได้เรียนรู้อะไรไปเยอะ จะเห็นว่าสิ่งหนึ่งที่สำคัญ คือ คุณจะต้องใส่ จุดหยุดขาดทุน เข้าไปด้วย ตามกฏ ข้อที่ 2 ที่บอกว่า คลื่นที่ 2 จะไม่ไปต่ำกว่า จุดเริ่มต้นของคลื่นลูกที่ 1 ดังนั้นคุณอาจจะตั้ง จุดหยุดขาดทุน (Stop loss) ไว้ให้ต่ำกว่าจุดต่ำสุดครั้งก่อนหน้า หรือ จุดเริ่มต้นของคลื่นที่ 1 อยู่นิดหน่อย ถ้าราคาลงไปเยอะกว่า 100 % ของคลื่นลูกที่ 1 นั่นหมายความว่า คุณนับคลื่นผิด มาดูว่าเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ ...


 การวิ เคราะห์ Elliott Wave ของคุณได้ผลเป็นอย่างดี และสามารถเข้าเทรนด์ใหญ่ ๆ ได้ ไม่ต้องห่วง เพราะเรา มีวิธีทำกำไร ที่คุณสามารถทำเงินได้อีกครั้ง

เหตุการณ์ที่ 2 ตอนนี้ จะให้คุณใช้ความรู้ที่คุณมี ในการวิเคราะห์ Elliot Wave แบบ corrective waves ในการหาจุดเข้า-ออก


คุณ ต้องเริ่มนับคลื่นตอนขาลง และสังเกตุว่า รูปแบบ ABC corrective กำลังเคลื่อนไหวเป็น Side way ซึ่งนี่เป็น รูปแบบราบ (Flat formation) หมายความว่า ราคาพึ่งจะเริ่มเป็นตัว Elliott Wave อีกครั้งเมือ ตัวคลื่น C จบลง


เชื่อ ในทักษะ ให้คุณส่งออร์เดอร์ Sell และจะได้ขี่เทรนด์ไปด้วยกัน ส่งออร์เดอร์หยุดขาดทุน ให้เหนือกว่า จุดเริ่มต้น ของคลื่นที่ 4 นิดหน่อย เผื่อว่าคุณจะนับคลื่นผิด


 เพราะ เราชอบตอนจบแบบ แฮปปี้ เอนดิ้ง การเทรดของคุณประสบความสำเร็จไปได้ด้วยดี และทำกำไรให้คุณได้หลายพันจุด ซึ่งเกิดขึ้นได้ไม่บ่อยนัก

คุณยังได้บทเรียนตอนนี้อีกว่า อย่าไปเล่นการพนัน แล้วใช้กำไรที่ได้ เพิ่มทุนเข้าไปให้บัญชีจะดีกว่า

- Elliott Waves เป็น fractals คลื่นแต่ละคลื่นสามารถแยกเป็นคลื่นย่อย ๆ ได้ ซึ่งเมื่อแบ่งออกมาแล้ว จะมีลักษณะ ความคล้ายกันของตัวมันเองอยู่ทุกคลื่น นักคณิตศาสตร์มักจะเรียกปรากฏการนี้ว่า ความคล้ายตัวของมันเอง หรือ "self-similarity"

- ตลาดที่เกิดเทรนด์ จะเคลื่อนไหวเป็นรูปแบบ คลื่น 5 - 3
- คลื่น 5 คลื่นแรก เรียกว่า Impulse wave.
- คลื่นใดคลื่นหนึ่ง ใน 3 คลื่นแบบ impulse (1, 3, หรือ 5) จะเป็นคลื่นขยาย ซึ่งปกติจะเป็นคลื่นที่ 3
- คลื่น 3 คลื่นหลัง เรียกว่า คลื่น corrective จะใช้ตัวอักษรแทนการเรียกเป็นเลข
- คลื่นที่ 1, 3 และ 5, จะมีคลื่นเล็ก ๆ แบบ impulse อยู่ในนั้น 5 คลื่น ขณะที่คลื่น 2 – 4 จะมีคลื่นเล็ก ๆ แบบ corrective อยู่ 3 คลื่นแทรกอยู่ในนั้น
- มีคลื่นแบบ corrective อยุ่ 21 ชนิด แต่ว่ามันมีพื้นฐานมาจากพื้นฐานของ 3 ชนิด ง่ายที่จะทำความเข้าใจ
- รูปแบบพื้นฐานของ Corrective เหล่านั้นคือ ซิกแซก (zig-zags), แบบราบ (flats), และ แบบสามเหลี่ยม (triangles)
- มีกฏสามข้อในการระบุคลื่น:
-- กฏข้อที่ 1 คลื่นที่ 3 จะไม่สั้นกว่า คลื่นที่ 1 และคลื่นที่ 5
-- กฏข้อที่ 2 คลื่นที่ 2 จะไม่ลงไปต่ำกว่าจุดเริ่มเกิด คลื่นที่ 1
-- กฏข้อที่ 3 คลื่นที่ 4 จะไม่ลงไปต่ำจนถึงพื้นที่ของ คลื่นที่ 1
-- ถ้าคุณมองดูให้ดี ๆ ตลาดนั้นเคลื่อนไหวเป็นแบบคลื่นจริง ๆ
-- เพราะว่าตลาดไม่ได้เคลื่อนไหวง่าย ๆ ตามที่เราได้อธิบาย แต่ว่ามันจะใช้เวลานานมากในการวิเคราะห์คลื่น ก่อนที่คุณจะเริ่มรู้สึกว่า คุณจะหาคลื่น Elliott ได้ง่าย ขอให้คุณขยันเข้าไว้และอย่ายอมแพ้!

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/elliott-wave/?/

ความผิดพลาดที่สำคัญ 9 ประการของนักลงทุน



1. ลงทุนด้วยจำนวนเงินที่มากเกินกว่าที่คุณจะสูญเสียได้
หนึ่ง ในอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ของการลงทุนให้ประสบความสำเร็จคือการลงทุนด้วยเงินก้อน ใหญ่ที่คุณไม่สามารถจะเสียไปได้  เช่น จำนวนเงินที่คุณจะต้องใช้ผ่อนค่างวด หรือค่าเทอมลูก ในกรณีเช่นนี้ เราเรียกว่า การลงทุนด้วยเงินร้อน (Trading with scared money) และในท้ายที่สุด สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ เมื่อในส่วนลึกของจิตใจ นักลงทุนเหล่านั้นรู้ว่าพวกเขากำลังเสี่ยงด้วยเงินที่เปรียบเสมือนเงินที่ ยืมมา พวกเขาจะลงทุนด้วยอารมณ์และความกลัว โดยปราศจากเหตุผล ถ้าคุณอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เราแนะนำให้คุณหยุดการลงทุน จนกระทั่งคุณสามารถลงทุนด้วยจำนวนเงินที่คุณสามารถจะเสียได้โดยไม่ก่อให้ เกิดความเดือดร้อนทางการเงิน คุณอาจจะเริ่มต้นด้วยจำนวนก้อนที่ไม่ใหญ่จนเกินไป เช่น 50,000 บาท และลงทุนในหุ้นที่มีราคาต่ำกว่า 10 บาท

2. ความต้องการความแน่นอน
เรา ทุกคนต้องมั่นใจว่าการลงทุนจะคุ้มค่า ดังนั้นเราจึงควรมองหาสัญญาณที่จะยืนยันจุดที่ควรเข้าลงทุน สัญญาณที่กล่าวถึงนี้มีหลายรูปแบบ เช่น การเปิดช่องยูบีซี หรือ อ่านหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับตลาดทุน เพื่อทราบถึงข่าวสารว่าหลักทรัพย์ใดอยู่ในช่วงที่น่าลงทุน หรือหลักทรัพย์ใดที่ควรรอจังหวะเข้าซื้อเมื่อแน่ใจว่าราคาจะพุ่งสูง ขึ้น  นักลงทุนบางคนอาจรับฟังข่าวสารจากเพื่อน ครอบครัว หรือเจ้าหน้าที่การตลาด (โบรกเกอร์) บางคนอาจรอจังหวะที่ดัชนีชี้นำทางเทคนิคทั้งหลายแสดงสัญญาณที่ดีจึงเข้าซื้อ สิ่งเหล่านี้สามารถเชื่อถือได้ในระดับหนึ่ง แต่ข้อผิดพลาดที่สำคัญและควรระวังมาก ก็คือ การใช้เวลามากเกินไปจนคุณปล่อยให้ราคาสูงขึ้นโดยที่คุณยังไม่ได้ซื้อ สิ่งที่ตามมาก็คือ ความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเมื่อราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนที่จะเข้าซื้อหุ้นนั้นมีน้อยลง ทำให้แรงซื้อน้อยลง ส่งผลให้ราคาปรับตัวลงจนกว่าจะมีแรงซื้อเข้ามาใหม่ ซึ่งก็เปรียบได้กับเกมเก้าอี้ดนตรี คนที่ช้าที่สุดก็จะไม่มีเก้าอี้เหลือให้นั่ง นักลงทุนที่รอแล้วรออีกเพื่อให้มั่นใจมากๆ จริงๆแล้วก็คือคนที่จะซื้อที่จุดสูงสุดก่อนที่ราคาหุ้นจะตกลง แล้วก็จะโทษว่าเป็นเพราะเลือกหุ้นผิดตัว ความจริงคือข้อผิดพลาดนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการเลือกหุ้น แต่เกี่ยวกับจังหวะของการลงทุน
สิ่งที่ควรจำใส่ใจคือไม่มีความแน่นอน 100 เปอร์เซ็นต์ ในการลงทุนครั้งใดๆก็ตาม สิ่งที่จะทำได้ก็คือศึกษาถึงความเสี่ยงประกอบกับความเชื่อมั่น

3. ใช้กำไรก่อนที่จะทำกำไรได้
ไม่ มีอะไรที่น่าตื่นเต้นไปกว่าการลงทุนที่ให้กำไรที่งดงาม แต่สิ่งนี้ก็เป็นปัญหาได้เช่นกัน เพราะมันให้คุณฝันหวานถึงกำไรก้อนใหญ่ คุณอาจจะบอกว่า “ว้าว! เงินลงทุนฉันเพิ่มขึ้น 15% ใน 2 วัน แล้วจะเพิ่มเป็น 50 % ใน 2 สัปดาห์และ อาจจะกลายเป็นเท่าตัวในพริบตา!”  สิ่งต่อไปที่จะเกิดขึ้นคือ คุณอาจคิดถึงรถใหม่คันหรูที่คุณคิดจะซื้อ หรืออาจจะบอกเจ้านายคุณว่าเขาก็ทำแบบเดียวกันได้ ถึงตอนนี้คุณคงนึกภาพออก ปัญหาที่แท้จริงจะเกิดขึ้นเมื่อคุณยึดติดกับความใฝ่ฝันนั้น และไม่ได้เตรียมพร้อมที่จะถอยออกมาเมื่อตลาดเข้าสู่ภาวะที่ไม่ดี และทำให้กำไรลดลง เพราะคุณถึงแต่ผลกำไรที่จะได้รับโดยไม่ยอมรับสถานการณ์จริง วิธีแก้ไขง่ายๆก็คือ ต้องรู้ว่าจะขายทำกำไรเมื่อไหร่และอย่างไร เมื่อลงทุน  และต้องจำไว้ว่าตลาดจะขึ้นสูงเท่าที่มันจะขึ้นได้  ไม่ใช่ว่าจะ ขึ้นสูงเท่าที่คุณคิดว่ามันจะขึ้นได้

4. การแสดงความคิดเห็น
เรา กำลังจะบอกคุณว่าตลาดไม่สนใจคุณหรอกว่าคุณจะคิดอย่างไร ถึงแม้ว่าคุณจะอ้างอิงถึงบทวิเคราะห์ที่เกิดจากความอุตสาหะ หรืออ้างอิงถึง ผู้เชี่ยวชาญตลาดหุ้นไทย  นั่นไม่สำคัญหรอก

5. คำ 3 คำที่จะฆ่าคุณได้ หวัง-ขอ-อธิษฐาน
ถ้า คุณพบว่าคุณทำ 1 อย่าง หรือมากกว่า ของคำที่กล่าวไว้ เมื่อคุณลงทุน คุณกำลังลำบากแล้วล่ะ! ดังเช่นที่กล่าวมาแล้ว ตลาดไม่สนใจคุณหรอก ดังนั้น ความหวัง คำขอ หรือคำอธิษฐาน ทั้งหลายไม่สามารถเปลี่ยนขาดทุนเป็นกำไร
เมื่อคุณคาดการณ์ผิด วิธีการง่ายๆที่จะแก้ไขสถานกาณ์ คือ ขาย!!

6. ไม่ทำตามแผนที่วางไว้
ปัญหา ใหญ่เกิดขึ้นได้เมื่อนักลงทุนเริ่มไม่ทำตามกลยุทธ์ที่วางไว้  อาจจะเป็นเวลา ซัก 1 อาทิตย์ที่พวกเค้าจะลงทุนตามกฎเกณฑ์ที่ตั้งไว้ แต่อีก1 อาทิตย์จะทำสิ่งที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง  การทำเช่นนี้ทำให้เจ็บตัวได้ง่าย เนื่องจากไม่มีใครสามารถบอกได้แน่ชัดว่ากลยุทธ์ใด จะได้ผลหรือไม่ ดังนั้นต้องจำไว้ว่าไม่ควรทำสิ่งที่ผิดไปจากแผนหรือวิธีการเมื่อคุณได้เริ่ม ต้นไปแล้ว  หากคุณพบว่ากลยุทธ์นั้นใช้ได้ผลเมื่อดูจากสถิติ ก็ไม่มีเหตุผลที่คุณจะเปลี่ยนกลยุทธ์  ทางที่จะทำกำไรคือ ซื้อขายซ้ำไปซ้ำมาจนกระทั่งถึงจุดที่กลยุทธ์นั้นจะใช้ไม่ได้ผล อีกด้านที่ต้องระวังก็คือ นักลงทุนมักจะขาดความมั่นคงและมีโอกาสที่จะเปลี่ยนแผนการลงทุนได้มากหลังจาก ขาดทุน 2-3 ครั้ง  ดังนั้น ในช่วงเวลาเช่นนี้ต้องระวังเป็นพิเศษ

7. ไม่รู้ว่าจะถอนตัวจากการลงทุนที่ขาดทุนได้อย่างไร
มี หลายครั้งที่นักลงทุนไม่มีเกณฑ์ที่แน่นอนในการนำตัวเองออกจากการลงทุนที่ไม่ คุ้มค่า  พวกเขามักจะคาดหวัง และคิดหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองในการที่จะไม่ถอนตัวและยอมขาดทุน ดังเช่นที่เราบอกซ้ำแล้วซ่ำเล่า ตลาดไม่สนใจว่าคุณจะคิดอะไร  มันเคลื่อนไปตามทางของมัน และเมื่อตลาดไม่เป็นไปตามที่คุณคิด นั่นคือคุณคิดผิด วิธีง่ายที่สุดที่จะทำให้สถานะการลงทุนไม่แย่ลงกว่าเดิม ก็คือต้องคิดก่อนที่จะลงทุนว่า เมื่อไรจะออกจากตลาด โดยอาจกำหนดเป็นจำนวนเงิน หรือ กำหนดจุดเป้าหมาย เช่น จุดที่เท่ากับจุดต่ำสุดในช่วงเวลา 15 นาทีก่อน ต้องมั่นใจว่าคุณจะไม่ปล่อยให้ราคาตกลงจนถึงจุดหยุดขาดทุนโดยที่ไม่สามารถทำ อะไรได้ ซึ่งอาจเนื่องมาจากความกลัวและความไม่เชื่อว่าคุณคิดผิด นั่นจะทำให้คุณเกิดปัญหาด้านการเงิน เว้นแต่ว่าคุณจะสามารถหยุดขาดทุนได้โดยเร็ว

8. มีความมั่นใจ
คน ที่เข้าลงทุนในตลาดนั่นมีหลายคนที่เป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงใน ธุรกิจด้านอื่นๆ เหตุนี้เองทำให้พวกเขามีความมั่นใจสูงและคิดว่าพวกเขาไม่มีทางที่จะล้ม เหลว  ความมั่นใจเช่นนี้กลายเป็นข้อเสียสำหรับการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ เพราะพวกเขาไม่เชื่อว่าลงทุนผิดพลาดและควรต้องหยุดการลงทุนที่ขาดทุน และเช่นกัน ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร มาจากไหน นั่นไม่เกี่ยวข้องกับตลาด รวมถึงปริญญา ประกาศนียบัตร ความสามารถในการจูงใจ หรือ ความรอบรู้เชิงธุรกิจ ไม่สามารถเปลี่ยนแนวโน้มตลาด เวลาที่คุณคาดการณ์ผิด

9. หลงใหลในหุ้นหรือการลงทุน
ห้ามหลงใหลในหุ้นเด็ดขาด เพราะนั่นจะให้บทเรียนที่สาหัสแก่คุณ

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/9-21/?/

จิตวิทยาในการเล่นหุ้น

จิตวิทยาในการเล่นหุ้น
ทำไม หลายคนซื้อหุ้นตัวไหนตัวนั้นจะลง แต่พอขายแล้วหุ้นกลับขึ้น หลายคนที่เล่นหุ้นในปัจจุบันจะรู้สึกเหมือนโชคไม่เข้าข้าง จริงๆแล้วมันเป็นเรื่องของดวงหรืออะไรกันแน่ ทฤษฎีการลงทุนต่างๆ ควรจะใช้ได้ดี เพราะหลักการลงทุนผู้ลงทุนควรจะเลือกลงทุนสิ่่งที่ดีและอยากได้กำไรไม่อยาก ขาดทุน แต่จริงๆกลยุทธิ์ต่างๆกลับใช้ไม่ได้ผลเพราะนักลงทุนแต่ละคนเองมี"อคติ"ยอม ขาดทุน หากคิดว่าหุ้นจะลงต่อ หรือยอมซื้อของที่แพงมากหากคิดว่ามันจะขึ้นไปต่อ สิ่งที่นักลงทุนทุกคนใช้ จริงๆจึงเป็นการ"คาดคะเน" ใช้ "สมอง"ประมวลสิ่งต่างๆจากข่าวสารและปัจจัยโดยรอบแต่หารู้ไม่ว่า สมองมีกระบวนการตัดสินใจลึกๆภายในที่ขึ้นอยู่กับ"อารมณ์"มากกว่า "เหตผล"ยกตัวอย่างการเลือกคู่ครองที่ใช้อารมณ์มากกว่าเหตผลแม้คนที่เรียน เก่ง มีสมองดีที่สุดก็มักใช้อารมณ์เป็นตัวตัดสินเรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิต มากกว่าเหตผล
  
นายเวอร์นอน สมิธ นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลปี 2002 ผู้ที่ศึกษาการเงินเชิงพฤติกรรมเคยกล่าวไว้ว่า "นักลงทุนทุกคนมีกล่องดำที่เป็นส่วนประมวลผลการตัดสินใจอยู่ในสมองโดยไม่มี ใครรู้ว่ากล่องดำอันนี้มีวิธีในการตัดสินใจอย่างไร แต่กระบวนการตัดสินใจนี้ไม่มีเหตผล เปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะของจิตใจเป็นหลัก" เมื่อคนแต่ละคนไม่ได้ใช้ความมีเหตุ มีผลในการคิดแล้วการลงทุนที่เป็นสิ่งสะท้อนความคิดของนักลงทุนแต่ละคน ย่อมไม่มีเหตุผล ตลาดหุ้นเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้เลย มีคนเคยตั้งคำถามว่า ทำไมคนที่เรียนด้านการลงทุน เก่งที่ 1-10 อันดับของระดับมหาวิทยาลัย Wharton กับไม่เคยมีชื่อเสียงในวงการลงทุนเลย ทำไมคนที่ IQ สูงขนาดนั้นถึงได้ไม่ประสบผลสำเร็จในตลาดหุ้นกัน
  
ย้อนกลับมาที่ ตลาดหุ้นไทยจะเห็นว่า คนที่ยิ่งฉลาด ยิ่งขาดทุนมากในตลาดหุ้น แต่คนที่ฉลาดปานกลางแต่หากมี EQ สูงแล้ว กลับสามารถประสบความสำเร็จได้มากกว่าเหตผลทั้งหมดจะค่อยๆถูกเฉลยในบทต่อๆไป ลองดูเหตการเหล่านี้
  
Ex1. คุณคิดว่าบริษัท A ผลประกอบการณ์ออกมาดีแน่ เลยซื้อหุ้นที่ราคาสิบบาท ตั้งใจจะขายในระยะสั้นๆที่่ 12 บาท เมื่อผลประกอบการณ์ออก แต่พอผลประกอบการณ์ออกมาดีดังคาดไว้ แต่ราคาหุ้นตกลงไป 8 บาท คุณทำใจขายทิ้งไม่ได้ (Avoid Regret) และคิดว่าหากราคาหุ้นกลับมาแค่เพียง10 บาท เท่าทุนก็จะขายไป ( Referance Point)
  
EX2. คุณซื้อหุ้นที่บริษัท B ที่ราคา 10 บาทจำนวน หมื่น หุ้น พอราคาหุ้นวิ่งไป 12 บาท คุณขายทำกำไรไป 20000 บาท พอราคาหุ้นวิ่งขึ้นไป 15 บาท คุณรู้สึกเสียดายอย่างมาก(เจ็บใจที่ขายเร็ว ขายหมู) พอราคาหุ้นเริ่มปรับตัวลงมาที่ 13 บาท คุณซื้อหุ้นกลับมาแต่คราวนี้ซื้อไป 20000 หุ้นเลย เพื่อเอากำไรเยอะๆ (โลภ เพราะพึ่งได้กำไรมา) ซื้อแล้วหุ้นวิ่งกลับไป 10 บาท เหมือนเดิม ปรากฏว่าเบ็ดเสร็จแล้วคุณขาดทุน 40000 บาท (งง?)
  
แม้ว่าสิ่งเหล่านี้ท่านเคยประสบมาหรือเคยได้รับ คำเตือนครั้งแล้วครั้งเล่า ว่าโปรดอย่าตามหลัง "มวลชน" แบบหลับหูหลับตา อันที่จริงคำว่า"มวลชน"นั้นไม่ใช่อื่นใด หากแต่เป็น"เรา "และ "ท่าน" นั้นเอง พฤติกรรมของ "มวลชน" ก็คือพฤติกรรมของคนทั่วไปหากมวลชนตัดสินใจผิดพลาดหรือเกิดปฏิกริยาทางอารมณ์ อย่างรุนแรงเพราะความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง เราและท่าน ก็ตกออยู่ในสภาพเช่นนั้นด้วยเช่นกัน
  
ดังนั้นลำพังการคิดว่าเรา ต้องปฏิบัติให้แตกต่างจากคนอื่นไม่เกิดประโยชน์ อะไร เพราะเรื่องเหล่านี้คนส่วนใหญ่ต่างทราบดีว่าควรทำอะไร ยกตัวอย่าง การสูบบุหรี่ ทุกคนทราบดีกว่า การเลิกบุหรี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องแต่หากไม่"ปฏิบัติ"ก็ไม่มีทางก้าวพ้นจาก อุปสรรคทางความคิดและอารมณ์ที่ส่งผลให้เราไม่ประสบผลสำเร็จในตลาดหุ้นได้
  
ใน"วิกฤติ มีโอกาส" แต่จะมีซักกี่คน ที่มองข้ามผ่านเมฆหมอกแห่งความกังวลเห็นถึงวันข้างหน้าที่สดใสได้ ในเมื่อบรรยากาศทั้งหมด มันไม่เป็นเช่นนั้น ทุกอย่างดูจะแย่ลง แย่ลง คนเรามองเห็นสิ่งที่ใจรู้สึกหากบรรยากาศรอบตัวร้อนเราก็จะเห็นแค่ความร้อน เราจะนึกถึงเวลาอากาศเย็นไม่ถูกเลย สิ่งเหล่านี้เป็นวิทยาสาสตร์ที่พิสูจน์แล้วว่า คนเราใช้ความรู้สึก ณ ขณะนี้เป็นส่วนประกอบสำคัญในการตัดสินใจเรื่องใดๆ เช่น เวลาคนหิวจะชอปปิ้งมากกว่าเวลาอิ่มเป็นต้น
  
อารมณ์มีผลต่อการตัดสินใจ
คุณ อาจคิดว่าอารมณ์ดีหรืออารมณ์เสีย ไม่มีผลต่อการตัดสินใจ แต่จริงๆไม่ใช่แม้คนที่มีเหตผลที่สุดหากขาดซึ่งอารมณ์ ก็จะไม่สามารถตัดสินใจใดๆได้ โดยเคยมีการศึกษาเรื่องนี้โดยนักประสาทวิทยา ชื่อ แอนโทนิโอ ดามาชิโอ ได้รายงานว่ามีคนไข้ที่สมองส่วน Ventromedical Frontal Crotices ถูกทำลายซึ่้งเป็นสมองส่วนที่ทำให้เกิดอารมณ์ แต่สมองส่วนความจำความฉลาดและความสามารถในการใช้เหตผลยังเป็นปกติอยู่ แต่จากการทดลองหลายครั้งพบว่า การปราศจากอารมณ์ในกระบวนการตัดสินใจได้ทำลายความสามารถในการตัดสินใจอย่าง สมเหตสมผล หมดไปด้วย
  
ดังนั้นหากสถานการณ์ไม่ดี ทิศทางที่สมองที่คิดได้ จากข่าวสารและความรู้สึกคือ สิ่งที่ดำเนินต่อไป ของความไม่ดี จะให้สมองสั่งการว่า "ดี" จะเป็นการยากสมองจะสั่งการขัดแย้งออกมาทันทีว่า "ดีจริงหรือ" ใช้เหตผลอะไรที่คิดว่ามันจะดี ? ดังนั้นการซื้อหุ้นตอนที่บรรยากาศร้ายสุด แม้แต่คุณเองยังกลัว คงทำได้ยาก เพราะสมองจะคิดขัดแย้งออกมาว่า "จริงหรือ คราวนี้อาจลงยาวนะ"
  
เครื่องมือเทคนิคกับอารมณ์
บาง คนบอกว่าหากเราไม่ใช้อารมณ์เข้ามาในการลงทุนหุ้นแต่เชื่อเฉพาะเครื่องมือ ทางเทคนิคซึ่งเป็นเครื่องมือที่ไม่ได้อ้างอิงใดๆเกี่ยวกับอารมณ์ของตลาดล่ะ จะได้ผลหรือไม่? คำตอบแรก ก็ต้องบอกว่าท่านที่คิดแบบนี้ ยังไม่เข้าใจเครื่องเทคนิคที่ดีพอ เพราะจริงๆแล้วเครื่องมือทางเทคนิคคือการใช้หลักสถิติศาสตร์ถอดแบบสภาพความ เป็นจริงในตลาดหุ้นแล้วนำมาพยากรณ์ความเป็นไปได้ต่อไป ซึ่งความเป็นจริงในตลาดหุ้นที่ถูกนำมาถอดแบบนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์"ความกลัว" และ "ความโลภ" ดังนั้นการใช้เครื่องมือก็ยังอิงกับอารมณ์ของตลาดอยู่ดี

คำ ตอบที่สอง ขออ้างถึงคุณ J. Wells wilder เจ้าของเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคยอดนิยม เช่น RSI (Relative Strength Index) PAR(Parabolic Sar) MOM ( Momentum) Volatility( แรงกระเพื่อมของระดับราคา) ซึ่งเครื่องมือทางเทคนิคเหล่านี้ สร้างชื่อเสียงให้กับ Wilder เป็นอย่างมาก แต่ในภายหลัง เขาได้ออกบทความใหม่ ที่ชื่อว่า Adam's Theory เป็นการปฏิเสธเครื่องมือทางเทคนิคของเขาที่คิดค้นมาก่อนหน้า โดยเขาบอกว่า ทฤษฎีใหม่นี้เป็นการตกผลึกในความคิด ความเข้าใจ ในเรื่องการลงทุน หลายสิบปีที่เขามี

ทฤษฎี Adam ตั้งอยู่บนข้อสรุปที่ว่า"ไม่มีเครื่องมือวิเคราะห์อันไหนที่สมบูรณ์ในตัว ที่สามารถชี้นำการตัดสินใจ ลงทุนได้อย่างแม่นยำและถูกต้อง 100% แต่เครื่องมือแต่ละชิ้นที่มีอยู่ในวงการ ต่างมีข้อบกพร่องในตัวเองไม่อาจ"จับตลาด"จนอยู่หมัดได้ ด้วยเหตุว่าตลาดว่า ตลาดนั้นไม่เคยหยุดนิ่ง ไม่มีลักษณะตายตัว แต่เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นอื่นได้ตลอดเวลา

เขาตั้งคำถามว่า "หากเครื่องมือเหล่านั้นแม่นยำจริง ทำไมนักลงทุน ที่ใช้เครื่องมือเหล่านั้น จึงยังประสบความขาดทุนอยู่ เครื่องมือเหล่านั้นจะวิเคราะห์เฉพาะจุด ไม่ผิดกับตาดบอด คลำช้าง ไม่เห็นภาพรวมของตลาดหรือของตัวหุ้นนั้นๆ มันไม่สมบูรณ์ ไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์ที่ผันแปรอยู่เสมอของตลาดหุ้นได้ "

ดังนั้นแม้เครื่องมือต่างอาจจะไม่มีความสมบูรณ์ในตัวมัน แต่หากเราเข้าใขอารมณ์ตลาด มาผสมผสานการ การวางแผน การลงทุนที่เข้าใจหลักจิตวิทยามวลชน การเล่นหุ้นจะทำได้ดียิ่งขึ้น โดยวิธีแก้ไขปัญหาเรื่องอารมณ์นั้น

Mark Douglas ทัศนคติแห่งการเก็งกำไร

Mark Douglas เซียนหุ้นที่เป็นที่ยอมรับกันว่า เขามีความชำนาญ และแนวคิดที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับแง่มุมทางด้านจิตวิทยาการลงทุนเป็นอย่างสูง ในระดับต้นๆของโลก โดยเขาได้เคยเขียนหนังสือหุ้นไว้สองเล่มที่โด่งดังมาก และถือเป็น Must Read! เลยทีเดียวนั่นก็คือ The Discipline Trader และ Trading in The Zone


Douglas เริ่มต้นการเก็งกำไรในตลาด Future ในปี 1978 โดยขณะนั้น เขาทำงานเป็นผู้บริหารของบริษัทแห่งหนึ่ง จนเมื่อมีโบรกเกอร์โทรมาชักชวนให้เขาลงทุน เขาจึงเริ่มเข้าสู่เส้นทางการเก็งกำไรในทองคำ และหลังจากนั้นมา เขาก็หลงใหลในการเก็งกำไรเป็นอย่างมาก เขาตัดสินใจลาออกจากงานผู้บริหาร และสมัครเข้าทำงานใน Merrill Lynch ด้วยการเป็นโบรกเกอร์แทน!!!!

ภาย ใน 9 เดือน Douglas ก็หมดตัว!!! เขาสูญเสียเงินสะสมทั้งหมดที่มีไปกับการเก็งกำไร แต่นั่นกลับกลายเป็นพลังให้เขาลุกขึ้นต่อสู้ และก้าวเดินต่อไปในเส้นทางที่เขาเลือก เพราะอย่างน้อยเขาได้เรียนรู้อะไรบางอย่างจากการสูญเสียที่เกิดขึ้น ซึ่งก็คือ เขาเรียนรู้ว่าแท้จริงแล้วการเก็งกำไรนั้น มันคือการต่อสู้กับจิตใจของเราเอง โดยมุมมอง และทัศนคติของเขานั้น มีส่วนสำคัญมากกว่าสิ่งอื่นใดในการเก็งกำไร และนั่นทำให้เขาเชื่อว่าสิ่งที่เขาคิด คือสิ่งที่สำคัญมาก และนั่นทำให้หลังจากนั้น เขาเริ่มเขียนบันทึกประจำวันอย่างละเอียด

"ผม ได้เขียนถึงพฤติกรรมการเก็งกำไรของผม สภาวะจิตใจของผม และสภาวะจิตใจที่เกิดขึ้นกับของลูกค้าของผม โดยผมได้เขียนบันทึกเกี่ยวกับรูปแบบพฤติกรรมที่ผมสังเกตเห็น ไม่เพียงแต่เฉพาะจากตัวของผม แต่รวมถึงทุกๆคนที่อยู่ในออฟฟิต และจากนักเก็งกำไรในห้องค้า (Floor Trader) ซึ่งผมรู้จักอีกด้วยครับ"

หลัง จากเขาเทรดมาได้ 3 ปี เขายังไม่สามารถที่จะทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอ จนทั้งครอบครัว และเพื่อนฝูงของเขาต่างคิดว่าเขาบ้าที่ตัดสินใจออกมาจากงานบริหารที่ทำอยู่ แทบจะไม่มีใครที่ยอมรับเขาเลย และเขารู้สึกได้ถึงความกลัวที่ยังซ่อนอยู่ในใจ แต่นั่นก็ไม่ทำให้เขาหันหลังกลับ เขาใช้ความพยายามอย่างหนักที่จะทำตามความฝัน ในที่สุดจุดเปลี่ยนในชีวิตของเขาก็มาถึง

"เมื่อ ผมคิดได้ว่าผมจะต้องทำได้!! (ซึ่งผมจำไม่ได้ว่ามันใช้เวลานานแค่ไหน) และหลังจากที่ผมรู้สึกได้อย่างนั้น ความกลัวของผมก็หายไป ผมตระหนักถึงคุณค่าในตัวของผมมากกว่าที่เคยเป็น ผมรู้สึกว่าผมยังสามารถคิดได้ ผมยังสุขภาพดีอยู่ ผมมีพรสวรรค์ และเมื่อผมตระหนักถึงคุณค่าในตัวของผมได้ ความกลัวทุกอย่างก็หายไปในทันที ผมเห็นรูปแบบพฤติกรรมที่คอยปิดกั้นความสำเร็จของตัวผม และของนักเก็งกำไรคนอื่นๆ ซึ่งเป็นรูปแบบที่จะขัดขวางเราจากความสำเร็จ และมันทำให้ผมเห็นในสิ่งที่นักเก็งกำไรจำเป็นต้องทำเพื่อความสำเร็จของพวก เขา หลังจากนั้นในช่วงหน้าร้อนปี 1982 ผมจึงเริ่มต้นเขียนหนังสือ The Discipline Trader และก่อตั้งบริษัทที่ปรึกษาการลงทุนของผมขึ้นครับ"

Douglas อธิบายรูปแบบพฤติกรรมที่คอยขัดขวางนักเก็งกำไรจากความสำเร็จ ว่าความผิดพลาดต่างๆ เช่นการที่คุณมักจะเข้าซื้อเร็วเกินไป ก่อนที่ตลาดจะมีสัญญาณเกิดขึ้น หรือไม่ก็ช้าเกินไป หลังจากที่ตลาดเกิดสัญญาณขึ้นนานแล้ว หรือแม้กระทั่งการขาดทุนมากขึ้นกว่าเดิม จากการที่คุณเลื่อนจุดตัดขาดทุนของคุณออกไป ความผิดพลาดนี้มันเกิดมาจากความกลัวหลักๆ 4 ชนิด ที่นักเก็งกำไรชั้นยอดนั้นจะคอยจัดการกับมันอยู่เสมอ

ความกลัว 4 ชนิด นั่นก็คือ ความ กลัวที่จะผิดพลาด ความกลัวที่จะขาดทุน ความกลัวที่จะพลาดโอกาสไป และสุดท้ายคือความกลัวที่จะปล่อยให้กำไรหลุดลอยไป ซึ่งเขาพบว่า ความกลัวทั้ง 4 ชนิดนี้คือตัวการหลักๆที่ทำให้เราทำในสิ่งที่ผิดในการเก็งกำไรมากกว่า 90% ซึ่งความกลัวดังกล่าวมันถูกบ่มเพาะมาจากวัฒนธรรมและสังคมของพวกเราเอง มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่ใครสักคนจะเติบโตมาโดยไม่เคยเรียนรู้ที่จะต้องกลัว บางสิ่ง

สำหรับนักเก็งกำไรนั้น พวกเราตกอยู่ในสถานการณ์ที่อาจขาดทุนได้ตลอดเวลา แต่พวกเราไม่ต้องการที่จะยอมรับมัน เพราะหากเรายอมรับมัน มันจะทำให้เรารู้สึกถึงความเจ็บปวดที่เราต้องสูญเสียบางสิ่งไป พวกเขาจึงพยายามหนีความจริง และจากการที่เราพยายามหนีมัน นั่นทำให้ทุกๆอย่างยิ่งแย่ขึ้นไปอีก

Douglas แนะนำว่า คุณต้องเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนแปลงความเชื่อของคุณ โดยการเปลี่ยนมุมมองและให้ความหมายกับคำว่าขาดทุนเสียใหม่ว่าการขาดทุนจริงๆ แล้วมันหมายความว่าอะไร สิ่งที่สำคัญก็คือ คุณจะต้องเปลี่ยนแปลงความเชื่อของคุณหลายๆอย่างที่เป็นตัวการทำให้คุณตีความ หรือแปลความหมายกับสิ่งที่เกิดขึ้นจากตลาดในทางลบหรือด้วยความรู้สึกเจ็บปวด คุณจะต้องสร้างความเชื่อและทัศนคติชุดใหม่ขึ้นมา ที่จะทำให้คุณสามารถตีความหรือแปลความหมายกับสิ่งที่เกิดขึ้นจากตลาดได้ อย่างไม่รู้สึกเจ็บปวดหรือไร้ความกังวลต่างๆ รวมถึงความเชื่อชุดใหม่ที่จะทำให้คุณสามารถทำสิ่งต่างๆได้อย่างเต็มความ สามารถของคุณ

สิ่งที่แยกนักเก็งกำไรหรือ นักลงทุนชั้นยอดออกจากคนทั่วๆไป นั่นคือนักเก็งกำรชั้นยอดนั้นเข้าใจเป็นอย่างดีว่า การลงทุนซื้อ-ขาย แต่ละครั้งนั้น ผลลัพธ์ของมันไม่มีความเกี่ยวเนื่องกับการซื้อขายครั้งที่ผ่านๆมาเลย ซึ่งนั่นทำให้พวกเขาสามารถทำสิ่งต่างๆได้อย่างเหมาะสม มันก็เหมือนการโยนเหรียญหัวก้อย ผลของการโยนเหรียญครั้งนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับครั้งที่แล้วหรือครั้งไหนๆ

สิ่ง ที่ผู้คนส่วนใหญ่มักไม่ได้ให้ความสนใจ เมื่อพวกเขาเริ่มต้นเข้ามาเก็งกำไรหรือลงทุนนั่นก็คือ พวกเขาไม่ได้คิดว่ามันมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องของจิตใจมาก จริงๆแล้วตลาดนั้นไม่สามารถที่จะบังคับหรือไม่มีผลต่อคุณในการกำหนดมุมมอง การรับรู้ หรือแปลความหมายของสิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดของตัวคุณเองเลย แต่มันเกิดขึ้นมาจากกลไกทางจิตวิทยาในตัวคุณซึ่งจะคอยควบคุมการรับรู้และแปล ผลของสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในตัวของคุณเอง และในฐานะที่คุณเป็นนักเก็งกำไรหรือนักลงทุน ถ้าหากว่าคุณต้องการที่จะทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอแล้วล่ะก็ สิ่งที่คุณจะต้องทำเพื่อให้เกิดกำไรที่สม่ำเสมอขึ้นมาก็คือ การควบคุมกระบวนการในการรับรู้ และแปลความหมายของสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น ในทางที่คุณจะสามารถทำสิ่งต่างๆได้อย่างเหมาะสม และไร้ความวิตกกังวลนั่นเอง

ซึ่งสิ่งที่เป็นตัวการสำคัญอย่างหนึ่งก็คือ “ความกลัว” นั่นเอง เนื่อง จากจิตใจของเรานั้นถูกออกแบบมาให้หลีกเลี่ยงจากความเจ็บปวด จากกลไกทางจิตวิทยาที่อยู่ทั้งใต้จิตสำนึกของเราและจิตสำนักของเราเอง และนี่คือตัวการใหญ่ตัวหนึ่งที่พวกเรามักจะมองข้ามมันไป ผู้คนส่วน ใหญ่ไม่เข้าใจว่าความกลัวนั้น นอกจากจะทำให้จิตใจของเราอ่อนแอลงไป แต่มันทำให้มุมมองหรือวิสัยทัศน์ของเราย่ำแย่ลงไปด้วย ความกลัวนั้นจะทำให้มุมมองของเราแคบลงไปเพราะเรามัวแต่เพ่งอยู่กับสิ่งที่ เรากลัว ซึ่งจะมีผลต่อการรับรู้ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ที่เข้ามาในทุกๆช่วงขณะเวลานั่นเอง

ยิ่งในเรื่องของการเก็งกำไรหรือ การลงทุนแล้ว มันยิ่งเป็นเรื่องที่อยู่ภายในจิตใจของเราเองขึ้นอีก เนื่องจากจริงๆแล้วตลาดนั้นไม่ได้สร้างข้อมูลที่ทำให้เกิดความเจ็บปวดขึ้นมา ด้วยตัวของมันเองเลย สิ่งที่มันสร้างขึ้นมาคือข้อมูลดิบ ซึ่งสามารถทำให้เรารับรู้มันในแนวทางที่เจ็บปวดขึ้นมาหรือในแนวทางที่พึงพอ ใจขึ้นมาควบคู่กันไปอยู่ตลอดเวลา ยกตัวอย่างเช่น สมมุติว่าคุณได้เข้าไปซื้อหุ้นไว้ แต่ภาพของตลาดโดยรวมนั้นกลับกลายเป็นขาลง และโชคร้ายเหลือเกินที่การเด้งขึ้นมาในแต่ละครั้งมันทำให้ผมตัดสินใจถือมัน ต่อไป เพราะช่วงที่ตลาดเด้งสวนขึ้นมานั้น จะทำให้เกิดความหวังขึ้นมานั่นเอง และจุดนี้เองที่ความกลัวของคุณจะเข้ามามีผลทำให้คุณจดจ่อความสนใจไปที่การ เด้งขึ้นมาของตลาดเพียงอย่างเดียว เนื่องจากคุณได้ให้ความสำคัญกับการเด้งขึ้นมาของตลาดมากกว่าอย่างอื่น และทำให้คุณจะพยายามทำทุกสิ่งที่ทำได้เพื่อจะบอกกับตัวเองว่าคุณจะไม่เป็น อะไร คุณจะพยายามหาเบาะแสเพื่อให้คุณสบายใจว่ามันจะเด้งขึ้นมาอีก และถึงแม้ว่าตลาดยังจะเคลื่อนที่เป็นขาลงต่อไป คุณก็จะไม่อยากรับรู้มัน คุณจะพยายามมองและรับรู้ว่าการเด้งขึ้นมาในแต่ละครั้งของตลาดเป็นจุดกลับตัว ขึ้นของมัน แต่มันก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น คุณจะเริ่มยอมรับความจริงเมื่อราคามันตกไปจนแทบไม่เหลืออะไรแล้ว.....

ตลาด หุ้นมันไม่ใช่อะไรอื่น มันเป็นเพียงสิ่งสะท้อนอารมณ์ความโลภและความกลัวของนักลงทุน ซึ่งส่งผลต่อระดับราคา มันไม่มีเหตุผลและไม่ใช่ตรรกะ ในตลาดหุ้น 1+1 อาจไม่ได้เท่ากับ 2 ดังนั้น เลิกหาเหตุผลให้มัน แต่จงเข้าใจในสิ่งที่มันเป็น และเมื่อตลาดคือสิ่งที่สะท้อนอารมณ์และจิตใจของมนุษย์ เมื่อคุณอยากเข้าใจมัน ชนะมัน และทำเงินจากมัน คุณก็ต้องเข้าใจอารมณ์และจิตใจของมนุษย์ ซึ่งมันก็คือการเข้าใจจิตใจของตัวเอง ดังนั้นจงพัฒนาการรับรู้ บริหารจิตใจและอารมณ์ของตัวคุณให้ดี แล้วคุณจะพบว่าเคล็ดลับความสำเร็จในการลงทุนไม่ได้อยู่ที่ไหน มันอยู่แค่....ภายในใจของคุณเองนี่แหละ

 ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/mark-douglas/?/